Monday, 28 April 2025
TheStatesTimes

กระแส “กัญชง” ในดงอินเดีย

ปัจจุบันกระแสกัญชงกับกัญชาในไทยกำลังมาแรงมากจากกระแสการผลักดันกัญชาให้ถูกกฎหมายทั้งในด้านการครอบครอง การปลูก และการใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ แต่หลายคนอาจจะยังสับสนว่า “กัญชง” กับ “กัญชา” เหมือนหรือต่างกันยังไง ผมเลยไปสืบค้นจากอินเตอร์เน็ตก็พบความกระจ่างในเพจ “ทันข่าว Today” ซึ่งระบุว่า ทั้งกัญชาและกัญชงเป็นพืชชนิดเดียวกัน มีลักษณะภายนอกแตกต่างกันน้อยมาก แต่สามารถสังเกตในเบื้องต้นได้คือ กัญชงมีใบแคบเรียวและสีเขียวอ่อนกว่า มีลำต้นสูงและแตกกิ่งก้านน้อยกว่า ช่อดอกมียางน้อยกว่ากัญชา จึงมีการนำกัญชงไปใช้เป็นพืชเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้าและเยื่อกระดาษ

แต่ถ้าต้องการจำแนกให้ลึกลงไป เพจดังกล่าวก็ให้พิจารณาจากสารประกอบที่เรียกว่าแคนนาบินอยด์ (Cannabinoid) โดยเฉพาะสารที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท นั่นคือ THC (Delta-9-Tetrahydrocannabinol) และสารสำคัญอีกชนิดคือ CBD (Cannabidiol) ซึ่งช่วยยับยั้งการออกฤทธิ์ของ THC ถ้าต้นที่มีสาร THC น้อยกว่า 0.3 เปอร์เซ็นต์ต่อน้ำหนักแห้ง จะถือว่าเป็น Hemp หรือกัญชง แต่ถ้ามีค่า THC สูงกว่านี้ถือว่าเป็น Marijuana หรือกัญชา กรณีใช้ทางการแพทย์ต้องสกัดสาร THC, CBD รวมถึงสารประกอบแคนนาบินอยด์อื่น ๆ ออกมาจากต้น ซึ่งแตกต่างจากการเสพกัญชาที่ใช้ส่วนต่าง ๆ ของพืชโดยตรง

สำหรับที่อินเดีย มีรายงานที่น่าสนใจจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย ระบุว่า กระแสที่กำลังมาแรงในปัจจุบันคือ “กัญชง” แต่ว่าการแปรรูปกัญชง (Hemp / Cannabis Sativa) เชิงอุตสาหกรรมในอินเดียยังอยู่ในระยะเริ่มต้น อย่างไรก็ดี คนอินเดียมีความคุ้นเคยกับการใช้ประโยชน์จากกัญชงมาตั้งแต่โบราณ โดยนำกัญชงมาเป็นส่วนหนึ่งของสมุนไพรแบบอายุรเวท (Ayurveda) และเครื่องเทศประกอบอาหาร รวมถึงเส้นใยสำหรับทำเสื้อผ้า กระเป๋าและเชือกด้วย ซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้มีส่วนทำให้ภาครัฐและเอกชน รวมถึงนักวิจัยของอินเดียเข้าใจในศักยภาพของกัญชงเป็นอย่างดี และตระหนักในการควบคุมผลกระทบต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์กัญชงมีแนวโน้มที่จะได้รับการพัฒนาและเป็นที่ยอมรับในตลาดได้ง่าย

จากรายงานของ Grand View Research ระบุว่าในปัจจุบันตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียยังมีมูลค่าเป็นสัดส่วนเพียง 0.1% ของตลาดโลกเท่านั้น ในขณะที่ การใช้/บริโภคในอินเดียจะขยายตัวได้อีกมาก ทั้งการนำกัญชงไปใช้ในการผลิตน้ำมัน อาหารและเครื่องดื่ม อาหารสัตว์ เส้นใยสำหรับเสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องสำอาง ของใช้สำหรับทำความสะอาด ปุ๋ย และวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ กระดาษรีไซเคิล วัสดุเฟอร์นิเจอร์ และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงพลังงานชีวมวล นอกเหนือจากการนำมาผลิตเพื่อใช้ในทางการแพทย์ อาทิ ยาบรรเทาอาการของโรคมะเร็ง โรคข้ออักเสบ โรคลมชัก โรคอัลไซเมอร์ และอาการเจ็บปวดเรื้อรังต่าง ๆ นอกจากนี้ คาดว่าภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 จะทำให้คนอินเดียหันมาบริโภคอาหารมังสวิรัติมากขึ้น ซึ่งเมล็ดกัญชงจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ทดแทนถั่วและเนื้อสัตว์ โดยปราศจากกลูเตน และมักจะเป็นการเพาะปลูกแบบอินทรีย์ด้วย เพราะกัญชงเป็นพืชที่ไม่ค่อยมีศัตรูพืช จึงไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าแมลง 

ผลิตภัณฑ์จากกัญชง

ขอบคุณภาพจาก : https://medium.com

ทั้งนี้ ผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลกและสมาพันธ์ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์นานาชาติ (IFPMA) และคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ (INCB) ประมาณการณ์ว่า ในปี 2567 ตลาดสินค้ากัญชงในอินเดียจะมีมูลค่าประมาณ 584.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สอดคล้องกับผลการสำรวจของ All India Institutes of Medical Sciences ที่พบว่าผู้บริโภคชาวอินเดียจะตอบรับต่อผลิตภัณฑ์กัญชงได้อย่างรวดเร็ว โดยพบว่ามีคนอินเดียจำนวนไม่น้อยกว่า 7.2 ล้านคนที่เคยใช้กัญชงมาแล้ว โดยการซื้อมาทดลองใช้เอง และมีราคาขายปลีกในอินเดียอยู่ที่ประมาณ 4.38 เหรียญสหรัฐฯ ต่อกรัม

ตาม พรบ. The Narcotic Drugs and Psychotropic Substances Act (1985) รัฐบาลกลางของอินเดียอนุญาตให้ปลูกกัญชงได้เฉพาะที่มีสารเตตราไฮโดรแคนนาบินอลหรือ THC ไม่เกิน 0.3 % โดยน้ำหนัก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วกัญชงในอินเดียส่วนใหญ่มีระดับสาร THC สูงกว่าที่กำหนดไว้ การผลิตและซื้อ-ขายกัญชงในอินเดีย จึงเป็นการกระทำผิดกฎหมายตาม พรบ. ดังกล่าวอยู่ อย่างไรก็ตาม กฎหมายได้ให้อำนาจแก่รัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐให้สามารถพิจารณาอนุญาตให้มีการใช้ประโยชน์จากใบและเมล็ดของกัญชงได้ ภายใต้การควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐอย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ จะมีการตรวจสอบและส่งเสริมโดยกระทรวงการแพทย์แผนโบราณของอินเดีย (Ministry of Ayurveda, Yoga & Naturopathy: AYUSH) เป็นระยะ

