Monday, 28 April 2025
TheStatesTimes

“บิ๊กตู่” ยกคณะเช็กความพร้อมเปิด “ภูเก็ตแซนด์บ๊อก” 25 มิ.ย.นี้ 

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลยืนยันความพร้อมเปิดภูเก็ตแซนด์บีอก ในวันที่ 1 ก.ค.นี้ โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม และคณะจะเดินทางลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต วันที่ 25 มิ.ย.นี้ เพื่อไปตรวจสอบความพร้อมในขั้นสุดท้ายก่อนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว สามารถเดินทางเข้ามาในพื้นที่ได้ ซึ่งในรายละเอียดและเงื่อนไขของการดำเนินการด้านต่างๆ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จะนำเสนอให้ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พิจารณาวันที่ 18 มิ.ย.นี้

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า การเปิดภูเก็ตแซนด์บ๊อก ถือว่าเป็นการซ้อมก่อนจะเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) ซึ่งจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนต.ค.นี้ เป็นต้นไป และนอกเหนือการเปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว ในเมื่อจังหวัดภูเก็ตกลายเป็นทางเข้าใหม่ของประเทศไทย ก็ทำให้มีนักธุรกิจไทยจะสามารถใช้ภูเก็ตแซนด์บ๊อก เป็นสถานที่นัดพบนักธุรกิจ หรือพันธมิตรทางการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย ทำให้การเปิดภูเก็ตครั้งนี้ไม่ใช่การเปิดเพื่อการท่องเที่ยวอย่างเดียวแต่จะเป็นการเปิดประเทศต้อนรับธุรกิจด้วย ซึ่งตอนนี้พบว่า มีหลายบริษัทได้เตรียมตัวในเรื่องนี้เอาไว้แล้ว 

“การประชุม ศบค. จะหารือถึงเรื่องการเตรียมความพร้อมและเงื่อนไขต่างๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจนกับผู้ปฏิบัติในจังหวัดภูเก็ต และเมื่อเริ่มจากจังหวัดภูเก็ตแล้วก็จะค่อยขยายไปจังหวัดอื่นๆ ที่มีความพร้อมตามลำดับ ซึ่งนายกรัฐมนตรี ก็อยากจะเห็นว่า 120 วันนี้ หลังจาก 1 ก.ค.เป็นต้นไป ก็เปิดประเทศไทย ถ้าไม่ได้มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ก็พยายามทำเต็มที่ โดยต้องร่วมมือกันดูแลนักท่องเที่ยวที่จะเขามาเพราะถือเป็นแขกของประเทศไทย และนับว่าเป็นการเปิดศักราชที่ดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น

กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5หรือ กก.สส.บก.ตม.5 และ ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาคนสัญชาติไทย ขับรถยนต์ขนคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 18 คน หวังเข้าพื้นที่ตอนใน

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด                    

สํานักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5, พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.ท.มนตรี อินเปรี้ยว สว.ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมแถลงข่าว ดังนี้…

เจ้าหน้าที่กองกำกับการสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 และเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดนครสวรรค์ ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายวัชรพงศ์ สัญชาติไทย พร้อมของกลาง รถกระบะสีขาว ทะเบียน แพร่ (ป้ายแดง) ซึ่งใช้บรรทุกคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 18 คนส่งดำเนินคดี โดยกล่าวหานายวัชรพงศ์ว่า “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองพ้นจากการจับกุม ต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานฯ เสพ และมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย เป็นผู้ขับขี่รถเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ทำให้เสียทรัพย์ และฝ่าฝืนเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในจังหวัดตากโดยไม่ได้รับอนุญาต” และกล่าวหาคนต่างด้าวว่า “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และ ฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดตาก และฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดตาก เรื่องมาตรการป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019)”  เหตุเกิดบริเวณริมถนนพหลโยธิน กม.538-539 หมู่ 1 ตำบลสมอโคน อำเภอบ้านตาก จังหวัดตาก

พฤติการณ์ก่อนจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบขนคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย  โดยใช้รถยนต์ในการขนคนต่างด้าวจากเขตติดต่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ กับ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ไปยังพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อมาเวลาประมาณ 01.30 น. พบรถกระบะต้องสงสัยขับมาตามถนนพหลโยธิน หมู่ 7 ตำบลเถินบุรี อำเภอเถินบุรี จังหวัดลำปาง มุ่งหน้าไปทาง จังหวัดตาก จึงได้ขับรถยนต์ติดตามและสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยเปิดสัญญาณไฟวับวาบและเรียกให้จอดรถ เมื่อรถดังกล่าวจอดแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำรถยนต์ส่วนตัว จอดขวางบริเวณด้านหน้ารถและได้นำรถยนต์อีกคันจอดขนาบข้างด้านขวา ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังจะลงจากรถเพื่อเข้าไปตรวจสอบ ปรากฏว่านายวัชรพงศ์ (ทราบชื่อภายหลังจับกุม) พยายามจะหลบหนีและได้ขับรถชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองคันเป็นเหตุให้ได้รับความเสียหาย จากนั้นได้ขับขี่หลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมได้ ผลการตรวจสอบพบคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 18 คน อยู่ภายในรถ จึงได้จับกุมตัวนายวัชรพงศ์ ซึ่งเป็นคนขับ พร้อมคนต่างด้าวส่งดำเนินคดี

