Monday, 23 June 2025
TheStatesTimes

ชลบุรี - ผอ.โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่ ถึงทางตันจากพิษโควิด วอนผู้ใจบุญร่วมบริจาคเพื่อให้อยู่รอด

ผอ.โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา ชี้หากสถานการณ์การบริจาคไม่ดีขึ้นคาด ตุลาคมนี้ ถึงทางตัน หลังโดนโควิด-19 เล่นงานมา 3 ระลอก โรงเรียนได้พยายามช่วยเหลือตัวเองมาโดยตลอด วอนผู้ใจบุญร่วมบริจาคเงิน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนและของใช้จำเป็นในการดำรงค์ชีวิตประจำวัน

วันที่ 4 พ.ค.64 นายชิด สุขหนู  ผู้อำนวยการโรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา จังหวัดชลบุรี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงสภาพคล่องของโรงเรียนตอนนี้ว่า ติดลบมานานแล้ว ตั้งแต่โควิด 19 ระลอกแรก จนถึงระลอก 3 ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าตั้งแต่ระลอกที่ 1 และระลอกที่ 2  ทางโรงเรียนได้ทำการแก้ไขปัญหาเรื่องของสภาพคล่องด้วยการปรับลดขนาดองค์กรลง การตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก รวมถึงหากิจกรรมระดมทุนที่พอจะสามารถทำได้ในช่วงที่ผ่านมาและลดรายจ่ายบางรายการลงที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อเครื่องอุปโภคบริโภค โควิด 2 ระลอกที่ผ่านมา พบว่าทุกคนต่างอ่อนล้าและอ่อนแรงในการต่อสู้กับโรคและต่อสู้กับการประคององค์กรให้อยู่รอด คณะครูได้พยายามร่วมกันระดมสมองในการที่จะหารายได้เข้าโรงเรียน เพื่อช่วยกันประคับประคองโรงเรียนให้อยู่รอด ด้วยการปลูกผักสวนครัวรับประทานเองเมื่อเหลือก็จะนำออกจำหน่ายหารายได้ให้กับโรงเรียน ที่ผ่านมายอมรับว่าเป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะมีผู้ใจบุญเดินทางมาบริจาคเงิน เพื่อสนับสนุนในการจัดซื้ออุปกรณ์การเรียนและของใช้ที่จำเป็น เพราะทุกคนต่างก็แย่ไปพร้อม ๆ กัน แต่ก็ยังถือว่าในช่วงที่ผ่านมาพอจะมียอดบริจาค จากผู้มีจิตศรัทธาเข้ามาบ้าง  

แต่เมื่อมาถึงโควิด ระลอก 3 นี้พบว่าสาหัสมาก เนื่องจากจำนวนยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นจนน่าใจหาย ซึ่งทางโรงเรียนถือว่ายังโชคดีที่เด็กกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ได้กลับไปอยู่กับผู้ปกครอง เนื่องจากปิดเทอม ทำให้ภาระค่าใช้จ่ายของทางโรงเรียนมีไม่มาก แต่ถ้าหลังเปิดเทอมแล้วตามที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศ ให้โรงเรียนทั่วประเทศเปิดเรียนพร้อมกันในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เด็ก ๆ ก็จะกลับมาเรียนตามปรกติ ซึ่งในรอบนี้ทางโรงเรียนได้แจ้งไปยังผู้ปกครอง ในการนำเด็กเข้าเรียนว่าขอให้เด็กนักเรียนประถมศึกษากลับเข้ามาเรียนก่อน ในส่วนของระดับชั้นอนุบาล ขอความร่วมมือในการยังไม่ส่งเด็กนักเรียนเข้าเรียน     

          

โดยทางโรงเรียน ได้ให้เหตุผลเรื่องของการระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วงนี้ ซึ่งเกรงว่าเด็ก ๆ อาจจะไม่ปลอดภัย เพราะเด็กเล็กยังไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ดังนั้นในช่วงเปิดเทอมที่จะถึงนี้ ทางโรงเรียนจะต้องระดมทุน เพื่อรองรับนักเรียนที่จะกลับเข้าเรียน ซึ่งในส่วนของการเก็บค่าเทอมนั้น ทางโรงเรียนไม่สามารถเรียกเก็บได้จากผู้ปกครอง  เนื่องจากว่าเป็นองค์กรการกุศล แต่ถ้าหากพบว่าสถานการณ์ยอดการบริจาคยังไม่มีในช่วงนี้ ก็คาดว่าถึงช่วงเดือนตุลาคมนี้ ก็จะเข้าขั้นวิกฤต ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าทิศทางต่อไปจะเป็นเช่นไร

ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็เพียงขอรับน้ำใจจากผู้ที่มีจิตศรัทธา โดย ทางโรงเรียนขอรับบริจาคเงินทุน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์การเรียน การสอน ซ่อมแซมอาคาร และของใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตประจำวัน สำหรับการศึกษาของผู้พิการทางสายตา

โดยสามารถบริจาค ได้ที่ธนาคารไทยพาณิชย์  บัญชี ทุนบรมราชกุมารีเพื่อคนตาบอด (2536)  บัญชี 669-2-10787-4  สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

‘หัวหน้าพรรคก้าวไกล’ ร่วมให้กำลังใจ ‘แม่’ ผู้ต้องหาคดี 112 ย้ำ ต่างชาติกำลังจับตามอง ยืนยัน ผู้ต้องหาทุกคนต้องได้ ‘ประกันตัว’ เพราะเป็นสิทธิพลเมืองและหลักการสากล

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ที่ศาลอาญารัชดา กรุงเทพมหานคร พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, เบญจา แสงจันทร์, สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา เดินทางมายังศาลอาญารัชดา กรุงเทพมหานคร เพื่อให้กำลังใจมารดาของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 พร้อมร่วมติดตามผลการขอยื่นประกันตัว หลังจากมารดาของของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร และมารดาของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มราษฎร ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 โดยวางหลักประกันคนละ 200,000 บาท ศาลอาญานัดไต่สวนคำร้องในวันนี้

พิธา กล่าวว่า ในวันนี้ได้ร่วมเดินทางมาพร้อม ส.ส.ของพรรคก้าวไกล เพื่อให้กำลังใจมารดาของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ซึ่งตนไม่ได้มาเเค่ในฐานะนักการเมืองหรือผู้แทนราษฎรที่จะต้องมีหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของพี่น้องประชาชน แต่มาในฐานะเพื่อนมนุษย์เเละในฐานะของพ่อคนด้วย โดยรู้สึกผิดหวังเเละหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ในวันนี้จึงมาเพื่อให้กำลังใจเเละเเสดงความนับถือคุณแม่ของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ทุกคน และต้องการมาร่วมยืนยันว่า สิทธิประกันตัวผู้ต้องหา หรือ sanction of innocent เป็นสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองตามหลักสากลที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมในภาคีเครือข่ายกับอีก 172 ประเทศ พรรคก้าวไกลจะไม่นิ่งนอนใจต่อกรณีที่เกิดขึ้นเเละกำลังปรึกษาหารือว่าจะมีวิธีใดในการทำให้กฎหมายถูกนำกลับมาใช้เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพประชาชน ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปิดปากผู้เห็นต่าง

“ในฐานะพ่อรู้สึกได้ว่าเวลาที่ลูกเจ็บปวด เราก็เจ็บปวดไปด้วย แต่เราก็แสดงออกไม่ได้ เพราะเราต้องเป็นหลักให้กับลูกของเรา ผมขอให้กำลังใจเเละเเสดงความนับถือคุณแม่ของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ทุกคน ขณะนี้ต่างชาติเริ่มจับตามองว่า กระบวนการพิจารณาในกระบวนการยุติธรรมของศาลไทยมีความเสมอภาคหรือไม่ และกฎหมายไทยมีไว้เพื่อคุ้มครองปกป้องเสรีภาพของประชาชนหรือมีไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองกันแน่ นี่คือเป็นสิ่งที่ผมกังวลใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเเละวิกฤติโควิดเป็นแบบนี้ ” พิธา กล่าว

ขณะที่แม่ของ นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ กล่าวว่า วันนี้มีความคาดหวังกับการได้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากศาลได้นัดไต่สวนเป็นครั้งแรก หลังจากที่ยื่นขอประกันมาแล้วหลายครั้ง ส่วนอาการเจ็บป่วยของพริษฐ์ ขณะนี้ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี และยังไม่ได้เคยได้เข้าเยี่ยม หากศาลมีเงื่อนไขในการปล่อยตัวเชื่อว่าลูกชายก็จะสามารถปฏิบัติตามได้ พร้อมขอบคุณ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เเละส.ส.ของพรรคที่เดินทางมาให้กำลังใจ รวมถึงขอบคุณ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน คณาจารย์มหาวิทยาลัย เเละนักกฎหมายต่าง ๆ ที่ส่วนร่วมในผลักดันเเละช่วยเหลือบุตรชายของตน เเละผู้ต้องหาในคดีมาตรา112 ทุกคนมาโดยตลอด หวังว่าในวันนี้จะได้รับข่าวดี ลูกชายคือแก้วตาดวงใจ กลับบ้านอย่างปลอดภัย เเละพร้อมปฏิบัติตามข้อเสนอของศาลทุกประการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ แม่ของพริษฐ์, อรวรรณ แก้ววิบูลย์พันธุ์ แม่ของไชยอมร และสุริยา สิทธิจิรวัฒนกุล แม่ของปนัสยา พร้อมด้วยทนายความ และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล รวมถึง ส.ส. พรรคก้าวไกล เดินทางมาร่วมฟังคำไต่สวนของศาลและให้กำลังใจครอบครัวของทั้ง 3 คน ขณะที่พื้นที่โดยรอบนอกศาลอาญาได้มีการปิดประตูทางเข้า-ออก ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาภายในอาคารศาลอาญา ส่วนผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการให้เข้าออกประตูฝั่งศาลแพ่งแทน โดยมีกำลังตำรวจดูแลความเรียบร้อยบริเวณด้านนอก

