Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

จุรินทร์ ฟันธง! รัฐบาลมุ่งแก้โควิด ส่วนการเมืองยังไม่วิกฤต ย้ำรัฐบาลต้องตระหนักไม่สร้างเงื่อนไขเพื่อปัญหาทางการเมืองผ่อนเบาลง

วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์ เกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองบ้านเมืองปัจจุบัน

นายจุรินทร์ กล่าวว่าตนมองว่าเป็นเรื่องที่เป็นปกติที่การเมืองจะนิ่ง 100% ในทุกสถานการณ์เป็นไปไม่ได้ในระบอบประชาธิปไตย ความเห็นที่ไม่สอดคล้องกัน ขัดแย้งกันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ถ้ามองในภาพรวมประเทศของเราเผชิญกับ 3 ปัญหา (1.) โควิด (2.) เศรษฐกิจ (3.) การเมือง ทั้ง 3 ปัญหานี้สัมพันธ์กันและเป็นเรื่องปกติ หลายประเทศในโลกก็เจอทั้ง 3 ปัญหานี้อยู่ที่ว่าเราจะคลี่คลายสภาพปัญหาในรูปแบบไหน

ที่ผ่านมาเรื่องโควิดรัฐบาลพยายามที่จะแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ มีความคืบหน้าในเรื่องของวัคซีนที่ประชาชนอยากเห็นว่ารัฐบาลจะตัดสินใจทางไหน ขณะนี้สัญญาณชัดอย่างหนึ่งที่สอดคล้องกับความต้องการของคนจำนวนมาก คือ เปิดโอกาสให้เอกชนทำได้สามารถนำเข้าวัคซีนได้ด้วยเพื่อผ่อนแรงของภาครัฐ คิดว่าหลายฝ่ายก็เห็นสอดคล้องกัน

"ในเรื่องของเศรษฐกิจรัฐบาลก็พยายามที่จะเข้าไปแก้ปัญหา เมื่อวานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมาตรการเยียวยาให้ความช่วยเหลือกับทุกภาคส่วนที่เป็นรูปธรรมชัดเจนในส่วนที่ผมรับผิดชอบการส่งออกตัวเลขดีขึ้นเป็นลำดับ เดือนมกราคมเป็นบวก เดือนมีนาคมบวก 8.47% และเชื่อว่าเดือนเมษายนก็ยังเป็นบวกอยู่ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีในทางเศรษฐกิจที่เห็นภาพชัดเจน ส่วนปัญหาทางการเมืองเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องแก้ไปเพราะมีความเห็นที่หลากหลายไม่ตรงกันอยู่ ไม่คิดเป็นวิกฤติ แต่สิ่งหนึ่งที่ตนพูดอยู่เสมอ รัฐบาลต้องตระหนักอะไรที่เป็นเงื่อนไขก็อย่าไปสร้างเงื่อนไขหรือไปทำให้เป็นเงื่อนไข รวมถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งถ้ารัฐบาลสามารถปลดเงื่อนไขให้หมดไปทีละข้อสองข้อปัญหาทางการเมืองก็จะผ่อนเบาลง แต่ถ้าจะหมดคงไม่หมด" นายจุรินทร์ กล่าว 

ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญ (วานนี้) นายจุรินทร์ กล่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญว่าอย่างไรก็เป็นไปตามนั้นไม่สามารถที่จะทำเป็นอย่างอื่นได้ เป็นไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพราะอันนั้นเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และตนไม่อยู่ในฐานะที่ให้ความเห็นในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ต้องไปถามพรรคพลังประชารัฐเพราะเป็นส่วนที่อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของพรรคพลังประชารัฐ

ออมสินเปิดให้เริ่มพักหนี้ได้ทุกประเภทรับโควิด

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารฯ เตรียมเปิดให้ลูกหนี้สินเชื่อทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อรายย่อย ที่อยู่อาศัย สินเชื่อบุคคล และสินเชื่อธุรกิจ ที่มีอยู่ประมาณ 1 ล้านราย เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้แบบสมัครใจ ด้วยการพักชำระเงินต้นและจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยไปถึง 31 ธ.ค. 64 ตามมติของครม. ที่ได้เห็นชอบไปในครั้งล่าสุด