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

เคาะมาตรฐาน “เห็ดหอมแห้ง-ปาล์ม-ข้าว” เตรียมประกาศเป็นมาตรฐานทั่วไป

นายประภัตร โพธสุธน รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานสินค้าเกษตร ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบร่างมาตรฐานสินค้าเกษตร เพื่อดำเนินการประกาศ เป็นมาตรฐานทั่วไปของประเทศต่อไป จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่

1.เห็ดหอมแห้ง

2.การปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับปาล์มน้ำมัน

3.การปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงสีข้าวและโรงปรับปรุงสภาพข้าว

4.หลักการทั่วไปด้านสุขลักษณะอาหาร การปฏิบัติทางสุขลักษณะที่ดี และ

5.ระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมและแนวทางการนำไปใช้ 

“ขณะนี้อยู่ในช่วงวิกฤตโรคระบาด ทั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และการระบาดของโรคลัมปี สกิน จากเชื้อไวรัสในโค-กระบือ ซึ่งเมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป มาตรฐานสินค้าเกษตรจะมีความสำคัญมากขึ้น จึงได้กำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินการกำหนดมาตรฐานให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อมุ่งยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตร พร้อมสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค”

นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบกิจการเกี่ยวกับสินค้าเกษตร โดยมีสาระสำคัญ คือ  

1. ยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมสำหรับการประกอบกิจการเกี่ยวกับสินค้าเกษตร พ.ศ. 2552  เพื่อให้ประชาชนหรือผู้ประกอบการสามารถเข้าใจได้ง่าย และไม่เกิดความสับสน 

2. กำหนดค่าธรรมเนียม ดังนี้ ใบอนุญาตตามมาตรา 20 ได้แก่ บุคคลธรรมดา ฉบับละ 100 บาท นิติบุคคล ฉบับละ 1,000 บาท ใบอนุญาตตามมาตรา 33 ฉบับละ 5,000 บาท และการต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา 20 กรณีนิติบุคคล (500 บาท) หรือใบอนุญาตตามมาตรา 33 (2,500 บาท) ครั้งละกึ่งหนึ่ง ของคาธรรมเนียมใบอนุญาตนั้น 

3. ยกเว้นค่าธรรมเนียม ได้แก่ ใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา 20 (ฉบับเดิม 50 บาท) ใบแทนใบอนุญาตตามมาตรา 33 (ฉบับเดิม 50 บาท) และการต่ออายุใบอนุญาตตามมาตรา 20 กรณีบุคคลธรรมดา (ฉบับเดิม 50 บาท)

หน้าเปลี่ยนไป ทุกไตรมาส | คิดเพลิน Learn & Play Talk EP.39

คุณอยู่กับ Podcast face to face รายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ฟังง่ายได้สาระ  

พูดคุยประเด็นต่างๆ แบบเพลินๆ พบกันทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 22.00 น. 

ติดตามชมรายการ “คิดเพลิน Learn & Play Talk” ได้ทาง YouTube และ Facebook Fanpage ของ THE STATES TIMES 

อย่าลืม! กดไลก์ กดแชร์ กด Subscribe 

.

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

Click on Clear เที่ยงตรง ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2564

Click on Clear เที่ยงตรง ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ประเด็น รีวิวการฉีดวัคซีน AstraZeneca เข็มแรกกับ ปริม กุญชนิตา และอัพเดทสถานการ์โควิด-19 ในประเทศอินโดนีเซีย

สัมภาษณ์สด คุณเปมิกา บุญเจริญ Tour leader ของบริษัท Mas tour & Travel Bali , Indonesia  และเป็นเจ้าของเว็บ www.mambalitour.com เพจท่องเที่ยวชื่อ เที่ยวบาหลีไปกับแหม่ม

 

.

.


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ขอนแก่น - พร้อมจัดประชุมใหญ่ พปชร. ตร-สธ.-ปกครอง คุมเข้มทุกมาตรการความปลอดภัย “เอกราช”ย้ำชัด สมาชิกพรรคที่ได้รับบัตรเชิญเข้าร่วมประชุมพร้อมเพรียง ใครไม่มีเอกสารยืนยันฉีดวัคซีนจัดรถตรวจหาเชื้อป้องกันโควิดถึงที่ ไม่ตอบใครจะนั่งเลขาพรรคคนใหม่ แต่มีการเปลี่ยน

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 17มิ.ย.2564 ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น หรือไคซ์ พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4พร้อมด้วย นายเอกราช  ช่างเหลา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ,พล.ต.ต.พุฒิพงศ์ มุสิกูล ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น,นายศุภชัย ลีเขาสูง นายอำเภอเมืองขอนแก่น และนายโกเมศ ฑีฆธนานนท์ นายกเทศมนตรีตำบลเมืองเก่า และคณะทำงานพรรคพลังประชารัฐ ลงตรวจพื้นที่ตรวจสอบความเรียบร้อยในขั้นตอนสุดท้ายเพื่อเตรียมความพร้อมในการประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2564 พรรคพลังประชารัฐที่กำหนดจัดการประชุมขึ้นที่ จ.ขอนแก่นในวันพรุ่งนี้ (18มิ.ย.) 

