Sunday, 18 May 2025
TheStatesTimes

'เลขาฯสมช.' เผย 'บิ๊กตู่' สั่งคุมราคาเอทีเค  ย้ำ อย่าให้ปชช.เดือดร้อน จ่อ ปรับมาตการในโรงเรียน ยัน ให้ทุกคนปลอดภัย 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.สุพจน์ มาลานิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะ ผอ.ศปก.ศบค. ให้สัมภาษณ์ถึงผลการประชุม ศปก.ศบค. ว่า ที่ประชุมหารือ 3 ประเด็นหลัก คือกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข สปสช. และกระทรวงพาณิชย์ ไปจัดระเบียบแนวทางการตรวจเอทีเค โดยเฉพาะหามาตรการช่วย อย่าให้ประชาชนเดือดร้อนในเรื่องของราคา ส่วนการกำจัดขยะชุดตรวจเอทีเคนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขมีมาตรการอยู่แล้วตั้งแต่ต้น แต่ไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์อย่างแพร่หลาย จากนี้จะมีการประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม ส่วนรายละเอียดต้องให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจง 

พล.อ.สุพจน์ กล่าวว่า สองเรื่องการเรียนการสอน เนื่องจากนายกฯเป็นห่วงนักเรียนจึงมอบให้กระทรวงทหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และ กทม. ไปพูดคุยหารือรายละเอียดมาตรการที่จะต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาให้โรงเรียนสามารถเปิดการศึกษาได้อย่างปลอดภัยภายใต้มาตรการสาธารณสุขที่มีการปรับปรุงอยู่ตลอด ส่วนกรณีโรงเรียนที่จังหวัดราชบุรีที่มีการติดโควิดจำนวนมากนั้น กระทรวงศึกษาต้องดูให้สอดคล้องกับพื้นที่ระหว่างสถานการณ์กับปัจจัยอื่นๆ โดยเฉพาะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาตรการหลักอย่างแน่นอน โดยขณะนี้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังพูดคุยกัน จึงยังไม่สามารถลงรายละเอียดได้ และเรื่องที่สามคือ เทสแอนด์โก ที่จะเปิดรับลงทะเบียนอีกครั้งวันที่ 1 ก.พ. 

“บิ๊กตู่” ชื่นชม พม.  เดินหน้าดูแลผู้พิการตามนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตั้งเป้าปี 65  ปฏิรูปงานด้านคนพิการ จัดครอบครัวอุปการะดูแลผู้พิการขาดคนดูแล ชี้พบมากขึ้นจากเหตุโควิด

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รายงานต่อนายกรัฐมนตรีถึงการขับเคลื่อนการดูแลกลุ่มคนพิการ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังของรัฐบาล โดยกระทรวงพัฒนาสังคมฯ ได้ตั้งเป้าให้ปี 2565 นี้ เป็นปีแห่งการปฏิรูปงานด้านคนพิการ ตั้งแต่การค้นหาคนพิการเชิงรุกตามชุมชน นำผู้ตกหล่นมาขึ้นทะเบียนคนพิการ เพื่อรับสิทธิ สวัสดิการ และการคุ้มครองต่างๆ   ขยายพื้นที่โรงพยาบาลให้สามารถตรวจรับรอง และออกบัตรคนพิการจบในที่เดียวครบทั้ง 77 จังหวัด ภายในเดือนสิงหาคม 2566 จากปัจจุบันที่ทำได้แล้วใน 40 จังหวัด

ที่สำคัญ คือ เตรียมแก้ พ.ร.บ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ โดยจะปรับเกณฑ์พิจารณาการออกบัตรคนพิการให้ชัดเจนและง่ายขึ้น ขณะเดียวกันจะปฏิรูปบัตรคนพิการ ให้เป็นบัตรคนพิการดิจิทัลผ่านแอพพลิเคชั่น บัตรคนพิการ-PWD ซึ่งสามารถใช้แทนบัตรคนพิการได้เลย ภายในบัตรระบุข้อมูลสิทธิและสวัสดิการที่ได้ เชื่อมโยงข้อมูลกับตลาดงานคนพิการ กู้ยืมเงินออนไลน์ ตลอดจนมีการชี้เป้าหน่วยงานช่วยเหลือคนพิการที่ใกล้ที่สุดผ่านกูเกิ้ลแมป แต่ส่วนคนพิการที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ยังสามารถใช้บัตรคนพิการได้ปกติ