ในปัจจุบันมีเพียงสามรัฐในอินเดียที่อนุญาตให้มีการปลูกกัญชงได้ ได้แก่ รัฐอุตตราขัณฑ์ รัฐอุตตรประเทศ และรัฐมัธยประเทศ ส่วนรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐก็มีแนวโน้มจะอนุญาตให้มีการพัฒนาอุตสาหกรรมกัญชงเช่นกัน อาทิ รัฐมณีปุระ รัฐอานธระประเทศ และรัฐหิมาจัลประเทศ โดยรัฐอุตตราขัณฑ์เป็นรัฐแรกที่อนุญาตให้มีการเพาะปลูกได้ โดยได้ให้ใบอนุญาตแก่ Indian Industrial Hemp Association (IIHA) ซึ่งเป็น NGO สามารถเพาะปลูกเพื่อทำการทดลองในพื้นที่ 6,250 ไร่ โดยมีเป้าหมายที่จะขยายเป็น 62,500 ไร่ และมุ่งเน้นการผลิตเมล็ดพันธุ์ และนำมาแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับป็นสิ่งทอเป็นหลัก

แม้ว่าจะมีการเพาะปลูกในไม่กี่รัฐ แต่มีผู้นำกัญชงมาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์แล้วภายใต้กิจการของสตาร์ทอัพประมาณ 30-40 ราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นำเทคโนโลยีชีวภาพมาใช้ (Biotech Startups) อาทิ บริษัท Bombay Hemp Company (BOHECO) โดยมีโรงงานแปรรูปอยู่ที่รัฐอุตตราขัณฑ์ (เมือง Almora) และในรัฐอุตตรประเทศ (เมือง Lucknow) นอกจากนี้ ยังมี Startups อีกหลายรายที่พร้อมจะผลิตเชิงอุตสาหกรรม และขยายตลาดทั้งภายในอินเดียและตลาดโลก อาทิ Hemp Street, Best Weed และ India Hemp Organics โดยมีแบรนด์หลักในตลาด ได้แก่ VEDI, SATLIVA, BOHECO Life และ B LABEL

ขอบคุณภาพจาก : https://www.vice.com

ทั้งนี้ การผลิตสินค้าจากกัญชงในอินเดียมีแนวโน้มที่จะเติบโตในปี 2564 จากการที่หน่วยงานด้านความปลอดภัยและมาตรฐานทางอาหาร (The Food Safety and Security Authority of India : FSSAI) ของอินเดียซึ่งเทียบได้กับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทย ได้จัดทำร่างกฎระเบียบสำหรับการกำกับดูแลสินค้าที่นำกัญชงมาผลิตอาหารและเครื่องดื่ม ภายใต้ The Food Safety and Standards (Food Products Standards and Food Additives) Amendment Regulations, 2020 ซึ่งผู้ประกอบการในอินเดียมองว่าจะเป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ชัดเจนและเป็นสัญญาณที่เปิดให้สินค้ากัญชงมีการแข่งขันกันอย่างเสรีในตลาด โดย FSSAI ได้ยอมรับว่ากัญชงเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตอาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ซึ่งล่าสุดได้มีการกำหนดว่าเครื่องดื่มที่ทำจากเมล็ดกัญชงต้องมี THC ไม่เกิน 0.2mg/kg โดยคาดว่าจะก่อให้เกิดการเตรียมการผลิตเครื่องดื่มกัญชงและสถานบริการเครื่องดื่มกัญชงตามมาเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม คุณสุพัตรา แสวงศรี ทูตพาณิชย์ไทยประจำนครมุมไบ ประเทศอินเดียได้ให้ความเห็นว่าการเพาะปลูกและการแปรรูปในอินเดียยังต้องอาศัยเวลาในการพัฒนาอีกไม่ต่ำกว่า 2 ปี ซึ่งสะท้อนถึงโอกาสที่สินค้าจากต่างชาติจะเข้าไปแทรกตลาดหากมีราคาที่เทียบเคียงได้กับจีน ทั้งนี้ อินเดียเรียกเก็บภาษีนำเข้าสำหรับกัญชงในอัตรา 30% โดยผู้นำเข้าต้องมีใบอนุญาตให้นำเข้าไปเพื่อการวิจัยทางการแพทย์ด้วย ดังนั้น โอกาสที่ยั่งยืนของผู้ประกอบการไทย จึงน่าจะเป็นการเข้าไปร่วมลงทุนในการแปรรูปกัญชงเพื่อการแพทย์และอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในรัฐทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียที่มีสภาพอากาศเหมาะสมและเกษตรกรมีทักษะในการปลูกที่ดี รวมถึงโอกาสจากการเข้าไปถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนให้กับ Tech-Startups ของอินเดียที่กำลังพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ด้านอาหารและเครื่องดื่ม เพื่อรองรับการบริโภคที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อภาครัฐของอินเดีย (FSSAI) มีการกำหนดมาตรฐานสินค้าจากกัญชงที่ชัดเจนแล้ว ในขณะที่ ผู้บริโภคในอินเดียเองก็มีความคุ้นเคยกับกัญชงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอื้อให้เกิดการตอบรับของตลาดได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย

ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการไทยหรือนักลงทุนไทยที่สนใจธุรกิจเกี่ยวกับกัญชงที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ที่ประเทศอินเดียที่เป็นตลาดใหญ่อันดับสองรองจากประเทศจีน

ขอขอบคุณสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างปรแทศ ณ นครมุมไบ ประเทศอินเดีย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ “วัฒนธรรมรักษาหน้า” ของสังคมจีน 

หากผู้อ่านท่านใดเป็นลูกหลานชาวจีน ก็คงจะได้เคยเห็นญาติผู้ใหญ่ของตัวเองกระทำการ “แย่งกันจ่าย” หรือการพยายามออกตัวเป็นเจ้าภาพผู้ใจกว้างที่จ่ายเงินเลี้ยง และดูแลพวกพ้องตามมื้ออาหารต่าง ๆ รวมถึงเวลามีงานเลี้ยงกับเพื่อนฝูงหรืองานเลี้ยงรวมญาติ

ดูเหมือนว่าการแย่งกันจ่ายสำหรับคนจีนนั้นจะทำกันอย่างเป็นวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความ “爱面子 - อ้ายเมี่ยนจึ” แปลตรงตัวได้ว่า “รักหน้า” หรือหากจะหาคำภาษามานิยาม ก็คงจะใกล้เคียงกับคำว่า “หน้าใหญ่” ที่สุด ซึ่งก็คือการยึดติดกับเกียรติยศ ศักดิ์ศรี และการมีภาพลักษณ์ที่ดีสมบูรณ์ ซึ่งคนจีนหลายคนให้ความสำคัญกับ “หน้า” เป็นอย่างมาก

ตัวผู้เขียนเรียนมหาวิทยาลัยที่ประเทศจีนมาเป็นเวลา 4 ปี หนึ่งในประโยคที่ผมได้ยินบ่อยมากคือ...