'ชุมชนเข้มแข็ง' ได้ เมื่อเราผสานพลัง มิติแห่งการสร้างสรรค์ จากพีทีที โกลบอล เคมิคอล ที่หลอมรวมแนวคิด สร้างชุมชนพึ่งพาตัวเอง ครบทั้ง มิติเศรษฐกิจ มิติสังคม และมิติสิ่งแวดล้อม 

ภูมิปัญญาชาวบ้านและอัตลักษณ์ท้องถิ่น คือ สิ่งพิเศษที่มีเฉพาะตัวตน หรือ เฉพาะพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ซึ่งเมื่อได้เรียนรู้แล้วก็จะพบว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ ยิ่งหากนำความเฉพาะในท้องถิ่นนั้นๆ มาพัฒนาต่อยอดผสานกับนวัตกรรม วิถีชีวิตรูปแบบใหม่ รวมถึงระบบการบริหารจัดการต่าง ๆ ก็ยิ่งสร้างพลังให้เกิดความเข้มแข็งได้อย่างดีเยี่ยม 

และนั่นคือสิ่งที่ GC หรือ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) มองเห็น และเกิดเป็นแนวคิด “ชุมชนเข้มแข็ง” ที่ต้องการเดินหน้าทำให้ชุมชนนั้นสามารถพึ่งพาตัวเองได้ สร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชน และขยายผลให้ชุมชนในภาพรวมได้ประโยชน์สูงที่สุดอย่างยั่งยืน โดยเราสามารถเชื่อมโยงมิติการส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้ดังนี้ 
.
มิติเศรษฐกิจ ด้านการสร้างงาน สร้างรายได้ให้ชุมชนนั้นสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ยกตัวอย่างของการสนับสนุนการพัฒนาอาชีพให้กับเกษตรอินทรีย์กลุ่มหอมมะหาด ผู้ปลูกพืชสมุนไพรพื้นถิ่นระยอง ให้นำผลผลิตมาพัฒนาต่อยอดด้วยการแปรรูปวัตถุดิบสมุนไพรโดยวิสาหกิจชุมชนกลุ่มลุฟฟาลา ชุมชนหนองแฟบ ให้เป็นผลิตภัณฑ์ความงามจากธรรมชาติ เพื่อสุขอนามัยและสุขภาพผิวที่ดี LUFFALA สู่มาตรฐานระดับสากล ผ่าน “โครงการ Rayong Organic Living” และการพัฒนาปรับปรุง “ศูนย์การเรียนรู้อาหารถิ่นระยอง ร้านใบชะมวง ภายใต้โครงการเชฟชุมชนชวนกินถิ่นระยอง (ฮิ)” เพื่อให้เป็นศูนย์ฝึกประสบการณ์วิชาชีพและการทำธุรกิจร้านอาหารให้กับนักศึกษาแผนกอาหารและโภชนาการ คณะคหกรรมศาสตร์ วิทยาลัยเทคนิคระยอง 

ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถไปเป็นผู้ประกอบการเองได้ เป็นการสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและกระจายรายได้สู่ชุมชนผู้ผลิตวัตถุดิบของดีในจังหวัดระยอง ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร หรือชาวประมง ทั้งยังเป็นการพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เพื่อรองรับนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)  ซึ่งมีเป้าหมายพัฒนาอุตสาหกรรมด้านการท่องเที่ยวและการแปรรูปอาหาร    

มิติสังคม ด้านการบริหารจัดการขยะแบบครบวงจร ฉายภาพไปที่ชุมชนวัดชากลูกหญ้า ซึ่งมีการบริหารจัดการขยะที่ดีภายในชุมชน และ GC เห็นโอกาสที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการขยะได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย มีการนำระบบ YOUเทิร์น แพลตฟอร์ม ซึ่งเป็นระบบจัดการพลาสติกใช้แล้วแบบครบวงจร ตั้งแต่การรวบรวม การคัดแยกขยะ การขนส่งขยะพลาสติกเข้าสู่ระบบกระบวนการรีไซเคิล และกระบวนการแปรรูปจนได้กลับมาเป็นสินค้าอัพไซคลิง เข้ามาช่วยพัฒนาการบริหารจัดการขยะของชุมชน GC ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ ทั้งเรื่องการคัดแยก การบริหารจัดการขยะอย่างถูกวิธี จนทำให้วันนี้มีการตั้งเป็น “ศูนย์บริหารและจัดการขยะรีไซเคิล ชุมชนวัดชากลูกหญ้า” ซึ่งกลายเป็นต้นแบบการบริหารจัดการขยะอย่างครบวงจรแห่งแรกของจังหวัดระยองที่ชาวชุมชนวัดชากลูกหญ้าภูมิใจ 