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยิ่งไปกว่านั้น กระทรวง พม. จะมุ่งฝึกอาชีพใหม่ และอาชีพเก่าที่ยั่งยืนสำหรับผู้พิการ  ซึ่งเป็นล้วนเป็นอาชีพที่เคลื่อนไหวออกจากที่พักอาศัยน้อย เช่น อาชีพที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี วิเคราะห์และจัดการข้อมูล ขายของออนไลน์ เกษตรกรรม เป็นต้น  โดยเป็นความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชนอย่างครบวงจร ตั้งแต่สนับสนุนองค์ความรู้ สร้างมูลค่าเพิ่มและคุณค่าให้ผลิตภัณฑ์ เพิ่มช่องทางตลาด ทั้งนี้ เพื่อให้คนพิการสามารถพึ่งพิงตัวเองได้ จากการมีอาชีพและรายได้ และสามารถเป็นที่พึ่งแก่ครอบครัวต่อไป สำหรับการดูแลผู้พิการที่ขาดคนดูแล เนื่องด้วยผู้ดูแลเสียชีวิต และในช่วงสถานการณ์โควิด-19 พบว่ามีผู้ดูแลผู้พิการเสียชีวิตจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้พิการเดือดร้อนมากขึ้นอีก

'อนุชา' เผย ถกแก้ 15 ประเด็นปัญหาพีมูฟได้เกือบหมด ยัน เข้าครม.พรุ่งนี้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม(ขปส.) หรือพีมูฟ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมร่วมกับตัวแทนเครือข่ายพีมูฟ ซึ่งมีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมผ่านวิดีโอคอนเฟอรฺเร้นท์ ว่า ตามที่กลุ่มผู้ชุมนุมยื่นข้อเสนอ 15 ข้อ ซึ่งในหลายข้อได้ มีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหา การประชุมครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาที่ค้างมาเป็นเวลานาน และจะสามารถทำให้รักษาทรัพยากรธรรมชาติให้กับประชาชนได้ เพื่อให้ประชาชนและประโยชน์ของประเทศชาติควบคู่กันไปได้ ด้วยเจตนาดีของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการมอบหมายให้ตนเป็นผู้ประสาน และดำเนินการแก้ไขเพื่อให้สมประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

นายอนุชา กล่าวว่า กรณีการแก้ไขปัญหาตามพระราชบัญญัติที่ดินแห่งชาติ ม.10/4 กรณีการจัดสรรที่ดินให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ ที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนในชุมชนต่างๆ ถือว่ามีเป้าหมายตรงกันในการแก้ไขปัญหา เพื่อดูแลทรัพย์สมบัติแผ่นดิน ต่อไปในอนาคต อย่างไรก็ตามกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมจะยังคงปักหลักชุมนุมหรือจะเดินทางกลับภูมิลำเนาหรือไม่นั้น ยังไม่ได้มีการพูดคุยถึงประเด็นดังกล่าว เพียงแต่พูดคุยกันถึงกรณีแก้ไขปัญหาร่วมกันเท่านั้น 

ผู้สื่อข่าวถามว่าผลการหารือนี้ จะถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 1กุมภาพันธ์นี้หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีพยายามเสนอผลการหารือให้ครม.ได้รับทราบถึงการทำงานที่ผ่านมา เมื่อถามย้ำว่าจะนำผลการพูดคุยทั้ง 15 ประเด็นปัญหานี้ เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีหรือไม่ นายอนุชา พยักหน้า เป็นการตอบรับ พร้อมกล่าวว่า เพื่อให้ครม.รับทราบ และเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาที่สามารถแก้ไขได้โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย ส่วนเรื่องใดที่ยังขัดต่อกฎหมายอาจจะต้องมีการแก้ไขกฎหมาย ที่อาจมีขึ้นในอนาคต ส่วนการพิจารณาแก้ไขปัญหา ประเด็นค้าง ก็ต้องดูเป็นประเด็นๆไป

