Saturday, 20 April 2024
TheStatesTimes

ตร.เตือน วัยคะนองพึงระวัง ชกต่อยหวังเอาเครื่องหมายสถานศึกษา โทษหนัก หมดอนาคต

(1 ก.ค.65) พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่มีเหตุ เด็กนักเรียนโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ถูกคนร้ายเป็นชาย 3 ราย ชักอาวุธมีดขึ้นมาข่มขู่ และลงมือชกต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กนักเรียนที่กำลังเดินกลับบ้าน เพื่อต้องการชิงเข็มพระเกี้ยว ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของสถาบันดังกล่าว นั้น

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอเตือนไปยังกลุ่มนักเรียนนักศึกษา ที่มีความคิดว่าการแย่งชิงตราสัญลักษณ์ของสถาบันการศึกษาอื่น เป็นเรื่องสนุกของวัยรุ่น ทำให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อน เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด หากแต่เป็นการกระทำที่ขาดการยั้งคิด และเป็นความผิดร้ายแรงตามกฎหมายที่ได้บัญญัติไว้

 

ซึ่งการที่บุคคลใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น หรือเพื่อเอาทรัพย์นั้นเป็นของตน จะเป็นความผิดฐาน ชิงทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 และหากร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะเป็นความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ซึ่งอัตราโทษจะขึ้นอยู่กับความร้ายแรงของการกระทำ ซึ่งสรุปได้ดังนี้...

 

ความผิดฐานชิงทรัพย์ (ผู้กระทำผิด 1 ถึง 2 คน)

- ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 200,000 บาท 

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 400,000 บาท

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 300,000 บาท ถึง 400,000 บาท

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต

ความผิดฐานปล้นทรัพย์ (ผู้กระทำผิด 3 คน ขึ้นไป)

- ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 10 ปี ถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 300,000 บาท

- ผู้กระทำความผิดคนใดคนหนึ่ง พกอาวุธติดตัวไปด้วย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 12 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 240,000 บาท ถึง 400,000 บาท

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี

- กระทำโดนแสดงความทารุณ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ใช้ปืนยิง วัตถุระเบิด หรือกระทำทรมาน ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15 ปี ถึง 20 ปี

- เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษประหารชีวิต

'อดีตนักสร้างสารคดี' สอนพวกเสี้ยม อย่าชักศึกเข้าบ้าน บางเหตุเป็น 'สิ่งปกติ' ยัน!! 'ไทย-เมียนมา' เพื่อนกันกว่าที่คิด

แม้จะมีความพยายามสร้างรอยร้าวให้เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์ระหว่าง 'ไทย-เมียนมา' จากกรณีเครื่องบินรบเมียนมาตีวงเลี้ยวล้ำน่านฟ้าไทย แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่เหตุสุดวิสัย ที่พูดคุยกันด้วยความเข้าใจ ก็จบ

เพราะสุดท้ายแล้ว โดยพื้นเพของคนทั้ง 2 ฝั่งประเทศ ที่เราอาจจะเรียกว่า 'คนระดับล่าง' นั้น เขามีน้ำใจต่อกันแบบที่คนไม่รู้ ก็อาจจะพูดให้เกิดความกังวลใจในภาพใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กในชื่อ 'อัครวุฒิ จันทร์ขจร' ได้โพสต์ข้อความที่ช่วยขยายความสัมพันธ์อันดีของคน 2 ชาติที่สะท้อนจากเรื่องจริง มาถ่ายทอดจนเห็นเป็นภาพชัดว่า 'ไทย-เมียนมา' ต่างกันแค่ลำธารกั้น แต่เป็นเพื่อนกันเมื่อได้พบเจอและพูดคุย ว่า...

เรื่องของเพื่อนประเทศ...