“什么都可以丢,但不能丢脸” (อะไรก็ยอมเสียได้หมด แต่จะไม่ยอมเสียหน้า)

หากแปลเป็นไทยก็จะคล้ายกับประโยคที่ว่า “เสียเงินไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้”

แล้วต้องทำอย่างไรให้ “ได้หน้า” หรืออย่างน้อยก็คือ “ไม่เสียหน้า” ? ซึ่งการกระทำให้ได้หน้านั้นก็เหมือนจะมีสูตรสำเร็จอยู่แล้ว สำหรับผู้ชายก็คือการประสบความสำเร็จในชีวิต มีเงิน มีบ้าน มีรถ และมีเมีย ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ก็คือเครื่องประดับบารมีของผู้ชาย ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นนิยามของคำว่า “ประสบความสำเร็จ” ซึ่งการประสบความสำเร็จนั่นแล ที่เป็นตัวชี้วัดระดับสถานะทางสังคม หรือเรียกอีกอย่างได้ว่า “มีหน้ามีตาในสังคม”

แต่ความเป็นจริงก็มิได้สวยหรูหรอกครับ เพราะพื้นที่ของปลายยอดพีระมิดนั้นมีจำกัด ทุกคนอยากประสบความสำเร็จ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จจริง ๆ กระนั้นแล้ว แม้จะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เพื่อการมีหน้ามีตาในสังคม หลายคนยอมทำทุกอย่างเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูรุ่งโรจน์ มีความมั่นคง และใกล้เคียงกับคำว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้คนจีนมากมายเกิดพฤติกรรมที่เรียกว่า “打肿脸充胖子 - ต่า จง เหลี่ยน ชง พ่าง จึ” แปลเป็นไทยได้แบบตรงตัวได้ว่า “ตีหน้าตัวเองให้บวม เพื่อทำให้ตัวเองดูอ้วน” มีความหมายว่า ทำเรื่องเกินตัวเพื่อรักษาหน้า หรือการพยายามสร้างบารมีเกินกว่าความเป็นจริงจนเป็นโทษแก่ตัวเอง

ยกตัวอย่างพฤติกรรมการตีหน้าตัวเองให้บวม เพื่อทำให้ตัวเองดูอ้วน เช่นการดึงดันจะเป็นคนออกเงินเลี้ยงอาหารเพื่อนเพื่อทำให้ตัวเองดูดีมีฐานะ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วอาจมีหนี้สินติดค้างคนอื่น ๆ อยู่มากมาย หรือการดื่มเหล้ามากเกินไป เพื่อทำให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองคอแข็ง สามารถดื่มได้มาก แต่สุดท้ายเมาจนต้องให้คนหิ้วปีกกลับบ้าน หรือจะเป็นการลงทุนกับเครื่องแต่งกายด้วยการซื้อแบรนด์หรูให้ตัวเองดูมีมูลค่า แต่ต้องแอบกินบะหมี่สำเร็จรูปอยู่ที่บ้านไปทั้งเดือน

ซึ่งกรีณีเหล่านี้อาจถือได้ว่าเบาไปเลยครับ เมื่อเทียบกับผู้หญิงกลุ่มหนึ่งที่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย แต่เพราะกลัวจะเสียหน้า จึงไม่กล้าหย่ากับสามี (ค่านิยมสำหรับคนจีน การหย่าคือเรื่องน่าอับอาย) และได้แต่ยอมทนถูกกระทำต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็ไม่ต่างจากเด็ก ๆ บางคนที่ยอมโกงข้อสอบเพื่อรักษามาตรฐานของตัวเอง และเพื่อไม่ให้พ่อแม่เสียหน้า หรือเพื่อให้พ่อแม่เอาคะแนนลูกไปอวดคนอื่นเพื่อเอาหน้า หรือแม้กระทั่งบางคนที่เคยประสบความสำเร็จจริง ๆ แต่เมื่อถึงคราวลำบากกลับไม่กล้าขอความช่วยเหลือจากญาติมิตรเพราะกลัวจะเสียหน้านั่นเอง

ซึ่งค่านิยมการรักหน้าในรูปแบบของการ “ตีหน้าตัวเองให้บวม เพื่อทำให้ตัวเองดูอ้วน” นับว่าเป็นค่านิยมที่ผิด ส่วนคนที่ยึดติดกับมายาคติของคำว่า “หน้า” มากเกินไปก็มักจะลงเอยด้วยการพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ยากลำบากกว่าเดิม

แต่หากถามว่าการรักหน้านั้นมีข้อดีหรือไม่ ก็มีครับ หากอยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะสิ่งที่เป็นแก่นหลักของวัฒนธรรมการรักหน้านั้นคือการพยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองให้มีความรุ่งโรจน์ และตรงกับสิ่งที่นิยามคำว่า “ประสบความสำเร็จ” ซึ่งการรักหน้าก็ถือว่าเป็นแรงขับเคลื่อนในการใช้ชีวิตให้เดินไปข้างหน้าของคนในสังคมได้เหมือนกัน เพราะทำให้เกิดการแข่งขันกันพัฒนา ยิ่งคนในประเทศมีความมุ่งมั่นในการทำงานพัฒนาตัวเองมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างเม็ดเงินให้กับเศรษฐกิจและบุคลากรคุณภาพให้กับประเทศในภาพรวม

แต่ก็อีกนั่นแหละครับ ค่านิยมเกี่ยวกับการ “รักหน้า” นั้นควรจะอยู่ในระดับที่พอดี เพราะหากมากเกินไปจนการแข่งขันเพื่อพัฒนากลายเป็นแข่งขันเพื่อบลัฟ เพื่ออวดเบ่งความยิ่งใหญ่ของตัวเอง และทำให้เกิดการ “ตีหน้าตัวเองให้บวม เพื่อทำให้ตัวเองดูอ้วน”

ซึ่งสำหรับตัวผู้เขียนแล้ว การให้ค่าตัวเองนั้นสำคัญที่สุดครับ และควรปล่อยวางคำตัดสินต่าง ๆ ของคนอื่นที่เกิดจากค่านิยมในสังคม การประสบความสำเร็จของเรานั้นเป็นอย่างไร เราควรมีส่วนในการตัดสินใจด้วย


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รัฐบาล แก้หนี้ประชาชน ให้ 40 โรงจำนำของรัฐ ออกมาตรการลดภาระดอกเบี้ย จัดโปรฯ จ่ายคนละครึ่ง- 1รน 1สิทธิ์ ต่อ 1 ตั๋วจำนำ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยสถานการณ์หนี้ภาคประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาที่เรื้อรังมานาน และถูกซ้ำเติมด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ประชาชนบางกลุ่มขาดรายได้ จนทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ลดลง จึงสั่งการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดแนวทางช่วยบรรเทาภาระหนี้ประชาชน โดยข้อมูลจากกรมบังคับคดีรายงานว่า ในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (ต.ค. 63-เม.ย. 64) มีคดีแพ่งเข้าสู่การบังคับคดีจำนวน 138,997 คดี คดีส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น 80-90% เป็นหนี้ครัวเรือน คือหนี้บัตรเครดิต เช่าซื้อรถ รวมถึงสินเชื่อส่วนบุคคล อย่างไรก็ตาม คดีที่เข้ามาสู่การบังคับคดีนั้นส่วนใหญ่ปัญหาเริ่มเกิดขึ้นมาก่อนการระบาดของโควิด-19

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ตามข้อสั่งการนายกฯ หลายหน่วยงานได้ร่วมกันออกมาตรการแก้ปัญหามาระยะหนึ่งแล้ว อาทิ มหกรรมไกล่เกลียหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน เป็นความร่วมมือระหว่างทางธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรม และกรมบังคับคดี ซึ่งประชาชนให้ความสนใจอย่างมาก มีสินเชื่อที่ขอรับความช่วยเหลือแล้ว กว่า 7 แสนบัญชี เข้าเงื่อนไขได้รับการช่วยเหลือประมาณ 30% ผู้ที่สนใจยังสามารถขอไกล่เกลี่ยหนี้ฯได้ถึงวันที่ 30 มิ.ย.นี้ และยังมี มหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้เช่าซื้อรถยนต์ออนไลน์ เป็นความร่วมมือระหว่างธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานศาลยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พร้อมกับผู้ให้บริการ 12 แห่ง โดยผู้เช่าซื้อสามารถเจรจาปรับลดวงเงินรายเดือน ยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย หรือพักหนี้ได้หากจำเป็น นับตั้งแต่เริ่ม เมื่อ 1 มิ.ย. มีจำนวนผู้เช่าซื้อสนใจลงทะเบียนแล้ว 13,450 คัน และจะเปิดให้เข้าร่วมมหกรรมฯถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้ สำหรับผู้สนใจสามารถสอบถามข้อมูล ได้ที่ 1213 ของธนาคารแห่งประเทศไทย