โดยที่เจ้าหน้าที่ได้ทำการติดตั้งระบบตรวจวัดอุณหภูมิและจุดคัดกรองตามมาตรฐานความปลอดัยด้านสาธารณสุขจากสถานการณ์โควิด-19อย่างเข้มงวด บริเวณทางเข้าห้องประชุม รวมทั้งการจัดเตรียมพื้นที่รับรองคณะผู้ติดตาม ส่อมวลชน รวมไปถึงสมาชิกพรรคที่จะมาร่วมในการประชุมพรุ่งนี้ไว้ในจุดที่กำหนดตามมาตรการของการเว้นระยะห่างอย่างเข้มงวดขณะที่ ศูนย์ประชุมฯได้มีการกำหนดทางเข้า-ออก ให้สามารถใช้งานได้เฉพาะประตู 2 เท่านั้น โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและการตรวจคัดกรองและตรวจวัดอุณหภูมิเบื้องต้นก่อนที่จะเข้าสู่ที่ประชุมชั้นใน ตามจุดที่กำหนด รวมทั้งการตั้งจุดตรวจหาเชื้อโควิด-19 เนื่องจากในการประชุมครั้งนี้มีการตรวจเอกสารของผู้เข้าร่วมประชุมตามที่ได้รับเอกสารจากพรรคฯว่ามีการได้รับการฉีดวัคซีนหรือไม่หากไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเฉพาะผู้ที่เข้าร่วมประชุมจะต้องตรวจหาเชื้อโควิดทันที

พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะประสานงานร่วมทุกฝ่ายเพื่อรักษาความปลอดภัยในการประชุมอย่างเข้มงวด  ทั้งในด้านของการจัดการจราจร การรักษาความปลอดภัยด้านนอกสถานที่จัดการประชุม และภายในห้องประชุม ซึ่ง ภ.จว.ขอนแก่น และ บก.สส.ภ.4ได้เตรียมความพร้อมในการรักษาความปลอดภัยในการประชุมครั้งนี้ในภาพรวมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้านนายเอกราช ช่างเหลา ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน กล่าวว่า ขณะนี้ภาพรวมในการเตรียมการประชุมพรรคถือว่าเราพร้อม 100% ในฐานะเจ้าภาพเจ้าของพื้นที่นั้นคณะทำงานทุกฝ่ายทำงานกันอย่างเต็มที่ในการประชุมครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นมาตรการป้องกันโควิดตามนโยบายของ ศบค. หรือการอำนวยความสะดวกเรื่องการคมนาคมการเดินทาง ที่พัก และยินดีต้อนรับ ส.ส. และสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกคนที่เข้ามาร่วมประชุมที่ขอนแก่น ซึ่งยืนยันว่าสมาชิกมาครบอาจจะเกินบ้างในส่วนที่เป็นส.ส. หรือในนามตัวแทนเขต ซึ่งอาจจะเกินขึ้นไปถึง 400 คน

“หากประชาชนที่ทราบว่าระดับผู้นำประเทศเข้ามาในพื้นที่ก็อาจจะมีเรื่องการยืนหนังสือ ซึ่ง ถ้าหากว่าเป็นไปได้ไม่น่าจะสะดวกเพราะเป็นกิจกรรมของพรรคแต่อย่างไรก็ตามหากพี่น้องประชาชนมีความจำเป็นเดือดร้อนจะมายื่นก็ขอให้มีการประสานมาอย่างเป็นทางการประสานมาที่ตนเองก็ได้จะลำดับความสำคัญหรือดูจังหวะที่จะสามารถแทรกได้ เพราะเป็รการประชุมในระบอบประชาธิปไตยพรรคของเราเปิดเต็มที่รับฟังทุกความเห็นต่าง ดังนั้นกลุ่มเห็นต่างจะแสดงความคิดเห็นก็ขอให้อยู่ในกรอบอย่าละเมิดสิทธิของคนอื่นความเห็นต่างถือว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย เราไม่ขัดข้องแต่ก็ขอให้อยู่ในกรอบของแต่ละฝ่าย  ในฐานะของเจ้าภาพเราก็ต้องการเห็นความรักความสามัคคีและความเรียบร้อยในการจัดงานครั้งนี้”

นายเอกราช กล่าวต่ออีกว่า ในที่ประชุมจะเน้นเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนแล้วเข็มหรือครบแล้วทั้ง 2 โดส เข้าสู่ห้องประชุมชั้นในแต่ถ้าใครยังไม่ผ่านการฉีดวัคซีนมาแล้วเราก็มีการตรวจหาเชื้อ หลังจากผ่านการคัดกรองเข้าไปถ้าหากว่าอุณหภูมิสูงหรือมีไข้ เราจะคัดออกมาและตรวจโควิด ในจุดที่กำหนดซึ่งจะทราบผลทันทีถือว่าเป็นมาตรฐานที่สูงกว่าศบค. กำหนด

อย่างไรก็ตามในการประชุมครั้งนี้มีความกังวลและเป็นห่วงอยู่เหมือนกันโดยเฉพาะจังหวัดขอนแก่นเราปลอดเชื้อมาหลายวันแล้วและเป็นจังหวัดที่มีความปลอดภัยสูงจึงมีการมาจัดการประชุม ดังนั้นวันนี้การเตรียมงาน ที่ยึดตามแนวนโยบายของ ศบค.ในการป้องกันการเป็นคลัสเตอร์ใหม่และพรรคได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้อย่างมาก มาตรการควบคุมและป้องกัน คณะทำงานร่วมทุกฝ่ายได้ทำการคัดกรองมาตั้งแต่ก่อนที่จะเข้ามาถึงพื้นที่ จึงอยากให้ความสบายใจกับชาวขอนแก่นว่าพรรคได้รักษามาตรการและป้องกันเต็มที่

