Friday, 24 May 2024
TheStatesTimes

ฟ้องแพ่ง!! "โรงแรม - ร้านค้า" โกง!! หลังผู้ประกอบการหัวใสใส่ "คนละครึ่ง - เราเที่ยวด้วยกัน"

ช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่เพราะโควิด-19 ทางรัฐเองได้ออกมาตราการมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านโครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น "เราเที่ยวด้วยกัน" และ "คนละครึ่ง" มาช่วยทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้ประกอบการ แต่ก็ไม่วายมีผู้ประกอบหัวใสแอบทำเรื่องที่ไม่สมควร

ล่าสุดมีกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม – ร้านค้าหัวใสที่เข้าร่วมโครงการต่าง ๆ ของรัฐ แล้วแอบอัพราคาห้องพักและสินค้า เพื่อหวังกอบโกยรายได้เพิ่มจากโครงการเหล่านี้

งานนี้ ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ออกมากล่าวถึงกรณีโรงแรมที่เข้าร่วมโครงการ "เราเที่ยวด้วยกัน" ฉวยโอกาสขึ้นราคาห้องพักว่า "เราได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้ส่งคนไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ยิ่งกว่านั้นยังมีมาตรการลงโทษด้วยการตัดออกจากโครงการและพิจารณา "ฟ้องทางแพ่ง" โดยก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่าเกิดการขายราคาห้องพักจากปกติ 1,800 บาท แต่อัพราคาสูงขึ้นไปถึง 7,500 บาท"

ทั้งนี้หากพบเจอหลักฐานได้อย่างชัดเจน จะส่งผลกระทบต่อภาพใหญ่ของโครงการรัฐอย่างมาก ยุทธศักดิ์ จึงอยากขอให้ช่วยกันเป็นหูเป็นตา แม้ว่าเงินที่นำมาใช้จะเป็น Co-Pay แต่อย่างไรนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเงินภาษี

ทางด้าน ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ สภาพัฒน์ กล่าวว่า "โครงการเราเที่ยวด้วยกัน หรือ คนละครึ่ง เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องการความร่วมมือเพื่อนำพาประเทศไทยทั้งหมด คนไทยทุกคน ทุกภาคส่วนในการช่วยกันนำพาประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้ ถ้าทราบว่ามีการฉวยโอกาสในลักษณะนี้ ขอให้รีบแจ้งเข้ามาให้ทางสภาพัฒน์ และกระทรวงการคลังทราบ และขอความร่วมมือประชาชนทุกคน ถ้าทราบแล้วให้งดใช้บริการผู้ประกอบการและร้านค้าเหล่านั้น"

ฮาวานา ซินโดรม ทำสหรัฐผวา!

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ประเทศสหรัฐอเมริกามีการยืนยันอย่างเป็นทางการแล้ว เกี่ยวกับอาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นกับบุคลากร รวมถึงตัวท่านทูตสหรัฐประจำกรุงฮาวานา ประเทศคิวบา ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ที่มักเกิดอาการปวดศีรษะ วิเวียน หน้ามืด ตาลาย ถึงขนาดคลื่นไส้อาเจียนก็มี

ซึ่งไม่ใช่มีแค่เฉพาะเจ้าหน้าที่ในสถานทูตสหรัฐเท่านั้น แต่ที่สถานทูตแคนาดา ที่กรุงฮาวานา ก็มีเจ้าหน้าที่เกิดอาการเช่นนี้เหมือนกัน จึงเรียกอาการเหล่านี้รวมๆกันว่าเป็น Havana Syndrome หรือ โรคฮาวานา

Havana Syndrome เริ่มมีกระแสข่าวลือมาตั้งแต่ปี ค.ศ.2016 ที่สหรัฐยังหาสาเหตุไม่ได้ แต่ก็ตั้งข้อสงสัยไว้แล้วว่าคงโดนคิวบาวางยาแน่ ๆ

ต่อมามีรายงานว่าเกิดอาการ Havana Syndrome กับเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐในกวางโจว ประเทศจีนเช่นเดียวกัน

นั่นไง คิดเอาไว้ว่าใช่ ต้องใช่แน่ๆ!!!