น.ส.รัชดา กล่าวว่า รวมทั้ง สถานธนานุเคราะห์ (สธค.) หรือโรงรับจำนำของรัฐ ทั้ง 40 แห่ง ได้ออกมาตรการช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระรายจ่ายดอกเบี้ย ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19 แล้ว เป็นการจัดโปรโมชั่น “จ่ายคนละครึ่ง” ลดดอกเบี้ย 50% แก่ผู้มาใช้บริการที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วงเงินจำนำไม่เกิน 5,000 บาท  เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2564 จำกัด 1 คน 1 สิทธิ์ ต่อ 1 รอบตั๋วจำนำ โดยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ สามารถส่งดอกเบี้ยที่ ณ สาขา หรือผ่านร้าน 7-11 หรือกรุงไทย NEXT ได้ 

“นายกฯ มีความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนให้เบ็ดเสร็จ โดยมอบหมายคณะทำงาน ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจ (ศบศ.) ที่มีรองนายกรัฐมนตรี สุพัฒนพงศ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นผู้รับผิดชอบ โดยเน้นการขับเคลื่อน 3 เรื่องควบคู่กัน คือ การให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน การกำกับดูแลเจ้าหนี้เพื่อให้สินเชื่ออย่างเป็นธรรม และการปรับโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยปัญหาหนี้สิน ทั้งนี้ ในทางปฏิบัติจะประกอบด้วยมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว อาทิ การใกล่เกลี่ยหนี้สินลดการดำเนินคดี เช่น หนี้กยศ. หนี้สหกรณ์ การปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ อาทิ สหกรณ์ สินเชื่อรายย่อยPICO และ NANO การส่งเสริมการแข่งขันให้ดอกเบี้ยถูกลง การเพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุน เป็นต้น ซึ่งความคืบหน้าการแก้ปัญหาจะมีการรายงานให้ท่านนายกทราบอย่างต่อเนื่อง” น.ส.รัชดา กล่าว

รองนายกฯ ศก. เผย บิ๊กตู่ จ่อลงภูเก็ต 1 ก.ค. นับหนึ่งเปิดประเทศให้ รอฟัง ศบค.ชุดใหญ่เคาะมาตรการผ่อนปรนวันนี้ แนะ ปชช.ต้องช่วยกัน อย่าโยนภาระให้รัฐบาล

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะลงพื้นที่จ.ภูเก็ต ในวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ ว่า วันที่ 1 กรกฎาคม เป็นวันเปิดโครงการวันแรก ส่วนก่อนหน้านั้นคงมอบหมายผู้ที่เกี่ยวข้องลงไปเตรียมความพร้อม ผู้สื่อข่าวถามถึงการประชุมศบค.ชุดใหญ่ในวันนี้จะผ่อนคลายมาตรการใดเป็นพิเศษหรือไม่ รองนายกฯ กล่าวว่า ขอให้รอฟังผลการประชุมศบค. ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คงได้เตรียมข้อมูลในส่วนที่เหมาะสม เมื่อถามว่า นอกจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์แล้วเห็นว่ากำลัวจะเปิดเกาะ ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจ.สุราษฎร์ธานีด้วย นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า ขอให้รอฟังผลการประชุมศบค. ที่ชัดเจน คงมีการเสนอในวาระเพื่อหารือ และจะผ่อนคลายอย่างไรหรือไม่ อย่างไรก็ตามการผ่อนคลายมาตรการนั้น ย่อมให้เกิดการทำธุรกิจในประเทศได้คล่องตัว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทางการแพทย์ยังมีความคิดเห็นว่าไม่ต้องการให้เปิดประเทศอย่างเต็มที่ รองนายกฯ กล่าวว่า คงหารือกันมาก่อน โดยทีมเลขา ศบค. มีองค์คณะร่วมประชุมหลากหลายสาขา ก่อนที่จะมีข้อสรุปเพื่อนำเสนอ ต่อศบค. ชุดใหญ่รวมถึงความเป็นห่วงของทุกคนและฝ่ายต่างๆ และคงได้หารือกันแล้ว ในที่ประชุมศบค. ชุดเล็ก ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลกำหนดไทม์ไลน์ที่ชัดเจนว่าห้วงเวลา 120 วัน จะทำอะไรบ้าง รองนายกฯ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าศบค. คงนำเสนอและขอให้ติดตามกัน

"แต่ที่สำคัญ ทันทีที่รัฐบาลประกาศ คนมักจะมองว่าเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง แต่สำคัญที่สุดคือพวกเรา ที่ต้องรู้ทิศทางประเทศ ว่าทิศทางเช่นนี้เป็นเรื่องที่ดี ใครๆ ก็อยากให้เปิดประเทศ เราควรจะดีใจ ที่วันนี้เรามีเป้าหมาย และก็รู้แล้วว่าช่วง 120 วัน พวกเราก็เตรียมตัวเตรียมใจสนับสนุน ช่วยกันคิดช่วยกันทำ ทำอย่างไรให้ประเทศเปิดได้ เป็นไปไม่ได้หรอกที่รัฐบาลจะทำคนเดียว เราต้องลุกขึ้นมาแล้วกลับมาคิดเหมือนกันว่า แต่ละหน่วยงาน และประชาชนทุกคน แล้วอย่างที่ผมเคยบอกแล้วว่าเอกชนก็ปรับตัวในทันทีเปิดประตูที่ภูเก็ต เขาก็จะอาศัยภูเก็ตทำการค้าขายและพบประเทศพันธมิตร พูดคุยกันในภาคการลงทุน ตอนนี้เป็นอีกมุมหนึ่งนอกจากภาคการท่องเที่ยว 

ดังนั้นถ้าปรับตัวตามลำดับถือเป็นเรื่องที่ดีขึ้นเพื่อให้เราปรับปรุงทำให้ดีขึ้น อะไรที่ควรจะปรับปรุงก็ยินดีที่จะปรับปรุง ถือเป็นความร่วมมือและเตรียมพร้อม เข้าไปสู่ความร่วมมือที่จะช่วยรัฐบาลเดินไปข้างหน้า ผมไม่อยากให้พวกเราคิดว่า พอรัฐบาลประกาศปุ๊บ แล้วก็นั่งเฉยๆ เพื่อรอดูว่านายกฯ หรือรัฐบาลจะทำอะไร แล้วเราจะได้ประโยชน์จากตรงนั้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลฝ่ายเดียวมันคงไม่ใช่ ส่วนพื้นฐานของพวกเราทุกคนก็คือการควบคุมการระบาด ให้ปลอดภัย ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาด ตรงนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในระดับประชาชน" 

