Monday, 16 June 2025
TheStatesTimes

ชาวเน็ตเปิดวาร์ป!! ตำแหน่งงาน ‘พี่กบ’ หัวหน้าใจดำ ไม่ยอมให้ลูกน้องลาไปดูแม่สิ้นใจ ที่แท้เป็น HR ของ รร.

(17 ส.ค. 66) จากกรณีดรามา พนักงานสาวขอลางานไปดูใจแม่ก่อนเสียชีวิต หัวหน้าไม่อนุญาต สุดท้ายแม่เสียชีวิต หัวหน้าบอกถ้าเสร็จธุระเรื่องแม่ ให้มาเขียนใบลาออกด้วย กลายเป็นกระแสแรงจนชาวโซเชียลต่างก็ถามหาหัวหน้าที่ชื่อกบว่าเป็นใครทำไมใจดำได้ขนาดนี้

และต่อมาพบว่าชาวโซเชียลต่างก็ไปตามหาวาร์ปหัวหน้ากบ โดยเพจ ‘แหม่มโพธิ์ดำ’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “กบ ณ เขาใหญ่กำลังดัง ถ้าจะใจดำขนาดนี้ หางานใหม่สบายใจกว่า ถ้ามีหัวหน้าแบบนี้ วาร์ปกบในคอมเมนต์”

และต่อมาเพจ ‘อีข้อขยี้ข่าว2’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า…

“กบเอง… กบเป็นเจ้าหน้าที่ HR ของโรงแรมในแชตที่บอกให้น้องพนักงานมาเขียนใบลาออกเพราะว่าแม่เสียค่ะ…”

อย่างไรก็ตามรอฟังทั้ง 2 ฝั่งออกมาพูดอีกครั้ง

'สำนักข่าวอิศรา' ขุดที่มา บ.เบียร์พิษณุโลก ที่ ‘ปดิพัทธ์’ โพสต์ภาพโชว์ ด้าน 'ผู้ถือหุ้นใหญ่' รับสาย แต่ไม่สะดวกแจงสินค้าว่าเป็นของใคร

(17 ส.ค. 66) กรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จ.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล และ รองประธานสภาฯ คนที่หนึ่ง ได้เผยแพร่ภาพคราฟต์เบียร์ยี่ห้อหนึ่งลงในโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ก และ TikTok แนะนำด้วยความภาคภูมิใจว่า “เอาแล้วๆๆๆๆ พิษณุโลกมีคราฟท์เบียร์ตัวแรกอย่างเป็นทางการแล้วครับ เป็นของดีพิดโลกนอกจากกล้วยตากและหมีชั่วครับ” กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม สุ่มเสี่ยงผิดกฎหมายพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 มาตรา 32 วรรคแรก บัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณหรือชักจูงใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อมหรือไม่

ต่อมาวันที่ 15 ส.ค. 66 นายศรีสุวรรณ จรรยา ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้ไต่สวนและวินิจฉัยเอาผิดนายปดิพัทธ์ เข้าข่ายการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่

ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ส.ค. 66 สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบพบว่า เจ้าตัวได้ลบโพสต์ข้อความและภาพดังกล่าวออกไปจากหน้าเฟซบุ๊กแล้ว

กรณีดังกล่าวสำนักข่าวอิศราตรวจสอบพบว่า ในเพจเฟซบุ๊กที่เกี่ยวข้องในกับเบียร์ยี่ห้อนี้ โพสต์ข้อความเมื่อ 9 สิงหาคม ว่า “เรารอสิ่งนี้มาโดยตลอด เครื่องดื่มคราฟต์พิดโลก by Phitsanulok Brewing เปิดตัวที่แรกที่ร้าน Girl’s don’t cry ผลิตถูกกฎหมายทุกขั้นตอน เสียภาษีเรียบร้อย พร้อมกระจายไปให้ทุกท่านได้ลองผลิตภัณฑ์แบรนด์ท้องถิ่น ที่เราฝ่าฟันกันมากับวงการคราฟต์เบียร์มาตลอด 7ปี”

ก่อนหน้านี้วันที่ 8 ส.ค.โพสต์ข้อความว่า “อันนี้ไม่ใช่นโยบายหาเสียง แต่เป็นการโฆษณาเพื่อทำมาหากิน สัปดาห์นี้เรามีของเด็ดรอเข้าอยู่ เป็นตัวที่ผมอยากนำเสนอมาตั้งแต่ที่เราทำคราฟต์เบียร์มาเลย วันนี้อากาศดีมาก มาเจอกันมาชลแก้ว ศรีน่าน เอ้ย!! ชนแก้วเฉย ๆ กันได้ที่บาร์เลยค้าบ”

เพจเฟซบุ๊กดังกล่าวได้เผยแพร่ภาพคล้ายนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นายปดิพัทธ์ รวมทั้ง ส.ส.พรรคก้าวไกลบางคนเคยเดินทางมาที่ร้านแห่งนี้ด้วย

จากการตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า PHITSANULOK BREWING ตามที่ระบุข้างต้น พบว่า PHITSANULOK BREWING หรือ บริษัท พิษณุโลกบรูอิ้ง จำกัด ทะเบียนวันที่ 9 ธ.ค. 65 ทุน 1 ล้านบาท แจ้งวัตถุประสงค์ 20 ข้อ แบบ สสช. 1 ประกอบกิจการจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ที่ตั้งเลขที่ 441/58 ซอย13 ถนนบรมไตรโลกนาถ 2 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก นายภูวดล ศิริสินเลิศ เป็นผู้ก่อตั้งและถือหุ้นใหญ่ และเป็นกรรมการร่วมกับนายธนาบูรณ์ ตระกูลฤกษ์ชัย 

เมื่อช่วงสายวันที่ 17 ส.ค. 66 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้ติดต่อไปยังนายภูวดล ศิริสินเลิศ หนึ่งในผู้บริหารบริษัท พิษณุโลกบรูอิ้ง จำกัด เพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ตามเบอร์โทรศัพท์ที่แจ้งไว้ในเอกสารจดทะเบียนบริษัทต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า 

เมื่ออีกฝ่ายรับสาย ผู้สื่อข่าวได้สอบถามว่านายภูวดล บริษัท พิษณุโลก บรูอิ้ง ใช่หรือไม่ อีกฝ่ายตอบว่า "ใช่"

เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามต่อว่า ทราบเรื่องกรณีนายปดิพัทธ์โพสต์ภาพคราฟต์เบียร์ลงในโซเชียลมีเดียแล้วหรือไม่ นายภูวดล กล่าวว่า "ทราบแล้ว"

แต่เมื่อถามต่อว่าเป็นเบียร์ของบริษัทเลยใช่ไหม ที่นายปดิพัทธ์ได้นำไปพูดถึง นายภูวดลได้ทวนว่า "สำนักข่าวอิศราใช่หรือไม่"

ผู้สื่อข่าวตอบว่า "ใช่" นายภูวดลได้ตอบกลับว่า "ยังไม่สะดวกตอนนี้" ก่อนที่จะวางสายโทรศัพท์ไป

จึงทำให้สำนักข่าวอิศรา ยังไม่ได้รับคำชี้แจงต่อกรณีจากฝั่งของผู้บริหารบริษัท พิษณุโลกบรูอิ้ง จำกัด เพิ่มเติม ณ เวลานี้

SME D Bank ทุ่ม 500 ล้าน เปิดตัว ‘Micro OK’ สินเชื่อใหม่หนุน SMEs เข้าถึงเงินทุน

SME D Bank คลอดสินเชื่อใหม่ ‘Micro OK’ วงเงินรวม 500 ล้านบาท เพิ่มโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยเข้าถึงแหล่งทุน โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน วงเงินสูงสุด 500,000 บาทต่อราย เปิดรับคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 ธ.ค. 66 

นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า SME D Bank ธนาคารเพื่อเอสเอ็มอีไทย เดินหน้าทำงานเชิงรุก  พัฒนาสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ และกระบวนการอำนวยสินเชื่อ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการเงินให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่ม Micro ที่มีศักยภาพเข้าถึงเงินทุนได้ง่าย รวดเร็ว ผ่านสินเชื่อใหม่ ‘Micro OK’ วงเงินรวม 500 ล้านบาท แจ้งความประสงค์ได้ง่ายด้วยระบบออนไลน์ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งลงทุน ขยาย ปรับปรุง ปรับเปลี่ยนรูปแบบกิจการ หรือหมุนเวียนเสริมสภาพคล่อง ช่วยต่อยอดยกระดับธุรกิจเดินหน้าไม่มีสะดุด  

จุดเด่นสินเชื่อ ‘Micro OK’ เปิดกว้างให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่ม Micro (รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี) ที่มีศักยภาพทุกกลุ่มธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นภาคผลิต ภาคค้าปลีกค้าส่ง และภาคบริการ ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล วงเงินกู้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.29% ต่อเดือน (MLR +8% ต่อปี) ระยะเวลาผ่อนชำระนานสูงสุด 5 ปี ที่สำคัญ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน เปิดรับคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2566 หรือเมื่อเต็มวงเงินโครงการ

อีกทั้ง พัฒนากระบวนการอำนวยสินเชื่อ ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงบริการทางการเงินได้ง่าย รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา โดยแจ้งความประสงค์ผ่านออนไลน์ และพิจารณาคุณสมบัติด้วยระบบ Credit Scoring มีขั้นตอน ได้แก่ 

1. สแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิกผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ ของ SME D Bank เช่น เว็บไซต์ www.smebank.co.th หรือ LINE Official Account : SME Development Bank เป็นต้น 

2. กรอกรายละเอียดเบื้องต้น เช่น ข้อมูลการดำเนินธุรกิจ วงเงินที่ต้องการกู้ เป็นต้น 