หลังจากที่ค้นหาสาเหตุมาเป็นปี ในที่สุด สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ หรือ National Academies of Sciences ในสหรัฐได้ออกมายืนยันว่า อาการดังกล่าวเกิดจากผลข้างเคียงที่ร่างกายได้รับคลื่นวิทยุความถี่สูง แบบที่เคยมีการใช้ในสหภาพโซเวียตช่วงยุคสงครามเย็นเมื่อ 50 กว่าปีก่อน แต่ไม่ได้ยืนยันว่าเป็นคลื่นวิทยุที่เกิดจากการโจมตีโดยเจตนา หรือเป็นคลื่นที่ปล่อยจากอาวุธทางทหารหรือเปล่า

ประเด็นเรื่อง Havana Syndrome ทำให้สหรัฐมีปัญหากับรัฐบาลคิวบามาหลายปี โดยสหรัฐกล่าวหาว่ารัฐบาลคิวบาโจมตีสถานทูตสหรัฐด้วยคลื่นเสียงปริศนา แต่ถึงจะยังไม่รู้ที่มา รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมพ์ ก็มีการไล่ทูตคิวบาที่ประจำอยู่ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กลับทันที ถึง 2 คน เมื่อปี ค.ศ.2017 เป็นการตอบโต้ แม้ว่ารัฐบาลคิวบาจะปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่รู้ ไม่เห็นก็ตาม

แต่เมื่อมีการยืนยันว่า เกิดจากคลื่นวิทยุความถี่สูงที่มารบกวนการทำงานของประสาท ยิงมาจากที่ไหน ด้วยอะไร ไม่อาจรู้ได้ แต่ทำให้เกิดอาการโรคฮาวานาได้

ดังนั้น Havana Syndrome จึงกลายเป็นความหวาดระแวงรูปแบบใหม่ ที่เจ้าหน้าที่สหรัฐอาจต้องเจอเมื่อต้องไปประจำในต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มีเรื่องมีราวกับสหรัฐเป็นพิเศษ

และหากเจ้าหน้าที่สหรัฐไปเยือนประเทศไหนก็ตามแล้วเกิดอาการคลื่นไส้ วิงเวียน หูตาลายขึ้นมา แล้วตั้งข้อสงสัยว่าเป็น Havana Syndrome ขึ้นมา คงสืบกันให้วุ่น แถมมองหน้ากันลำบากเป็นแน่แท้


แหล่งข่าว

The Guardian

https://www.theguardian.com/us-news/2020/dec/06/havana-syndrome-directed-radio-frequency-likely-cause-of-illness-report

https://www.theguardian.com/world/2017/aug/09/cuba-embassy-diplomats-expelled-washington

Wikipedia

https://en.m.wikipedia.org/wiki/Havana_syndrome

5 ตระกูลที่ร่ำรวยสุดในเอเชีย

บลูมเบิร์กเปิดทำเนียบ Top 20ตระกูลรวยที่สุดในเอเชีย ที่สามารถครองความมั่งคั่งรวมกว่า 4.63แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 13 ล้านล้านบาท โดยมีตระกูล "เจียรวนนท์" แห่งอาณาจักรซีพี ผงาดอันดับ 3 แซงหน้าตระกูล "ลี" แห่ง Samsung

.

อันดับที่ 1

ตระกูล "อัมบานี" ของอินเดีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 7.6 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Reliance Industries หรือกลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในอินเดีย และมีธุรกิจอยู่ในหลายอุตสาหกรรม ทั้ง ธุรกิจปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมันและก๊าซ โทรคมนาคม ค้าปลีก มีเดีย ก่อตั้งโดย "ธีรุไภย อัมบานี"

.

อันดับที่ 2

ตระกูล "กว็อก" แห่งฮ่องกง มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของ Sun Hung Kai Properties ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่สุดของฮ่องกง

.

อันดับที่ 3

ตระกูล "เจียรวนนท์" มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.17 หมื่นล้านดอลลาร์

เป็นเจ้าของอาณาจักรเจริญโภคภัณฑ์ธนินท์ หรือซีพี ที่มี "ธนินทร์ เจียรวนนท์" เป็นหัวเรือใหญ่ภายใต้ธุรกิจค้าปลีก อาหาร โทรคมนาคม และช่วงหลังก็ยังมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย

.

อันดับที่ 4

ตระกูล "ฮาร์โตโน" ของอินโดนีเซีย มูลค่าความมั่งคั่ง = 3.13 หมื่นล้านดอลลาร์ ตระกูลนี้ร่ำรวยจากธุรกิจบุหรี่ Djarum ซึ่งเป็นรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และการขยายไปสู่ธุรกิจธนาคาร Bank Central Asia

.

อันดับที่ 5

ตระกูล "ลี" แห่งเกาหลีใต้ เจ้าของ Samsung มูลค่าความมั่งคั่ง = 2.66 หมื่นล้านดอลลาร์ เริ่มต้นกิจการ Samsung ในรูปของบริษัทส่งออกสินค้าผักและปลาในปี พ.ศ.2481 จากนั้นจึงมีการขยายเข้าสู่ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ด้วยการตั้งบริษัท Samsung Electronics ในปี พ.ศ. 2512 จนกลายเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟนและชิพความจำรายใหญ่สุดของโลก

.

