Saturday, 5 July 2025
TheStatesTimes

"กรณ์" ผนึกคนสายเทค กระตุก ก.ล.ต.ควบคุมคริปโต ชี้ ! ราชการควรส่งเสริม และกำกับดูแลอย่างเหมาะสม 

สืบเนื่องจากคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีมติเห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยห้ามให้บริการโทเคนดิจิทัลพร้อมใช้ และคริปโทเคอร์เรนซีตามที่กำหนด พร้อมทั้งกำหนดให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ต้องจัดให้มีข้อกำหนดว่า ในกรณีของโทเคนดิจิทัลที่ออกโดยศูนย์ซื้อขายหรือเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขาย หากผู้ออกโทเคนดิจิทัลนั้นไม่ทำตาม white paper และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในสาระสำคัญ จะเป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนออกจากศูนย์ซื้อขายได้ โดยระบุว่าเพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น 

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ได้เห็นประกาศของ กลต. เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมากรณีห้ามศูนย์ซื้อขาย นำเหรียญ Utility Tokens พร้อมใช้ 4 ประเภท (Meme, FAN, NFT, Native coins) ขึ้นกระดานซื้อขาย ซึ่งพออ่านดูแล้วก็รู้สึกประหลาดใจว่าทำไม ก.ล.ต. ถึงมีแนวคิดปิดกั้นในเรื่องเหล่านี้ เลยพูดคุยกับทีม Tech ในพรรคกล้า และสอบถามความเห็นของพี่ๆ น้องๆ ในวงการ Fintech พอสรุปได้ว่าประกาศของ ก.ล.ต. มีความไม่ชัดเจน ปิดกั้นโอกาสของคนไทยในการใช้เทคโนโลยีบล็อคเชนในการสร้างนวัตกรรม 

“กฎที่ออกมาอย่างเร่งรีบไม่ได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์จากผู้ประกอบการและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และข้อห้ามที่ออกมานั้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในระดับนานาชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่ประเทศกำลังมองหาธุรกิจ S-curve ใหม่ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ภาครัฐกลับปิดกั้นการเกิดขึ้นของอุตสาหกรรมใหม่ที่อาศัยเทคโนโลยีบล็อคเชน รวมถึงคริปโต แล้วอนาคตการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศจะเป็นอย่างไร” นายกรณ์ กล่าว 

อดีต รมว.คลัง กล่าวด้วยว่า ในมุมของ ก.ล.ต. เอง เข้าใจว่าต้องการป้องกันความเสี่ยงให้ผู้บริโภค แต่เชื่อหรือไม่ว่ากฏเหล่านี้ไม่ได้ช่วยให้ความเสี่ยงหมดไป เพราะธุรกรรมคริปโตเป็นธุรกรรมที่ไร้พรมแดน ซ้ำร้ายกลับทำให้ประเทศสูญเสียโอกาส คือ ลดโอกาสของการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆในประเทศ ลดโอกาสของคนในการพัฒนาตนเองสู่ทักษะและเครื่องมือที่สำคัญ สำหรับยุคดิจิตอล ซึ่งเป็นตัวชี้วัดขีดความสามารถทางการแข่งขันกับต่างประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต กฏข้อบังคับในครั้งนี้เป็นการผลักไสทรัพยากรคนที่มีความสามารถและนวัตกรรมออกนอกประเทศ ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถดึงดูดนวัตกรรมและการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศได้ ซึ่งถือเป็นผลเสียมากกว่าผลดีต่อประเทศไทยเอง 

นอกจากนี้ ยังมีความไม่ชัดเจนของกฎบางข้อเช่น  

1.การนิยาม Meme และ FAN tokens ยังขาดรายละเอียดตัวชี้วัดว่า เหรียญแบบไหนถือว่ามีสาระที่สมควรอนุญาตให้ซื้อขายในกระดานซื้อขายไทย

2.การกีดกัน NFT ซึ่งถือเป็น Softpower อีกหนึ่งเครื่องมือเศรษฐกิจยุคดิจิตอล  โดยถือว่าเป็นของเฉพาะกลุ่ม ถือเป็นการกีดกันการค้าของอุตสาหกรรมศิลปะ บันเทิง และเกมส์ ไม่ให้เกิดการพัฒนาและรับรู้อย่างแพร่หลาย

3.ห้ามศูนย์ซื้อขาย ทำ Native Coins ในระบบ Blockchain ด้วยความกลัวด้านข้อมูลภายใน (Inside Information) ถือเป็นการตระหนกเกินกว่าเหตุ เพราะเมื่อเทียบกับหลักปฏิบัติของตลาดหุ้นสากล ผมยังคงเห็นหุ้นของ NASDAQ, London Stock Exchange และ Singapore Stock Exchange (SGX) ซึ่งถือเป็นกระดานซื้อขายทำ self listing หุ้นตนเอง เมื่อเทียบกับผู้เล่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน คือ Binance (BNB) ผมจึงเสนอว่าสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่การห้ามให้มีหรือไม่มีการทำ self listing แต่อยู่ที่การควบคุมไม่ให้กระดานซื้อขายนำข้อมูลภายในมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของตน

4. ข้อบังคับเหล่านี้ไม่มีผลย้อนหลังสำหรับเหรียญในจำนวนที่ถูกซื้อขายบนกระดานแล้วในปัจจุบัน แต่ห้ามการนำจำนวนเหรียญที่ยังไม่เข้าสู่ระบบมาทำการซื้อขายเพิ่ม ซึ่งเป็นเรื่องยากในการกำกับและติดตาม Exchange อื่นๆจะไม่สามารถทำ Self listing เหรียญของตัวเองที่ใช้ในระบบ Blockchain ได้อีกต่อไป ซึ่งแน่นอนว่าทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในการแข่งขัน เป็นต้น 