นายสุพัฒนพงษ์ กล่าวว่า วันนี้เราจะรอดูจาก ผลพวงของการเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ โดยในวันที่ 25 มิถุนายน ผู้แทนของรัฐบาลจะลงไปเตรียมความพร้อมในทุกด้าน ตนยังเชื่อมั่นในชาวจังหวัดภูเก็ต ผู้ประกอบการจังหวัดภูเก็ต รวมถึงทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะหน่วยงานด้านสาธารณสุข ที่ช่วยกันดูทุกด้านอย่างรอบคอบอยู่แล้ว ตนถึงได้ย้ำว่า อย่าไปเพียงตั้งข้อสงสัยแล้วรอให้ใครมาบอก แต่เราสามารถค้นหาติดตามได้ โดยสอบถามจากผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต หรือหน่วยงานจากจังหวัดภูเก็ตก็ได้ว่า ได้เตรียมภาคสนามไว้อย่างไร มีความพร้อมแค่ไหน การควบคุมดูแลและตรวจการเป็นอย่างไร ขอให้รอ ไม่ใช่รอให้ส่วนกลางรอสั่งลงไป เพราะทันทีที่จังหวัดภูเก็ตได้รับทราบว่าเขาได้รับการสนับสนุน เขาก็ขยับตัวทันก่อนที่จะลงมือทำ เพราะเห็นประโยชน์ ซึ่งเชื่อว่าเขาทำในฐานะประเทศไทย มีความตระหนักเป็นอย่างดีและทำอย่างเต็มที่ เพราะรู้ว่าการเปิดประเทศผ่านเมืองเขาเป็นเมืองแรก เป็นสิ่งที่อยากจะทำให้เกิดและอยากทำให้ดีด้วย ซึ่งประเทศไทยจะได้ประโยชน์จากสิ่งนี้ โดยผู้ประกอบการได้เตรียมความพร้อมตามลำดับ เพื่อให้ประเทศประเทศทยอยทดสอบการเปิดประเทศผ่านช่องทางเล็กๆ ของเราคือภูเก็ต

“แรมโบ้" เหน็บ “โฆษก พท. สวยแต่หน้า หลังไม่ฟังกระแสปชช. พอใจ” นายกฯ-รบ. ประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วัน ชี้ หากไม่ช่วย อย่าเอาเท้าราน้ำ ขัดขวางทุกเรื่อง 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวกรณีที่ น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) วิพากษ์วิจารณ์นายกรัฐมนตรี เตรียมเปิดประเทศใน 120 วัน โดยถามถึงความเสี่ยง และความพร้อมของการฉีดวัคซีนครบหรือไม่นั้น ว่า นายกฯรับทราบสถานการณ์ประเทศเป็นอย่างดีว่าขณะนี้เป็นอย่างไร เพราะทำงานแก้ไขปัญหาโควิดมาตลอด พิจารณาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกควบคู่กันไป รวมทั้งพยายามรักษาสมดุลระหว่างสุขภาพและปากท้องประชาชนทุกกลุ่ม ส่วนที่ออกแถลงการณ์เตรียมเปิดประเทศในอีก 120 วัน เริ่มจากจังหวัดภูเก็ต ทราบดีว่ารัฐบาลเตรียมที่จะทำอะไรอยู่ ซึ่งแม้จะยอมรับว่ามีความเสี่ยงอยู่บ้างจากการระบาดของเชื้อโควิด แต่นายกฯอยากให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวขึ้น เพราะทุกอย่างต้องมีแผน ต้องเตรียมการล่วงหน้า ต้องมีเป้าหมายร่วมกันของทุกภาคส่วน ไม่ใช่อยู่อย่างหวาดผวาจนเกินเหตุ จนละทิ้งความกล้าเผชิญหน้าอย่างมีเหตุผล และมีความรู้เท่าทันสถานการณ์

นายเสกสกล  กล่าวว่า การประกาศเปิดประเทศของนายกฯ มั่นใจว่านายกฯ ไม่ได้คิดเอง แต่อยู่ในฐานะผู้นำที่จะต้องตัดสินใจนำพาประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หรือดีที่สุด บนพื้นฐานของการศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้าน จากคณะที่ปรึกษาต่างๆ เชื่อมั่นว่าจากนี้ไปจนถึง 120 วัน นายกฯ รัฐบาล บุคลากรทางการแพทย์ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันหารือเพื่อหามาตรการให้รัดกุมมากที่สุดก่อนที่จะเปิดประเทศ มีการประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นรายวัน ขณะเดียวกันเชื่อว่าเมื่อถึงเวลา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่น่าจะได้ฉีดวัคซีนครบแล้ว เช่นเดียวกันกับคนไทยที่ ศบค. ยืนยันแล้วว่าภายในเดือนตุลาคมนี้คนไทยจะต้องได้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 จำนวน 50 ล้านคน เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ 

นายเสกสกล  กล่าวว่า หากโฆษกพรรคพท.หรือแม้แต่คนในพรรคไม่อยากช่วยเหลือประชาชน และประเทศชาติ ขอย้ำว่า มือไม่พายอย่าเอาเท้าราน้ำ ขัดขวางไปทุกเรื่อง แม้ว่านายกฯ และรัฐบาล จะทำดีแค่ไหน เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศชาติ พรรคพท.จะออกมาตำหนิ ขัดขวาง และจะสนใจเฉพาะผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเอง อาศัยจังหวะที่ประเทศเกิดวิกฤต เรียกร้องให้นายกฯลาออก เพราะมีความหวังว่าจะเข้าไปเป็นรัฐบาล ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนของพรรคพท.ถึงไม่อยากให้ประเทศพ้นวิกฤตตรงนี้ให้ได้ก่อน  

“โฆษก พท. หน้าตาดูสวยดี แต่ความคิดกลับดูไม่สวยงามเหมือนหน้าตาเอาเสียเลย ไม่ลองหัดไปฟังกระแสตอบรับจากประชาชนดูบ้างว่า สิ่งที่นายกฯต้องการเปิดประเทศเพื่อเศรษฐกิจฟื้นกลับคืนสู่ภาวะปกติ เป็นสิ่งที่ดีที่จะทำให้ประเทศไทยรอดพ้น น่าเสียดายความคิดที่ดูไม่สวยงามเอาเสียเลย ขอถามกลับสักคำ ความคิดสั้นๆแคบๆเพียงแค่นี้ เป็นความคิดส่วนตัว หรือเป็นมติพรรค ผมจะได้ป่าวประกาศให้คนไทยได้รับรู้ว่า พรรคพท.ไม่เอาด้วย เพราะไม่อยากให้ประชาชนกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ต้องการให้เศรษฐกิจดีขึ้น และไม่ต้องการให้คนไทยพ้นภัยจากโควิดร้าย" นายเสกสกล กล่าว

IMD ประกาศขีดความสามารถแข่งขันไทยดีขึ้น 1 อันดับ 

“ธีรนันท์ ศรีหงส์” ประธานสมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เปิดเผยผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยสถาบันการจัดการนานาชาติ หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 64 ว่า ประเทศไทยมีอันดับที่ดีขึ้น 1 อันดับจากปีก่อน มาอยู่ในอันดับที่ 28 จาก 64 เขตเศรษฐกิจในปีนี้ โดยผลจากวิกฤตการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมาถึงปีนี้ ทำให้คะแนนสุทธิเฉลี่ยของทั้ง 64 เขตเศรษฐกิจลดลงจาก 71.82 ในปี 63 เหลือเพียง 63.99 จากคะแนนเต็ม 100 ในปี 64 ขณะที่ประเทศไทยยังคงมีคะแนนสุทธิในปีนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยโดยอยู่ที่ 72.52 โดยลดลงเล็กน้อยจาก 75.39 ในปี 63 