รู้หรือไม่?

นอกจากตระกูลเจียรวนนท์ ตระกูลเศรษฐีแห่งเอเชีย ยังมีตระกูล "อยู่วิทยา" และ "จิราธิวัตน์" ติดโผอีกด้วย โดยเจ้าพ่อเครื่องดื่มชูกำลังครองความมั่งคั่งเป็นอันดับ 6 ขณะที่เครือเซ็นทรัลรั้งอันดับที่ 20


ที่มา : https://www.bloomberg.com/features/2020-asia-richest-families/

กลางปีหน้า เขื่อนพลังงานไฟฟ้า น้ำกง 1 เริ่มผลิตกระแสไฟฟ้า แขวงอัตตะปือปี 64 โครงการคืบหน้ากว่า 80 %

โครงการเขื่อนพลังงานไฟฟ้า น้ำกง 1 ในประเทศลาว ตอนนี้คืบหน้าไปถึง 81.9 % ของงานทั้งหมดหลังจากเริ่มการก่อสร้างอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ.2560 เป็นต้นไป คาดว่า ภายในกลางปี พ.ศ.​​2564 ในเดือนพฤษภาคม จะทดลองดำเนินการ จากนั้นเริ่มอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564

นาย เสิน ยู สว่าน ผู้อำนวยการโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำกง 1 กล่าวรายงานในโอกาสที่ นายสินาวา สุพานุวง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานและการเหมืองแร่ พร้อมด้วยคณะติดตามและตรวจสอบโครงการ เมื่อเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2563

โครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำกง 1 เสร็จสิ้นภารกิจ โดยเฉพาะที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อรองรับในการสนับสนุนแผนการกักเก็บน้ำของโครงการได้ดำเนินการก่อสร้างตัวเขื่อนเสร็จสิ้น

ที่ปรึกษาโครงการได้ดำเนินการประเมินคุณภาพการก่อสร้างและการประเมินความปลอดภัยของเขื่อนและส่วนประกอบก่อนอ่างเก็บน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้วก่อนกักเก็บน้ำ

ติดตั้งอุปกรณ์ตรวจสอบเขื่อนเสร็จสมบูรณ์ จัดตั้งทีมเทคนิคเพื่อดำเนินการกักเก็บน้ำ ได้เผยแพร่แผนการกักเก็บน้ำและแผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้แก่หน่วยงานในพื้นที่และประชาชนใต้เขื่อนใน 14 หมู่บ้าน และ งานสำคัญอื่น ๆ

โครงการเริ่มกักเก็บน้ำตั้งแต่ต้นเดือนกันยายน พ.ศ.2563

งานที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ การสร้างสันเขื่อน , ติดตั้งประตูน้ำล้น, ติดตั้งเครื่องจักรเบอร์ 2 ,ไลน์นิ่งคอนกรีตท่อหายใจ โครงสร้างประตูน้ำท้ายเครื่องจักร , และ งานดึงสายเคเบิล 115 KV

ในโอกาสนี้นายบัวเทพ มาลัยคำ หัวหน้ากรมคุ้มครองพลังงาน กระทรวงพลังงานและการเหมืองแร่ กล่าวว่า "เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำน้ำกง 1 เป็นเขื่อนหินถมด้านหน้าด้วยคอนกรีต กักเก็บน้ำได้ 650 ล้านลูกบาศก์เมตร จากการตรวจสอบนี้จะเห็นว่า การก่อสร้างเขื่อนล่าช้าเล็กน้อยจากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด -19"

"แต่การก่อสร้างโดยรวมมีความคืบหน้าไปด้วยดีและคาดว่าโครงการจะทดสอบโรงไฟฟ้าในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2564 หลังจากนั้นจะเริ่มผลิตกระแสไฟฟ้าได้ตามปกติภายในเดือนมิถุนายน พ.ศ.2564"

"อย่างไรก็ตามแม้ว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจากส่วนกลางและในพื้นที่จะติดตามการดำเนินงานของเขื่อนต่อไป เช่น การตรวจสอบชุดเขื่อนโครงสร้างเขื่อนน้ำรั่วในเขื่อน ฯลฯ เพื่อให้เขื่อนสามารถผลิตไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและมั่นใจในความปลอดภัยของเขื่อน"