ทั้งนี้หากลูกหนี้รายใดมีความจำเป็นต้องรับความช่วยเหลือเพิ่มเติม ธนาคารพร้อมพิจารณาให้ความช่วยเหลือเป็นรายกรณี  โดยสามารถแจ้งความประสงค์ขอเข้ามาตรการพักชำระเงินต้น และเลือกแผนการชำระหนี้ด้วยตนเองผ่านแอปพลิเคชัน MyMo  ตั้งแต่วันที่ 11 พ.ค.- 30 มิ.ย. 64 ส่วนลูกหนี้สินเชื่อธุรกิจที่มีวงเงินกู้เกิน 10 ล้านบาท สามารถติดต่อดำเนินการที่สาขาของธนาคาร   

นายวิทัย กล่าวว่า ในช่วงกลางเดือนพ.ค.นี้ ธนาคารจะเปิดให้ลูกค้าของออมสินที่มีแอปพลิเคชั่น MyMo และมีความต้องการสินเชื่อขอยื่นสินเชื่อสู้ภัยโควิด-19 ได้ ซึ่งวงเงินรวม 1 หมื่นล้านบาท โดยกู้ได้สูงสุด 1 หมื่นบาท อัตราดอกเบี้ย 0.35% เป็นระยะเวลา 3 ปี ปลอดการชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยนาน 6 เดือน

ระยะแรกจะเปิดให้ลูกค้าของออมสินที่มีแอปฯ MyMo จำนวน 9.2 ล้านคน เข้ามาขอสินเชื่อได้ก่อน จากนั้นจะให้ประชาชนอยู่ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม และค่อยขยายเปิดให้ประชาชนทั่วประเทศที่ไม่มีแอพ MyMo เข้ามาลงทะเบียนได้เป็นกลุ่มสุดท้าย โดยคาดว่าจะช่วยเหลือประชาชนได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน  

ศปฉ.ปชป. รายงานความคืบหน้าสถานการณ์ความช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ไม่มีเตียง 25 เม.ย - 6 พ.ค 64 ช่วยได้เกินร้อย เริ่มมีกลับบ้านได้

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 พรรคประชาธิปัตย์ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าทีมผู้รับผิดชอบประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป) รายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล ระหว่างวันที่ 25 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2564 ดังนี้

รับเรื่องไป 150 ราย

ช่วยเหลือไป  144 ราย 

โรงพยาบาล 81 ราย (กลับบ้านได้แล้ว 1 ราย /เสียชีวิต 1 ราย)

โรงพยาบาลสนาม 19 ราย

Hospitel  44 ราย

โดยเคสอื่น ๆ ที่เหลือขณะนี้พรรคได้รับข้อมูล ประสานงานกลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกราย และส่งต่อข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขเพื่อจัดสรรตามมาตรการต่อไป

ทั้งนี้ สัญญาณในการช่วยเหลือผู้ป่วยติดค้าง ไม่มีเตียง เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากภาครัฐได้มีการปรับรูปแบบกระบวนการทำงาน ทำให้ทีมประสานงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด ศปฉ.ปชป.สามารถทำงานได้คล่องตัวขึ้น ส่งตัวผู้ป่วยได้เร็วขึ้น ไม่ค้างในระบบยกเว้นกลุ่มผู้ป่วยหนัก ICU ที่ยังต้องรอเตียงอยู่บางส่วน และมีสัญญาณที่ดีจากผู้ป่วยบางกลุ่มที่เริ่มกลับบ้านได้จากการที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลได้อย่างรวดเร็วจึงทำให้ได้รับการรักษาแบบทันท่วงที

“เป็นที่น่าเสียใจว่าวันนี้มีผู้ป่วยสูงอายุที่เราประสานงานและพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เสียชีวิต 1 ราย จึงขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวด้วยเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีผู้ป่วยบางรายที่แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ซึ่งถือเป็นข่าวดีในทุกครั้งที่ได้ยินว่าผู้ป่วยรอดและปลอดภัย” นางดรุณวรรณ กล่าว