“บิ๊กป้อม” ถก “พีมูฟ” สางปม  15 ข้อเรียกร้อง สั่ง เร่งช่วยเหลือเยียวยาทุกกรณี “โฉนดชุมชน-เร่งกฎหมายคุ้มครองสิทธิ์กลุ่มชาติพันธุ์” ยัน รัฐบาลพร้อมช่วยเหลือเยียวยาทุกกลุ่ม  

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ขปส.)ครั้งที่1/2565  ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์โดยมีนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี นายมงคลชัย สมอุดรรองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ร่วมประชุม 

โดยที่ประชุมรับทราบข้อเรียกร้องต่างของกลุ่มพีมูฟทั้ง 15 กรณี ที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องที่ดินทำกินของชุมชน การเข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง รวมทั้งผลกระทบจากนโยบายของรัฐบาลและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้รับทราบความคืบหน้าการประชุมหารือร่วมกันระหว่างส่วนราชการและขปส.ในการแก้ปัญหาข้อเรียกร้องมาอย่างต่อเนื่อง ที่มีนายอนุชา ประชุมหารือขั้นต้น พร้อมรับทราบการแต่งตั้ง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ เป็นในองค์ประกอบคณะกรรมการแก้ไขปัญหา ขปส.

'รัฐบาล' ยืนยันความพร้อมเปิดประเทศอีกรอบ 1 ก.พ.นี้ แบบเทส แอนด์ โก

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลยืนยันความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่จะเดินทางเข้าประเทศผ่านระบบเทส แอนด์ โกได้อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้เตรียมพร้อมรับแนวทางการดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้เดินหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ ฟื้นการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับมาตรการด้านสาธารณสุขที่รัดกุม เพื่อให้ประชาชนในหลายๆ สาขาอาชีพ มีงาน มีรายได้ เพื่อตนเองและครอบครัว แต่ไม่ขัดต่อสถานการณ์การควบคุมโรคโควิด -19 ของทั่วโลก

สำหรับความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศอย่างเต็มที่ภายใต้มาตรการสาธารณสุขขั้นสูงสุด ได้กำหนดแนวทางไว้แล้ว ตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถือเป็นด่านหน้าต้อนรับนักท่องเที่ยว ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับผู้โดยสารที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ภายใต้มาตรการคัดกรองที่เข้มงวด และตามแนวทางด้านสาธารณสุข โดยได้ร่วมทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ประสานงานกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ปรับมาตรการเพิ่มเติมด้านสาธารณสุข รวมทั้ง ได้มีการเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอนาคต

'คลัง' รับคนได้คนละครึ่งยืนยันสิทธิ 1 ก.พ.นี้ ไม่ต้องรีบ หลีกเลี่ยงแอปล่ม

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า วันที่ 1 ก.พ. 2565 ซึ่งจะเป็นวันแรกของการกดรับยืนยันและการใช้จ่ายสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ทางธนาคารกรุงไทย ได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการสมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ให้จัดทำโครงการฯ ได้เตรียมความพร้อมสำหรับระบบการโอนเงินต่างธนาคารเพื่อโอนเข้า g-Walletแล้ว และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงหรือลดความแออัดในช่วงเวลาการใช้สิทธิผ่านเป๋าตัง พร้อมกันในวันแรก ผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ที่พร้อมจะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 4 สามารถโอนเงินเข้า g-Wallet ล่วงหน้าก่อนเริ่มการใช้จ่าย

ทั้งนี้ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 จะสามารถลงทะเบียนผ่านแอปเป๋าตัง หรือ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ได้ตั้งแต่วันที่ 10 ก.พ. 2565 จนกว่าจะครบจำนวนประมาณ1 ล้านสิทธิโดยสามารถเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 17 ก.พ. 2565

สำหรับโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 จะเริ่มให้ประชาชนผู้ได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จำนวน 27.98 ล้านคน ยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 วันแรกในวันอังคารที่ 1 ก.พ.2565 เป็นต้นไป ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง และสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ทันทีหลังการกดยืนยันสิทธิเรียบร้อยแล้ว ไม่เกิน 1,200 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการช่วงระหว่างวันที่ 1 ก.พ.– 30 เม.ย.2565 

 

"แรมโบ้" เห็นด้วย "ซูเปอร์โพล" ปชช.ส่วนใหญ่พอใจการเยือนซาอุฯของ นายกฯ ฟื้นสัมพันธ์-ประเทศได้ประโยชน์ ซัด "ฝ่ายค้าน" สิ่งใดที่ดี ทำเพื่อชาติบ้านเมือง ควรหัดยอมรับบ้าง ไม่ใช่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตัว

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับสำนักวิจัยซูเปอร์โพล สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ความพอใจหลังฟื้นสัมพันธ์ ไทย ซาอุดีอาระเบีย พบว่าส่วนใหญ่ ร้อยละ 93.3 รับทราบการทำงานและรับรู้ถึงความพยายามของรัฐบาล ในการรักษาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคและระดับนานาชาติให้ดีขึ้น และร้อยละ 88.9 พอใจ ต่อการฟื้นสัมพันธ์ไทยกับซาอุดีอาระเบีย นอกจากนี้ร้อยละ 58.2 ประชาชนมองว่าการฟื้นความสัมพันธ์ยังได้ประโยชน์ด้านพลังงานอีกด้วย 

ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นแล้วว่าคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศยินดีกับการที่นายกฯได้ไปเยือนซาอุฯในครั้งนี้ และยังเห็นว่าเป็นประโยชน์กับประชาชน และประเทศในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านพลังงาน การท่องเที่ยว  ดังนั้นขอให้คนที่เห็นต่างหรือฝ่ายค้านเลิกนำประเด็นการเยือนซาอุฯ ของนายกฯมากล่าวหา โจมตีนายกฯ เพื่อหวังเพียงผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น 

ส่อง Saudization ยุทธศาสตร์แห่งซาอุดีอาระเบีย ภารกิจเพื่อยกระดับชีวิตและสังคมทั้งประเทศ

หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียกลับสู่ภาวะปกติ หนึ่งในข่าวที่น่าสนใจ คือ การที่แรงงานไทยจะมีโอกาสก้าวเข้าไปสู่ตลาดงานในซาอุฯ ได้มากขึ้น ซึ่งอันที่จริงเรื่องนี้เป็นทั้งเรื่อง ‘ดีที่ปกติ’ ไม่ได้น่าตื่นเต้นพอจะไปมองเป็นประเด็นให้ต้องดิสเครดิต หรือดูแคลนการรื้อฟื้นความสัมพันธ์นี้แต่อย่างใด 

นั่นก็เพราะ หากใครพอจะทราบ ย่อมรู้ดีว่าซาอุดีอาระเบียได้มีการประกาศนโยบาย Saudization หรือนโยบายที่ว่าด้วยวัตถุประสงค์เพื่อลดอัตราการจ้างงานของแรงงานต่างชาติลง และกำหนดให้ต้องจ้างคนซาอุดีอาระเบียเข้าทำงาน ที่กำหนดให้ภาครัฐและเอกชนต้องจ้างคนซาอุดีอาระเบียเข้าทำงานร้อยละ 20 ของคนงานทั้งหมด

ทว่าพลันที่นโยบายนี้ถูกประกาศ ก็ทำให้หลายๆ ประเทศเริ่มชะลอการส่งแรงงานไปซาอุฯ ไม่ว่าจะเป็น ฟิลิปปินส์หรือแม้แต่ปากีสถาน ซึ่งถือว่ามีจำนวนแรงงานที่ไปทำงานยังซาอุฯ นับล้านชีวิต และนั่นก็เริ่มส่งผลให้ซาอุดีอาระเบียเจอปัญหาขาดแคลนแรงงาน เพราะคนท้องถิ่นเองก็ไม่นิยมทำงานหนัก ทั้งไม่มีการอบรมทักษะอาชีพและการศึกษาที่ดี รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีที่เคร่งครัด จึงทำให้สูญเสียโอกาสการแข่งขันในเวทีเศรษฐกิจโลก