โครงการไฟฟ้าพลังน้ำน้ำกอง 1 ตั้งอยู่บนลำน้ำกง ในเขตเมืองภูวง แขวงอัตตะปือ ด้วยความสูง 90 เมตร โรงผลิตไฟฟ้าอยู่ใต้ดิน มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 160 เมกะวัตต์ (2x80 เมกะวัตต์) ผลิตไฟฟ้า 469 GWh / ปี มูลค่าการก่อสร้าง 335.8 ล้านเหรียญสหรัฐ อายุสัมปทาน 25 ปี ซึ่ง บริษัท น้ำและพลังงานไฟฟ้าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (CWE) ถือหุ้น 65% รัฐวิสหกิจกิจไฟฟ้าลาว EDL ถือหุ้น 20% และบริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนเขื่อนไฟฟ้าจำกัดผู้เดียว (IHC) ถือหุ้น 15%. ไฟฟ้าทั้งหมดที่ผลิตได้จะถูกขายให้รัฐวิสหกิจกิจไฟฟ้าลาว (EDL) เพียงผู้เดียว


CR : มดแดงตัวน้อย

วิเคราะห์ราคา "ทองคำ" 64 โอกาสพุ่งยังมี!! แม้เลวร้ายสุด ก็ไม่หลุด 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

แม้ว่าสัปดาห์ก่อน ราคาทองคำ มีการปรับลดลงค่อนข้างมากจนหลุด 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ทำให้นักลงทุนกังวลว่าราคาทองคำอาจจะเป็นช่วงขาลงแล้ว

แต่จากราคาทองคำล่าสุดได้ดีดกลับขึ้นมายืนเหนือ 1,800 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ได้อีกครั้ง ซึ่งหากมองในแง่เทคนิค แสดงให้เห็นว่า ราคาทองคำยังไม่ถึงกับเป็นช่วงขาลง เพราะเมื่อราคาลงไปแตะ 1,764 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ก็มีแรงซื้อกลับมา ส่วนถ้าจะมองเป็นขาลงนั้น ราคาจะต้องปรับลดลงไปถึง 1,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์

สถานการณ์ราคาทองคำดังกล่าว สอดคล้องกับมุมมองของ ฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) ที่ประเมินว่า แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวยังเป็นขาขึ้น แม้ว่าระยะสั้นจะยังแกว่งตัวผันผวน

เพราะเชื่อว่ายังมีโอกาสได้เห็นราคาขึ้นไปแตะ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ภายในสิ้นปีนี้ ถึงแม้ว่าช่วงนี้ราคาทองคำจะปรับลดลงมาจากจุดสูงสุดของปีนี้ที่ทำไว้ที่ 2,075 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ก็ตาม แต่ก็ยังนับว่าเป็นช่วงขาขึ้นของทองคำอย่างน้อยอีก 1-2 ปี

สำหรับปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ราคาทองคำเป็นขาขึ้น มาจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของหลาย ๆ ประเทศ ที่จะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และจะทำให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทองคำจำนวนมหาศาล แม้จะมีวัคซีนออกมาใช้แต่กว่าทุกอย่างจะกลับมาปกติยังต้องใช้ระยะเวลา 1 - 2 ปี

ดังนั้น แต่ละประเทศยังต้องดำเนินนโยบายทั้งการเงินและการคลังเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเงินอัดฉีด ซึ่งทุกครั้งที่ทำจะมีเงินไหลเข้ามาตลาดทองคำดังเช่นในอดีตเมื่อปี 2554 ที่มีการทำ QE จนพบว่าราคาทองคำขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ จากนั้นจึงค่อยๆ ปรับลดลง หลังจากหยุดทำ QE ในปี 2556

อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้าย หากในอนาคตราคาทองคำมีการปรับเป็นขาลง ก็จะปรับลดลงไม่ต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ สาเหตุที่ราคาทองคำจะไม่ปรับลงไปกว่านี้ เพราะเหมืองทองคำจะมีต้นทุนหน้าเหมืองโดยประมาณอยู่ที่ระดับดังกล่าวนั่นเอง

ศบค.มท. สั่งเข้ม มาตรการควบคุมโควิด-19 ต้องข้น! หน่วยปฏิบัติท้องถิ่นต้อง "สกัด - ติดตาม" ผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด

แอบคิดว่าปีใหม่นี้จะได้มีโอกาสออกไปใช้ชีวิตและเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ แต่สุดท้ายก็เกิดปัญหาใหญ่อย่างกลุ่มคนกลับเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายที่พร้อมพกโรคโควิด - 19 กลับมาด้วย

ทั้งนี้ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงมหาดไทย หรือ ศบค.มท. ได้เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีคำสั่งให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย แจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ให้เพิ่มความเข้มข้นในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด - 19 จากประเทศเพื่อนบ้าน โดยให้จังหวัดต่าง ๆ แจ้งหน่วยปฏิบัติ ผู้ปกครองท้องที่ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้สกัดกั้นและติดตามผู้ลักลอบเข้าเมืองอย่างเคร่งครัด

เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามคำสั่งการของนายกรัฐมนตรี ด้าน ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวกับการสั่งการและประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร จึงได้สั่งการไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ประธานกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ให้ดำเนินการตาม 3 มาตรการ ได้แก่

1.) ประสานแจ้งหน่วยปฏิบัติในพื้นที่สกัดและติดตามการลักลอบเข้าเมืองโดยไม่ผ่านการคัดกรองโรค โดยเฉพาะการลักลอบเข้าตามเส้นทางธรรมชาติ

2.) แจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และอาสาสมัครในพื้นที่ เป็นหูเป็นตาและเฝ้าสังเกต นอกจากนั้นยังใช้การวางข่ายข่าว โดยการจัดตั้งแหล่งข่าว และอาจมีการตั้งด่านคัดกรองโรคสำหรับบุคคลที่เดินทางเข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะผู้ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยถ้ามีการตรวจพบจะดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

3.) กำชับไม่ให้ข้าราชการ บุคลากร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ละเลยหน้าที่หรือรู้เห็นเป็นใจกับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง

ก็ได้แต่หวังว่ามาตราการต่าง ๆ ที่รัฐกำชับออกไปจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของเจ้าโควิด - 19 ได้ เพราะตอนนี้เชื่อว่าพ่อแม่พี่น้องหลาย ๆ คนก็คงหวั่นใจว่า โควิด - 19 จะมีระลอกสองหรือไม่ เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงต้องฝากความหวังไว้กับมาตราการของทางรัฐที่น่าจะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และคนไทยจะได้กลับมาใช้ชีวิตกันตามปกติในเร็ววัน

ลาทีปี 2020...คุณอยากให้อะไรหายไปพร้อมกับปีนี้บ้าง?

ปังเว่อร์! เมื่อนิตยสาร TIMES ฉบับล่าสุด ประจำเดือนธันวาคม จัดปกได้เจ็บปวด นำเครื่องหมายกากบาทมาขีดฆ่าตัวเลข 2020 แถมโปรยด้วยตัวหนังสือ The Worst Year Ever หรือประมาณว่า "แด่ปีที่แย่ฝุดๆ ตลอดกาล"

ชัดเจน! แจ๋มแจ๋ว! ตรงประเด็น! ไม่มีอ้อมค้อม! อะไรแย่บอกแย่! แฮ่! จะใส่เครื่องหมายอัศเจรีย์ทำไมเยอะแยะ มาเหลากันต่อกับตัวนิตยสาร TIMES ทางทีมงานได้ขยายความเพิ่มเติมถึง "ไอเดีย" ในการเอากากบาทมาขีดฆ่าปี ค.ศ. แบบนี้ เนื่องด้วยที่ผ่านมา เคยมีเหตุการณ์ร้าย ๆ เกิดขึ้นกับโลกมากมาย เช่น สงครามโลกครั้งที่ 1 หรือโรคระบาดในปี ค.ศ. 1918 แต่ในชั่วชีวิตของคนทั่วไปในยุคนี้ เชื่อว่า ปี 2020 น่าจะเป็นปีที่แย่ที่สุดแล้วล่ะ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ TIMES เคยนำสัญลักษณ์ X ขีดฆ่าลงบนปกเช่นนี้ แต่เคยทำมาแล้วถึง 4 ครั้ง เช่น ในกรณีการเสียชีวิตของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์, ซัดดัม ฮุสเซน, อาบู มูซาบ อัล-ซากาวี (ผู้นำกลุ่มอัลกออิดะห์) และ โอซามา บินลาเดน ซึ่งปกหนล่าสุดนี้ก็ได้นำกลับมาทำอีกครั้ง แถมยังสร้างกระแสให้พูดถึงกันไปทั่วโลก

เพราะลึก ๆ ในใจของผู้คน คงคิดไม่ต่างกันว่า "ปี 2020 ถึงเลขจะสวย แต่โห๊ดโหด!" อะไร ๆ มันช่างดูเลวร้ายมาตั้งแต่ต้นปี เรื่องแย่ ๆ ที่มาวินไม่มีกล้าเถียง นั่นคือ การระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งถึงวันนี้ก็ยังคงหนักหนาอยู่เหมือนเดิม ย้อนกลับมาที่เมืองไทยเอง ปี 2020 ก็จัดหนักกันหลายเรื่อง The States Times LITE ลองเช็กเสียงจากทีมงานกองบรรณาธิการ (คนใกล้ตัวนี่เอง) โดยตั้งโจทย์ว่า "ถ้าจะขีดฆ่าเรื่องราวใดให้หายไปจากปีนี้ อยากจัดการกับเรื่องอะไร?"