หากต้องการความช่วยเหลือสามารถแจ้งผ่านมาที่ผู้ประสาน ศปฉ.ปชป ได้ที่กล่องข้อความในเฟซบุ๊ก facebook.com/DemocratPartyTH ทวิตเตอร์ twitter.com/democratTH หรือ BLUE HOUSE ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ และช่วยเหลือประชาชนพรรคประชาธิปัตย์ 02-828-1010

ถูกใจมั้ย!!! ครม. เทกระจาด เคาะรัว ๆ มาตรการเยียวยาโควิดระลอกใหม่ แจกแหลก ทั้ง ‘คนละครึ่ง-เราชนะ-ม.33เรารักกัน’ เพิ่มให้คนละ 2,000 บาท คนละครึ่งเฟส 3 อีกคนละ 3,000 บาท บัตรคนจน-กลุ่มเปราะบาง ได้ด้วย

จากการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการ มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่

เริ่มจาก มาตรการคนละครึ่ง เฟส 3 คนละ 3,000 บาท จำนวน 31 ล้านคน คิดเป็นวงเงินงบประมาณ 93,000 ล้านบาท ระยะเวลาเดือนก.ค.-ธ.ค.64

ต่อด้วย โครงการเราชนะ จำนวนกลุ่มเป้าหมายประมาณ 32.9 ล้านคน เพิ่มอีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ กรอบวงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.64

ขณะที่โครงการ ม.33 เรารักกัน กลุ่มเป้าหมาย 9.27 ล้านคน ได้เพิ่มวงเงินช่วยเหลือ อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นเวลา 2 สัปดาห์ วงเงินรวม 18,500 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.64

นอกจากนี้ ยังอนุมัติขยายวงเงินให้กับโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 ประชาชน 13.65 ล้านคน ให้เงินค่าครองชีพแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน (กรกฎาคม-ธันวาคม) และเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษจำนวนเป้าหมาย 2.5 ล้านคน เพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน (ก.ค.-ธ.ค.)

พร้อมอนุมัติมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยให้ความช่วยเหลือลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาตามมาตรการเดิมที่ได้ดำเนินการในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.64 ต่อเนื่องถึงเดือนเม.ย.-พ.ค.

โดยให้สิทธิค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก

ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าดังนี้

กรณีหน่วยการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.2564 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริง

กรณีหน่วยการใช้ไฟฟ้ามากกว่าใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.2564 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ ดังนี้

1.) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64

2.) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 500 หน่วยต่อเดือน แต่ไม่เกิน 1,000 หน่วยต่อเดือน ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64 ในอัตราร้อยละ 50

3.) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าขอใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64 ในอัตราร้อยละ 70 โดยให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

มาตรการสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรก โดยมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก กำหนดให้ดำเนินการเป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าประจำเดือนพ.ค.ถึงมิ.ย.64

ส่วน มาตรการลดค่าน้ำประปา ให้ลดค่าน้ำประปาลงร้อยละ 10 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) เป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับใบแจ้งหนี้ค่าน้ำประปาประจำเดือนพ.ค.-มิ.ย.64

สุดท้าย ครม.ยังมีมติเห็นชอบในหลักการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง ผ่านโครงการ ‘ยิ่งใช้ยิ่งได้’ โดยรัฐสนับสนุน e-Voucher ให้กับประชาชน ที่ใช้จ่ายซื้อสินค้า อาหารและเครื่องดื่มและค่าบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่เกิน 5,000 บาทต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนอีกด้วย

ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมร่วมมือด้านวัคซีนควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 เดินหน้าการลงทุนทั้งทวิภาคิและพหุภาคี

วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้อนรับ นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน (H.E. Mr. Brian John Davidson) เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ที่เข้าเยี่ยมคารวะเพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ขอแสดงความเสียใจต่อการสิ้นพระชนม์ของดุ๊กแห่งเอดินบะระ เชื่อว่าพระกรณียกิจที่พระองค์ทรงทุ่มเทเพื่อสาธารณประโยชน์จะอยู่ในความทรงจำของทั่วโลกตลอดไป ขอบคุณเอกอัครราชทูตที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือที่ดีตลอดช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งในไทย