3. เจ้าหน้าที่ธนาคารจะติดต่อกลับ เพื่อนัดหมายเข้าเยี่ยมสถานประกอบการ และพิจารณาอนุมัติสินเชื่อต่อไป หรือกรณีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน เจ้าหน้าที่จะแนะนำเข้าสู่กระบวนการพัฒนาผู้ประกอบการ ช่วยเตรียมความพร้อม เพื่อพาเข้าถึงแหล่งทุนได้ในอนาคตต่อไป 

ผู้ประกอบการที่สนใจใช้บริการสินเชื่อ ‘Micro OK’ และบริการด้านการพัฒนา สามารถแจ้งความประสงค์ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของ SME D Bank เช่น เว็บไซต์ www.smebank.co.th, LINE Official Account : SME Development Bank และสาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357

‘อดีต นร.ไทยในญี่ปุ่น’ ชี้!! คราฟต์เบียร์ไทยต้องใส่ใจมาตรฐาน ยก ‘กม.เหล้าเบียร์ญี่ปุ่น’ ต้องมีใบอนุญาต-ควบคุมอย่างเข้มข้น

(17 ส.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Naruphun Chotechuang’ โดย ‘คุณนฤพันธ์ โชติช่วง’ อดีตนักเรียนวิทยาลัยยามชายฝั่งญี่ปุ่น ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถึงประเด็นกฎหมายแอลกอฮอล์ในประเทศญี่ปุ่น โดยระบุว่า…

จากข่าวรองประธานสภา (คนที่ 1) ได้ทำการโฆษณาเบียร์ผ่านโลกโซเชียล ซึ่งผิด พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มาตราที่ 32 ว่าด้วย “ห้ามมิให้ผู้ใดโฆษณาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ห้ามแสดงชื่อหรือเครื่องหมายของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันเป็นการอวดอ้างสรรพคุณ หรือชักชวนใจให้ผู้อื่นดื่มโดยตรงหรือโดยอ้อม” ซึ่งหากฝ่าฝืน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หลังจากนั้น เจ้าตัวก็ออกมาแก้ต่างทั้งในสื่อโซเชียลและทีวีต่างๆ นานา ซึ่งผมไม่เป็นปัญหาหรอก เพราะยังไงเจ้าตัวก็มีสิทธิ์นั้นเวลาสู้คดี แต่มีคำแก้ตัวอยู่ข้อความหนึ่งที่ได้ยินแล้ว ได้แต่มองบนก็คือ “เกาหลีใต้ยังทำได้เลย ให้ดารา นักร้องโฆษณาเหล้าเบียร์” ก็เข้าใจนะครับว่า การเอาข้อดี (รวมถึงคิดว่าเป็นข้อดี) ของต่างประเทศมาเทียบเคียงกับไทยมันก็ช่วยพัฒนาประเทศได้ในบางกรณี แต่ช่วยกรุณายกมาพูดทั้งระบบ ไม่ใช่ดึงแต่ข้อดีที่จะใช้แก้ต่างให้ตัวเอง หรือเพื่อผลประโยชน์กับตัวเองเท่านั้น เพราะฉะนั้น ผมก็ขอยกเอาบางส่วนของระบบที่เขาบอกกันว่ามันจะดีต่อวงการคราฟต์เบียร์ ผลิตเหล้า ถ้าทำแบบต่างประเทศมาให้เห็นภาพครับ

ผมจะยกกรณีของประเทศญี่ปุ่นนะครับ เนื่องจากไม่ได้เคยอาศัยอยู่ในเกาหลีใต้ ซึ่งญี่ปุ่นก็อนุญาตให้โฆษณาเหล้าเบียร์ได้ตามสื่อทั่วไป จนบางที่เห็นโฆษณาบางตัวแล้ว ผมยังเปรี้ยวปากเลย เล่นยกดื่มโชว์กันแบบไม่เกรงใจใคร

สิ่งที่อยากให้นำเสนอมากกว่าเรื่องโฆษณาเหล้าเบียร์ คือ ‘มาตรฐานการผลิต’ ครับ การจะเป็นผู้ผลิตเบียร์ หรือเหล้าญี่ปุ่นได้นั้น ไม่ใช่ว่าอยากทำเพื่อขายจะสามารถทำได้เลย ต้องยื่นขออนุญาตกับสำนักงานภาษีในเขตที่สถานที่ผลิตของท่านตั้งอยู่ เพื่อขอใบอนุญาตผลิต (製造免許) โดยการยื่นของใบอนุญาตนั้นต้องลงข้อมูลพื้นฐานต่างๆ เทคโนโลยีการผลิต เครื่องจักรเครื่องมือการผลิต และปริมาณการผลิตเฉลี่ยได้ในหนึ่งปี (มาตรฐานการผลิตน้อยที่สุดที่อนุญาต สำหรับเบียร์คือ 60 กิโลลิตร หรือ 6 หมื่นลิตรต่อปี) ถ้าข้อมูลที่กล่าวข้างต้นผ่าน ก็จะเป็นการตรวจสอบผู้ยื่นขออนุญาต และตรวจสถานที่ผลิต ตามกฎหมายภาษีเหล้ามาตราที่ 10 (酒税法第10条)