ในสมัยที่ผมทำสารคดีทุ่งใหญ่แถบบ้าน 'ทิไล่ป้า' มันเป็นเขตติดกับพม่าแค่ 'ลำธารกั้น'

ผมก็เดินถ่ายไปของผม​ เพราะธรรมชาติสวยดี​ แต่พอมารู้ตัว​ 'มีทหารพม่า 3 คนเดินเข้ามา' พูดภาษาไทยชัดมาก

>> ทหารพม่า: คุณมาทำอะไร​ 
>> ผมบอก: มาสร้างโรงเรียนทิไล่ป้า
>> ทหารพม่า: อ๋อ!! ลูกชายผม 2 คนก็เรียนที่นั่น​

เรานั่งคุยกัน​ ผมมีช็อกโกแลตไป 5-6 ชิ้น​ ก็แบ่งกันกินเพราะเห็นว่าเค้าน่าจะไม่เคยกิน​ คุยกันถามสารทุกข์สุขดิบ​ จนสุดท้ายผมขอตัวกลับ​...เดินต่อ​ 

>> ทหารพม่าบอก: พี่โอมครับ...แผ่นดินไทยไปทางโน้นครับ​ นี่เขตพม่าครับ
>> ผม: อ้าว​นี่พี่ล้ำแดนมาพม่ารึนี่
>> ทหารพม่า: ไม่เป็นไรครับ​ เราพม่าไทยก็เหมือนเพื่อนกัน​ และยิ่งมาสร้างโรงเรียนให้ลูกผมได้เรียน...ยิ่งอยากต้อนรับครับ

นี่คือ...น้ำใจระดับล่างของประเทศเพื่อนบ้าน...ถ้าเค้ามีความคิดเป็นอย่างฝ่ายค้านบางคนของไทย​ ป่านนี้ผมคงตายเป็นผีเฝ้าป่าไปแล้ว​  

แต่นี่...มันเป็นเรื่องของเพื่อนบ้านรั้วติดกัน​ และผมก็เคยคุยกับพี่ๆ นักบินฮ.ชายแดน​ เค้าบอก​บางทีเราก็ตีวงเข้าพื้นที่กันบ้างเป็นเรื่องธรรมดา​ ไม่ว่า​ทางน้ำ​ ทางบก​ ทางอากาศ​ ถ้าเค้าไม่ตั้งใจเข้ามาถล่มเรา เรื่องเมื่อวานนี้ (30 มิ.ย.) มัน 'คือปกติ' มีแต่ไอ้พวกที่ชอบชักศึกเข้าบ้านนี่แหละที่มันคิดแบบไม่ดี...

ครับ​ ผมเข้าใจเรื่องพวกนี้นะ...บางทีชายแดนลาว​ เขมร​ ผมก็เจอ​ อย่างเช่นปี 2535 ที่บ้าน 'ไทยนิยม' ศรีสะเกษ​มั้ง บ้านเกิดพี่บัวขาวน่ะ...ผมก็ไปทำสารคดี...ขับรถข้ามทุ่งไป​ มันเลี้ยวแยะยุคนั้น...เลยเข้าเขมร​ เค้าก็ออกมาบอกทางว่าไปทางนั้นทางนี้...ทั้งๆ ที่ตอนนั้นประเทศเค้ายังรบกัน​ 

'อิ๋งอิ๋ง สิทธิณี' พิธีกรชื่อดังยุค 90  เสียชีวิตอย่างสงบ ด้วยโรคมะเร็ง

วงการบันเทิงสูญเสียอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดวันนี้ (2 ก.ค.) 'อิ๋งอ้อย สิทธิวดี' น้องสาว 'อิ๋งอิ๋ง สิทธิณี กิตติสิทโธ' อดีตพิธีกรชื่อดัง ได้ออกมาเผยข่าวร้ายว่าพี่สาวได้เสียชีวิตแล้ว หลังจากที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งรังไข่ระยะสุดท้าย ก่อนลามไปที่ปอดและต่อมน้ำเหลือง โดยได้โพสต์เฟซบุ๊กว่า...

“เช้าตรู่วันนี้ 2 กค.2565 พี่อิ๋งอิ๋งได้ออกเดินทางสู่ภพภูมิใหม่ ขอให้บุญกุศลทั้งหมดที่พี่อิ๋งอิ๋งเคยได้กระทำมาได้น้อมนำดวงจิตพี่สาวสุดที่รักไปสู่สุคติ ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่มอบให้แก่น้องๆ และครอบครัว ด้วยรักและอาลัยสุดหัวใจ #ครอบครัวกิตติสิทโธ”

“อิ๋งอิ๋ง สิทธิณี" เกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน จบการศึกษามัธยมปลายจาก โรงเรียนศรีอยุธยา และจบการศึกษาจาก ปปร.20 ที่ วิทยาลัยการทัพบก ชุดที่ 58 มีน้องสาว 1 คน ชื่อ อิ๋งอ้อย สิทธิวดี