ฉะนั้นความสัมพันธ์ครั้งใหม่ของไทยกับซาอุฯ ภายใต้ เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด เจ้าชายหัวทันสมัยที่มองข้ามเรื่องเก่าๆ และดราม่าน้ำเน่าที่หาได้อัดแน่นด้วยสาระ จึงไม่น่าจะหยิบมาเป็นสาระสำคัญไปกว่าหมุดหมายในการพาประเทศของตนเดินหน้าไปในแนวทางที่ถูกต้องเท่าไรนัก

ฉะนั้นในเรื่องของแรงงาน ก็คงเป็นองค์ประกอบหนึ่งในเชิงยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า Win-Win กันทั้งไทยและซาอุฯ ที่ฝ่ายหนึ่งก็ขาดแคลนแรงงาน ส่วนอีกฝ่ายก็สามารถส่งแรงงานในยังประเทศที่มีความต้องการตลาดสูงกว่าในประเทศ ซึ่งเรื่องนี้ ทางด้าน พัฒนพงศ์ (แพท) แสงธรรม อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ (ภาควิชาภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับ Saudization หรือยุทธศาสตร์ของซาอุดีอาระเบียจนทำให้พอเข้าใจว่า สัมพันธ์ไทย-ซาอุฯ ในครั้งนี้ เป็นสาระสำคัญที่เหมาะสมและก็ไม่ใช่เป็นเรื่องแปลกอันใด ว่า…

Saudization เป็นยุทธศาสตร์ของซาอุดีอาระเบีย ที่เริ่มขึ้นมากว่า 10 ปีแล้ว เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และสังคมให้กับชาวซาอุฯ ทั้งในมิติของการว่าจ้างงาน สิทธิพลเมือง สิทธิสตรี และสวัสดิการต่างๆ เช่น…

>> เพิ่มจำนวนลูกจ้างและพนักงานชาวซาอุฯ ในบริษัทและภาคธุรกิจเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาเป็นคนซาอุฯ ทำงานเองโดยเฉลี่ย ประมาณ 20% เท่านั้น

>> ตำแหน่งภาครัฐ จ้างแต่ชาวซาอุฯ อยู่แล้ว ซาอุฯ สงวนอาชีพในบางสาขาไว้ให้ชาวซาอุฯ เท่านั้น เช่น ภาคเกษตรกรรม, อสังหาริมทรัพย์, การบริหารสาธารณูปโภค, ไฟฟ้า, น้ำประปา, การสื่อสาร ฯลฯ

>> อย่างไรก็ตาม การจ้างแรงงานต่างชาติ และการจ้างแรงงานคนซาอุฯ ทำคู่ขนานกันไปตาม Demand ของงาน ไม่ได้แย่งกัน เช่นเดียวกับที่ประเทศไทยใช้แรงงานต่างชาติ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าคนไทยมีงานทำที่นั่นทุกคน

>> ซาอุฯ มีประชากร 36 ล้านคน มีแรงงานต่างชาติอยู่ราว 14 ล้านคน ถ้าจ้างคนซาอุฯ แทนประชากรต่างชาติ เท่ากับพลเมืองครึ่งหนึ่งต้องมาทำงานแทน 

>> ตำแหน่งงาน 8 ล้านคน ที่ซาอุฯ ต้องการ ไม่ได้หมายถึงจ้างคนไทย 8 ล้านตำแหน่ง หากแต่รับทุกชาติ!!