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามประเด็นการเลือกเลขาธิการพรรคคนใหม่ จะมี้ขึ้นในการประชุมนั้น นายเอกราช ไม่ขอแสดงความคิดเห็นและขอให้เป็นมติในที่ประชุมที่ ส.ส.ของพรรคทุกคนและสมาชิกพรรคนั้นพร้อมที่จะปฎิบัติตามมติคณะกรรมการบริหารพรรคในภาพรวม

‘อลงกรณ์’ เห็นด้วย ‘บิ๊กตู่’ ปักหมุดเปิดประเทศภายใน 120 วัน พร้อมเสนอวาระโควิด 6 ข้อรับมือ Next Normal

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะอดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส. โพสต์เรื่อง “อย่าให้นายกรัฐมนตรีปักหมุด 120 วันเปิดประเทศคนเดียว” ในเฟซบุ๊กและไลน์ส่วนตัวว่า...

วันนี้ตั้งใจเขียนความเห็นและข้อเสนอวาระโควิด (Covid Agenda) 6 ข้อให้ท่านนายกรัฐมนตรีและสาธารณชนคนไทยได้อ่านในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เคยเผชิญวิกฤตของประเทศมาหลายครั้ง ทั้งวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 และวิกฤติซับไพรมวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2551

ในฐานะอดีตรัฐมนตรีและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร “อย่าให้นายกรัฐมนตรีปักหมุด 120 วันเปิดประเทศคนเดียว”

ผู้นำต้องกล้าที่จะนำประเทศพาประชาชนไปข้างหน้าและต้องพร้อมบริหารความเสี่ยงไปในเวลาเดียวกัน

การบริหารในช่วงวิกฤตจะละล้าละลัง กลัวๆ กล้าๆ ไม่ได้ เพราะเวลาที่ผ่านไป คือ การสูญเสียโอกาสและความยากลำบากมากขึ้นทุกขณะของประชาชนและประเทศชาติ

ถ้าล็อกดาวน์นานไปประชาชนจะไม่มีกินและธุรกิจจะปิดตัวเองมากขึ้น จนเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับทุกสาขาทั้งภาคการท่องเที่ยว, ภาคการบริการ, ธุรกิจการเงิน, การลงทุนพาณิชยกรรม, อุตสาหกรรม, การค้าระหว่างประเทศและการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งขีดความสามารถในการแข่งขันที่ลดต่ำลงไปเรื่อยๆ

การตัดสินใจประกาศวันดีเดย์ทำให้เกิดเป้าหมายและความหวัง แต่ขณะเดียวกันเราต้องเผชิญกับ 2 ความเสี่ยง…

>> ความเสี่ยงแรก คือ สงครามโควิด-19

>> ความเสี่ยงที่สอง คือ สงครามเศรษฐกิจ

หากบริหารได้ดี ความเสี่ยงและความสูญเสียจะลดลงมา ประเทศไทยและคนไทยจะเริ่มทำมาหากินได้เศรษฐกิจจะเริ่มขยับขยายตัวได้อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกันฟันฝ่าผ่าความเสี่ยงที่เรียกว่า Next normal ร่วมกัน

ผมมีความเห็นเป็นข้อเสนอโดยสุจริตใจ ประเด็นวาระโควิด 6 ข้อเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงและการดูแลประชาชนกับการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ...

1.) วัคซีนต่างประเทศ >> ต้องเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายจัดหาและช่วยระดมฉีดให้ได้ตามเป้าหมายโดยเร็วที่สุด ยิ่งฉีดเร็วฉีดมาก ยิ่งลดความเสี่ยงของสงครามโควิด-19 ได้มากที่สุด อย่าให้พลาดพลั้งเหมือนช่วงแรกๆ ของการจัดหา

2.) วัคซีนไทย >> ต้องสนับสนุนเงินทุนให้มากที่สุดกับการวิจัยและพัฒนาวัคซีนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์รวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ในการผลิตวัคซีนของเราเองในทุกความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีวัคซีนโดยเฉพาะเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนโควิดจากพืช (Plant based vaccine technology) ซึ่งใช้เวลาไม่เกิน 3 เดือนสามารถผลิตวัคซีนใหม่ๆ ได้ ซึ่งใช้รับมือกับกรณีโควิดกลายพันธุ์ หรือโควิดสายพันธุ์ต่างชาติที่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยทั้งก่อนและหลังการเปิดประเทศ

โดยเมื่อเดือนที่แล้วผมได้ไปหารือกับคณะผู้บริหารและทีมนักวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พร้อมดูความก้าวหน้าของการผลิตวัคซีนจากพืชของบริษัทใบยาไฟโตฟาร์ม ซึ่งเป็นสตาร์ทอัพของจุฬาฯ มาแล้ว ซึ่งได้ผลดีมากในการฉีดทดสอบกับลิงและหนูโดยพร้อมจะทดสอบกับคนในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าและทาง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีเกษตรฯ ก็กำหนดประชุมหารือกับท่านอธิการบดีบัณฑิตที่จุฬาลงกรณ์วันที่ 25 มิถุนายนนี้ ส่วนที่แคนาดามีบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกร่วมกันพัฒนาวัคซีนโควิดจากพืชและประกาศจะนำออกสู่ตลาดในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า