โดยเจ้าตัวมีชื่อเสียงจากการเป็นพิธีกรร่วมกันกับน้องสาวในรายการ "โชคดี นาทีทอง" ที่ออกอากาศทางช่อง 7 ยาวนานหลายปี รวมถึงในอีกหลายรายการ อาทิ เปิดโลกสดใส คนไทยใต้ร่มราชัน รับอรุณกะปุ๋ยรุงอรุณ และรายการ Golf Paradise

ILINK เจ๋ง!! คว้า 2 งานใหญ่ ปรับปรุงสถานีไฟฟ้าย่อย เติม Backlog มูลค่ารวมกว่า 900 ล้านบาท

นางสาววริษา อนันตรัมพร กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้า และค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ เปิดเผยว่า...

"บริษัทฯ มุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีอัจฉริยะมาขับเคลื่อน และพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวทันยุคสมัยอยู่เสมอ นับเป็นปีฟ้าสดใสของทุกๆ ธุรกิจภายใต้กลุ่ม ILINK ที่กลับมาตื่นตัว ซึ่งสนับสนุนให้องค์กรของเราเดินหน้าเติบโตอย่างต่อเนื่อง"

เปิดใจ 'หนุ่มกู้ภัย' อาสามัดศพติดหลัง พาออกจากป่า เผย!! ไม่กลัว หวังแค่นำส่งให้ญาติอย่างดีที่สุด

เปิดใจหนุ่มอาสากู้ภัยมูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) เขตเวียงป่าเป้า..บอกคิดเหมือนเป็นญาติ-ไม่กลัวผี รับหน้าที่มัดร่างผู้ตายติดหลังนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ลงดอยออกจากป่า หวังส่งให้ญาติที่รออยู่บ้านอย่างดีและเร็วที่สุด

กรณีโลกออนไลน์แห่แชร์ชื่นชมหนุ่มอาสาสมัครกู้ภัยประจำมูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) เขตเวียงป่าเป้า คือ นายจตุพร วิรัตน์เกษม อายุ 25 ปี หรือ "ฟลุ๊ค" นำร่างผู้เสียชีวิตดังกล่าวมัดและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกจากป่าเป็นระยะทางกว่า 7 กม. ทำให้เจ้าหน้าที่และญาติขอบคุณในความเสียสละนั้น

ล่าสุดนายจตุพรเปิดเผยว่า ตนมาเป็นอาสากู้ภัยกับสยามรวมใจฯ มาเกือบ 8 ปี แล้ว ได้ประสบการณ์และความรู้มากมาย ที่เป็นประโยชน์ และสามารถช่วยเหลือผู้คนใกล้ตัวให้รอดพ้นจากอันตรายได้

ส่วนเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 31 พ.ค. 65 ที่ผ่านมา ซึ่งทางกู้ภัยฯ ได้รับแจ้งจาก สภ.แม่เจดีย์ว่ามีผู้เสียชีวิตอยู่ในป่า พื้นที่บ้านจำบอน ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย ทางมูลนิธิฯ จึงได้ออกให้การช่วยเหลือ ซึ่งช่วงเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน รถตู้ของมูลนิธิฯ เดินทางไปถึงหมู่บ้านจำบอนและพบกับผู้ใหญ่บ้านในเวลาประมาณ 20.00 น.

จากนั้นได้ใช้รถยนต์ตู้เดินทางเข้าไปตามถนนในป่าแต่เข้าไปได้ระยะหนึ่งก็ต้องหยุด เพราะรถยนต์เข้าไปต่อไม่ได้ เนื่องจากเส้นทางเป็นลูกรัง แคบ และเป็นโคลน รวมทั้งเป็นทางเนินเขาสูงชัน เสี่ยงที่จะทำให้เกิดอันตรายได้ ทำให้ต้องเดินทางต่อไปด้วยรถจักรยานยนต์ของชาวบ้านเข้าไปต่ออีก 5-6 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง

นักร้องนำวง 'Green Day' ประกาศสละสัญชาติ ประท้วงสหรัฐฯ หลังยกเลิก 'สิทธิการทำแท้ง'