รู้จัก ทูตมวยไทย!! ‘ครูดิน วิทวัส’ ผู้พามวยไทยไปทั่วโลก 7 ปี 38 ประเทศ ลุยสอนตั้งแต่สลัมยันราชวงศ์

เปิดประสบการณ์การสอนมวยไทยทั่วโลกกับ “ครูดิน วิทวัส” การทำงานสุดท้าทายในต่างแดนและความหวัง อนาคตของมวยไทย 

วิทวัส ค้าสม หรือที่รู้จักกันในนาม ครูดิน ครูมวยไทยผู้ก่อตั้งค่ายลานนาไฟท์ติ้งมวยไทย ค่ายมวยชื่อดังแห่ง จ.พะเยา ได้มีโอกาสร่วมงานกับกระทรวงการต่างประเทศ ในการเผยแพร่หนึ่งในเอกลักษณ์ประจำชาติ นั่นก็คือ “มวยไทย”

ครูดินได้แบ่งปันประสบการณ์ ในการเดินทางนำมวยไทยไปให้คนทั่วทุกมุมโลกได้รู้จัก ทั้งสถานที่ทั่วไปอย่าง โรงละครที่ไต้หวัน หรือจะเป็นทำงานในสลัมยาเสพติดในบราซิล บุกยิมใต้ดินของมาเฟียรัสเซีย ไปจนถึงได้มีโอกาสสอนมวยไทยแก่สมาชิกราชวงศ์จอร์แดน

โดยจุดเริ่มต้นของครูดินเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นว่า “ในปี 2555 กระทรวงการต่างประเทศ เขาทำโครงการ roadshow มวยไทย ก่อนหน้านั้น เขาทำโครงการวัฒนธรรมไทย เป็นอาหารไทย นาฏศิลป์ไทย แต่ปีนั้นเขาทำมวยไทยพอดี ปีแรกที่เราไปบางคนก็ไม่รู้จักมวยไทยเลยนะ บางคนรู้จักในนามของ Thai boxing แต่เราพยายามจะบอกทุกคนว่า มวยไทยไม่ใช่ Thai boxing เราอยากให้ใช้ชื่อเฉพาะเหมือนเทควันโด เราไม่ได้เรียกว่า Korean boxing กังฟูเราก็ใช้ชื่อกังฟู ไม่ได้ใช้ชื่อว่า Chinese boxing”

ในช่วงแรกเขาก็ถามจะทำยังดี เริ่มปรึกษาว่าไปโซนนี้ดีมั้ย ผมจะรู้ตัวก่อนประมาณ 1-2 เดือน ให้ส่งพาสปอร์ตไปทำวีซ่า ผมก็บอกว่า เราน่าจะมีการสอนสำหรับคนที่ไม่รู้จักมวย เพราะมองว่าจะไปเผยแพร่มวย ถ้าเราไปเฉพาะคนที่เขาชอบมวยอยู่แล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์มากเพราะคนกลุ่มนี้ยังไงเขาก็ต้องเรียนมวย เราควรจะมีการจัดงานที่ไปหาคนที่ไม่ชอบมวย ไม่รู้จักมวย เราทำให้คนกลุ่มนี้มาสนใจมวยไทยด้วย 

หลังจากที่เราสอนมวยเสร็จ เป็นห้าง หรือสวนสาธารณะ เราก็จะเชิญคนดูขึ้นมาบนเวที หรือถ้าคนเยอะๆ เราก็อาจจะทำด้านล่างเวที ให้ครูมวยของเราช่วยกันสอนและผมก็นำ บางทีก็เป็น 100-200 คนครับ ก็เป็นอีกกลุ่มนึง กลุ่มที่ไม่รู้จักมวยไทย ก็เพิ่มเข้ามา”

สำหรับบุคคลที่มาชมการแสดงและเรียนรู้มวยไทยกับทีมของครูดิน เรียกได้ว่ามีทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ ผู้พิการ ทหาร และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งในการทำงานแต่ละครั้ง ครูดินต้องทำการบ้านเกี่ยวกับประเทศนั้นๆ อย่างหนัก