และสุดท้าย มิติสิ่งแวดล้อม ด้านการดูแลรักษาระบบนิเวศและความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการเข้าไปช่วยร่วมพัฒนาและต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยนวัตกรรมจากผู้เชี่ยวชาญ GC และเทศบาลเมืองมาบตาพุด จึงได้ร่วมมือกับศูนย์วิศวกรรมสารสนเทศภูมิศาสตร์และนวัตกรรม (KGeo) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) นำระบบเข้ามาช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังในช่วงฤดูฝนและขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง ทำให้การปลูกมะม่วงพื้นทรายของเกษตรกรที่ทำมากว่า 50 ปี สามารถคงคุณภาพความอร่อยของผลผลิตตลอดฤดูกาล การันตีด้วยรางวัลรองชนะเลิศ ประเภทมะม่วงผลดิบ “เขียวเสวย” จากการประกวดผลไม้งานเกษตรแห่งชาติ (เกษตรแฟร์) ประจำปี 2563 

รวมถึงการพัฒนาช่องทางการขาย Online โดยสร้าง Line Official: “Map Ta Phut Mango” พร้อมเสริมทักษะการขายให้กับเกษตรกร เพื่อให้สวนมะม่วงสามารถจำหน่ายผลผลิตให้ลูกค้าแบบ Pre-Order ได้ รวมถึงช่วยวางระบบบริหารการขนส่ง เพื่อให้สวนสามารถขายผลผลิตได้ทั่วประเทศ (แอบกระซิบว่ามะม่วงอร่อย ๆ มีอีกไม่มากแล้ว รีบจองกันก่อนจะหมดฤดูกาลในเร็วๆ นี้)  

GC และพันธมิตรภูมิใจทีได้เป็นพลังเสริมให้ทุกชุมชนพัฒนาไปสู่การเป็น “ชุมชนเข้มแข็ง” ที่สร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนและสามารถพึ่งพาตัวเองได้อย่างยั่งยืน

ปราจีนบุรี – พายุฝนถล่ม ตอนรุ่งสางน้ำท่วมรอระบาย ฉันทนาเดินลุยน้ำไปทำงาน

เมื่อเวลา 05.00 น.ที่ผ่านมาวันที 6 พค.64 เกิดพายุฝนฟ้าคะนองพื้นที่อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี นานนับชั่วโมงกระทั่ง 06.00 น.ฝนซาเม็ดลง ส่งผลให้มีน้ำท่วมขังที่รอระบายที่บ้านรัชดาป่าจิก ม.11 ต.หนองกี่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ระดับน้ำสูง 30 ซม.ระยะทางยาว 50 ม.

ส่งผลให้การเข้าออกในซอยได้รับผลกระทบเนื่องจากว่าบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นแอ่งกระทะ ฝนตกทุกครั้งทำให้น้ำระบายไม่ทันนับชั่วโมงผู้ที่อยู่ในซอยเข้าออกลำบากรถยนต์และรถจักรยานยนต์ต้องค่อย ๆ ขับรถเข้าออกในซอย และบางคนต้องอ้อมไปใช้เส้นทางหลังโรงเรียนเข้าหมู่บ้านแทน คนที่มีบ้านอยู่กลางซอยต้องเดินลุยน้ำออกจากบ้านเพื่อไปทำงานและไปทำธุระด้านนอก นส.บังอร (นามสมมติ) พนักงานโรงงาน กล่าวว่าบ้านอยู่ทางด้านในซอยนี้ฝนตกหนักบริเวณนี้มีน้ำท่วมขังเป็นเวลานานลึกประมาณ 30-40 ซม.ระยะทางยาว 50 ม.ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำทำให้ชาวบ้านที่อยู่ด้านในต้องลำบากลุยน้ำออกมาทำงานถ้าเป็นไปได้อยากจะให้มีการทำถนนบริเวณนี้ใหม่ให้สูงกว่าเดิมเพื่อป้องกันน้ำท่วมขังในแต่ละครั้งจะท่วมนานกว่าจะลด ณ.ขณะนี้เวลา 08.50 น.ฝนยังไม่หยุดตกคาดว่าจะตกริน ๆ ไปถึงเที่ยงตามคำพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยาได้รายว่าทั่วทุกภาคจะมีฝนฟ้าคะนองในระยะนี้


ภาพ/ข่าว  ลักขณา สีนายกอง

Thailand Only! รวมเรื่องราว 6 สิ่ง ที่ถ้าย้ายประเทศหนี คุณต้องคิดถึงแน่ๆ!!