นายกรณ์ กล่าวด้วยว่า หลักคิดของระบบราชการไทยไม่ควรเป็นเพียงแค่การกำกับควบคุม แต่ต้องเป็นการส่งเสริมและพัฒนา ผมจึงไม่เห็นด้วยกับ ก.ล.ต. ที่ออกกฏในลักษณะปิดกั้น แต่ควรส่งเสริมและมีบทบาทในการตรวจสอบ มีกติกาชัดเจน เช่น การกำหนดความละเอียดและความสมบูรณ์ของ Whitepaper โดยยังมีพื้นที่ให้กลไกตลาดทำงานได้ โดยไม่เป็นการปฏิเสธความรับผิดชอบ 

นอกจากความคิดเห็นของนายกรณ์แล้ว ทีม Tech ในพรรคกล้า อย่างนางสาวภรณี วัฒนโชติ CEO FinGas นักลงทุนคลิปโต ตั้งแต่ปี 2016 และรองโฆษกพรรคกล้า บอกว่า ไม่เห็นด้วย ด้วยเหตุผล 3 ข้อหลัก คือ

1.ทีมนักพัฒนาเหรียญคนไทย จะหนีไป ICO และซื้อขายเหรียญในต่างประเทศ ประเทศไทยสูญเสียนวัตกรรม และการได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะนวัตกรรม

2.เป็นการกีดกันและลดความสามารถในการแข่งขันของศูนย์ซื้อขายสัญชาติไทย ให้ไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เพราะ ศูนย์ซื้อขายสัญชาติไทยจะ ‘เป็นศูนย์ ที่ไม่เป็น ศูนย์’ คือไม่สามารถเป็นศูนย์รวมของเหรียญที่หลากหลายให้คนได้ซื้อขายอย่างแท้จริง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการชนะคู่แข่งในตลาดโลก และ

3.เมื่อผู้พัฒนาไม่สามารถขึ้นกระดานซื้อขายที่ถูกกฏหมายได้ สุดท้ายจะเข้าซื้อขายในตลาด Defi ซึ่งอยู่นอกเหนือความสามารถในการกำกับของรัฐ และก.ล.ต.จะไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงให้ผู้บริโภคคนไทยได้อยู่ดี เพราะจะไม่สามารถติดตามเหรียญจาการ scam คืนได้จากกระดานซื้อขายนอกการกำกับ เช่น กรณี FBI ตามเหรียญคืนได้จาก Coinbase กระดานซื้อขายภายใต้การกำกับ เป็นต้น การออกกติกาของ ก.ล.ต.ในครั้งนี้จึงมี ผลร้าย กับประเทศมากกว่า ผลดี 

นายยศ เลิศภิญโญภาพ IT Solution Architect และกรรมการนโยบายพรรคกล้า กล่าวว่า NFT คือโอกาสและช่องทางสำหรับการโปรโมตผลงานหรือสร้างรายได้ให้กับกลุ่มคนจำนวนมาก ทัศนคติในการกีดกัน NFT จะไม่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ ออกมา เทคโนโลยีที่หมุนไปเร็ว กลไกตลาด Crypto currency  มันทำงานเร็วขึ้น ดังนั้นภาครัฐยุคใหม่ควรมีบทบาทในการส่งเสริมหาแนวทางป้องกันที่เหมาะสม มากกว่าการปิดกั้นโอกาสในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆของคนไทย 

เช่นเดียวกับ คณิต ศาตะมาน นักเทคโนโลยี ผู้อยู่ในวงการ Blockchain และ Digital Asset  ที่มองว่า ตั้งแต่ยุค ICO จนถึงปัจจุบัน Crypto Currency และ Digital Tokens นั้นทำให้เกิดระบบนิเวศน์ทางเศรษฐกิจดิจิทัลใหม่ๆ ที่สามารถสร้างโอกาสให้กับคนไทยได้หากสามารถสร้างนวัตกรรมที่มีประโยชน์จนคนเห็นคุณค่า แน่นอนว่าการเก็งกำไรย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหาย แต่รัฐก็ไม่ควรจะใช้วิธีขังทุกคนเอาไว้ในห้องด้วยเชื่อว่าพวกเขาจะปลอดภัยหากไม่ได้ออกไปไหน ดังนั้นจึงไม่ควรจะไปตั้งกำแพงกีดกัน Utility Token เหล่านั้นจาก Exchange และที่จริงแล้วควรจะสนับสนุนให้ทำธุรกรรมผ่าน Exchange ด้วยซ้ำ เพราะพวกเขามีกระบวนการยืนยันตัวตนที่ชัดเจนสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดการหลอกลวงได้เป็นอย่างดี แตกต่างกับการสร้าง Market Place และ DeFi ที่ไม่มีกระบวนการตรวจสอบและควบคุมใด ๆ ได้เลย

นครพนม - อบจ.นครพนม ร่วมกับ ร.3 พัน.3 ส่งมอบบ้านให้กับผู้ยากไร้ ยากจน และด้อยโอกาส ในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ตำบลบ้านเอื้อง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม นางสาวศุภพานี โพธิ์สุ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ,ร้อยเอก วันดี สีนวล นายทหารฝ่ายกิจการพลเรือน กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 ผู้แทน พันโท ศรณณัฐ นวลมณี ผบ.ร.3 พัน 3 และส่วนราชการในพื้นที่ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม

ส่งมอบบ้านเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ให้กับนายทองสูรย์ ภักดี บ้านเลขที่ 83 หมู่ที่ 12 บ้านดอนถ่อน ตำบลบ้านเอื้อง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม

การดำเนินโครงการก่อสร้างบ้านเฉลิมพระเกียรติ ฯ เป็นการบูรณาการจากทุกภาคส่วนที่ร่วมมือกันแสดงความจงรักภักดี โดยองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม ร่วมกับกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 และองค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเอื้อง อำเภอศรีสงครามฯพร้อม เป็น 3 หน่วยงานหลัก ในการขับเคลื่อนและดำเนินการก่อสร้างบ้านสำหรับประชาชนผู้ยากไร้ ยากจน และด้อยโอกาส เป็นผู้คัดเลือกผู้ที่มีความเหมาะสมและจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือ

กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง และองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครพนม เป็นผู้สนับสนุนงบประมาณในการก่อสร้าง ซึ่งปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ได้กำหนดการก่อสร้างบ้านเฉลิมพระเกียรติฯ จำนวน 10 หลัง และในการส่งมอบบ้านให้กับบ้านหลังนี้เป็นหลังที่ 7 ที่ได้รับมอบบ้านให้อยู่อาศัย เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ให้คงอยู่สืบไปชั่วลูก ชั่วหลานต่อไป


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

ปทุมธานี - สวรรค์มีตา !! เขาทราย-น้องหนึ่ง ได้โชค หลังจิตอาสาแชมป์โลก ครบหนึ่งเดือนพอดี

เขาทราย แกแล็คซี่ พร้อม "น้องหนึ่ง" วรรณภา ขำบุญศรี ภรรยาคู่ใจ หลังร่วมอุทิศตนจิตอาสา นำทีม ชมรมวีรบุรุษแชมป์โลกไทย ตระเวณมอบอาหาร น้ำดื่ม มอบคณะแพทย์โรงพยาบาลสนาม ครบหนึ่งเดือนเต็ม แถมต่อซีซั่นสองอีกหนึ่งเดือน ล่าสุดยังได้โชคถูกเลขท้ายสองตัว เป็นขวัญกำลังใจ

กิจกรรม โครงการมอบข้าวกล่อง น้ำดื่ม ให้ทีมแพทย์ เจ้าหน้าที่ โรงพยาบาลสนาม ดูแลผู้ป่วยโควิด ผ่านวิกฤติไปด้วยกัน ภายใต้การสนับสนุนหลักของ นายนริส สิงหวังชา เจ้าของไอเดีย โดยมี เขาทราย แกแล็คซี่ อดีตแชมเปียนโลกขวัญใจชาวไทยตลอดกาล รวมทั้ง "น้องหนึ่ง" นางวรรณภา ขำบุญศรี ภรรยาคู่ใจ ตลอดจนอดีตแชมป์โลก ในนามชมรมวีรบุรุษแชมป์โลกไทย ดำเนินกิจกรรมครบหนึ่งเดือนเต็ม ตามเป้าหมายแรกเริ่ม

ล่าสุดเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 64 มีการต่อยอดโครงการออกไปอีกหนึ่งเดือน เริ่มวันนี้เป็นวันแรก โดยเขาทราย พร้อมทีมงาน และ ศิริมงคล สิงห์วังชา อดีตแชมป์โลก กับ "ป๋าไฝ" นายมานพ เอี่ยมท้วม บิดา ,และ คุณสุกานดา มิตรศาสตร์ ช่วยดูแลเป็นธุระเรื่องการจัดส่งอาหารในซีซั่น 2 นำเสบียงไปมอบที่ โรงพยาบาลธัญบุรี (คลอง 6) จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลสนาม ดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด มีข้าวไก่ผัดพริกแกง 100 กล่อง น้ำดื่ม 20 แพ็ค

จากรายนามผู้สนับสนุน ได้แก่ นายนริส สิงห์วังชา มอบทุนทรัพย์ 30,000 บาท เพื่อต่อยอดโครงการ ข้าวกล่องแชมป์โลกซีซั่น 2 ,สนับสนุนเสื้อของชมรมวีรบุรุษแชมป์โลก โดยคุณสุภชัย ฉัตรทัน กรรมการผู้จัดการ บ.ออก้า สปอร์ต ,ยอดสนั่น ศิษย์ยอดธง พร้อมด้วย นายโอเล็กซ์ กาบาลีนอฟ และ นาย อันตน ซาฟคอฟ เป็นตัวแทนจากสหพันธ์แฮนด์ทูแฮนด์ หรือ(ศิลปะการต่อสู้แบบประชิดตัวจากประเทศรัสเซีย) ร่วมสนับสนุนทุนทรัพย์ รวม 6,000 บาท เพื่อต่อยอดโครงการข้าวกล่องแชมป์โลกซีซั่น 2 (โครงการข้าวกล่องที่จะเดินหน้าต่อไปตั้งแต่ วันที่ 16 มิถุนายน 2564 - 15 กรกฎาคม 2564 )  และบริจาคน้ำดื่มอีก 50 แพ็ค , น้ำดื่ม แบบแพ็ครวมทั้งหมด 600 แพ็ค จากพรสวรรค์ ป ประมุข และศูนย์การเรียนรู้มวยไทยต้านภัยยาเสพติดหมู่บ้านพระปิ่น 3 และชาวตลาดนัดแสงจันทร์ถาวร และคุณศิวาพร เตชะวัฒนา และ นายอนุศักดิ์  พัววรานุเคราะห์ รองประธาน ศูนย์การเรียนรู้มวยไทยต้านภัยยาเสพติด หมู่บ้านพระปิ่น 3 ร่วมสมทบน้ำดื่ม 1,000 บาท

ในวันนี้มี คุณศศิภา อริสริยวงศ์ และ คุณศรีประไพ เต่งภาวะดี นางพยาบาล เป็นตัวแทนรับมอบในนาม โรงพยาบาลธัญบุรี (คลอง 6) เป็นตัวแทนรับมอบ