นักร้องนำวง Green Day ประกาศสละสัญชาติ หลังสหรัฐฯ ยกเลิกสิทธิการทำแท้งตามกฎหมายที่มีมานานเกือบ 50 ปี ชี้ คำตัดสินดังกล่าวเป็นข้ออ้างไร้สาระสำหรับประเทศหนึ่ง

กลายเป็นประเด็นถกเถียงบนโลกโซเชียลไม่น้อย เมื่อศาลสูงสุดของสหรัฐตัดสินยกเลิก “สิทธิทำแท้ง” โดยระบุว่า สิทธิดังกล่าวเป็นความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นตั้งแต่แรก จนสร้างความไม่พอใจให้กับหลายคน ประชาชนที่ไม่เห็นด้วยเริ่มเดินขบวนประท้วงตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียง

ล่าสุด บิลลี โจ อาร์มสตรอง (Billie Joe Armstrong) นักร้องนำและมือกีตาร์ของวง Green Day ถึงกับของขึ้นฉุดไม่อยู่ ประกาศกลางคอนเสิร์ต Hella Mega ในกรุงลอนดอน เตรียมสละสัญชาติอเมริกา โดยระบุว่า “โลกนี้มันแย่เกินไปที่จะกลับไปใช้ข้ออ้างที่น่าสมเพชสำหรับประเทศหนึ่ง” พร้อมระบุว่า อาจจะย้ายมาอยู่ที่อังกฤษแทน และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

มหกรรมกีฬา 2 มหาสมุทรสุดยิ่งใหญ่ 'Air Sea Land Southern International Sports Tourism Festival 2022' พร้อมดึงนักกีฬาไทย-ต่างชาติร่วมพลิกฟื้นเศรษฐกิจด้วย Sports Tourism นำร่อง 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในการแถลงข่าวการแข่งขันมหกรรมกีฬา 2 มหาสมุทรสุดยิ่งใหญ่ “Air Sea Land Southern International Sports Tourism Festival 2022” โดยมี ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย และดร.สุปราณี คุปตาสา ผู้จัดการกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ร่วมแถลง ณ โรงแรมแกรนด์โฟร์วิงส์ ศรีนครินทร์ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจร เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.2563 ณ จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการท่องเที่ยว และการจัดการแข่งขันกีฬา ซึ่งถือเป็นหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย รัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีนโยบายให้การส่งเสริม สนับสนุนพื้นที่ในยุทธศาสตร์ดังกล่าว โดยเฉพาะจังหวัดในรอบทะเลอันดามันและอ่าวไทย เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และสนับสนุนผู้ประกอบการด้านการกีฬา และการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นสถานที่พัก การเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดกิจกรรมกีฬา ร้านค้า ด้วยการจัดมหกรรมการแข่งขันกีฬาและการท่องเที่ยวรวมไว้ด้วยกัน รัฐบาลจึงได้อนุมัติงบประมาณในการจัดมหกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬา 2 มหาสมุทร หรือ Air Sea Land Southern International Sports Tourism Festival โดยได้รับงบประมาณ การสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ การกีฬาแห่งประเทศไทย จำนวน 125 ล้านบาท และจากสำนักงบประมาณ จำนวน 52 ล้านบาท เพื่อจัดกิจกรรมการแข่งขัน จำนวน 12 ชนิดกีฬา และกิจกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในพื้นที่นำร่อง 7 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสงขลา สตูล พัทลุง กระบี่ พังงา ภูเก็ต และสุราษฎร์ธานี โดยคาดการณ์ว่าจะทำให้เกิดการหมุนเวียนรายได้หรือเศรษฐกิจในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 10 เท่าของงบประมาณที่ลงทุน

นอกจากนี้การจัดการแข่งขันมหกรรมท่องเที่ยวเชิงกีฬา 2 มหาสมุทร ยังก่อให้เกิดผลลัพธ์ในมิติด้านสังคมที่ต้องการส่งเสริม และกระตุ้นให้เยาวชน ประชาชนได้ชื่นชอบในการเล่น และชมกีฬา จนสามารถพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นนักกีฬาในอนาคตได้

ตร. เตือน กลลวงใหม่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ อ้าง DSI หลอกให้โหลดแอปป้องกันโกง 

วันที่ 2ก.ค. 2565 พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีนโยบายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดนั้น

ปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พยายามพัฒนารูปแบบการหลอกลวงพร้อมทั้งนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาหลอกลวงประชาชนอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าคนร้ายได้มีรูปแบบในการหลอกลวงรูปแบบใหม่ โดยการแอบอ้างเป็น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แจ้งข้อมูลผ่านระบบเสียงอัตโนมัติแนะนำแอปพลิเคชันป้องกันการถูกโกง ซึ่งมีการอ้างว่าแอปพลิเคชันดังกล่าวสามารถป้องกันการโกงได้ทุกรูปแบบ โดยให้เหยื่อติดตั้งในโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหากเหยื่อหลงเชื่อ ติดตั้งแอปพลิเคชันตามที่คนร้ายบอก อาจถูกเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์ เช่น ข้อมูลบัญชีผู้ใช้ ข้อมูลรหัสผ่าน ข้อมูลบัญชีธนาคาร ทำให้ได้รับความเสียหาย หรือคนร้ายอาจหลอกให้ติดตั้งโปรแกรม Remote Desktop ซึ่งจะทำให้โทรศัพท์ของเหยื่อ ถูกมิจฉาชีพควบคุมได้ และอาจเห็นข้อมูลส่วนตัว รูปถ่าย  หรือไฟล์ข้อมูลสำคัญที่อยู่ในโทรศัพท์ หรืออาจเข้าใช้งานโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมทางการเงิน เช่น สั่งให้ถอนเงิน หรือโอนเงินได้อีกด้วย

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าวต่อว่า ได้ประสานไปยัง พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผู้อำนวยการกองบริหารคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยืนยันว่า กรณีดังกล่าวเป็นการนำชื่อ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ไปใช้แอบอ้าง

กมธ.งบฯ เพื่อไทย ถกงบ 3 กระทรวง : DE ลุยสร้างตึก 2,500 ล้าน ศึกษา 10 จังหวัดกินงบ 1/3 พลังงานหมดมุกแก้น้ำมันแพง

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 กล่าวถึงการพิจารณางบสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กมธ.ได้พิจารณางบใน 3 กระทรวงสำคัญ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ ดังนี้

1. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม 
1.1. สถานการณ์ด้านดิจิทัลไทยย่ำแย่ สัดส่วนการส่งออกบริการทางด้าน ICT ของไทยเกือบรั้งท้ายอยู่อันดับ 60 จาก 64 ประเทศ การศึกษาทางด้านดิจิทัลอยู่อันดับที่ 56 จาก 64 ประเทศ 
1.2. แต่การจัดสรรงบประมาณกลับไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาว 86 ล้านบาทถูกตั้งให้กับศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม 2,125 ล้านบาท หรือ 31% ของงบทั้งกระทรวงถูกจัดไปที่กรมอุตุฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ลงทุนกับอุปกรณ์เครื่องมือเยอะ แต่หน้าที่การพยากรณ์อากาศซ้อนทับกับภาคเอกชน ซึ่งทำได้ดีกว่า และต้องลงทุนอีกเยอะในอนาคต จึงตั้งข้อสังเกตว่าในภารกิจนี้ยังจำเป็นหรือไม่ 
1.3. DEPA ได้ของบโครงการสตาร์ทอัพคนละครึ่ง ร่วมลงทุนกับสตาร์ทอัพ สร้างข้อกังขาในการคัดเลือกสตาร์ทอัพที่จะร่วมทุน โอกาสเสียหายจากการลงทุน และแนวทางลดความเสี่ยง โครงการดิจิทัลวัลเล่ย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างอาคาร IOT มีงบตั้งแต่เริ่มผูกพันต่อเนื่องถึงปี 67-68 รวมกว่า 2,500 ล้านบาท ซึ่งการสร้างเศรษฐกิจดิจิทัลนั้น หัวใจคือการสร้างระบบนิเวศ ไม่ใช่สร้างอาคาร
1.4. กระทรวง DE ใช้งบประมาณไม่น้อยกับการอบรมดิจิทัล และศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ศูนย์ดิจิทัลชุมชน ซึ่งบางส่วนเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเช่าอุปกรณ์ ซึ่งสามารถทดแทนการใช้ Content กระจายผ่าน Platform ที่มีอยู่ และร่วมมือกับกระทรวงศึกษาฯ จะประหยัดงบกว่า DE ทำเอง และต่างคนต่างทำ