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาผลการจัดอันดับของไทยในปัจจัยหลัก 4 ด้าน พบว่ามีผลการจัดอันดับดีขึ้น 3 ด้านเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน คือ ด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ ดีขึ้น 3 อันดับ จากอันดับที่ 23 มาอยู่ที่อันดับ 20 ด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับที่ 23 มาอยู่ที่อันดับ 21 และด้านโครงสร้างพื้นฐาน ดีขึ้น 1 อันดับ จากอันดับที่ 44 มาอยู่ที่อันดับ 43 

ขณะที่ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ มีอันดับลดลงถึง 7 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 21 โดยประเด็นสำคัญมาจากด้านการค้าระหว่างประเทศที่มีอันดับลดลงจากอันดับที่ 5 เป็นอันดับที่ 21 ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกภาคบริการที่พึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลักมีอันดับลดลงค่อนข้างมากจากผลกระทบของสถานการณ์โควิด-19

ด้านภาพรวมในระดับโลก เขตเศรษฐกิจที่มีอันดับความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุด 5 อันดับแรกในปีนี้ อันดับ 1 สวิตเซอร์แลนด์ อันดับ 2 สวีเดน อันดับ 3 เดนมาร์ก อันดับ 4 เนเธอร์แลนด์ และอันดับ 5 สิงคโปร์
 

“วิรัช” รับ กระแสดัน “ธรรมนัส” เสียบเลขาฯ เป็นความจริง ย้อนสื่อ ข้อมูลเหมือนอยู่ในเหตุการณ์

ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติขอนแก่น นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมใหญ่พรรค ถึงความชัดเจนที่จะมีการเสนอชื่อร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคว่า มีความใกล้เคียง ขอให้รอการประชุมอย่างเป็นทางการก่อน ซึ่งคิดว่าใช้เวลา 2-3 ชม.ก็เรียบร้อย ดังนั้นสิ่งที่จะพูดล่วงหน้า ของให้ผ่านที่ประชุมเสียก่อน 

เมื่อถามว่าจะมีการเสนอชื่อเพียงชื่อเดียวใช่หรือไม่นายวิรัช กล่าวว่า ก็ทำนองนั้น ต่อข้อถามว่าก่อนการเสนอชื่อได้มีการหารือกับกลุ่มต่างๆ ของพรรคหรือไม่ นายวิรัช กล่าวว่า เมื่อสักครู่ก็อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ว่าจะเป็นคนเก่าหรือว่าที่คนใหม่ ทุกอย่างอยู่พร้อมกันหมด

เมื่อถามว่าขณะนี้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรรค ได้ลาออกจากตำแหน่งแล้วหรือยัง นายวิรัช กล่าวว่า วันนี้ข่าวลงไปทุกอย่างหมดแล้วก็เลยไม่รู้จะตอบอย่างไร ต่อข้อถามว่าข่าวที่เสนอออกไปเกี่ยวกับตำแหน่งต่างๆ จะ อาทิ รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการ ตรงกับความจริงใช่หรือไม่ นายวิรัช กล่าวว่า เหมือนกับนั่งอยู่ในเหตุการณ์ การประชุมวันนี้ตำแหน่งกรรมการพรรคจะมีสัดส่วนลดลง ส่วนการเปลี่ยนตัวเลขาฯพรรค เพื่อเตรียมการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในอีก 2 ปีข้างหน้า เพราะนายกฯรัฐมนตรีบอกว่าจะอยู่ครบวาระ

ชุมชนหลังวัดปทุมฯ ร้องโควิดระบาดอีกรอบ พบคนติดเชื้อแล้วเกือบ 60 คน กักตัวอีก 60 ครัวเรือน วอนขอรถตรวจเชื้อเคลื่อนที่ด่วน

นายใจพิชญ์ สุขุมาลจันทร์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เขตปทุมวัน พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในชุมชนหลังวัดปทุมวนาราม กลับมาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะอีกครั้ง ภายหลังจากที่เกิดการระบาดรอบที่แล้วกรณีคลัสเตอร์ห้างดังย่านปทุมวัน จึงขอเรียกร้องสำนักงานเขตขอรถตรวจเชื้อเคลื่อนที่เข้ามาตรวจหาเชื้อคนในชุมชนหลังวัดปทุมวนารามโดยด่วน ทั้งนี้จากการที่ตนพร้อมด้วยครูประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิดวงประทีป ลงพื้นที่ชุมชนหลังวัดปทุมวนารามหลังได้รับการร้องเรียนจาก น.ส.สุวรรณวิลาศ จันทร์เดชะ ผู้นำชุมชนหลังวัดปทุมวนารามว่าขณะนี้ชุมชนหลังวัดปทุมวนาราม พบการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างน่าเป็นห่วงอีกครั้งภายหลังจากที่พบการระบาดของรอบที่แล้วจากกรณีคลัสเตอร์ห้างดังเมื่อเดือนก่อน โดยช่วงเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อแล้วมากกว่า 60 คนและค่อยๆ ทยอยส่งตัวไปรักษาตามขั้นตอนในโรงพยาบาลจนขณะนี้ ยังเหลือผู้ติดเชื้อในชุมชนอีกประมาณ 10-20 คน 

นายใจพิชญ์ กล่าวอีกว่า ปัญหาหลักที่ผ่านมา คือภาครัฐไม่ใส่ใจแก้ปัญหาโควิดระบาดในชุมชนอย่างจริงจัง ยกตัวอย่างคลัสเตอร์ห้างดังรอบที่แล้ว รัฐแก้ปัญหาให้แต่คนรวย คือมาตรวจเชื้อในชุมชนจริง แต่ตรวจให้แต่พนักงานของห้างและคนใกล้ชิดเท่านั้น คนในชุมชนมีเป็นพันคน เขาตรวจแค่ 3-4 ร้อยคนแล้วก็กลับไป แต่คนในชุมชนอีก 5-6 ร้อยคนที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างแออัด กลับไม่ตรวจหาเชื้อให้เขา พอเรียกร้องไปที่สำนักงานเขตก็บอกให้ไปตรวจเชื้อกับรถตรวจเชื้อที่กระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ เอาเอง โดยที่คนในชุมชนทั้งหมดเป็นแรงงานหาเช้ากินค่ำ การลาไปตรวจหาเชื้อไกลๆ ต้องลางาน ขาดรายได้ และไม่ได้มีหลักประกันว่าจะได้ตรวจ 

นอกจากนี้ชาวชุมชนหลังวัดปทุมวนารามก็ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด แต่ก็ไม่กล้าไปถาม ผอ.เขต ผู้นำชุมชนก็ไม่กล้าร้องเรียนบ่อยเพราะกลัวถูกเพ่งเล็ง วิธีการทำงานแบบลูบหน้าปะจมูกแบบนี้ ชาวชุมชนหลังวัดปทุมวนารามไม่สบายใจ อยากให้เห็นคนจนได้รับการปฏิบัติดูแลรักษาพยาบาลอย่างเท่าเทียมแม้ในยามป่วยไข้แบบนี้ ทั้งนี้ ชาวชุมชนหลังวัดปทุมวนารามกังวลกับการกลับมาระบาดใหม่รอบนี้  เพราะยังมีผู้ติดเชื้อคงค้างอยู่ในชุมชนอีกประมาณ 15-20 คน และมีผู้มีความเสี่ยงสูงกักตัวอีก 60 ครัวเรือน จึงอยากขอรถตรวจเชื้อเคลื่อนที่เข้ามาตรวจเชื้อโดยด่วน และแยกตัวผู้ป่วยออกไปโดยเร็วที่สุด ก่อนที่จะกลายเป็นคลัสเตอร์ระลอกสองเร็วๆ นี้