นอกจากนี้ในช่วงเย็น ยังมีข่าวว่า เขาทราย และ น้องหนึ่ง ภรรยา ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล 17 เป็นรางวัล เลขท้ายสองตัว จำนวนหนึ่งอีกด้วย ยังความปลาบปลื้มให้กับสองสามีภรรยา ซึ่งเชื่อว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะจิตกุศลผลบุญที่ตนทั้งสองร่วมอุทิศแรงกาย แรงใจให้กับกิจกรรมจิตอาสาของ ชมรมวีรบุรุษแชมป์โลกไทย ในการช่วยเหลือสังคมนั่นเอง

น้องหนึ่ง เผยอีกว่า เงินรางวัลที่ได้จากโชคนี้ เราทั้งสองได้นำไปขึ้นเงินและสมทบซื้อกล่อง อุปกรณ์ เพื่อเตรียมไว้นำไปใส่อาหารมอบให้ทีมแพทย์ทั้งหมดอีกด้วย

เพจ Environman ได้รายงานถึงการรับรองมหาสมุทรแห่งใหม่ของโลก ที่เรียกว่า ‘มหาสมุทรใต้’ ว่า...

เพจ Environman ได้รายงานถึงการรับรองมหาสมุทรแห่งใหม่ของโลก ที่เรียกว่า ‘มหาสมุทรใต้’ ว่า...

โลกเรานั้นประกอบด้วย 4 มหาสมุทรคือ มหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรแปซิฟิก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรอาร์กติก แต่ล่าสุด...มหาสมุทรใต้ (แอนตาร์กติกา) ได้ถูกนับเป็นมหาสมุทรที่ 5 และถูกระบุไว้ในแผนที่โลกของโดย National Geographic แล้ว!

มหาสมุทรใต้ เป็นมหาสมุทรน้องใหม่ล่าสุดที่เข้ามาอยู่ในรายชื่อมหาสมุทรโลกในวันที่ 8 มิถุนายน ‘วันมหาสมุทรโลก’ ที่ผ่านมา

แน่นอน หลายคนอาจจะสงสัย? มหาสมุทรนี้ก็ถูกค้นพบมานานแล้ว ทำไมไม่ถูกรวมแต่แรก? และขอบเขตของมันคือที่ไหนบ้าง?

Alex Tait นักภูมิศาสตร์จาก National Geographic เผยว่า “มหาสมุทรใต้เป็นที่รู้จักสำหรับนักวิทยาศาสตร์มานานแล้ว แต่มันยังไม่มีการตกลงในระดับนานาชาติ และแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ”

แม้ในปี 1999 องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ NOAA ก็เคยรับรองมหาสมุทรนี้แล้ว และให้ขอบเขตว่า เป็นผืนน้ำที่ทอดยาวตั้งแต่ชายฝั่งรอบทวีปแอนตาร์กติกาไปจนถึงละติจูด 60 องศาใต้

แต่ก็ยังมีการถกเถียงกันอยู่ว่าผืนน้ำที่ล้อมรอบแอนตาร์กติกานี้มีลักษณะเด่นที่ทำให้มันควรถูกเรียกว่าเป็นมหาสมุทรหรือไม่ หรือว่าเป็นแค่น้ำเย็นๆ ที่ต่อออกมาจากมหาสมุทรแปซิฟิก แอตแลนติก และอินเดีย

อีกอย่าง มหาสมุทรใต้ก็ต่างจากมหาสมุทรอื่นตรงที่จะไม่ได้ถูกกำหนดขอบเขตจากพรมแดนทางแผ่นดิน หรือทวีปที่อยู่รอบๆ แต่ถูกกำหนดโดยละติจูด และกระแสน้ำหมุนเวียนแอนตาร์กติก (ACC)

กระแสน้ำหมุนเวียนแอนตาร์กติก (ACC) เป็นตัวแบ่งทวีปแอนตาร์กติกาออกจากทวีปอเมริกาใต้ เริ่มก่อตัวเมื่อ 34 ล้านปีที่แล้ว กระแสน้ำไหลจากตะวันตกไปตะวันออก มีน้ำที่เย็นกว่า แต่รสเค็มน้อยกว่ามหาสมุทรอื่นๆ ทางตอนเหนือ

ACC นี่เองก็เป็นกระแสน้ำที่ทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำทางตอนใต้ และดึงน้ำจากมหาสมุทรแอตแลนติก แปซิฟิก และอินเดียออกมา ช่วยให้การไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็นหมุนเวียนไปทั่วโลกอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น การถูกรับรองในครั้งนี้ของมหาสมุทรใต้ ก็อาจจะช่วยให้คนเริ่มหวงแหน และอนุรักษ์มหาสมุทรนี้มากขึ้น เพราะเมื่อโลกร้อนขึ้น น้ำที่มาจากกระแส ACC ที่ไหลไปสู่ทางใต้จะอุ่นขึ้น ซึ่งตรงนี้ นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในมหาสมุทรใต้มากน้อยแค่ไหน

อีกอย่าง ที่นี่ก็เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำนานาชนิด ทั้งวาฬ เพนกวิน แมวน้ำ ที่ไม่สามารถพบได้ที่อื่นอีกด้วย

 

ที่มา: https://www.facebook.com/1523107561151019/posts/3782012455260507/

อ้างอิง: https://www.nationalgeographic.com/environment/article/theres-a-new-ocean-now-can-you-name-all-five-southern-ocean

https://www.nbcnews.com/now/video/national-geographic-recognizes-southern-sea-as-5th-ocean

https://ngthai.com/environment/36309/new-world-ocean/

https://www.nationalgeographic.com/environment/article/theres-a-new-ocean-now-can-you-name-all-five-southern-ocean

https://oceanservice.noaa.gov/facts/howmanyoceans.html


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โน้ส อุดม นักเดี่ยวไมโครโฟนชื่อดัง โพสต์บนเฟซบุ๊ก เดี่ยวไมโครโฟน FC แจ้งแฟนคลับขอเลื่อนการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน ครั้งที่ 13