และประสบการณ์การสอนที่ครูดินจำได้ไม่ลืมนั่นคือ การเผยแพร่วัฒนธรรมมวยไทยแก่บุคคลระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทของชีคแห่งการ์ตา รวมไปถึงเจ้าหญิงของจอร์แดน ครูดินเล่าให้ฟังว่า “ตอนปี 59 เขาก็บอกว่าเราไปตะวันออกกลางบ้างมั้ย สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญอีกอย่างคือ ท่านทูตและสถานทูตไหนที่ตอบรับโครงการที่เขาเสนอไป ปีนั้นกาตาร์ คูเวต โอมาน เขาก็ขานรับ ก็ไปที่กาตาร์ก่อน เขาบอกว่าที่นั่นจะมีการขอลงนวม จะมีแขก VIP ของเขาอยากที่จะต่อยมวย ผมก็เตรียมไป”

“ปรากฏว่า คนที่เขาอยากต่อยเป็นคนสนิทของชีค น้ำหนักเขาตรงกับผมพอดี ตกลงเอาครูดินนี่แหละต่อย พอเขารู้ว่าเป็นผม เขาก็ไม่ต่อย เขาบอกว่าไม่สบาย แล้วก็ส่งครูมวยที่เขาจ้างมาจากอินโดฯ มาต่อยกับผม ที่นี้ก็ไปที่คูเวต VIP เหมือนกัน เป็นพวกเศรษฐีน้ำมัน หลังจากนั้นเราเริ่มรู้จักพวกที่เป็นตะวันออกกลาง ต่อไปเป็นปี 60 โครงการนี้เขาไปที่อิสราเอล และจอร์แดน เขามีโครงการก็เชิญเจ้าหญิงมา เขาฝึกมวยอยู่แล้ว พอเราไปเขาก็มาร่วม แต่เขาก็เป็นกันเองมาก ตรงนี้เราก็ต้องคุยกับทีมงานว่า พอเราไปเจอเจ้าหญิง ต้องสุภาพ ต้องนุ่มนวล ต้องถนอมเขาแล้วเขาก็คุยกับทางฝ่ายไทยเรียบร้อย หลังจากนั้น ทางฝ่ายไทยก็ได้ไปทานข้าว ไปร่วมอะไรในวังเขาเรียบร้อยครับ”

ตลอดระยะเวลา 7 ปี ในการทำงานและเดินทางไปรอบโลก มีเรื่องราวเกิดขึ้นกับครูดินมากมาย “ไปมาทั่วโลกเลย 7 ปี ประมาณ 38 ประเทศ ไม่คิดว่าจะได้ไปก็ได้ไป เบสิกเลย 1 ทริปเล็กๆ 10-15 วัน ถ้าไปหลายประเทศ อาจจะประเทศละ 3 วัน บางประเทศต้องไป 2-3 เมืองก็มี ผมไปตุรกีมีเวลา 5 วัน ผมไป 4 เมือง ไปถึงเมืองนี้สอนเสร็จ เย็นเก็บของไปอีกเมืองไม่ได้เข้าโรงแรมเลยก็มี เก็บของ เปลี่ยน เหนื่อยมากแต่ก็สนุก ลำบากนิดนึงแต่มันคือประสบการณ์”

‘สุริยะ’ ปลื้ม!! ‘แผนคุมโควิด-ฉีดวัคซีน’ อุตฯ เข้ม!! ดันดัชนีผลผลิตฯ 64 ทะลุเป้า พ่วงยอดส่งออกสูงลิ่ว

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนธันวาคม 2564 ขยายตัวร้อยละ 6.83 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2564 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.93 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 23.56 มีมูลค่าส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การนำเข้าเพื่อการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ตลาดภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงการเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยขยายตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้าสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ทั้งปี 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 5.93 สูงกว่าเป้าหมายที่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ประมาณการซึ่งจากเดิมคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0-5.0 นอกจากนี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมปี 2565 คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัญญาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยาน) เดือนธันวาคมที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ 23.56 ซึ่งมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 19,572.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับการนำเข้าสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) เดือนธันวาคม 2564 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดเตรียมการผลิตต่อไป

“สถานการณ์เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังประเทศคู่ค้ามีมาตรการรับมือทางด้านเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการกระจายวัคซีนที่ดีขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรม ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าในปี 2565 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังแนวโน้มเศรษฐกิจโลกดีขึ้น รวมถึงตลาดภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและได้รับการสนับสนุนผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ” นายสุริยะ กล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top