หนึ่งคุณสมบัติที่น่าสนใจคือ วรรค 7-2 ผู้ยื่นจะต้องไม่เป็นบุคคลที่โดนลงโทษภายในสามปี ล่าสุดในข้อหาความผิดกฎหมายห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีดื่มเหล้า กฎหมายสถานประกอบการเริงรมย์ (風俗営業) กฎหมายปกป้องกันการรุนแรงที่ไม่เหมาะสม กฎหมายอาญา (หมวดความรุนแรงต่างๆ)

ถ้าผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ก็จะได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แต่ก็ใช่ว่าจะสิ้นสุด ผู้ที่ทำการผลิตเบียร์หรือเหล้าเพื่อขาย (ทำเพื่อบริโภคเองไม่จำเป็น) จำเป็นต้องมีใบอนุญาตส่วนบุคคลเพิ่มเติมยกตัวอย่างเช่น (อาจมีมากกว่านี้ แล้วแต่ประเภทแอลกอฮอล์ที่ผลิต)

1.) ใบอนุญาตจัดการวัตถุอันตราย สำหรับผู้ผลิตเบียร์หรือเหล้า ที่ต้องเก็บรักษาแอลกอฮอล์ที่ใช้การหมักในการผลิต จำเป็นต้องมีใบอนุญาตจัดการวัตถุอันตรายซึ่งควบคุมดูแล โดยหน่วยงานสอบขององค์กรดับเพลิงของญี่ปุ่น (一般財団法人消防試験研究センター) โดยจะเป็นการสอบเพื่อวัดความรู้ในเรื่องแอลกอฮอล์ การเก็บรักษาและการขนส่ง นอกจากนี้ แล้วถ้ามีการขนส่งและเก็บรักษาแอลกอฮอล์หมัก ก็จำเป็นต้องส่งเอกสารให้กับสถานีดับเพลิงในพื้นที่ด้วย

2.) ใบมาตรฐานทักษะประเภทเครื่องต้มน้ำ หรือ ‘บอยเลอร์’ ในสถานที่ผลิตแอลกอฮอล์บางประเภท จำเป็นต้องใช้เครื่องต้มน้ำในการผลิต ผู้รับผิดชอบจึงจำเป็นต้องมีใบมาตรฐานทักษะประเภทเครื่องต้มน้ำซึ่งควบคุมดูแลโดยหน่วยงานเฉพาะ (一般社団法人日本ボイラ協会) เนื่องจากเครื่องต้มน้ำต้องใช้ทักษะเฉพาะ มีความอันตรายในการใช้งาน ผู้ใช้จริงต้องมีมาตรฐานและความรู้ที่ได้รับการยอมรับ

จะเห็นว่าภายใต้ข้อดีของต่างประเทศที่ถูกยกขึ้นมาเปรียบเทียบกับประเทศไทย ถ้าดูลงลึกไปถึงรายละเอียด จะพบว่ามีอะไรมากกว่าที่เราเห็น ไม่ใช่แค่การอยากทำก็ทำได้เลยตามใจชอบ ทุกอย่างจำเป็นต้องมีมาตรฐานไว้เป็นตัวกำหนดภายใต้ข้อกฎหมายเดียวกัน

จะว่าไปแล้ว เรื่องใบอนุญาตในแต่ละอาชีพของญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่น่าสนใจและควรนำมาปรับใช้ในประเทศไทยมาก เนื่องจากคนไทยพูดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำแล้วหยิบเอาญี่ปุ่นมาอ้างก็บ่อยๆ แต่ไม่เคยพูดว่า การจะประกอบอาชีพแต่ละอาชีพของญี่ปุ่น ต้องมีใบอนุญาตในแต่ละอาชีพด้วย เช่น เกษตรกรหรือพ่อครัว บางใบอนุญาตอาจไม่ได้บอกว่าจำเป็นต้องมี แต่มันมีผลเกี่ยวกับค่าแรงที่ได้รับ ยิ่งมีระดับสูงก็ยิ่งได้ค่าแรงเยอะ แสดงถึงความชำนาญที่มี

ปล. ตัวผมก็มีใบอนุญาตประกอบอาชีพที่ญี่ปุ่นอยู่ 3 ใบ ที่กว่าจะสอบผ่านก็รากเลือดอยู่เหมือนกัน คือ
- ใบอนุญาตขับเรือระดับ 3
- ใบอนุญาตใช้วิทยุสื่อสารภาคพื้นดินระดับ 2
- ใบอนุญาตใช้วิทยุในทะเลระดับ 1

18 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ น้อมรำลึกถึง ร.4 ‘พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย’

18 สิงหาคม ‘วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ’ หนึ่งในวันที่มีความสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์ไทย รำลึกถึงวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้ทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อ พ.ศ. 2411 ที่บ้านหว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์