หลังจากที่ “โน้ส อุดม” หรือ อุดม แต้พานิช ศิลปินนักคิด นักเขียน นักพูด นักแสดง นักเดี่ยวไมโครโฟนชื่อดัง เพิ่งจะประกาศปิดร้านไอศกรีม Iberry Garden ในจังหวัดเชียงใหม่ ไปเมื่อวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ล่าสุด โพสต์บนเฟซบุ๊ก เดี่ยวไมโครโฟน FC แจ้งแฟนคลับขอเลื่อนการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน ครั้งที่ 13 ออกเป็นเป็น 22 เมษายน-1 พฤษภาคม 2565 ระบุว่า...

กระผม นายอุดม แต้พานิช ขอประกาศเลื่อนการแสดง SINGER proudly presents DEAW 13 ไปเป็นวันที่ 22 เมษายน-1 พฤษภาคม 2565

ผมรู้สึกซาบซึ้งมากที่ทุกคนยังถือบัตรอยู่ จึงอยากจะแสดงความขอบคุณ ด้วยการส่งของสมนาคุณพิเศษให้กับทุกท่าน นั่นก็คือผ้าห่มเดี่ยว 13 ไปห่มรอคอยเวลาที่เราจะได้กลับมาพบกัน และในโอกาสนี้ ผมยังมีของสมนาคุณพิเศษให้กับทุกๆ ท่าน ด้วยเหรียญ “ดมคอย” ที่เป็นสัญลักษณ์ของการรอคอยเดี่ยว 13 ระหว่างพวกเรานะครับ (ซึ่งเหรียญ ดมคอยนั้นจะเป็นเหรียญที่มีมูลค่าพิเศษในตัวเอง สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กเดี่ยว)

ขอบคุณทุกๆ ท่านที่คอยดม และแน่นอนว่าอุดมก็คอยที่จะได้พบทุกๆ ท่านเช่นกันครับ

หลังจากนั้นไม่นานเพจ Bitcoin Addict Thailand ได้โพสต์ว่า...

เฮียโน้สออกเหรียญ "ดมคอย" มาพร้อมสโลแกน "ถือดมคอยไม่ดอยแน่นอน" 5555

แต่ไม่ใช่โทเค็นคริปโตนะ เป็นเหรียญจริงๆ เอาไว้ให้แฟนคลับใช้งาน

ปล. มีเหรียญลิมิเต็ดด้วย ทำจากทองคำหนัก 5 บาทเลย

 

ที่มา: https://www.facebook.com/197729100755446/posts/1072682669926747/


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ยะลา - เร่งตรวจ SWAB เชิงรุก ค้นหาผู้ติดเชื้อเพิ่มในพื้นที่อัยเยอร์เวง

ศอ.บต. ร่วมกับ สำนักงานเขตสุขภาพที่ 12 สงชลา และ โรงพยาบาลเบตง สาธารณสุขอำเภอเบตง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลอัยเยอร์เวง ออกทำการตรวจ SWAB ประชาชนในพื้นที่ตำบลอัยเยอร์เวง ทั้ง 11 หมู่บ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงสูง และกลุ่มเสี่ยงต่ำ เพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม หลังพบในพื้นที่ตำบลอัยเยอณ์เวง 35 คนรอผลตรวจ 80 ราย

เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2564 ที่โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. พร้อมด้วย นายเอก ยังอภัย ณ สงขลา นายอำเภอเบตง นายแพทย์สวรรค์ กาญจนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเบตง และบุคลากรโรงพยาบาลเบตง บุคลากรสำนักงานเขตสุขภาพที่ 12 สงชลา บุคลากรสาธารณสุขอำเภอเบตง และ พ.ต.อ.วงศกร เหมือนเขียว ผกก.สภ.อัยเยอร์เวง พร้อมกำลัง ลงพื้นที่ ทำการตรวจ SWAB ประชาชนในพื้นที่ตำบลอัยเยอร์เวง ทั้ง 11 หมู่บ้าน และทำการค้นหาผู้ป่วยเชิงรุกในชุมชน กลุ่มหมู่บ้าน เพื่อทำการค้นหาและคัดกรองประชาชนกลุ่มเสี่ยงและผู้ติดเชื้อโควิด-19 ใน ต.อัยเยอร์เวง หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด 19 ใน อ.เบตง เพิ่มขึ้นเป็น 57 ราย เฉพาะในพื้นที่ของหมู่ 2 ต.อัยเยอร์เวง จำนวน 35 ราย

เลขาธิการ ศอ.บต. เผยถึงความห่วงใยต่อการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ว่า จชต. เป็นพื้นที่พิเศษแตกต่างจากพื้นที่อื่น ๆ มีปัจจัยต่อการระบาดหลายช่องทาง อาทิ การรวมตัวของพี่น้องประชาชนที่อาศัยอยู่เสมือนครอบครัว เทศกาลทางศาสนา และสภาพอากาศ อย่างไรก็ตาม รับทราบถึงความเหนื่อยล้าของบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานอย่างหนัก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด จึงมาเยี่ยมเพื่อเป็นกำลังใจให้ทุกภาคส่วน เพื่อเป้าหมายที่สำคัญคือ พี่น้องประชาชน จชต.