กระแส ‘การย้ายประเทศ’ รุนแรงกันทั้งสัปดาห์ ไม่รู้เบื่อประเทศกันขึ้นมาเอง หรือเบื่อตามเพื่อน หรือเบื่อตามโซเชี่ยล เอาเถอะ! เรื่องเบื่อเป็นเรื่องธรรมชาติ และเรื่องจริงยิ่งกว่านั้น ไม่มีอะไรจะได้อย่างใจเราเสมอไปหรอก โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความแตกต่าง ต้องเข้าใจ และเรียนรู้ที่จะเปิดใจ 

ว่าแต่สมมติเกิดย้ายประเทศกันไปแล้วจริง ๆ คิดไหมว่าจะคิดถึงอะไรที่เมืองไทยกันบ้าง เราไปรวบรวม 6 สิ่งที่เชื่อว่า หากย้ายประเทศไปแล้ว คุณต้องคิดถึงเรื่องเหล่านี้แน่ ๆ เลย

คุณแจ๊ค น.สพ. ดร. มนูศักดิ์ วงศ์พัชรชัย | THE STUDY TIMES STORY EP.14

บทสัมภาษณ์ คุณแจ๊ค น.สพ. ดร. มนูศักดิ์ วงศ์พัชรชัย ได้รับทุนส่งเสริมและสนับสนุนกลุ่มวิจัย กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Post-doctoral researcher, BioTechnology Institute, University of Minnesota, สหรัฐอเมริกา 
เรื่องราวทุนการศึกษาเปลี่ยนชีวิต ต่อยอดความฝันทำงานวิจัยระดับโลก

ปัจจุบัน ดร. แจ๊ค เป็นนักวิจัยอยู่ที่บริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี โดยจุดเริ่มต้น ดร. แจ๊คเรียนจบปริญญาตรี เกียรตินิยม จากคณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทำให้มีโอกาสเสนอขอทุนของมหาวิทยาลัย เรียนต่อระดับปริญญาโทและปริญญาเอกได้เลย ซึ่งในปีนั้นทางจุฬาฯ มีอายุครบ 90 ปี มีกองทุนใหม่ชื่อว่า กองทุนจุฬาดุษฎีพิพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งดร. แจ๊ค ถือเป็นรุ่นแรกของกองทุนนี้ เงื่อนไขของทุน คือ หากเรียนในคณะที่ประเทศขาดแคลน ต้องได้เกียรตินิยมเป็นอย่างน้อย จึงจะมีสิทธิ์สมัครเข้าไป หากอยู่ในคณะที่ประเทศไม่ขาดแคลน ต้องติด Top10 ของคณะ ซึ่งสายวิทยาศาสตร์ของดร. แจ๊ค ขณะนั้นรับอยู่ 8 คน 

ในการเรียนต่อปริญญาโทและเอก ดร. แจ๊คยังคงเรียนอยู่ในคณะสัตวแพทย์ศาสตร์ โดยเป็นสัตวแพทย์สาธารณสุข ซึ่งในตอนนั้นเป็นช่วงที่ไข้หวัดนกระบาดหนักในประเทศไทย 

ย้อนกลับไป 10 ปีที่แล้ว ดร. แจ๊คเล่าว่า การเรียนสัตวแพทย์ ที่จุฬาฯ นักศึกษาชั้นปี 1-4 ทุกคน ที่มีอยู่ร้อยกว่าคนในรุ่น จะเรียนเหมือนกันหมด พอถึงปี 5 จะแยกครึ่งนึงไปฝึกงาน ซึ่งดร. แจ๊คได้ไปฝึกงานทั้งในโรงพยาบาลสัตว์ คลินิกสัตว์เลี้ยง ฟาร์ม เพื่อนำมาตัดสินใจว่าชอบทางไหน และเมื่อขึ้นปี 6 อาจารย์ก็จะให้เลือกสาย โดยดร. แจ๊คเลือกไปทางสายฟาร์ม ในช่วงปี 6 มีภาควิชาสัตวแพทย์สาธารณสุข ที่จะเรียนเกี่ยวกับ DNA เล็ก ๆ ต้องใช้จินตนาการสูง ดร. แจ๊คมีความสนใจทางด้านนี้ เป็นที่มาของการสมัครขอทุนเรียนต่อปริญญาโทและเอกในภาคนี้โดยเฉพาะ