ในวันที่ 18 สิงหาคม ของทุก ๆ ปี ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งในวันสำคัญของวงการวิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการศึกษาของไทย เนื่องจากตรงกับวันที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ได้เสร็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ ต.หว้ากอ จ.ประจวบคีรีขันธ์ หลังพระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาไว้อย่างแม่นยำ ล่วงหน้า 2 ปี ด้วยพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของพระองค์ จึงได้มีการถวายพระราชสมัญญานามให้ทรงเป็น ‘พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย’

และด้วยพระปรีชาสามารถด้านวิทยาศาสตร์นี้ คณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็น ‘วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ’ เพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าว และเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 ทรงเป็น ‘พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย’ ไปพร้อมกัน

สำหรับความเป็นมาเสร็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ (รัชกาลที่ 5) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา ได้เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค ไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ ตำบลบ้านหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันที่18 สิงหาคม พ.ศ. 2411

ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวณของพระองค์ หลังจากที่ทรงใช้กล้องโทรทรรศน์คำนวณการเกิดสุริยุปราคาครั้งแรกได้อย่างแม่นยำ ล่วงหน้า 2 ปี ซึ่งพระองค์คำนวณไว้ว่า สุริยุปราคาจะเกิดขึ้นในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230 โดยจะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณ เกาะจาน ขึ้นไปถึงปราณบุรี และลงไปถึงเมืองชุมพร และโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุญนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ พร้อมกับเชิญคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ ซึ่งเมื่อถึงวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ทรงพยากรณ์ไว้ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว

องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (ยูเนสโก) ได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์

19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จสู่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อ

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จจากสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อ

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพร ระหว่างที่รถพระที่นั่งแล่นผ่าน ฝูงชนส่งเสด็จเดินทางจากสยามประเทศเพื่อไปศึกษาต่อ ณ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ได้มีเสียงหนึ่งตะโกนแทรกมาเข้าพระกรรณว่า "ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน" ในขณะนั้น ทรงนึกตอบในพระทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร" 

นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่อยู่ในพระทัยของในหลวง ร.9 มาโดยตลอด พร้อมกับได้ทรงพระราชนิพนธ์บันทึกประจำวัน ‘เมื่อข้าพเจ้าจากสยาม สู่สวิตเซอร์แลนด์’ พระราชทานแก่หนังสือวงวรรณคดีไทย เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกซาบซึ้งพระราชหฤทัยถึงน้ำใจของประชาชน ที่พร้อมใจกันมาส่งเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดินในครั้งนั้น

ในช่วงนั้น บรรยากาศแห่งความเศร้าสลดครอบคลุมชาติไทย มองไปทางไหนมีแต่สีแห่งความทุกข์ คือสีดำเต็มไปหมด ความมหาวิปโยคเพิ่งเกิดขึ้นกับทวยราษฎร์ข้าแผ่นดิน เพราะเพิ่งสูญเสียพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระปิยราชบรมราชกษัตริย์ไปอย่างไม่มีวันกลับ เหลือเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ‘พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่’ เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่จะเป็นความหวังและที่พึ่งของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ประชาชนได้ทุ่มเทความรัก ความหวงแหนยิ่งถวายแด่พระองค์จนหมดสิ้น

เมื่อถึงวันที่พระองค์ทรงอำลาผืนแผ่นดินไทยไปสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อ ประชาชนทั้งหลายจึงรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เหมือนคนไร้ที่พึ่ง ไร้พระบรมโพธิสมภารที่เคยร่มเย็น ขณะรถยนต์พระที่นั่งค่อย ๆ เคลื่อนอย่างช้า ๆ ผ่านหน้ามหาชนนับหมื่นนับแสนที่มาเฝ้าฯ ส่งเสด็จอยู่ด้วยความจงรักภักดี นาทีนั้นเอง ทุกคนรู้สึกตรงกัน เหมือนดวงใจถูกพรากหลุดลอยไป เกรงว่าพระองค์จะไม่เสด็จนิวัตประเทศไทยอีก เหลือสุดที่ประชาชนจะทนได้ จึงมีเสียงร้องทูลขอสัญญาว่า

"อย่าทิ้งประชาชน..."

"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"

นั่นคือพระราชสัจจะจากดวงพระราชหฤทัย ที่จะมีพระราชดำรัสกับประชาชนในขณะนั้น  

แม้เครื่องบินพระที่นั่งทะยานขึ้นสู่ฟ้ามหานครแล้ว แต่ถนนทุกสายยังเนืองแน่นด้วยประชาชนที่เฝ้ามอง ‘พระเจ้าอยู่หัว’ จนกระทั่งเครื่องบินลับหายไปจากสายตา พร้อมกับดวงใจของประชาชนที่เฝ้ารอพระองค์กลับมา...เป็นมิ่งขวัญตลอดไป

และเสียงร้องทูลขอสัญญาของประชาชนในวันนั้น ตรึงตราประทับอยู่ในพระราชหฤทัยตลอดมา เป็นสายใจผูกพัน ทำให้ทรงเป็น ‘พระเจ้าอยู่หัวของประชาชนอย่างแท้จริง’