อาร์ตไดเรกเตอร์ประจำกองฯ บอกว่า : "ผมขอขีดฆ่าม็อบทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เบื่อความขัดแย้งมาก"

โซเชี่ยลแอดมินประจำกองฯ บอกเช่นกันว่า "คงเป็นเรื่องโควิด-19 อยากให้มันหายไปจากโลกนี้เสียที เบื่อ!!!"

นักเขียนกองฯ การเมือง ก็เห็นคล้ายๆ กับอาร์ตไดฯ "อยากให้ม็อบหายไป เพราะยืดเยื้อก็ไม่ส่งผลดีต่อใคร"

กราฟิกดีไซน์ ประจำกองฯ มาแนวแปลก บอกว่า "อยากกากบาทให้โจ ไบเดน หายไปครับ" (อ๋อ เป็นแฟนคลับโดนัลด์ ทรัมป์)

บก.โต๊ะข่าวธุรกิจ ใคร่ครวญอยู่แป๊บนึง แล้วฟันธงออกมาว่า "ขอขีดฆ่าปี 2020 แบบที่ TIMES ทำนี่แหละครับ เหมือนล้างไพ่ ว่ากันใหม่ปีหน้า"

นี่เป็นแค่เสียงส่วนหนึ่งจากกองบรรณาธิการ The States Times อีกไม่กี่สัปดาห์ปี 2020 ก็จะผ่านไปแล้ว ถามใจคุณว่า อยากขีดฆ่ากากบาทให้อะไรหายไป แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่ปีหน้า...

 

ตามคาด!! "จีน" ยืนหนึ่งท่องเที่ยวไทย หลังทัวร์ล็อตแรกเข้าสยาม 1,201 คน

ปิดประเทศเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19 ไปนาน ตอนนี้ประเทศไทยก็ได้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวกลุ่มชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนปรนเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเสียที ซึ่งจุดนี้ถือเป็นสัญญาณดีที่แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีความมั่นใจในการควบคุมโควิด - 19 ได้และพร้อมกลับมาฟื้นฟูการท่องเที่ยวอีกครั้ง

ทว่าตามหากพิจารณาถึงสถานการณ์ตั้งแต่เดือน มกราคม - ตุลาคม พ.ศ.2563 พบว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยอยู่ที่ 6.7 ล้านคน ซึ่งลดลงไปกว่า 25.89 ล้านคนหรือติดลบกว่า 79.46% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นรายได้อยู่ที่ 3.32 แสนล้านบาท ลดลง 1.21 ล้านล้านบาท หรือ ติดลบ 78.43% โดยตัวเลขดังกล่าวยังไม่รวมรายได้จากนักท่องเที่ยวในช่วงเปิดใหม่เดือนตุลาคม รวมถึงข้อมูลมูลค่าค่าใช้จ่ายที่เกิดจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติตกค้างในประเทศไทย

สำหรับสถานการณ์ท่องเที่ยวเดือนตุลาคม พ.ศ.2563 ที่เปิดให้กลุ่มชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนปรนเข้ามาในไทยนั้น ทาง พิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ได้เผยว่า

"ตัวเลขของกลุ่มวีซ่าประเภทพิเศษ หรือสเปเชี่ยล ทัวร์ริส วีซ่า, ผู้ถือบัตรสมาชิกไทยแลนด์อีลิทและกลุ่มอื่นๆ ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทยนั้นมีอยู่ 1,201 คน โดยถ้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนติดลบอยู่ 99.96% เหตุเพราะมาตรการควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด - 19 ทำให้การเดินทางมีอุปสรรคค่อนข้างมาก ทั้งจำนวนเที่ยวบินที่ลดลงมาก การกักตัว 14วัน และการห้ามเดินทางหรือการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ"

ทั้งนี้หากพิจารณาถึงกลุ่มชาวต่างชาติที่ได้รับการผ่อนปรนจะแยกเป็น กลุ่มสเปเชี่ยล ทัวร์ริส วีซ่า 272 คน / กลุ่มผู้ถือบัตรสมาชิกไทยแลนด์อีลิท159 คน และนักท่องเที่ยวกลุ่มที่รัฐผ่อนปรนให้ 770 คน

โดย 10 อันดับของประเทศที่เดินทางเข้ามามากที่สุดยังคงเป็น ประเทศจีน 471 คน รองลงมาคือ กัมพูชา 231คน และคูเวต 89 คน ที่เหลือคือ ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา, ฮ่องกง, ฝรั่งเศส และไต้หวัน