จริง ๆ แล้วดร. แจ๊ค แทบไม่เคยเดินทางไปต่างประเทศ แต่เมื่อได้รับทุน ข้อบังคับของทุนข้อหนึ่ง คือจะต้องไปทำโปรเจคที่ต่างประเทศ ในที่ที่อาจารย์มี contact ซึ่งอาจารย์ของดร. แจ๊ค จบมาจาก Minnesota, สหรัฐอเมริกา จึงได้ให้ดร. แจ๊คลองสมัครไป ผลคือ Professor ที่นั่นสนใจ จึงได้ไปในฐานะนักเรียน ขณะนั้นดร. แจ๊ค เรียนปริญญาเอกที่เมืองไทยได้สองปีครึ่ง ก่อนจะดรอปเรียนและไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ Minnesota หนึ่งปี

เมื่อไปถึงอเมริกาครั้งแรก ดร. แจ๊คถึงกับงง ด้วยความที่ไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อน จากนั้นได้แชร์บ้านพักกับนักเรียนจากหลากหลายประเทศจำนวน 12 คน สิ่งที่ทำเมื่อไปถึงคือนำโทรศัพท์มาค้นหาเซเว่นที่ใกล้ที่สุด แต่ใกล้ที่สุดคือห่างจากบ้านพัก 130 ไมล์ เมื่ออยู่ไปสักพักถึงได้รู้ว่าคนที่ Minnesota ค่อนข้างจะเป็นคนอนุรักษนิยม ซัพพอร์ตอะไรที่เป็น Local จึงต้องเรียนรู้ว่าร้านมินิมาร์ท Local ของที่นั่นมีชื่อว่าอะไร

เพราะมีโปรเจคที่ต้องทำให้จบ ในจำนวนเงินและระยะเวลาที่จำกัด ดร. แจ๊คจึงต้องวางแผนคุยกับ Professor ให้แน่นอนว่าอยากทำอะไร และด้วยความที่ยุ่งมากทำให้ไม่มีเวลาไปโฟกัสอย่างอื่น ลืมเรื่อง Homesick ไปเลย นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคในเรื่องของภาษา เพราะถูกสอนมาแต่ในเรื่องแกรมม่า ท่องคำศัพท์ ทำให้ไม่สามารถสื่อสารบทสนทนาที่จะทำให้ต่างชาติเข้าใจได้ ทำให้มีปัญหาในช่วงแรก ใช้เวลาปรับตัวด้านนี้อยู่เป็นปี โชคดีที่ได้รู้จักกับครอบครัวคนอเมริกันที่คอยชวนไปเที่ยวที่ฟาร์ม ทำความรู้จักกับครอบครัว จึงได้ฝึกภาษามากขึ้น และตัวดร. แจ๊คเองก็พยายามผลักดันตัวเอง ฝึกฝนออกเสียงเรื่อยมา

เมื่อทำงานไปได้สักพัก ทาง Professor และพี่เลี้ยงหรือ Senior Scientists สองคน ที่เป็นชาวญี่ปุ่นและชาวจีน เห็นความขยันของดร. แจ๊ค เมื่อเห็นว่ามีตำแหน่ง Postdoc เปิด จึงให้ลองเข้าไปคุยกับ Professor ที่เปิดรับตำแหน่งนี้ ซึ่ง Professor คนนี้มารู้ทีหลังว่าเป็นผู้อำนวยการของสถาบันวิจัยทาง BioTech ของที่นั่น หลังจากสัมภาษณ์ผ่านก็ได้ทำงานต่อ และอยู่ที่อเมริการวมทั้งสิ้น 4 ปี

อุปสรรคอีกอย่างที่พบตอนไปอเมริกา คือ Professor ของดร. แจ๊คเป็นคนอินเดีย ที่รู้กันดีว่าคนอินเดียส่วนใหญ่จะทำงานโหด เข้มงวดมาก โดนจี้งานเยอะ บางครั้งทำให้ท้อได้เหมือนกัน ดร. แจ๊ค เล่าว่า ต้องทำงานตื่น 7 โมงเช้า เลิกตี 1 ตี 2 ทุกวัน ทำงานทุกวัน ไม่มีวันหยุด เป็นแบบนี้อยู่ 1 ปี แต่การถูกเค้นศักยภาพออกมา ผลคือทำให้ได้ผลงานที่ค่อนข้างดี

วิธีที่ทำให้ผ่านช่วงเวลากดดันของดร. แจ๊ค คือ การนั่งสมาธิ เพราะการทำงานหนักไปเรื่อย ๆ รู้สึกเหมือนสมองยุ่งเหยิง ทุกคืนก่อนนอน ดร. แจ๊คจะใช้เวลา 5-10 นาทีในการทำสมาธิเพื่อจัดระบบเซลล์สมอง สองอย่างในชีวิตที่ดร. แจ๊คทำแล้วเห็นผล คือการทำสมาธิ และการเล่นกีฬา 