‘บัวขาว’ ดวลเดือด ‘แสนชัย’ ศึก BKFC Thailand พ.ย.นี้ กติกา ‘ชกมือเปล่าไร้นวม’ การันตี ‘ดุเดือด-ชกจริง-เจ็บจริง’

(17 ส.ค. 66) ที่โดม เซล แกลอรี่ ชั้น 1 อาคารเพิร์ล แบงค็อก พหลโยธิน ซอย 10 ได้มีการแถลงข่าวแมตช์หยุดโลก สังเวียนระอุ ‘บัวขาว บัญชาเมฆ’ ปะทะ ‘แสนชัย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม’ ในศึก ‘BKFC Thailand ครั้งที่ 5 - LEGENDS OF SIAM’ สังเวียนการต่อสู้ด้วยมือเปล่าบนกฏกติกาแบบไทยที่ทวีความดุเดือด อย่างคาดไม่ถึง ในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ณ รอยัลคลิฟ โฮเต็ลส์ กรุ๊ป พัทยา จ. ชลบุรี

BKFC ASIA ประกาศอย่างเป็นทางการ พร้อมระเบิดศึกสะเทือนวงการกำปั้นของ 2 นักสู้ระดับตำนานแห่งยุค กับไฟต์หยุดโลก พร้อมยกทัพจัดเต็มด้วยคู่มวยเดือดชิงแชมป์โลก 2 คู่ ได้แก่ โป เดนแมน จากประเทศไทย ปะทะ บริเทน ฮาร์ต จากสหรัฐอเมริกา และแฟรงกี้ ปะทะ แสนศึก นครโชคชัย จอมเดือดเมืองโคราช โดย ‘BKFC Thailand ครั้งที่ 5 - LEGENDS OF SIAM’ อัดแน่นเต็มพิกัดด้วยนักสู้ฝีมือฉกาจจากทั่วโลกรวมทั้งหมด 24 ชีวิต ที่จะมาดวลเดือดกันในการต่อสู้ทั้ง 12 แมตช์ 

มร. นิค แชปแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานฝ่ายปฏิบัติการ BKFC ASIA อดีตแชมป์ UK1 British Title Cage Rage (UCMMA) World Title Light Heavyweight กล่าวว่า ศึก BKFC Thailand ครั้งที่ 5 - LEGENDS OF SIAM ครั้งนี้ นับเป็นการพบกันของสองยอดนักสู้แห่งสยาม ผู้เป็นตำนานที่ยังมีลมหายใจ และเป็นครั้งแรก ของ 2 นักชกที่จะมาร่วมประลองฝีไม้ลายมือกัน ภายใต้กติกาใหม่ของเวที BKFC ซึ่งเน้นความดุเดือด ชกจริง เจ็บจริง ระห่ำมากยิ่งขึ้น นั่นคือนักสู้จะชกกันแบบมือเปล่า ไม่สวมนวม โดยในพิกัดน้ำหนัก 68.5 กก. กำหนดชกถึง 5 ยก ยกละ 2 นาที ผู้ชมจึงไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัย หรือน็อกคาเวทีในครั้งนี้ และตอนนี้ทั้งสองนักชกกำลังซุ่มลับฝีมือกันอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะเป็นเพื่อนรักกัน แต่เรื่องของศักดิ์ศรี ไม่มีใครยอมกันแน่นอน

BKFC Thailand ครั้งที่ 5 - LEGENDS OF SIAM ณ รอยัล คลิฟ โฮเต็ลส์ กรุ๊ปในครั้งนี้ เป็นการเปิดปรากฏการณ์ใหม่ เพื่อยกระดับมาตรฐานนักชกของไทยให้ทัดเทียมกับนักชกนานาชาติ ซึ่งเป็นเหตุผลหลักในการจัดงานขึ้นที่ประเทศไทย แทนกำหนดการเดิมในแถบตะวันออกกลางเมื่อช่วงต้นปี เนื่องจากคณะผู้จัดงานต้องการประกาศศักดาของศิลปะการต่อสู้อีก 1 แขนงที่กำลังได้รับความนิยมและกล่าวถึงมากที่สุด เราต้องการสร้าง

ตำนานบทใหม่ในศึก BKFC Thailand ครั้งที่ 5 อีกทั้งต้องการเชิดชู ‘นักสู้ไทย’ ที่มีความสามารถไม่เป็นสองรองใครในเวทีโลก และครั้งนี้ยังถือเป็นของขวัญที่มอบให้แฟนคอมแบท สปอร์ต ที่ชื่นชอบการต่อสู้ ซึ่งเรามั่นใจว่ารายการนี้จะเป็นอีกหนึ่งศึกที่คนรอติดตามมากที่สุด เพราะที่ผ่านมาการแข่งขันรูปแบบนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้น และครั้งนี้ BKFC ได้ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ให้เกิดขึ้นแล้วในเมืองไทย