3.) การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว >> เป็นการจุดเครื่องยนต์เศรษฐกิจที่มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง เมื่อกล้าเปิดก็ต้องเปิดแบบมีกลยุทธ์ กล่าวคือ ต้องไม่บริหารแบบท็อปดาวน์เพียงอย่างเดียวจึงไม่กำหนดจากข้างบนให้เริ่มที่ภูเก็ตหรือบางพื้นที่ตามที่ ศบค. ตั้งเป้าหมายแรก แต่ควรเปิดหลายๆ พื้นที่หลายๆ จังหวัดทั่วประเทศพร้อมๆ กัน โดยให้จังหวัดที่ต้องการเปิดรับนักท่องเที่ยวเสนอแผนและมาตรการป้องกันโควิดให้ศบค.พิจารณาแบบเสนอจากเบื้องล่าง ถ้าเห็นว่าทำได้ก็เดินหน้าโดยรัฐบาลให้การสนับสนุนทั้งงบประมาณและเครื่องมือกำลังคน

นี่คือกลยุทธ์การบริหารจัดการประเทศไม่ใช่บริหารจังหวัด!!

เมื่อกล้าเปิดประเทศก็ต้องคิดใหญ่ทำใหญ่ หากเป็นเช่นนี้เศรษฐกิจจะมีฐานขยายตัวกว้างขึ้นและเร็วขึ้น “ล้อแห่งธุรกิจจะกลับมาหมุน” ตลอดห่วงโซ่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

ต้องเข้าใจว่า ประชาชนและธุรกิจทั่วประเทศ (ไม่ใช่แค่ภูเก็ต) ที่ติดหล่มโควิดมากว่าปีแล้ว ลมหายใจใกล้หมด จึงต้องทำเร็วที่สุดและเปิดในทุกพื้นที่ทีมีความพร้อมในมาตรการป้องกันโควิด-19ดีที่สุด รวมทั้งต้องกระจายอำนาจและมอบอำนาจจริงๆ ให้ราชการส่วนภูมิภาคและท้องถิ่นอย่ารวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลางอย่างที่ผ่านมา

4.) การพยุงประชาชนและประเทศ >> ภาครัฐต้องดำเนินการเยียวยาทุกมาตรการต่อไปแม้จะต้องใช้งบประมาณหรือเงินกู้มาเยียวยาโดยเฉพาะคนยากคนจนเกษตรกรและเอสเอ็มอี. อย่ากังวลเรื่องเพดานเงินกู้ มากนัก ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอในการสร้างรายได้ถ้าบริหารถูกทิศถูกทางการใข้หนี้ในอนาคตก็ไม่ใช่เรื่องยาก ตอนนี้ต้องช่วยประชาชนช่วยธุรกิจให้อยู่รอดเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจในวันข้างหน้า

5.) ความรับผิดชอบร่วมกันต่อ Next normal ของการเปิดประเทศ >> ผมคิดว่าเราทุกคนทุกฝ่ายต้องร่วมรับผิดชอบร่วมแรงร่วมใจฝ่าฟันวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน อย่าให้เป็นภาระหน้าที่ของรัฐบาลฝ่ายเดียว เพราะวิกฤตครั้งนี้ใหญ่กว่าทุกสงครามที่ประเทศของเราเคยเผชิญ มีเดิมพันที่สูงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ “เราจะแพ้ไม่ได้”

ดังนั้น ในวันนี้ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล ทั้งสภาผู้แทนและวุฒิสภา ภาครัฐภาคเอกชน ทุกภาคีภาคส่วนต้องผนึกกำลังกัน เอาการเมืองไว้ข้างหลัง เอาบ้านเมืองไว้ข้างหน้า

6.) การบริหารจัดการต้องโปร่งใสไร้ทุจริต >> ต้องไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวหรือพรรคพวกหรือผลประโยชน์ทับซ้อนไม่ว่าในรูปแบบใด และต้องจัดการเฉียบขาดกับใครก็ตามที่ทุจริตประพฤติมิชอบกับเรื่องการจัดหาวัคซีนหรือการจัดซื้อเวชภัณฑ์ใดๆ ในทุกระดับ

ก่อนหน้านี้ผมเสนอยุทธศาสตร์ “1ปิด1เปิด” โมเดลเพชรบุรีและเริ่มดำเนินการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมร่วมกับทุกภาคีภาคส่วน คือ “ปิดโควิด เปิดเศรษฐกิจ” ให้เร็วที่สุดไปพร้อมๆ เพราะถ้าล็อกดาวน์โควิดอย่างเดียวก็อดตายทั้งประเทศหรือถ้าเปิดประเทศโดยไม่ป้องกันโควิดดีพอ ก็จะระบาดใหญ่ป่วยตายทั้งประเทศ โดยเราก็ตั้งเป้าหมายเปิดเพชรบุรีตั้งแต่ 1 ตุลาคมนี้ ซึ่งเผอิญเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีประกาศเมื่อวานนี้

ผมจึงเห็นด้วยกับการปักหมุด 120 วันเปิดประเทศและขอแสดงความเห็นมา ณ โอกาสนี้ครับ

ขอเพียงอย่าให้เป็นการปักหมุดเปิดประเทศของท่านนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพราะสงครามโควิดและสงครามเศรษฐกิจรุนแรงและวิกฤตเกินกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะรับมือได้