ด้านนายแพทย์สวรรค์ กาญจนะ ผอ.โรงพยาบาล อ.เบตง เผยว่า การระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่มีสาเหตุมาจากการกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมญาติในต่างอำเภอและต่างจังหวัด พร้อมกับกิจกรรมทางศาสนาที่จังหวัดยะลา ซึ่งพบการระบาดเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องทำการตรวจเชิงรุกทุกพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีความกังวลเกี่ยวกับการระบาดระลอกใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อโรงเรียนเปิดภาคเรียน เทศกาลวันฮารีรายอในวันที่  20-23 กรกฎาคม และช่วงฤดูผลผลิตทุเรียน ซึ่งจะมีพ่อค้าคนกลางจากต่างพื้นที่เข้ามารับซื้อทุเรียนเป็นจำนวนมาก อีกทั้งในช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม ของทุกปี จะมีฝนตกชุกในพื้นที่จึงอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการระบาดที่รุนแรงของโรคได้

นอกจากนี้ยังมีประชาชนในกลุ่มหมู่บ้านอื่น ๆ รวมถึงเจ้าหน้าที่ได้เข้ารับการตรวจคัดกรองเชิงรุก ทั้งตำบล รวม 841 ราย มีผู้รับการตรวจคัดกรองแล้วในวันนี้ 500 คน ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลจากห้องแล็ปภายใน 1-2 วัน ทั้งนี้ สำหรับประชาชนในพื้นที่สามารถเข้ารับ บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 (SWAB) โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ จุดตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่อัยเยอร์เวง จำนวน 500 คนต่อวัน


ภาพ/ข่าว  ธานินทร์  โพธิทัพพะ / ปื๊ด เบตง

เศรษฐีปริศนาจ่ายหนักทัวร์นอกโลก หวังนั่งข้างเจ้าของ Amazon

แม้ใน 190 ประเทศทั่วโลกจะยังมีสถานที่มหัศจรรย์รอให้ค้นหามากมาย แต่ดูเหมือนจะไม่ใช่สำหรับบุคคลปริศนารายหนึ่งที่กำเงินเกือบ 900 ล้านบาท ประมูลซื้อที่นั่งในเที่ยวบินท่องอวกาศของนายเจฟฟ์ เบซอส ซีอีโอของบริษัทแอมะซอน (Amazon) ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทสำรวจอวกาศ บลู ออริจิ้น (Blue Origin) ด้วย

เหตุการณ์ดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อบุคคลปริศนารายนี้ได้ประมูลซื้อที่นั่งในเที่ยวบินดังกล่าวไปเป็นเงิน 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 870 ล้านบาท เพื่อนั่งข้างๆ นายเจฟฟ์ เบซอส และ นายมาร์ค เบซอส ผู้เป็นน้องชาย บนเที่ยวบินท่องอวกาศของ Blue Origin ซึ่งจะปล่อยยานออกจากทะเลทรายในรัฐเท็กซัสในวันที่ 20 ก.ค.นี้ เพื่อท่องอวกาศเป็นเวลาเพียงไม่กี่นาที โดยวันที่ 20 ก.ค.นั้น ยังเป็นวันเดียวกับที่นีล อาร์มสตรอง และบัซ อัลดริน ได้กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เดินบนดวงจันทร์เมื่อกว่า 50 ปีที่ผ่านมาด้วย

ผู้ชนะการประมูลดังกล่าวสามารถเอาชนะคู่แข่งคนอื่นๆ ประมาณ 20 รายในการประมูลที่เปิดฉากขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว ก่อนที่จะสิ้นสุดลงในการประมูลรอบสุดท้ายเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (12 มิ.ย.) ซึ่งมีผู้เสนอราคากันอย่างดุเดือดจนทำให้ราคาที่นั่งบนเที่ยวบินนี้พุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง ทั้งๆ ที่เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้วมีราคาอยู่ที่เพียง 4.8 ล้านดอลลาร์

Blue Origin เปิดเผยว่า การประมูลครั้งนี้มีผู้ลงทะเบียนประมูลกว่า 7,500 รายจาก 150 ประเทศ แต่บรรยากาศการประมูลได้ดุเดือดขึ้นมาก หลังจากนายเจฟฟ์ เบซอส ประกาศว่าตนเองจะขึ้นบินด้วย พร้อมกับนายมาร์ค เบซอส ผู้เป็นน้องชาย จนทำให้จำนวนผู้เสนอราคาสูงสุดจากหลักหลายพันรายลดลงเหลือประมาณ 20 ราย

เที่ยวบินนี้จะมีผู้โดยสาร 4 รายด้วยกันได้แก่ สองพี่น้องตระกูลเบซอส บุคคลนิรนามผู้ชนะการประมูล และบุคคลที่ 4 ซึ่งยังไม่มีการเปิดเผยชื่อ โดย Blue Origin จะประกาศเปิดเผยตัวบุคคลนิรนามผู้ชนะการประมูลในอีกไม่กี่สัปดาห์นี้

อย่างไรก็ตามราคาตั๋วดังกล่าว เป็นราคาประมูลที่ผู้ซื้อเสนอราคาสูงสุดเท่านั้น และราคาบัตรเมื่อให้บริการจริงในอนาคต อาจจะปรับลดลลงมาให้อยู่ใกล้เคียงกับของ Virgin Galactic (อีกผู้เล่นหลัก) ที่ได้ขายบัตรโดยสารไปแล้วให้แก่ผู้โดยสารประมาณ 600 ราย ในราคาบัตรประมาณคนละ 200,000-250,000 ดอลลาร์ เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ต่อไป