หากพูดถึงความแตกต่างในด้านองค์ความรู้ระหว่างไทยและต่างประเทศ ดร. แจ๊ค มองว่า ในแง่ของวิชาการ ไม่คิดว่าเมืองไทยด้อยกว่า ศักยภาพเด็กไทยเมื่อไปอยู่ตรงนั้นก็ไม่ด้อยกว่าคนอื่น จุดอ่อนอาจมีเพียงเรื่องของภาษาในช่วงแรก 

ทั้งยังบอกอีกว่า จริง ๆ การจบปริญญาเอกไม่ใช่คนพิเศษอะไร เพียงแต่ผ่านการฝึกกระบวนการผิดมาอย่างหนัก ส่วนการเป็น Postdoc เป็นโปรแกรมที่ทำให้แข็งแกร่งมาอีกขั้น มาถึงตอนนี้ Professor จะบอกเสมอว่า คุณไม่ใช่นักเรียนแล้ว คุณต้องจัดการชีวิตตัวเอง ต้องมั่นใจในสิ่งที่จะทำ ในสิ่งที่จะพูด และรับผิดชอบในคำพูด

สุดท้ายดร. แจ๊ค ฝากไว้ว่า เราจะทำอะไรให้สำเร็จ มันสำเร็จมาจาก Passion เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทำอะไรแกมบังคับ จะมีเหตุผลมากมายที่บอกว่า หยุดมันเถอะ แต่ถ้าเราทำงานด้วย Passion แรงผลักดันที่จะทำให้สำเร็จ ยังไงมันก็สำเร็จ ไม่ต้องกลัว  พอเราไปเมืองนอกจริง ๆ เราก็จะไปเจอเพื่อนจากประเทศอื่น ๆ ซึ่งเขาจะเป็นเหมือนเรา


.

.

วันนี้เมื่อ 37 ปีก่อน ถือเป็นอีกหนึ่งวันที่ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ โดยเป็นวันที่ สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 หรือ ‘ประมุขแห่งวาติกัน’ ได้เสด็จมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เป็นครั้งแรก

โดยเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2527 เครื่องบินพระที่นั่งของสมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 และคณะผู้ติดตาม ได้ลงจอด ณ ท่าอากาศยานทหาร กองบัญชาการกองทัพอากาศ ดอนเมือง  พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณฯ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว (ขณะดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร) เป็นผู้แทนพระองค์ในการต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาที่ท่าอากาศยาน

ต่อมา สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ได้เสด็จมายังพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง 

การเสด็จเยือนประเทศไทยครั้งนั้น สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ทรงมีภารกิจสำคัญมากมาย อาทิ การเสด็จไปยังศูนย์อพยพผู้ลี้ภัยชาวอินโดจีน ณ อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี รวมถึงทรงเป็นประธานในพิธีบวชพระสงฆ์ใหม่จำนวน 23 องค์ พร้อมกับทรงปิดปีศักดิ์สิทธิ์สำหรับประเทศไทย ณ สามเณราลัยนักบุญยอแซฟ อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม นอกจากนี้ยังเสด็จไปในงานสโมสรสันนิบาต ที่รัฐบาลจัดถวายพระเกียรติ ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล

กล่าวถึง สมเด็จพระสันตะปาปา จอห์น ปอล ที่ 2 ทรงขึ้นเป็นประมุขแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม ค.ศ.1978 โดยพระองค์ถือเป็นพระสันตะปาปาที่มีความสำคัญองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการเสด็จไปรอบโลกเพื่อเยี่ยมเยียนคริสตชน ซึ่งเป็นกิจที่ทำมากกว่าพระสันตะปาปาองค์ใด ๆ ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังทรงต่อต้านการกดขี่ทางการเมือง ปกป้องวิถีทางของศาสนจักรในเรื่องเพศของมนุษย์ และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย

สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น ปอลที่ 2 สิ้นพระชนม์เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ.2548 มีพระชนมายุ 84 พรรษา รวมระยะเวลาในการทรงปกครองศาสนจักรทั้งสิ้น 26 ปี 15 วัน ยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ตามประวัติศาสตร์ของศาสนจักรโรมันคาทอลิก


ที่มา: https://www.komchadluek.net/news/today-in-history/371104

https://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระสันตปะปายอร์น_ปอลที่_2

ฉีดเถอะ ดีทุกค่าย!