ประการสำคัญคือประเทศนี้เป็นของทุกคนและอนาคตก็เป็นของพวกเราทุกคน

อลงกรณ์ พลบุตร

17 มิถุนายน 2564


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ไม่ใช่ไวรัล แต่ก็กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่แพร่กระจายไป ในเหล่าบรรดานักฟุตบอลในยูโร 2020 ไปเสียแล้ว สำหรับการยกขวดเครื่องดื่มที่เป็นสปอนเซอร์หลักของการจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ออกจากโต๊ะแถลงข่าว

#เก็บตกยูโร2020 ⚽

ไม่ใช่ไวรัล แต่ก็กลายเป็นพฤติกรรมเลียนแบบที่แพร่กระจายไป ในเหล่าบรรดานักฟุตบอลในยูโร 2020 ไปเสียแล้ว สำหรับการยกขวดเครื่องดื่มที่เป็นสปอนเซอร์หลักของการจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2020 ออกจากโต๊ะแถลงข่าว

เริ่มต้นจากพี่ใหญ่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่หยิบขวดเครื่องดื่มโคคาโคล่า ให้พ้นออกไปจากเฟรมภาพการแถลงข่าว ต่อมาก็เป็น ปอล ป็อกบา ซูเปอร์สตาร์แห่งทีมฝรั่งเศส ก็หยิบขวดเบียร์ยี่ห้อหนึ่งออกจากโต๊ะ และล่าสุด มานูเอล โลคาเตลลี่ กองกลางทีมอิตาลี ก็กลายเป็นนักเตะคนล่าสุดที่หยิบขวดโคคาโคล่าออกจากโต๊ะเช่นกัน

ส่วนเหตุผลก็นานาสารพันกันไป อาทิ โรนัลโด้เป็นคนไม่ดื่มเจ้าเครื่องดื่มชนิดนี้เลย และขึ้นชื่อเรื่องการมีภาพลักษณ์การดูแลสุขภาพอย่างดี ส่วนปอล ป็อกบา เจ้าตัวเป็นมุสลิมที่เคร่งครัด การมีขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อยู่ตรงหน้า (แม้ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์แบบแอลกอฮอล์ 0% ก็ตาม) ยังไงก็คงไม่เหมาะสมนัก

และรายสุดท้าย มานูเอล โลคาเตลลี่ แม้เหตุผลจะไม่ชัดเจน แต่ตอนที่เจ้าตัวหยิบขวดโคคาโคล่าออกจากโต๊ะแถลงข่าว ก็พูดว่า ‘อากัว’ หรือ ‘อควา’ ที่แปลว่า น้ำ ซึ่งก็แสดงเจตนาถึงความไม่ปลื้มเครื่องดื่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยเช่นกัน

แต่ถึงอย่างไร ทางเจ้าของผลิตภัณฑ์ก็ใจกว้างพอ และได้ออกมาประกาศทำนองว่า ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเลือกเครื่องดื่มตามใจชอบ และทุกคนมีรสนิยมและความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้น เครื่องดื่มนี้ก็จะถูกแจกให้แก่นักเตะเมื่อมาถึงงานแถลงข่าวต่อไป แม้ว่าจะไม่ดื่ม หรือยกออกก็ตาม

สรุปก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ทั้งสองฝ่าย ในมุมของนักฟุตบอลเอง ก็ต้องการการมีภาพลักษณ์ที่ดี หรือแม้แต่การไม่อยากผูกมัดกับสินค้าโดยไม่จำเป็น ในส่วนของสปอนเซอร์ก็ต้องทำตามหลักการต่อไป แต่ก็แอบคิดนะว่า ถ้าบรรดานักฟุตบอลทั้งหลายเกิดทำตามกันทุกคน จะส่งผลลบต่อภาพลักษณ์สินค้าไปเลยก็ได้ สู้ไม่ตั้งไว้ตรงหน้าโต๊ะ แล้วไปหาจุดจัดวางให้ลงตัวกว่านี้ จะดีกว่าไหม


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“มาคาเลียส” (Makalius) สตาร์ทอัพธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทย แนะนโยบายภาครัฐ เตรียมเปิดประเทศไทยรับนักท่องเที่ยวภายใน 120 วัน ทำได้แต่ควรทำอย่างรอบครอบ และมีมาตรการที่เข้มงวดในการตรวจสอบดูแล

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า “จากการที่รัฐบาลได้แถลงการณ์ถึงการตั้งเป้าเอาไว้ว่าประเทศไทยจะต้องเปิดประเทศทั้งประเทศให้ได้ภายใน 120 วัน นับจากวันนี้ (16 มิถุนายน) ส่วนเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ หากพร้อมได้เร็วกว่าก็ควรทยอยเปิดให้ได้เร็วกว่านั้น นักท่องเที่ยวที่ฉีดวัคซีนครบโดสเรียบร้อยแล้ว ควรเดินทางเข้าประเทศไทยได้โดยไม่ต้องกักตัว และไม่ต้องมีเงื่อนไขข้อห้ามที่สร้างความยากลำบาก รวมทั้งคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศ หากเป็นคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว ก็ควรที่จะสามารถเดินทางกลับเข้าประเทศของตัวเองได้โดยไม่ต้องกักตัวเช่นเดียวกัน

โดยบริษัทฯ เข้าใจเป็นอย่างดีว่าธุรกิจท่องเที่ยว ถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้หลักให้กับประเทศไทย แต่ทั้งนี้การเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวต้องทำอย่างรอบครอบ และพิจารณาให้รอบด้าน เพราะหากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขึ้นอีกจะกลายเป็นสึนามิการท่องเที่ยวลูกที่ 4 ของประเทศไทย กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และจะเกิดอาฟเตอร์ช็อคตามมาต่อกลุ่มธุรกิจอื่นๆ 