ทั้งนี้หากมองตลาดการท่องอวกาศ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นตลาดเล็กๆ แก่บรรดามหาเศรษฐีไม่กี่ราย แต่ผลสำรวจความคิดเห็นของคนรวยโดยบริษัทวิจัย Cowen ได้เปิดเผยให้เห็นว่า ตลาดการท่องอวกาศนี้อาจมีลูกค้าหลักล้านราย และน่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อราคาบัตรโดยสารถูกลง โดยปัจจุบันคาดว่าตลาดท่องเที่ยวอวกาศน่าจะมีผู้ที่สามารถเป็นลูกค้าได้ประมาณ 2.4 ล้านราย ซึ่งตัวเลขที่ว่านี้มาจากการประเมินความต้องการบินกับ Virgin Galactic เท่านั้น เพราะในช่วงเวลาที่ทำผลสำรวจดังกล่าวมีเพียง Virgin Galactic ที่เปิดขายบัตรแล้วจริงๆ แม้จะยังไม่มีการบินก็ตาม

ทว่าเมื่อดูจากตัวเลขที่ว่านี้แล้ว ปัญหาน่าจะอยู่ที่ซัพพลายมากกว่าดีมานด์ เนื่องจากยาน 1 ลำรองรับผู้โดยสารได้เพียง 6 คน ไม่ว่าจะเป็นยานของ Virgin Galactic หรือ Blue Origin และแม้จะเร่งสร้างยานเพิ่มแล้วก็ไม่ใช่ว่าจะสร้างขึ้นได้ง่ายๆ โดย Cowen คาดการณ์ว่า หาก Virgin Galactic สร้างยานได้ 11 ลำภายในปี 2573 บริษัทก็น่าจะส่งผู้โดยสารขึ้นอวกาศได้ประมาณปีละ 3,400 ราย ซึ่งยังคงถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนว่าที่ลูกค้าหลักล้านราย

สำหรับอุตสาหกรรมท่องอวกาศนั้นคาดว่าได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เมื่อมีเศรษฐีรายหนึ่งจ่ายเงิน 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐจ้างรัสเซียให้ส่งตัวเองขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ทำให้เขาเป็นนักท่องเที่ยวอวกาศคนแรกที่จ่ายเงินค่าเที่ยวบินเอง และนับตั้งแต่นั้นก็มีคนเดินตามรอยนี้เพียง 7 คน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลงานของหน่วยงานที่รัฐบาลเป็นผู้สนับสนุน

แต่การเข้ามาของบริษัทเอกชน ไม่ว่าจะเป็น Blue Origin, Virgin Galactic หรือ SpaceX จะทำให้ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในช่วงแรกๆ ลูกค้าน่าจะจำกัดอยู่ที่เพียงกลุ่มผู้ที่ร่ำรวยมากๆ เพราะราคาบัตรน่าจะอยู่ที่ระดับหลักหลายล้านบาทเพื่อท่องอวกาศในเวลาไม่กี่นาที แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ราคาบัตรอาจถูกลงจนเหลือหลักไม่กี่แสนบาท และเมื่อถึงวันนั้น เราอาจจะได้เห็นคนรู้จักโพสต์ภาพตัวเองบนยานอวกาศลงสื่อโซเชียลกันมากขึ้น

 

ที่มา: https://www.infoquest.co.th/2021/97137


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ความคืบหน้ากรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์เล่าเรื่องราวถูกล่อซื้อน้ำส้ม 500 ขวด ก่อนจะโดนถามหาใบอนุญาต พร้อมเรียกปรับเงิน 12,000 บาท

ความคืบหน้ากรณีที่ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์เล่าเรื่องราวถูกล่อซื้อน้ำส้ม 500 ขวด ก่อนจะโดนถามหาใบอนุญาต พร้อมเรียกปรับเงิน 12,000 บาทนั้น

ล่าสุด นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า จากกรณีที่เกิดขึ้นได้สั่งย้ายเจ้าหน้าที่ที่ปรากฏเป็นข่าวรวม 5 คน ออกนอกพื้นที่เกิดเหตุในกรุงเทพฯ เป็นที่เรียบร้อย พร้อมตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นการด่วน เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างแก่สังคม โดยขอยืนยันว่ากรมสรรพสามิต ไม่มีนโยบายให้เจ้าหน้าที่ออกรังแกประชาชนไปล่อซื้อในช่วงสถานการณ์โควิด-19 แพร่ระบาด

 

ที่มา: https://www.naewna.com/local/580844


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

แยกย้าย! 'รีล มาดริด' เตรียมแถลงอำลา 'รามอส' ปิดฉาก 16 ปี ในสีเสื้อราชันชุดขาว

คั่นบรรยากาศบอลยูโร ‘ราชันชุดขาว’ คอนเฟิร์ม เตรียมจัดงานแถลงข่าวอำลา เซร์คิโอ รามอส กองหลังกัปตันทีม ในวันพฤหัสบดีนี้ หลังดาวเตะวัย 35 ปี ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาที่หมดลงหลังจบซีซั่นที่ผ่านมา

สำหรับสัญญาค้าแข้งของ รามอส วัย 35 ปี ซึ่งย้ายจาก เซบีญา มาอยู่กับ ‘ราชันชุดขาว’ ตั้งแต่ปี 2005 รวมระยะเวลาถึง 16 ปี และผ่านการลงสนามทั้งสิ้น 671 นัด ยิง 101 ประตูนั้น หมดลงหลังจบฤดูกาลที่ผ่านมา โดย รีล มาดริด เสนอสัญญาใหม่แค่ปีเดียวพร้อมขอให้เจ้าตัวลดค่าเหนื่อย ส่งผลให้ไม่สามารถตกลงกันได้ และนำมาสู่การแยกทางกันในที่สุด โดยการแถลงข่าวจะมีขึ้นในเวลาเที่ยงครึ่งของวันพฤหัสบดีนี้ตามเวลาท้องถิ่น โดยมี ฟลอเรนติโน เปเรซ ประธานสโมสรร่วมพิธีด้วย

 

ที่มา : https://www.dailynews.co.th/sports/850413


โปรเด็ด! เทหมดตัว มาสด้า 2 และ นิสสันอัลเมร่า ทักเลย! ตอบไว! แอดเลย @TheShopsTimes

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘ตม.-สตูล’ จับกุมเครือข่ายลักลอบนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทยกระทำความผิดกฎหมายและก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศหรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวกับคนไทยหรือต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด    

                

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สิทธิชัย โล่กันภัย รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.ท.ยศพร มาศรีนวล รอง ผกก.ตม.จว.สตูล พร้อมด้วย ว่าที่ พ.ต.ท.หญิง กุลนิดา ศุภสิทธิกุลชัย สว.ตม.จว.สตูล ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคดีที่น่าสนใจ ดังนี้...