ด้านเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยสำหรับความร่วมมือที่ดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี และพหุภาคีระหว่างกันเป็นไปด้วยดี เชื่อมั่นว่าไทยและอาเซียนยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก พร้อมที่จะสนับสนุนนักลงทุนจากสหราชอาณาจักรให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ในสาขาที่มีศักยภาพร่วมกัน อาทิ ด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และอื่นๆ ทั้งนี้ ขอบคุณที่ไทยตอบรับข้อเสนอเพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ 10 อันดับประเทศที่ประกอบธุรกิจง่ายที่สุด (Ten for Ten) เชื่อมั่นไทยจะได้รับความสนใจด้านการลงทุนมากขึ้น อีกทั้ง ชื่นชมแนวทางการทำงานของไทย แนวคิดการจัดการวัคซีนของไทยที่ต้องการให้เป็นยาพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งวัคซีนแอสตร้าซีเนก้าเป็นวัคซีนที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรเชื่อมั่นและไทยโดยบริษัทสยาม ไบโอไซเอนซ์เป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้รับเลือกเป็นศูนย์กลางการผลิตเเละกระจายวัคซีนโควิดของแอสตร้าซีเนก้า 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตฯได้แลกเปลี่ยนแนวทางที่จะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 “Build back better” ไทยหวังว่าจากบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า และกลไกสนับสนุนอื่น ๆ ที่ได้ลงนามไป จะนำไปสู่การจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกันโดยเร็ว โดยเชื่อมั่นว่าจากความร่วมมือกับไทยจะส่งผลให้สหราชอาณาจักรสามารถเพิ่มบทบาทในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกมากขึ้น ซึ่งเอกอัครราชทูตเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยที่จะสามารถเป็นสะพานเชื่อมสหราชอาณาจักรกับอาเซียน อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และอินโดแปซิฟิก 

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญอื่นๆ อาทิ เรื่องสิ่งแวดล้อม ไทยพร้อมสนับสนุนสหราชอาณาจักรในการเป็นประธานการประชุม COP26 และหวังว่าผลลัพธ์ของการประชุมส่งผลสำคัญต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเด็นสถานการณ์ในเมียนมา สหราชอาณาจักรชื่นชมและเข้าใจในแนวทางปฏิบัติของไทย ที่ได้แสดงออกถึงความห่วงใยต่อประเทศเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือประชาชนผู้หนีภัยตามหลักมนุษยธรรม และการสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน

‘สัณหพจน์’ จี้ ‘พาณิชย์’ เร่งรับซื้อ ‘พริกเขียว’ เท่าเทียม หลังพบไปซื้อแต่ที่ ‘สงขลา’ แต่ไม่แวะมา ‘นครศรีฯ’

ส.ส.พปชร. นครศรีฯ ติงกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายใน วางกรอบการรับซื้อ ‘พริกเขียว’ อย่างเป็นรูปธรรม มีมาตรการที่ชัดเจน เป็นมาตรฐานเดียวกัน หลังเกษตรกรพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ยังคงเดือดร้อนหนัก ขายพริกราคาขาดทุน แนะหน่วยงานรัฐเกษตรฯ-พาณิชย์ บูรณาการทำงานร่วมกัน

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต2 จ.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ กระทรวงพาณิชย์โดย กรมการค้าภายใน ออกมาตรการสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือรับซื้อพริกขี้หนูดวงมณี หรือ พริกเขียวหัวไทร ราคากก.ละ 5 บาท จำนวนเป้าหมาย 3,000 ตัน ว่า วานนี้ (5 พ.ค.64) ตนได้ทราบข้อมูลจาก ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี ส.ส.เขต 4 จ.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ ถึงกระบวนการรับซื้อพริกเขียวในพื้นที่จ.สงขลา