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลต้องคำนึงคือ “การดูแลคนในก่อนรับคนนอก” ด้วยการจัดสรรวัคซีนให้เพียงพอและเร่งการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมร้อยละ 70% ของจำนวนประชากรประเทศไทยเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ลดการแพร่ระบาดและการเสียชีวิต และควรมีระบบการตรวจคัดกรองโรคอย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการตรวจได้จำนวนมาก เพื่อนำมาใช้ตรวจคัดกรองนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทย รวมถึงนโยบายการปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อนำไปฟื้นฟูธุรกิจให้พร้อมรับมือกับการเปิดประเทศ พร้อมทั้งจัดทำแผนบูรณาการด้านการท่องเที่ยวด้วยการร่วมมือและผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมไปถึงกลุ่มชุมชน เพื่อร่วมกันสร้างแผนแม่บทด้านการท่องเที่ยว การกำหนดแนวทางการแก้ไข ดูแล และป้องกัน หากเกิดวิกฤตขึ้นอีกครั้ง 

นางสาวณีรนุช กล่าวต่อว่า “ทางด้านผู้ประกอบการก็ต้องเตรียมธุรกิจให้พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลง ด้วยการสนับสนุนและช่วยเหลือให้บุคลากรในองค์กรเข้ารับวัคซีนอย่างครบถ้วน พร้อมทั้งควบคุมมาตรฐานด้านสุขอนามัยอย่างในการให้บริการอย่างเข้มงวด ทั้งการทำความสะอาด การรักษาระยะห่าง การจัดเตรียมที่นั่งแบบส่วนตัว รวมถึงการเร่งนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ในการเช็คอิน การสั่งอาหาร การเรียกพนักงาน ใช้เพื่อลดการสัมผัสและเพิ่มมูลค่าให้กับบริการ เป็นต้น  

ทางด้านนักท่องเที่ยวเองก็ยังคงต้องให้ความร่วมมือรักษาสุขอนามัยกับส่วนรวมตามกฎของแต่ละสถานที่ที่ไปท่องเที่ยว ถึงแม้ว่าจะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบตามจำนวน แต่ก็ยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย พร้อมทั้งฉีดพ้นสเปร์แอลกอฮอล์หลังสัมผัสหรือจับสิ่งของสาธารณะต่างๆ 

‘โรม’ ฟาด ‘เพื่อไทย’ ชิ่งถึง ‘ทักษิณ’ เล่นตามเกม พปชร. หวังแค่สิ่งล่อใจ

วันที่ 16 มิ.ย. 64 นายรังสิมันต์ โรม รองเลขาธิการพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ แสดงความเห็นต่อกระแสการแก้รัฐธรรมนูญ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Rangsiman Rome - รังสิมันต์ โรม’ ในหัวข้อ ‘แลนด์สไลด์… ไปทางไหน? เพื่อใคร? เพื่อไทย? เพื่อประชารัฐ?

ถึงตอนนี้ ผมคิดว่าเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าจุดมุ่งหมายของพรรคเพื่อไทยในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ โดยเฉพาะในเรื่องระบบการเลือกตั้งที่ยอมเล่นตามเกมของพรรคพลังประชารัฐ รื้อกรอบจำนวน ส.ส. พึงมีออกไป แล้วไปเน้นหนักที่การเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 400 คน (เพิ่มจากเดิมขึ้นมา 50 คน) ก็คงเป็นอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีได้กล่าวไว้ คือเพื่อหวังให้เกิดการเทคะแนนไปที่พรรคใดพรรคหนึ่งอย่างเต็มที่ ด้วยข้ออ้างว่าหากเป็นเบี้ยหัวแตกแล้วจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ยาก

พูดง่ายๆ คือหวัง ‘แลนด์สไลด์’ แบบที่ตัวเองเคยได้ในอดีต โดยค่อยไปวัดพลังกับพรรคพลังประชารัฐเอาดาบหน้า

ในที่นี้ ผมคงไม่ลึกลงรายละเอียดถึงปัญหาเชิงหลักการของข้อเสนอระบบการเลือกตั้งดังกล่าว เพราะทั้งผมและพรรคก้าวไกลได้พูดไปพอสมควรแล้วก่อนหน้านี้ แค่ขอย้ำว่าระบบการเลือกตั้งดังกล่าวมีปัญหาแน่ๆ ในการทำให้สัดส่วนระหว่างจำนวน ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองกับจำนวนประชากรที่เลือกพรรคการเมืองนั้นๆ ไม่เหมาะสมกัน บางพรรคจะได้ ส.ส. เกินส่วนประชาชนที่เลือก ในขณะที่บางพรรคก็จะได้ ส.ส. ขาดส่วนประชาชนที่เลือกเช่นกัน

แต่แค่อยากจะขอถามไปยังพรรคเพื่อไทย ว่า ‘แลนด์สไลด์’ ที่คาดหวังนี้ จะไปในทิศทางไหนกันแน่?