วัคซีน ที่ผ่านการอนุมัติ จากองค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณสุข ของแต่ละประเทศ ‘ดีทุกค่าย’ ขอให้มั่นใจ ฉีดได้เลยไม่จำเป็นต้องเลือก

‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ความหวังฟื้นเศรษฐกิจ ‘โลก - ไทย’ | LOCK LENS GURU EP.10

LOCK LENS GURU / EP.10 วันศุกร์ ที่ 7 พฤษภาคม

???? GURU : อ.กมลวรรณ รอดหริ่ง อาจารย์ประจำสาขาการเงิน คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา

 ▶️ หัวข้อ : ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ความหวังฟื้นเศรษฐกิจ ‘โลก - ไทย’

 อ่านคอลัมน์เพิ่มเติม : https://thestatestimes.com/post/2021031406

 ???? ดำเนินรายการโดย เจ THE STATES TIMES 

.

.

กรุงเทพฯ - สภากาชาดไทยร่วมกับสำนักอนามัย จัดทีมแพทย์ พยาบาลเสริมทัพฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้มีความเสี่ยงเขตคลองเตย

อนาคตเตรียมเปิดรับสมัครอาสาสมัครแพทย์ พยาบาล และมอบชุดธารน้ำใจโควิด ฯ สำหรับผู้กักตัว 14 วัน

วันที่ 5 พฤษภาคม 2564 นายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย ตรวจเยี่ยมและให้กำลังใจ ทีมแพทย์ พยาบาลของสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ ที่ปฏิบัติงานร่วมกับสำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร นำทีมโดย แพทย์หญิงกานดา ลิมิตเลาหพันธุ์ หัวหน้าฝ่ายบริการทางการแพทย์ สำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ ปฏิบัติงานฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19  ให้แก่ผู้ที่มีความเสี่ยงในพื้นที่ชุมชนแออัดเขตคลองเตย โดยสำนักอนามัย กรุงเทพมหานครตั้งเป้าในการฉีดวัคซีนประมาณวันละ 1,500 ราย ณ โลตัส พระรามสี่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย เพื่อช่วยควบคุมโรคระบาดในพื้นที่คลองเตย กรุงเทพมหานคร

​ด้านนายแพทย์พิชิต ศิริวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์ฯ กล่าวว่า “วันนี้สภากาชาดไทยมาร่วมสนับสนุนกทม.ในการระดมฉีดวัคซีนให้ประชาชนในพื้นที่ ที่มีการแพร่ระบาดหนักสุดในตอนนี้ ซึ่งก็คือพื้นที่คลองเตย มีทั้งทีมแพทย์และพยาบาลที่มาปฏิบัติงาน นอกจากนี้ในอนาคตอันใกล้เราจะระดมอาสาสมัครของสภากาชาดไทย ที่เป็นแพทย์หรือพยาบาลที่มีจิตอาสา มาช่วยภาครัฐในการระดมฉีดวัคซีนในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้นอีก และสภากาชาดไทยได้เตรียมเปิดสิทธิ์ให้กับอสส. (อาสาสมัครสาธารณสุข)ในการคีย์ข้อมูลเข้าในระบบแอปพลิเคชั่นพ้นภัย สำหรับผู้ที่ อสส.ประเมินแล้วว่ามีความเสี่ยง จำเป็นต้องกักตัวเอง 14 วัน เพื่อที่เมื่อข้อมูลเข้าระบบแล้ว สภากาชาดไทยจะได้จัดส่งชุดธารน้ำใจฝ่าวิกฤติ      โควิด-19 ไปสนับสนุน โดยอาศัยสนง.เขตต่าง ๆ เป็นตัวกลางในการประสานต่อไป ซึ่งชุดธารน้ำใจกู้ชีวิตฝ่าวิกฤติโควิด-19 นี้ สภากาชาดไทยได้ดำเนินการในส่วนภูมิภาคมาเป็นระยะเวลา 1 ปีเศษแล้ว โดยมีอสม.(อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) เป็นผู้คีย์ข้อมูลผ่านเข้าระบบแอปพลิเคชั่นพ้นภัยเข้ามา ซึ่งสภากาชาดไทยได้ดำเนินการช่วยเหลือผู้กักตัวเอง 14 วัน ด้วยชุดธารน้ำใจฯ ดังกล่าวไปแล้วกว่า 1 แสนชุด”

​สำหรับประชาชนที่มีจิตศรัทธาจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับสภากาชาดไทย ที่จะก้าวผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน สามารถบริจาคได้ในโครงการ “พลังใจ 99 บาท ก้าวผ่านวิกฤต COVID-19” เพื่อมอบชุดธารน้ำใจช่วยเหลือประชาชนที่ต้องกักกันตน ผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้และไร้ที่พึ่ง เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกัน และเยียวยาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ด้วยการสแกน QR CODE ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารใน ระบบ E-DONATION หรือโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสำนักสีลม ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 001-1-34567-0 หรือธนาคารกรุงไทย สาขาสุรวงศ์ ชื่อบัญชี "สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 023-6-06799-0 ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สอบถามเพิ่มเติม โทร. 1664


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top