ไม่ผิดคาด!! ก๊วนเนชั่นพลัดถิ่น จ่อชิดรั้ว "NEW18" หลังสะพัด "สนธิญาณ" ปิดดีล 800 ล้าน คว้าดิจิทัลทีวีบ้าน "เหตระกูล" ไปครอง

ข่าวที่มั่นอันลงตัวใหม่ของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ผู้ก่อตั้งสถาบันทิศทางไทย เริ่มสะพัดหนาหูขึ้นเรื่อยๆ และเหมือนจะไปจบลงที่ช่อง "NEW18"

ก่อนหน้านี้ สนธิญาณ ได้มีภาพร่วมเฟรมกับอดีตผู้ประกาศข่าวเนชั่นทีวี เช่น น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก, นายสันติสุข มะโรงศรี, นายกนก รัตน์วงศ์สกุล, นายธีระ ธัญไพบูลย์, นายวรเทพ สุวัฒนพิมพ์, นายสถาพร เกื้อสกุล และ น.ส.อุบลรัตน์ เถาว์น้อย ที่มีการคาดเดาไปกันว่าจะใช้เพื่อโปรโมตรายการใหม่

โดยอดีตก๊วนเนชั่นทุกคนได้รับคำยืนยันจาก สนธิญาณ ว่า ตอนนี้ได้ช่องรายการที่จะไปผลิตรายการแล้วเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางความตื่นเต้นของแฟนคลับหลายคน

ทั้งนี้ได้มีแรงยันจากโพสต์ข้อความของ เสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ ‘เป๊ปซี่’ หัวหน้ากองบรรณาธิการข่าวสถานีโทรทัศน์นิวทีวี ด้วยว่า สนธิญาณ เตรียมแถลงข่าวประกาศเป็นทางการ ช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ โดยคาดว่าทีมนายสนธิญาณจะมาเริ่มงานกับช่อง NEW18 ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม

อย่างไรก็ตาม ก็มีการสืบถึงความเป็นไปได้ของช่อง สนธิญาณ และก๊วนเนชั่นมือเก๋า กับ NEW18 หลังสื่อออนไลน์ที่ชื่อ The Key News ได้รายงานว่า...

บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด เจ้าของคลื่น NEW18 เผยถึง ผู้บริหารของบริษัทฯ ที่มีการเจรจาตกลงที่จะขายสัมปทานช่อง NEW18 ที่จะเหลือเวลาสัมปทานอีกประมาณ 8 ปี ให้กับกลุ่มของ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยการเจรจาที่ผ่านมา หารือกันประมาณ 5 รอบ ในห้วงเวลา 3 สัปดาห์ มีคนกลางที่เป็นผู้เจรจาคือ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ได้เรียกคุณแดง - ประภา เหตระกูล มาหารือโดยตรงกับนายสนธิญาณ เพื่อหาข้อยุติ

เนื่องจากกลุ่มนายสนธิญาณ ได้นำใบเซ็นสั่งซื้อโฆษณาระยะยาวจากบริษัทที่มีชื่อเสียงประมาณ 6 - 7 บริษัท ซึ่งเป็นการการันตีว่า มีรายได้โฆษณาแน่นอน โดยจบที่ตัวเลข 800 กว่าล้านบาท และระหว่างนี้อยู่ในขั้นตอนการโอนที่ดิน โอนตึก โอนเครื่องมือ เปลี่ยนแปลงชื่อบริษัทฯ ใหม่

สำหรับบุคลากร ทราบมาว่า ทีมของนายสนธิญาณจะคัดเลือกบุคลากรบางคนมาร่วมงาน อย่างนายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือ เป๊ปซี่ ก็จะได้ไปจัดรายการใหม่กับทีมนายสนธิญาณ ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด ก็คงต้องมีการเจรจากันต่อไป

ทั้งนี้มีรายงานว่า นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้รับการสนับสนุนด้านโฆษณาจาก 7 บริษัท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยผู้ให้การสนับสนุนโฆษณาเหล่านี้ไม่กลัวเรื่องการถูกแบนโฆษณา และวางแผนการลงโฆษณาระยะยาว ซึ่งนายสนธิญาณ จะเปิดแถลงข่าวเป็นทางการในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ.2563 นี้ เวลา 15.00 น. ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล และจะออนแอร์อย่างเป็นทางการในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2563 เวลา 15.00 น. โดย 2 ชั่วโมงแรกจะเป็นรายการพิเศษ จากนั้นหลัง 17.00 น. เป็นต้นไป จะเข้าสู่ผังรายการปกติ

...บิ๊กเซอร์ไพรซ์จากผู้อาศัยเป็นเจ้าของช่อง!!