นายวรรธนัย วรรธนะกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บีเคเอฟซี เอเชีย ประธานบริหาร รอยัล คลิฟ โฮเต็ลส์ กรุ๊ป และศูนย์ประชุมนานาชาติพีช พัทยา (PEACH) กล่าวว่า ในปี 2566 นี้เราได้ บริเท็น ฮาร์ท (Britain Hart) แชมป์โลก นักสู้ชาวอเมริกัน ในรุ่น World Title เข้าร่วมรายการด้วย โดยมีผู้ท้าชิงนักสู้หญิงไท อย่าง โป เดนแมน เข้าท้าชิงเข็มขัดแชมป์โลกในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ที่พลาดไม่ได้เลยทีเดียว ซึ่งนอกจากนักสู้ที่โดดเด่นอย่างฟิลิปปินส์แล้ว ปีนี้เรายังมีนักสู้จากอีกหลากหลายประเทศ ทั้ง อเมริกา เยอรมนี สวีเดน สก็อตแลนด์ สหราชอาณาจักร ฟิลิปปินส์ อิหร่าน ฯลฯ

นอกจากการมุ่งเฟ้นหา สนับสนุน และพัฒนาศักยภาพของเหล่านักสู้แล้ว เรายังเล็งเห็นว่าศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าเป็นเทรนด์กีฬาแห่งโลกอนาคตที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างรวดเร็วในนานาประเทศ โดยเฉพาะในทวีปเอเชีย ยุโรป อเมริกา เราพร้อมสนับสนุนและปลุกปั้นนักสู้หน้าใหม่ที่ฉายแววเข้าสู้เส้นทางการแข่งขัน ไปพร้อมกับการดูแลขับเคลื่อนวงการนักกีฬาไทยให้มีอาชีพที่มั่นคง และเติบโตได้อย่างยั่งยืนบนเส้นทางกีฬาสายนี้ และอย่างที่ทราบกันว่าปีนี้เราได้กำหนดกติกาใหม่ในชื่อเรียกใหม่ว่า Special Rules Bare Knuckle Thai Fight หรือศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าบนกฎกติกาแบบไทย เพื่อนำเสนอสิ่งใหม่และน่าตื่นเต้นให้กับผู้ชมของเรา

ขณะที่ บัวขาว บัญชาเมฆ นักสู้ระดับตำนานของไทย กล่าวถึงการต่อสู้ในครั้งนี้ว่า “แม้ผมจะเป็นเพื่อนรักกับแสนชัย แต่จะไม่มีการออมมือให้อย่างแน่นอน ศึกครั้งนี้เป็นการต่อยจริง เจ็บจริง แฟนๆ ห้ามพลาด เพราะเป็นแมตช์การต่อสู้ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เสมือนของขวัญที่ BKFC มอบให้แก่แฟนกีฬาการต่อสู้ในช่วงปลายปี ไม่ผิดหวังแน่นอนครับ ผมเอาศักดิ์ศรีเป็นเดิมพัน”

ด้าน แสนชัย พี.เค. แสนชัยมวยไทยยิม กล่าวว่า “ถึงเราสองคนจะเป็นเพื่อนรักกัน แต่ถ้าได้ขึ้นเวทีเราทั้งคู่ก็มีความเป็นมืออาชีพมากพอ ที่จะไม่มีคำว่าขึ้นไปเหยาะแหยะ และเสียชื่อการต่อสู้อย่างแน่นอน ขอขอบคุณแฟนคลับของผมและของบัวขาวที่สนับสนุนพวกผมด้วยดีมาโดยตลอด”

“แม้จะมีกระแสแฟนคลับบางส่วนที่ไม่อยากให้เราชกกันเอง ผมอยากจะบอกว่าการชกครั้งนี้ ไม่ได้เพื่อพิสูจน์ว่าใครเก่งกว่าใคร แต่ชกเพื่อประกาศให้คนทั่วโลกหันมาสนใจดูศิลปะการต่อสู้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการปรับกติกาใหม่ Special Rules Bare Knuckle Thai Flight ที่เข้มข้นขึ้น พวกเราทั้งสองมั่นใจว่าผู้ชมทั่วโลกจะสนุก มัน และลุ้นจนนั่งไม่ติดกับการต่อสู้บนเวที BKFC Thailand ครั้งที่ 5 นี้แบบเต็มสตรีม”

สำหรับการต่อสู้แบบไทยด้วยมือเปล่าบนกฎกติกาใหม่ Special Rules Bare Knuckle Thai Fight กำหนดจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน 2566 ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ณ รอยัล คลิฟ โฮเต็ลส์ กรุ๊ป พัทยา เริ่มจำหน่ายบัตรในวันพฤหัสบดีที่ 31 สิงหาคม 2566 ในราคา 500 และ 1,000 บาท สำหรับตั๋วยืน และ 2,500-3,000 บาทสำหรับที่นั่ง สำหรับที่นั่งวีไอพีติดขอบสนาม ราคาเริ่มต้นที่ 7,000 รวมอาหารค่ำมื้อพิเศษ สิทธิพิเศษ หรือส่วนลดสำหรับการเข้าพัก ณ รอยัล คลิฟ โฮเต็ลส์ กรุ๊ป เมื่อแสดงโค้ดการจองตั๋วเข้าชม BKFC Thailand ครั้งที่ 5 นี้ (ตามเงื่อนไขที่กำหนด)