2. กระทรวงศึกษาธิการ
2.1. คุณภาพการศึกษาไทยตกต่ำสุดขีด เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่ IQ ต่ำกว่าค่ากลางมาตรฐานสากล EQ ต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ O-NET เฉลี่ยต่ำในทุกกลุ่มสาระ PISA ต่ำกว่าประเทศคู่แข่งในระดับเดียวกัน สถานศึกษาจำนวนมากตกเกณฑ์ประเมิน ปัญหาหนี้สินครู การพัฒนาครูถูกละเลย
2.2. ตั้งเป้าหมายเน้นเอาง่าย : อันดับความสามารถในการแข่งขัน (IMD) ย่ำแย่ อยู่อันดับ 53 จาก 64 ประเทศ แต่กระทรวงกับตั้งเป้าอยู่ที่อันดับ 55 ซึ่งแย่กว่าอันดับปัจจุบันเสียอีก ตัวชี้วัดเข้าถึงการเรียนรู้ตลอดชีวิต ตั้งเป้าหมายต่ำลงเกือบครึ่งจากปีที่แล้ว
2.3. ในงบส่วนของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) งบก่อสร้างซ่อมแซมอาคารและสิ่งก่อสร้างสูงถึง 4,058 ล้านบาท ยังเป็นแนวคิดแบบเก่า โดยการใช้ “สิ่งก่อสร้างนำ ความรู้ตาม” ในขณะที่โครงการจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ กลับได้งบเพียง 5 ล้านกว่าบาท ผ่านโครงการห้องเรียนอาชีพเพียง 6 แห่ง
2.4. ในแง่ของการกระจายงบ จังหวัด TOP 10 ได้งบกว่า 1 ใน 3 ของงบทั้งหมด เป็นจังหวัดเดิมๆ และจังหวัดรั้งท้ายได้งบน้อยกว่าจังหวัดอันดับ 1 กว่า 22 เท่าตัว

'ไบเดน' แนะชาวอเมริกันให้ 'ทำใจ' เรื่องราคาน้ำมัน คาดว่าจะแพงขึ้นเรื่อยๆ จนกว่า 'ปูติน' จะแพ้สงคราม

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ออกมาเตือนชาวอเมริกันให้ 'ทำใจ' ว่าอาจจะต้องจ่ายค่าน้ำมันแพง 'ต่อไปเรื่อยๆ' จนกว่าประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน จะพ่ายแพ้สงครามในยูเครน

ระหว่างที่ ไบเดน เปิดแถลงข่าวในการประชุมซัมมิตผู้นำนาโตที่กรุงมาดริดเมื่อวันพฤหัสบดี (30 มิ.ย.) ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้ยิงคำถามว่า “ผู้ขับขี่ยวดยานชาวอเมริกันและทั่วโลกจะต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงแพงเพื่อสงครามครั้งนี้ไปอีกนานแค่ไหน”

คำตอบของผู้นำสหรัฐฯ ก็คือ “นานเท่าไหร่ก็เท่านั้น หากมันจะทำให้รัสเซียไม่สามารถเอาชนะยูเครน และรุกรานต่อไปยังที่อื่นๆ”

ราคาน้ำมันเฉลี่ยในสหรัฐฯ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปอยู่ที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อแกลลอนในเดือนนี้ แม้ว่า ไบเดน จะสั่งปล่อยน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์เพื่อช่วยควบคุมราคาแล้วก็ตามที

ผู้นำสหรัฐฯ ยังเรียกร้องให้สภาคองเกรสงดเก็บภาษีน้ำมันชั่วคราวเป็นเวลา 3 เดือนเพื่อลดภาระให้แก่ผู้บริโภค ทว่าก็เผชิญเสียงคัดค้านจากคนในพรรคเดโมแครตเอง

ผลสำรวจความคิดเห็นโดย Associated Press-NORC Center for Public Affairs Research ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (29) พบว่า คนอเมริกัน 60% รู้สึก 'ไม่พอใจ' ในภาวะผู้นำของ โจ ไบเดน และในแง่ของการบริหารจัดการเศรษฐกิจนั้นมีผู้ที่ตอบว่า 'ไม่พอใจ' เกือบ 70%


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top