สำหรับการเข้ามาสู่ช่องใหม่ของทีมสนธิญาณนั้น มีข่าวมาได้ระยะหนึ่งกับการปักหมุดลงช่อง NEW18 แต่ก็ไม่ถึงขั้นมีมูลข่าวว่าจะทำการซื้อขายช่อง NEW18 ให้ปรากฏชัดนัก

อย่างไรก็ตาม หากมองดูจากผลประกอบการและการขาดทุนสะสมของช่อง NEW18 ดีลนี้ก็ค่อนข้างจะดูสมเหตุสมผล

นั่นก็เพราะ ดีเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด หรือช่อง NEW18 ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มของตระกูล "เหตระกูล" เจ้าของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์นั้น มีตัวเลขขาดทุนสะสมถึงปัจจุบันอยู่ที่ 2,934.01 ล้านบาท จัดอยู่ในกลุ่มช่องทีวีดิจิทัลที่ขาดทุนมากที่สุดช่องหนึ่ง

.

โดยตัวเลขรายได้ของ NEW18 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

  • พ.ศ.2557 รายได้ 14.20 ล้านบาท
  • พ.ศ.2558 รายได้ 75.21 ล้านบาท
  • พ.ศ.2559 รายได้ 84.25 ล้านบาท
  • พ.ศ.2560 รายได้ 124.30 ล้านบาท
  • พ.ศ.2561 รายได้ 117.63 ล้านบาท
  • พ.ศ.2562 รายได้ 124.20 ล้านบาท

.

หากดูจากจุดนี้ ก็เหมือนว่าทางช่อง NEW18 ก็มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากรายได้โฆษณาที่ยังน้อยนิด เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการทำสถานีแต่ละปี แม้ระยะหลังจะมีแผนการควบคุมค่าใช้จ่ายและต้นทุนได้ดีขึ้นมากก็ตาม

นอกจากนี้แผนการปรับรูปแบบรายการอย่างต่อเนื่อง ก็ต้องมาเผชิญกับช่วงโควิด-19, การแข่งขันของวงการสื่อที่รุนแรง และพิษเศรษฐกิจต่อเนื่อง จึงอาจจะเป็นการถอยให้ผู้ที่พร้อมกว่ามาปิดดีลนี้ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นทางออกในระยะยาวของกลุ่มเหตระกูล

ฉะนั้นการเข้ามาของกลุ่ม นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ที่เชื่อว่าจะมาพร้อมกับแนวข่าวการเมืองเข้มจัดและฐานแฟนคลับที่ชัด น่าจะทำให้ NEW18 มีโอกาสสร้างผลประกอบการในรูปแบบกำไรได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งเจ้าหนี้อย่าง "แบงก์กรุงเทพ" จึงพร้อมเซย์เยส!!

 

บทเพลง BTS & BLACKPINK ติด 50 อันดับ เพลงดีที่สุดในปี 2020

Rolling Stone นิตยสารเเละเว็บไซต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา เผย 50 เพลงจากทั่วโลกที่ดีที่สุดในปี 2020 โดย BTS ศิลปินบอยแบนด์ชื่อดังจากเกาหลีใต้ ติดอยู่ในอันดับที่ 7 จากเพลง Dynamite ซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขา ซึ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แถมยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นศิลปินจากเกาหลีใต้วงแรกที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ อัลบั้มของพวกเขา Map of the Soul: 7 ก็ยังติดอยู่ในอันดับที่ 16 จาก 50 อันดับอัลบั้มที่ดีที่สุดประจำปี 2020 ของ Rolling Stone ด้วยเช่นกัน ด้านเกิร์ลกรุ๊ปสุดฮอต BLACKPINK ก็ไม่น้อยหน้า นำบทเพลง Ice Cream ซึ่งเป็นผลงานที่พวกเธอสร้างสรรค์ร่วมกับ เซเลนา โกเมซ ติดอยู่ในอันดับที่ 13 

โดยเพลงนี้ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา เนื้อเพลงส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษ มีเพียงท่อนเเร็ปของ ลิซ่า ที่มีภาษาเกาหลีปนอยู่ อีกหนึ่งความโดดเด่นของงานเพลงชิ้นนี้ คือมิวสิควีดีโอของพวกเธอที่เต็มไปด้วยสีสันสดใส มาในโทนชมพูพิงค์ ๆ ที่ใครได้ชมเป็นต้องหลงเลิฟฟฟฟ

ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของทั้ง 2 ศิลปินจากเกาหลี และจัดว่าเป็นปีทองของ BTS และ BLACKPINK อย่างแท้จริง

 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top