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งจากผู้ดูแลโรงแรมแห่งหนึ่งว่า มีบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 6 คน เข้าพักที่โรงแรมฯ เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สตูล ได้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ละงู, หน่วยงานความมั่นคง, เจ้าหน้าที่สาธารณะสุข ควบคุมตัวคนต่างด้าวทั้งหมดไปกักตัว ณ สถานกักตัว Local Quarantine ตามมาตรการการป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า หรือ Covid-19

จากนั้นจึงได้สอบปากคำคนต่างด้าว ทราบว่าคนต่างด้าวทั้งหมดเดินทาง เข้ามาในประเทศไทยโดยใช้เส้นทางธรรมชาติ บริเวณเกาะสอง จ.ระนอง ต้องการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย โดยมีรถกระบะมารับคนต่างด้าวทั้งหมดที่ บริเวณสวนสาธารณะในตัวเมือง จ.ระนอง และเดินทางมาถึง อ.ละงู จ.สตูล โดยมีคนไทยซึ่งเป็นผู้นำพาคนต่างด้าวทั้งหมดเข้าพักที่โรงแรมฯ เจ้าหน้าที่จึงได้เข้าตรวจสอบกล้องวงจรปิดทราบว่า มีรถยนต์สองคันนำพาคนต่างด้าวเข้าพักโดยรถคันแรกขับนำทางเข้ามายังโรงแรม โดยมี นายหมัดยอหนน อายุ 62 ปีเป็นผู้ขับขี่ และเป็นผู้ดำเนินการเปิดห้องพักให้คนต่างด้าวเข้าพัก 

ส่วนคนต่างด้าวทั้งหมดและคนขับรถยนต์คันที่สองอยู่ในรถ และไม่ได้ลงจากรถแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่จึงนำภาพทะเบียนรถที่ได้ไปตรวจสอบหาผู้ครอบครองและทราบว่ารถยนต์คันที่สองเป็นรถของนายหมาดเหยด อายุ 62 ปี มีถิ่นที่อยู่ในพื้น จ.ระนอง เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนขยายผลโดยสอบปากคำนายหมาดเหยดฯ ให้การว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของตนจริง แต่ได้มอบให้นายสุรศักดิ์ ซึ่งเป็นลูกเขยของตนไว้ใช้งานมาประมาณ 3 ปีแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมข้อมูลและนำภาพนายสุรศักดิ์ฯ มาให้คนต่างด้าวทั้งหมดชี้ตัว โดยทั้งหมดยืนยันว่านายสุรศักดิ์ เป็นผู้ขับรถกระบะคนดังกล่าวไปรับตนที่สวนสาธารณะในตัวเมือง จ.ระนอง และนำพาพวกตนเดินทางมายัง อ.ละงู จ.สตูล จริง เจ้าหน้าที่จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลจังหวัดสตูลอนุมัติออกหมายจับนายสุรศักดิ์ฯ ที่ จ.107/2564 โดยกล่าวหาว่า “กระทำการด้วยประการใด ๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าว เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่าฝืนกฎหมาย”

ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้เรียกตัว นายหมัดยอหนนฯ ให้ปากคำเพิ่มเติมพร้อมทั้งรับทราบข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวซึ่งรู้ว่าเข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมาย”

เจ้าหน้าที่สภ.ราชกรูด จ.ระนอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ สภ.ละงู จับกุมตัวนาย สุรศักดิ์ฯ พร้อมนำรถยนต์ของกลางที่ใช้ในการก่อเหตุ นำส่ง พงส.สภ.ละงู จากการสอบสวนนายสุรศักดิ์เพิ่มเติม นายสุรศักดิ์ฯ ให้การซักทอด น.ส.ไซด้า หรือดา สัญชาติเมียนมา ว่าเป็นผู้จ้างวานตน โดยคิดค่าจ้างเป็นเงิน 5,000 บาทต่อคน และจ่ายเงินมัดจำ 10,000 บาทก่อน ส่วนอีก 10,000 บาท ที่เหลือจะให้เมื่องานสำเร็จ เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอศาลจังหวัดสตูลอนุมัติออกหมายจับ น.ส.ไซด้าฯ จาก ที่ จ.109/2564 โดยกล่าวหาว่า “กระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรโดยผ่าฝืนกฎหมาย” ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมตัว น.ส.ไซด้า หรือดา มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

สรุปผลการปฏิบัติในการบูรณาการทลายในเครือข่ายนี้ สามารถออกหมายจับผู้นำพาบุคคลต่างด้าวผิดกฎหมายหลบหนีเข้าเมืองได้ จับกุมได้จำนวน 1 คน และแจ้งข้อกล่าวหา จำนวน 1 คน อยู่ในระหว่างติดตามตัวเพื่อมาดำเนินคดี จำนวน 1 คน และสามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองสัญชาติเมียนมา ได้ จำนวน 6 คน

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับและมีเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top