ประวัติศาสตร์ดำมืดของ “Chinatown” กับการกดขี่ชาวจีนในสหรัฐอเมริกา (ตอนที่ 1)

หากพูดถึง Chinatown หรือ “ย่านคนจีน” ทุกคนคงคุ้นเคยกันดีกับภาพของ “เยาวราช” ถิ่นของคนไทยเชื้อสายจีน ที่มีผู้คนเดินกันอย่างพลุกพล่านและมีอาหารอร่อยอยู่ตลอดสองข้างทาง 

และหลายคนคงทราบว่า Chinatown แบบนี้ยังมีในอีกหลายประเทศทั่วโลก แต่ไม่ใช่ทุกประเทศที่ชาวจีนจะมีประวัติศาสตร์อันน่าจดจำ เหมือนชาวจีนโพ้นทะเลที่มาอาศัยอยู่ในแผ่นดินสยาม

สหรัฐอเมริกาก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ชาวจีนมี “ประวัติศาสตร์อันขมขื่น” ก่อนการก่อตั้ง Chinatown ที่มีชื่อเสียงได้แบบที่เห็นในปัจจุบัน Chinatown ในอดีตถูกคนผิวขาวมองว่าเป็น “สิ่งโสโครก” (Filth) ที่รวมของ “เผ่าพันธุ์ที่มีจริยธรรมต่ำช้า” มาก่อน ก่อนที่จะกลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมีชื่อเช่นในปัจจุบัน

ภาพวาดและภาพถ่ายย่าน Chinatown ในเมืองซานฟรานซิสโกหลังการบูรณะเมือง

จุดเริ่มต้นมาจากการที่ชาวจีนจำนวนหนึ่งอพยพไปยังสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1800s โดยส่วนใหญ่ไปรับจ้างตามเหมืองทอง การก่อสร้างทางรถไฟ และโรงงานอุตสาหกรรม ในฐานะแรงงานราคาถูกที่ไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย

ครั้นพอถึงช่วงเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกาตกต่ำระหว่างปี 1873-1879 ชาวอเมริกันจำนวนมาก ต่างพากันพุ่งความเกลียดชังมายังแรงงานจีนในประเทศ ว่าเป็นผู้แย่งงานของชาวอเมริกันผิวขาว จนนำไปสู่การสร้างทัศนคติเหยียดเผ่าพันธุ์ การเขียนการ์ตูนล้อเลียนชาวจีน ให้ดูอัปลักษณ์น่าเกลียด อ่อนแอ และเรียกชาวจีนว่าเป็น “ภัยเหลือง” (Yellow Peril)

ภาพการ์ตูนแสดงทัศนคติของชาวอเมริกันที่มีมองว่าชาวจีนอพยพเป็นภัยเหลืองที่คุกคามสังคมอเมริกัน

ตามมาด้วยการออก “กฎหมายกีดกันชาวจีน” (Chinese Exclusion Act) ในปี 1882 ซึ่งห้ามมิให้แรงงานอพยพชาวจีนอพยพมายังสหรัฐอเมริกา

และยังระบุให้ชาวจีนที่ตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ เป็นคนต่างด้าว ที่ไม่มีสิทธิเป็นพลเมืองสหรัฐฯ รวมถึงจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ เช่น ชาวจีนไม่มีสิทธิซื้อที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ ไม่สามารถจดทะเบียนตั้งกิจการได้ และไม่มีสิทธิในการพิสูจน์หลักฐานหรือเป็นพยานในชั้นศาล

กฎหมายกีดกันชาวจีน ปี 1882

ความเกลียดชังของคนอเมริกันที่มีต่อชาวเอเชีย นำไปสู่อาชญากรรมและความรุนแรงต่อชาวอเมริกันเชื้อสายจีนในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง

ปี 1871 มีการรุมประชาทัณฑ์ ด้วยการแขวนคอชาวจีน 18 ราย ในเมืองลอสแองเจลิส

ปี 1885 มีการสังหารหมู่แรงงานเหมืองชาวจีน 25 รายในเมืองไวโอมิ่ง

ปี 1885 มีกลุ่มคนผิวขาวชุมนุมขับไล่คนจีนที่ตั้งถิ่นฐานออกจากเมืองยูเรก้า

เหตุการณ์เหล่านี้พบได้ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในระหว่างปี 1849-1906 มีเหตุการณ์การขับไล่ และสังหารหมู่ชาวจีนเกิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียถึงกว่า 200 ครั้ง

ภาพการ์ตูนที่แสดงความรังเกียจของชาวอเมริกันที่มีต่อชาวจีนอพยพ

ภาพวาดที่สื่อว่าแรงงานราคาถูกชาวจีน เป็นเสมือนฝูงตั๊กแตนที่กำลังทำลายไร่นาของชาวอเมริกัน

ภาพวาดแสดงเหตุการณ์สังหารหมู่ชาวจีนในเมือง Wyoming ปี 1885

ชาวจีนจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา อพยพหนีมายังเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งมีชาวจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ด้วยมองว่าน่าจะเป็นหนทางเดียวที่ตนจะมีพวกพ้องและมีความปลอดภัยมากขึ้น

ถึงกระนั้นก็ยังมีกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการที่ชาวจีนจะเช่าที่อยู่อาศัย ทำให้ชาวจีนมาอาศัยรวมตัวกันในเขตตะวันออกของเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Chinatown ในปัจจุบัน โดยในย่านคนจีนนั้นมีธุรกิจเกิดขึ้นมาก เนื่องจากชาวจีนใน Chinatown จะค้าขายสินค้ากับชาวจีนแผ่นดินใหญ่

ย่าน Chinatown ในเมืองซานฟรานซิสโก ปี 1900

แต่เมื่อส่องลงไปในย่าน Chinatown เราจะพบว่า ลักษณะทางสถาปัตยกรรมของย่านนี้ ไม่ได้เหมือนกับ Chinatown ในซานฟรานซิสโกในปัจจุบัน 

อาคารเป็นตึกแถวสไตล์ยุโรปแบบที่พบเห็นได้ทั่วไป โดยที่ชาวจีนจะแสดงอัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมของตน ด้วยการนำของประดับตกแต่ง เช่น ป้ายขนาดใหญ่ที่มีภาษาจีนเขียนอยู่บนป้าย โคมไฟจีน หรือยันต์มาแปะไว้ที่ตัวอาคาร เพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตน

Chinatown ปี 1901 (ภาพจากห้องสมุดสาธารณะเมืองซานฟรานซิสโก)

ชาวจีนประดับตกแต่งตึกแถวที่ตนเช่าใน Chinatown ด้วยโคมไฟและป้ายอักษรจีน เพื่อสร้างอัตลักษณ์ให้กับที่อยู่อาศัยของตนเอง (ภาพจาก VOX : The surprising reason behind Chinatown's aesthetic)