อย่างที่ผมได้กล่าวไปแล้วเช่นกันว่า พรรคพลังประชารัฐเป็นเพียงอวัยวะหนึ่งของฝ่าย คสช. ที่เข้ามาชิงพื้นที่ในเวทีสภา คสช. ยังมีอวัยวะอื่นๆ อีกมากมายที่จะใช้ประโยชน์ในการสืบทอดอำนาจตั้งแต่ในต้นทางคือควบคุมการเลือกตั้งไปจนถึงการรักษาสถานะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น กกต. ส.ว. ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระอื่นๆ ตลอดจนระบบราชการ ในวันนี้พรรคพลังประชารัฐเลือกที่จะแก้ระบบการเลือกตั้งเพื่อหวังขยายจำนวน ส.ส. ของตัวเองในอนาคตให้เกินกรอบจำนวน ส.ส. พึงมี ซึ่งมีปัญหาทั้งในเชิงหลักการอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้น และทั้งยังแสดงให้เห็นถึงเจตนาร้ายของพรรคพลังประชารัฐที่หวังใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจเท่านั้น การที่พรรคเพื่อไทยไปร่วมเห็นชอบกับระบบการเลือกตั้งดังกล่าวด้วยนั้น

หากผลปรากฏว่าพรรคพลังประชารัฐเป็นฝ่ายที่ใช้ประโยชน์จากระบบดังกล่าวได้ดีที่สุดและชนะเลือกตั้งไป จะยิ่งเป็นการเพิ่มความชอบธรรมแก่พรรคพลังประชารัฐเพราะถือว่าผ่านการเลือกตั้งในระบบที่พรรคใหญ่ของฝ่ายค้านเองก็ยังรับรอง (แม้จะมีปัญหาเชิงหลักการก็ตาม) และเมื่อประกอบกับกลไกอวัยวะอื่นๆ ของ ฝ่าย คสช. ที่ยังคงอยู่เพื่อคอยรักษาสถานะทางอำนาจไว้แล้ว การจะตรวจสอบถ่วงดุลรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะยากยิ่งขึ้นไปอีก หากผลออกมาเป็นเช่นนี้แล้วพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบอย่างไร?

นอกจากนี้ยังต้องถามพรรคเพื่อไทยอีกว่า ‘แลนด์สไลด์’ นี้ เป็นไปเพื่อใคร?

เพราะเห็นได้ชัดเลยว่าที่พูดเรื่องการต้องให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ที่อ้างว่าต้องไม่เป็นเบี้ยหัวแตก ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่มุ่งหวังให้คะแนนเทมายังพรรคเพื่อไทย ที่มีความพร้อมมากกว่าหลายๆ พรรคในการหาเสียงเลือกตั้งแบบแบ่งเขต แล้วปล่อยให้พรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ต้องต่อสู้ดิ้นรนในเวที ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อที่มีเพียง 100 คน หรือเพียง 20% ของทั้งสภากันไป เรียกได้ว่าพรรคเหล่านี้คือผู้ที่จะต้องจมอยู่ใต้แลนด์สไลด์ที่เกิดขึ้น

แต่แล้วการที่เป็นเช่นนี้มันเป็นประโยชน์กับประชาชนจริงหรือ? สิ่งที่ควรมุ่งสร้างให้เกิดขึ้นมากกว่า คือระบบที่ฝ่ายประชาธิปไตยไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดมีที่ยืนอยู่ร่วมกันได้ เข้มแข็งไปด้วยกันได้มิใช่หรือ? การที่ในสภามีทั้งพรรคที่มุ่งเน้นการเข้าถึงปัญหาของชาวบ้าน พรรคมุ่งเน้นการแก้ปัญหาโครงสร้าง พรรคที่มุ่งเน้นการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน พรรคที่มุ่งเน้นความหลากหลายทางวัฒนธรรม ฯลฯ นี่คือสภาที่ควรเป็นมิใช่หรือ? ถ้าใช่แล้วทำไมพรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเสนอไปในทางที่จะทำลายสิ่งเหล่านี้ลง?

และหากพรรคเพื่อไทยยังดึงดันในข้อเสนอนี้ แล้วผลปรากฏว่าชัยชนะกลายเป็นของพรรคพลังประชารัฐไป ถึงตอนนั้นแล้วจะยังมีพรรคไหนที่มีกำลังมากพอที่จะร่วมสู้ด้วยกันได้? จะยังมีพรรคไหนที่อยากจะสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพรรคเพื่อไทยอีก?

ผมและพรรคก้าวไกลยังคงยืนยันว่าระบบการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียวตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 นั้นมีปัญหาแน่ๆ การใช้บัตร 2 ใบดีกว่าแน่ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าหากไม่เอาระบบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 แล้วจะต้องหันไปเอาระบบตามที่พรรคเพื่อไทย (และพรรคพลังประชารัฐ) เสนอมาเท่านั้น ยังมีระบบการเลือกตั้งอื่นที่สะท้อนเจตจำนง ซื่อตรงต่อเสียงของประชาชนได้มากยิ่งกว่า 2 ระบบนี้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกพรรคการเมืองในระยะยาว รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย ผมหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะทบทวนการตัดสินใจของตัวเอง อย่าได้คล้อยตามสิ่งล่อใจเพียงชั่วครู่ชั่วคราวจนยอมรับในระบบที่ยังมีปัญหาเชิงหลักการแล้วเอาชะตากรรมของประชาชนไปแขวนอยู่บนความไม่แน่นอนเลยครับ’

 

ที่มา : https://www.facebook.com/rangsimanrome/photos/a.212055616217760/707939579962692/

https://siamrath.co.th/n/253350


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top