ทั้งนี้พบว่า กรมการค้าภายใน โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา ได้ประสานให้ผู้รับซื้อพริกเขียว จากเกษตรกรในพื้นที่ในพื้นที่ อ.ระโนด และอ.สทิงพระ จ.สงขลา ในราคา กก.ละ 10 บาท แล้ว พร้อมทั้งบันทึกหลักฐานการรับซื้อจากเกษตรกรแต่ละราย เพื่อจะได้สนับสนุนงบช่วยเหลือ 5 บาท/กก.ให้กับเกษตรกร โดยมีจำนวนการรับซื้อที่ 1,000 ตัน

ขณะที่ จ.นครศรีธรรมราช ปัจจุบัน เกษตรกรผู้ปลูกพริกในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จำนวน 1,072 ราย พื้นที่ปลูกกว่า 2,000 ไร่ ใน 6 อำเภอคือ อ.เชียรใหญ่ อ.ชะอวด อ.หัวไทร อ.ปากพนัง อ.เฉลิมพระเกียรติ และอ.เมือง ผลผลิตรวมประมาณ 10,117 ตัน/ฤดูกาล ยังคงประสบปัญหาดังกล่าวอยู่ เนื่องจากผู้รับซื้อได้รับซื้อผลผลิตในราคา กก.ละ 7-8 บาท จากที่ก่อนหน้านี้ 2-3 วันที่ผ่านมา ราคาพริกเขียวตกต่ำจนถึง กก.ละ 6 บาท โดยผู้รับซื้อแจ้งว่ายังไม่ได้รับการประสานงานจากหน่วยงานราชการใด ๆ

“จากปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าวของพี่น้องเกษตรกร ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่เก็บผลผลิต เนื่องจากกำลังรอการอนุมัติงบช่วยเหลือจากกรมการค้าภายในก่อน ซึ่งในช่วงนี้มีฝนตกหนักในพื้นที่ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคกุ้งแห้ง ซึ่งจะทำให้พริกยืนต้นตาย ยิ่งจะทำให้เกษตรกรขาดทุนมากยิ่งขึ้น

เบื้องต้นทราบแต่เพียงการกำหนดจำนวนรับซื้อที่ 1,000 ตันนั้น ซึ่งเท่ากันทั้ง 2 จังหวัดคือ จ.สงขลา และจ.นครศรีฯ หากเปรียบเทียบจำนวนผลผลิตแล้ว จ.สงขลาผลิตได้วันละ 20 ตัน ขณะที่จ.นครศรีฯ มีผลผลิตพริกออกสู่ตลาดมากถึงวันละ 80-100 ตัน ผลผลิตรวมต่อฤดูกาลถึง 10,117 ตัน/ฤดูกาล ซึ่งตนมองว่า มีสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม” นายสัณหพจน์ กล่าว

ดังนั้นตนจึงอยากให้ กรมการค้าภายในได้กำหนดกรอบการรับซื้อพริกเขียวจากเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ที่สำคัญต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน ทั้งนี้เนื่องจากผลผลิตพริกของเกษตรกรมีการเก็บเกี่ยวและออกสู่ตลาดทุกวัน หากปล่อยไว้นาน จะทำให้เกษตรกรเดือดร้อน ประสบกับปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จำเป็นจะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันในพื้นที่ ทั้งหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่ภาคประชาชนสังคม และ ส.ส.หรือผู้แทนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ วันนี้จำเป็นที่จะต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะพี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อน

มาแล้ว เนติบริกร ‘วิษณุ’ ยันคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ "ธรรมนัส" ไม่พ้นตำแหน่งไม่ขัดความเห็นกฤษฎีกา ชี้พ้นโทษมาแล้วเกิน 5 ปี ระบุ กระแสวิจารณ์เรื่องจริยธรรมไม่เกี่ยวข้อกฎหมาย

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ให้ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงการเกษและสหกรณ์ ไม่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และรัฐมนตรี เนื่องจากไม่ขาดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็น ส.ส.และ รัฐมนตรี กรณีเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือออสเตรเลีย ความผิดคดียาเสพติด เมื่อปี 2536 ว่า เคยมีความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกามีคำสั่ง ว่าหากถูกพิพากษาจำคุกในหรือต่างประเทศ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมาแล้วไม่ถึง 5 ปี ถือว่าเป็นบุคคลต้องห้าม ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. แต่กรณี ร.อ.ธรรมนัสถูกตัดสินลงโทษจำคุกคดียาเสพติด ตั้งแต่ ปี 2536 และพ้นโทษ เมื่อปี 2540 ถือว่าพ่นโทษมาแล้วเกิน 5 ปี จึงถือว่าไม่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมาย

นายวิษณุ กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์ ความเหมาะสม จริยธรรม ว่า ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่จะวิจารณ์กัน ส่วนจะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. วินิจฉัยในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่ในข้อกฎหมาย ถือว่าสิ้นสุดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่า จากที่เป็นประเด็นถกเถียงข้อกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญควรจะทำคำชี้แจงกับสังคมหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรือพูดอะไรเพิ่มเติม เพราะได้วินิจฉัยจบแล้ว ส่วนผลทางวิชาการ ทางการเมือง แล้วแต่จะวิจารณ์กันไป ขณะเดียวกันคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนี้ ถือเป็นบรรทัดฐานที่ใช้ได้กับทุกคน เพราะไม่เคยมีคำวินิจฉัยมาก่อน และใช้ได้กับความผิดทุกกรณี ไม่เฉพาะแต่ความผิดคดียาเสพติดอย่างเดียว แต่ไม่ใช่การล้างมลทิน เพราะเป็นเรื่องคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ซึ่งอาจจะมีมลทินก็ได้

คลัง เปิดคนละครึ่งเฟส3 ให้ลงทะเบียนเพิ่ม 16 ล้านคน

นางสาววกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเปิดโครงการคนละครึ่ง ระยะ 3 ว่า สำหรับคนที่เข้าร่วมคนละครึ่งระยะ 1 และ 2 ไปแล้ว จำนวน 15 ล้านคน ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ แต่ต้องกดยินยอมตกลงรับเงื่อนไขก่อนถึงจะเข้าร่วมได้ ส่วนคนที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน จะต้องมาลงทะเบียนเพิ่มเติมซึ่งจะกำหนดวันเปิดลงทะเบียนในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มอีก 16 ล้านคน  

ส่วนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.65 ล้านคน และ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้ผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ 2.5 ล้านคน  รัฐบาลจะโอนเงินเพิ่มให้เดือนละ 200 บาท เป็นเวลา 6 เดือน ขณะที่โครงการ ยิ่งใช้ ยิ่งได้ เป้าหมาย 4 ล้านคน มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนคูปองเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ให้สูงสุด 7,000 บาทต่อคน ซึ่งรายละเอีอดนั้นจะมีการกำหนดออกมาอีกครั้ง 

นอกจากนี้ในโครงการเราชนะกลุ่มเป้าหมาย 32.9 ล้านคน และ โครงการม.33 เรารักกัน กลุ่มเป้าหมาย  9.29 ล้านคน  ที่รัฐบาลจะเพิ่มวงเงินให้อีกคนละ 2,000 บาท ซึ่งคลังจะเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมในที่ประชุม ครม. สัปดาห์หน้า เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้ภายในเดือนพ.ค.นี้ และใช้จ่ายได้จนถึงสิ้นเดือนมิ.ย. 64 เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศ

ตราด – พายุฝนตกถล่มกลางดึก พัดไม้ล้มทับบ้าน ขวางถนนหลายจุดทั่วเมืองตราด

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 01.30 น. สมาคมสว่างบุญช่วยเหลือธรรมสถานตราด ได้รับแจ้งขอความช่วยเหลือ เหตุพายุฝนตกหนัก และมีต้นไม้ล้มขวางถนน กีดขวางกการจราจรหลายจุดในเขตอำเภอเมืองตราด อำเภอบ่อไร่ และอำเอแหลมงอบ หลังรับแจ้งจึงแจ้งอาสาสมัครกู้ภัยนำกำลังรุดไปให้ความช่วยเหลือ จุดแรกที่ถนนสาย 3 ตราด –กรุงเทพ หลักกม.ที่ 5-6 ขาออกจากตัวเมืองตราด พบต้นกระถินเทพา ถูกพายุดพัดโค่นล้มขวางถนน จึงช่วยกันตัดและรื้อออกจากผิวจราจร จุดที่ 2 ที่บ้านโป่งต.วังตะเคียน อ.เขาสมิง  ต้นไม้ล้มขวางถนนเช่นกัน จุดที่ 3 ที่ถนนสายตราด-แหลมศอก ต.หนองคันทรงอ.เมือง จ.ตราด โดยสมาคมตราดพุทธสงเคราะห์ ช่วยตัดต้นไม้รื้อออกจากผิวจราจร ขณะที่ถนนสายตราด-แหลมงอบ พายุพัดกิ่งไม้หักขวางถนนเป็นระยะ ๆ ตลอดเส้นทาง แต่ไม่มีไม้ล้ม

ส่วนที่บ้านธรรมชาติล่าง ต.คลองใหญ่ อ.แหลมงอบ ต้นมะม่วงขนาดใหญ่ถูกพายุดพัดหักกลางต้น ต้นมะม่วงโค่นล้มลงมาทับหลังคาบ้านเลขที่ 63 ม.6 ต.คลองใหญ่ อ.แหลมงอบ ของนางรุ่งอรุณ หอยสังข์ ได้รับความเสียหาย หลังคาพังไปทั้งแถบ และทับรถยนต์กระบะได้รับความเสียหายไปด้วย ขณะเดียวกันต้นไม้ยังล้มทับสายไฟฟ้าขาด ทำให้เกิดเหตุไฟฟ้าดับไปทั้งหมู่บ้านอาสาสมัครกู้ภัยจึงช่วยกันตัดรื้อต้นไม้ กิ่งไม้ออกจากบ้านของนางรุ่งอรุณ โดยใช้เวลาในการรื้อนานเกือบ 1 ชม.

นางรุ่งอรุณ เจ้าของบ้านเล่าให้ฟังว่า ก่อเกิดเหตุกำลังนอนหลับอยู่ในบ้าน เกิดเหตุฝนตกหนัก พายุพัดรุนแรง และเกิดเหตุต้นมะม่วงข้างบ้านถูกพายุพัดโค่นล้มทับบ้านเสียงดังสนั่น ออกมาดูพบต้นมะม่วงหักล้มทับบ้านดังกล่าว จึงรีบโทรศัพท์แจ้งกู้ภัยให้มาช่วยดังกล่าว ส่วนความเสียหายทั้งบานทั้งรถถยนต์น่าจะเป็นเงินหลายหมื่นบาท โดยจะแจ้งทางราชการให้มาตรวจสอบให้ความช่วยเหลือในช่วงเช้าต่อไป


ภาพ/ข่าว  ณัฐวุฒิ สวัสดิ์วารี 

ตาก – ฝ่ายปกครองแม่สอด ผู้ใหญ่หมี พร้อม อส.ลงพื้นที่ตรวจป่าขุนห้วยแม่สอด พบการบุกรุกตัดไม้ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ

นายธวัชชัย. อ่อนสาร ปลัดป้องกันอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก พร้อมด้วยนายปรีชา สอนแวว "ผู้ใหญ่หมี ลีลาวดี "ผู้ใหญ่บ้านหนองบัว หมู่ 7  ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก =นายสุวรรณ  กรณ์สน ผู้ใหญ่บ้านห้วยหินฝน หมู่ 6 ต.แม่ปะ ,อาสาสมัครรักษาดินแดน(อส)กองร้อย 3 แม่สอด ,สารวัตรกำนัน แพทย์ประจำตำบล ,ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน(ชรบ) ฝ่ายปกครอง ร่วมกันลงพื้นที่ตรวจสอบภายหลังทราบว่ามีการบุกรุกตัดไม้ ทำลายป่าไม้ และทรัพยากรธรรมชาติ  ที่ป่าขุนห้วยแม่สอด,เขตติดต่อบ้านหนองบัว และบ้านห้วยหินฝน ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก จากการตรวจสอบพบมีต้นไม้ถูกลักลอบตัด จึงประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและติดตามหาบุคคลที่กระทำผิดต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top