เมื่อเมืองซานฟรานซิสโกขยายตัวขึ้น ย่าน Chinatown กลายมาเป็นที่หมายปองของนายทุนผิวขาวที่มองว่าสามารถทำเงินได้จำนวนมหาศาลจากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจในที่ดินผืนนี้

คำที่ใช้ในหนังสือพิมพ์ในยุคนั้นเป็นตัวสะท้อนทัศนคติของคนอเมริกันผิวขาวที่มีต่อชาวอเมริกันเชื้อสายจีนและย่าน Chinatown ได้เป็นอย่างดี เช่น 

“ทางการซานฟรานซิสโกจะทำการกำจัดพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยความโกลาหลและสิ่งโสโครก” (San Francisco Will Get Rid of Sixteen Square Blocks Turmoil of Turmoil and Filth) เพื่อให้เหมาะสมกับพ่อค้าผิวขาว (suitable to Caucasian merchant)  

“ที่ว่างซึ่งถูกใช้เหมือนที่ทิ้งขยะ” (Vacant Space Used As Dumps) และ “ผู้จัดการทรัพย์สินจะลงไปสำรวจย่านคนจีนที่แสนจะโสโครก” (Trustees Inspect Filthy Chinatown) 

แผนที่ย่าน Chinatown ปี 1885 ที่จัดทำโดยคณะกรรมการทีปรึกษาพิเศษของเมือง

นอกจากนี้คณะกรรมการที่ปรึกษาพิเศษของเมืองซานฟรานซิสโก ยังได้จัดทำผังรายงานกิจการในย่าน Chinatown โดยเน้นไปที่โรงฝิ่น, ซ่องโสเภณี และบ่อนการพนัน ซึ่งในรายงานของคณะกรรมการอีกฉบับได้ระบุว่า เป้าหมายของรายงานเกี่ยวกับย่าน Chinatown ก็เพื่อ “เปิดเผยศีลธรรมอันต่ำช้า การกระทำอันโหดร้ายป่าเถื่อน และบรรดาสิ่งชั่วร้ายที่เผ่าพันธุ์นี้เป็นอยู่”

ภาพประกอบจาก VOX : The surprising reason behind Chinatown's aesthetic

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นได้ถึงทัศนคติของชาวอเมริกันผิวขาวที่มีต่อชาวจีนว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม สิ่งโสโครก เป็นเผ่าพันธุ์ชั่วร้ายที่ฝังตัวอยู่ในสังคมอเมริกัน โดยเฉพาะเมื่อมีวิกฤตอย่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ความเกลียดชังเหล่านี้ยิ่งทวีความรุนแรง

ไม่ต่างจากในยุคปัจจุบันที่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วประเทศ ได้ทำให้ชาวอเมริกันพุ่งความเกลียดชังที่มีต่อชาวจีน หรือ ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชีย ดังที่เห็นได้จากสถิติอาชญากรรมต่อชาวเอเชียที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไวรัสโควิด-19 ระบาด

ภาพซ้าย การเดินขบวนต่อต้านอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังต่อชาวเอเชียของคนในย่าน Chinatown หลังเหตุทำร้ายร่างกายคนอเมริกันเชื้อสายจีนและเอเชียจำนวนมากในปี 2020, ภาพขวา สถิติอาชญากรรมแห่งความเกลียดชังต่อชาวเอเชียในสหรัฐอเมริกา ที่พุ่งสูงขึ้น 149% ระหว่งปี 2019-2020

สำหรับตอนที่ 2 เราจะมาต่อกันกับ “ชะตากรรมและจุดพลิกผัน” ของย่าน Chinatown ในซานฟรานซิสโก ที่พลิกจากวิกฤตกลายมาเป็นโอกาสในการอยู่รอด จนสามารถรักษาอัตลักษณ์และความเป็นชุมชนชาวจีนมาได้จวบจนปัจจุบัน

 

ข้อมูลอ้างอิง 

National Geographic: The bloody history of anti-Asian violence in the West
https://www.nationalgeographic.com/history/article/the-bloody-history-of-anti-asian-violence-in-the-west

VOX: The surprising reason behind Chinatown's aesthetic
https://www.youtube.com/watch?v=EiX3hTPGoCg

History Channel: Chinese miners are massacred in Wyoming Territory
https://www.history.com/this-day-in-history/whites-massacre-chinese-in-wyoming-territory

Los Angeles Almanac: 1871 Chinese Massacre
http://www.laalmanac.com/history/hi06d.php

  หนังสือพิมพ์ The Topeka Herald วันที่ 4 พฤศจิกายน 1905 
  หนังสือพิมพ์ The Evening Bee วันที่ 29 มีนาคม 1900


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes 
คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

กทม.แจ้ง!! ได้รับจัดสรรวัคซีนโควิด 420,000 โดส พร้อมฉีดกลุ่ม 60 ปีขึ้นไปและกลุ่ม 7 โรคประจำตัว ด้านประชาชน ถูกเท 'หมอพร้อม-ไทยร่วมใจ' รอรับนัดใหม่ ได้เลย

ทางกทม. ได้โพสต์เฟซบุ๊ก กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์ แจ้งว่า กรุงเทพฯ ได้รับการจัดสรรวัคซีนแอสตร้าเซเนก้า จำนวน 35,000 ขวด หรือประมาณ 350,000-420,000 โดส (1 ขวดฉีดได้ 10-12 โดส) และพร้อมจะทำการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนที่ถูกเลื่อนนัดฉีดวัคซีนระหว่างวันที่ 14-20 มิถุนายน ทั้งกลุ่มที่จองฉีดวัคซีน ผ่าน 'หมอพร้อม' และ 'ไทยร่วมใจ'

ทั้งนี้ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ให้เร่งประสานนำไปฉีดให้แก่ผู้ที่ถูกเลื่อนนัดจากการลงทะเบียนผ่านระบบ 'หมอพร้อม' 14 มิ.ย.-30 มิ.ย. และ บางส่วนของ 'ไทยร่วมใจ กรุงเทพฯ ปลอดภัย'

โดยได้จัดสรรวัคซีนดังกล่าวให้โรงพยาบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 126 แห่ง เพื่อให้บริการแก่กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค จำนวน 25,000 ขวดหรือเกือบๆ 300,000 โดส

และจัดสรรให้หน่วยความร่วมมือบริการวัคซีนนอกโรงพยาบาลทั้ง 25 หน่วย เพื่อให้บริการกับประชาชนทั่วไป จำนวน 10,000 ขวดหรือประมาณ 100,000-120,000 โดส

ในส่วนของผู้สูงอายุและผู้ป่วยเรื้อรัง 7 กลุ่มโรคที่เลื่อนนัดก่อนหน้านี้ เนื่องจากแต่ละโรงพยาบาลกำหนดวันไม่เหมือนกัน ทางโรงพยาบาลที่มีชื่อจองวัคซีนไว้จะแจ้งกำหนดวันให้บริการวัคซีนผ่านช่องทางของโรงพยาบาลนั้นๆ

ส่วนประชาชนที่แจ้งความประสงค์ผ่านระบบ 'ไทยร่วมใจ กรุงเทพฯ ปลอดภัย' สามารถติดตามข้อมูลได้ทางเพจ ไทยร่วมใจกรุงเทพฯ ปลอดภัย และเพจกรุงเทพมหานคร โดยสำนักประชาสัมพันธ์

 

ที่มา: https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E/149690


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top