แฟนๆ ใจหาย!! ‘BlackPink’ ประกาศปิดเวิลด์ทัวร์ที่เกาหลี หวั่น หรือนี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ขึ้นคอนเสิร์ตครบ 4 คน

(17 ส.ค. 66) ยังคงคลุมเครือสำหรับการต่อสัญญาของ 4 สาว ‘BlackPink’ กับค่าย YG Entertainment ที่แม้จะมีข่าวลือว่า 3 สาว ‘เจนนี่, จีซู, โรเซ่’ มีแนวโน้มจะต่อสัญญา แต่กับ ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ สมาชิกสาวชาวไทยยังคงไม่มีความคืบหน้า จนหลายๆคนคาดว่าไม่น่าจะต่อสัญญากับทางค่ายแล้ว ล่าสุด YG Ent. ได้ประกาศคอนเสิร์ตปิดทัวร์ Born Pink ของทั้ง 4 สาวว่าจะจัดขึ้นที่เกาหลีใต้เป็นเวลา 2 วันด้วยกัน ทำเอาแฟนๆหวั่นใจอาจเป็นคอนเสิร์ตสุดท้ายที่อยู่ครบทั้ง 4 คน

ก่อนหน้านี้มีรายงานว่ายังไม่มีการยืนยันแน่ชัดถึงการต่อสัญญาของ 4 สาว BlackPink ที่หมดอายุสัญญาครบ 7 ปีไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ที่ผ่านมา แต่มีการขยายอายุสัญญาออกไปจนถึงสิ้นเดือน ส.ค. หลังจากที่ยังคงหาข้อตกลงที่พอใจกันทั้งสองฝ่ายไม่ได้

ล่าสุดตามกำหนดการเดิมที่ระบุว่าจะสิ้นสุดทัวร์ ‘Born Pink’ สิ้นเดือน ส.ค. ก็ได้มีการประกาศจากทางค่ายว่า “คอนเสิร์ต Born Pink จะสิ้นสุดลงที่ กรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ในวันที่ 16 - 17 ก.ย. นี้”

เรียกได้ว่าทั้ง 4 สาวถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการเค-ป็อป ที่สาวๆสร้างสถิติกันมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งเดบิวต์จนถึงปัจจุบันที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก

ความไม่แน่นอนเรื่องการต่อสัญญาที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงคอนเสิร์ตสุดท้ายที่จะจัดขึ้นที่กรุงโซล เกาหลีใต้ ก็ทำเอาแฟนๆ พากันแสดงความคิดเห็นกันมากมาย เช่น

“ครั้งนี้ จะไปคอนเสิร์ตแน่นอน”
“อยากไปดูคอนฯครั้งนี้จริงๆ”
“สงสัยว่าคอนเสิร์ตครั้งนี้พวกเธอจะประกาศว่าต่อสัญญาหรือไม่?”
“นี่คือการทัวร์ครั้งสุดท้ายก่อนจะมีการต่อสัญญาเหรอ?”
“ถ้าพวกเธอไม่ต่อสัญญา ก็นับว่านี่คือคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของพวกเธอทั้ง 4 คน เพราะฉะนั้นฉันจะไป”
“คิดว่า YG ยังคงพยายามที่จะให้มีการต่อสัญญาอยู่ เพราะไม่มีข่าวอะไรเลย แบบนี้ฉันคิดว่า YG คงมองว่านี่อาจคือคอนเสิร์ตสุดท้าย ค่าบัตรคอนเสิร์ตเลยสูงขึ้น”

โซเชียลชม!! ‘ครูหนุ่ม’ จ.เชียงใหม่ ขี่รถส่ง นร.หญิงกลับบ้าน ฝ่าดินโคลนขึ้น-ลงเขา คาดใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 66 ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง ชื่อ ‘Kan mail’ ซึ่งเป็นคุณครูจากโรงเรียนบ้านห้วยไม้หก ตำบลม่อนจอง อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ได้ออกมาโพสต์ภาพพร้อมกับคลิปวิดีโอ เผยให้เห็น ‘ครู’ และ ‘นักเรียน’ กำลังขี่รถ จูงรถ ท่ามกลางถนนที่เป็นดินโคลน พร้อมด้วยข้อความว่า…

“ขี่รถ 4 ชั่วโมง เดินเท้า 4 ชั่วโมง คิดถึงบ้านเหรอ ‘ครู’ ไปส่งเอง ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน”

ทั้งนี้ การเดินทางของนักเรียนหญิงรายนี้ค่อนข้างลำบาก ต้องเดินขึ้นเขา ประกอบกับอยู่ในช่วงหน้าฝนการเดินทางจึงยิ่งลำบากมากขึ้น คาดว่าการเดินทางแต่ละครั้งคงต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top