Sunday, 22 June 2025
TheStatesTimes

ชลบุรี - สุดระทึก ขี่รถจยย. ไฟเผาวอดทั้งคันคาดสายน้ำมันรั่วและเครื่องร้อน

เมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 5 พ.ค.64 ภาพจากโทรศัพท์มือถือที่ชาวบ้านได้ถ่ายไว้ขณะเกิดเหตุไฟไหม้รถ จยย.ยามาฮ่า ฟีโน่ ไม่ทราบสี ทะเบียน กนก 619 ตราด มีชาวบ้านนำเครื่องดับเพลิงมาฉีด แต่ก็ยังไม่ดับ ต้องนำรถดับเพลิงจากเทศบาลเมืองอ่างศิลา 1 คัน ฉีดน้ำประมาณ 10 นาที ไฟจึงดับแต่รถ จยย.วอดทั้งคัน

สอบถามคนขี่รถ จยย.เป็นชายหนุ่มไม่ยอมบอกชื่อ และไม่ให้ข้อมูลใด ๆ ทั้งสิ้น ทราบเพียงว่ายืมรถเพื่อนมาซื้อของที่ตลาดและก่อนกลับบ้านไฟได้ไหม้วอดทั้งคัน 

สอบถาม นายชำนาญ สระใส อายุ 43 ปี ผู้เห็นเหตุการณ์เผยว่า เห็นชายหนุ่มขี่รถ จยย.มาแล้วเกิดไฟลุกท่วมคนขี่รถ จยย.กระโดดออกมาทัน เบื้องต้นคาดว่าสายน้ำมันรั่วและน้ำมันเบนซินกระเด็นไปโดนเครื่องที่ขี่มาร้อน ทำให้เกิดเพลิงไหม้ดังกล่าว แต่ยังโชคดีที่ไม่เป็นอันตรายใด ๆ ในครั้งนี้


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

ชลบุรี - อันตราย โพสต์เตือนสุนัขพิทบูล เดินเพ่นพ่านบนถนนหาดบางแสน โดนกัดอาจถึงตายได้

เมื่อเวลา 17.00 น.วันที่ 5 พ.ค.64 ผู้ใช้นามว่า “ณรงค์ชัย ( ตุ้ย ) คุณปลื้ม” นายกเทศบาลเมืองแสนสุข ต.แสนสุข อ.เมือง จ.ชลบุรี มีข้อความว่า “เนื่องจากมีประชาชนร้องเรียนว่าพบ สุนัข คาดว่าจะเป็นสายพันธุ์ พิทบูลเทอเรียร์ ครับที่เจ้าของปล่อยให้เดินบนที่ทางสาธารณสณะ ทำให้ประชาชน เกิดความหวาดระแวง และ อาจเกิดอันตรายต่อประชาชนที่อยู่ในบริเวณนั้นครับ โดยเฉพาะเด็ก และผู้สูงอายุ เนื่องจากเราไม่ทราบว่าสุนัขจะมีพฤติกรรมดุร้ายหรือไม่ แต่ตามเทศบัญญัติ ระบุไว้ไม่ให้ปล่อยสัตว์ที่มีเจ้าของโดยไม่มีการควบคุมดูแลครับ รบกวนขอความร่วมมือด้วยครับ กรุณาใส่สายจูงสุนัขทุกครั้งเพื่อความปลอดภัยต่อสุนัขเองและ ประชาชน และหากสุนัขขับถ่ายกรุณาช่วยเก็บของเสียของสุนัขด้วยครับ เพื่อความสะอาด” แล้วมีภาพสุนัขพันธุ์พิทบลูตัวใหญ่ 2 ตัว เดินอยู่กลางถนนริมหาดบางแสน ท่าทางน่ากลัวจะเป็นอันตรายกับนักท่องเที่ยว และคนในพื้นที่

ผู้สื่อข่าว ได้ลงพื้นที่สำรวจดูบริเวณที่มีภาพลง แต่ไม่เจอสุนัขพันธุ์พิทบูลทั้ง 2 ตัว เจอแต่สุนัขไทยท่าทางไม่ดุ นอนเป็นเจ้าของพื้นที่อยู่ โดยวันนี้มีนักท่องเที่ยวบางตาเพราะเพิ่งเลยวันหยุดต่อเนื่อง

สอบถามนายสิทธิศักดิ์ พรหมประเสริญ อายุ 35 ปี เจ้าของร้านอาหารริมหาดบางแสนเผยว่า สุนัขนั้นเจ้าของควรดูแลสอดส่องให้ดี เพราะตรงนี้มันเป็นที่สาธารณะ นักท่องเที่ยวมาเยอะ และส่วนมากนักท่องเที่ยวจะมีเด็กมาด้วย มันอันตราย ฝากบอกไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่มีสุนัขมาหรือเจ้าของสัตว์เลี้ยงมาควรมีสายลากจูง และต้องคอยดูแลอย่าให้คลาดสายตา คนพื้นที่เป็นชาวบ้านแถวนี้บางคนมาเดินขายของหมาจะกัดได้ เพราะหมาพวกนี้ถ้ามันไม่คุ้นหน้ามันกัดอยู่แล้ว ที่เคยดูข่าวมานะ ก็กังวลใจเพราะอยู่ใกล้ร้านเรา ตัวมันใหญ่มากหากโดนกัดอาจถึงตายได้   


ภาพ/ข่าว  นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี

เมียนมาในเวทีอาเซียน!! ภายใต้บริบทแห่ง 'การเกา' ไม่ถูกที่คัน

จากการประชุมอาเซียนระดับผู้นำประเทศนัดพิเศษครั้งที่ผ่านมา สร้างความฮือฮาตรงที่ 'นายพล มินอ่องหล่าย' ได้เป็นตัวแทนของเมียนมาไปร่วมประชุมในครั้งนี้ที่ประเทศบรูไน แต่ที่ประชุมมีฉันทามติออกมา 5 ข้อ ดังต่อไปนี้...

1.) ทางกองทัพเมียนมาต้องยุติการใช้ความรุนแรงในเมียนมาทันทีและทุกฝ่ายต้องยับยั้งชั่งใจอย่างเต็มที่

2.) ต้องจัดการหารืออย่างสร้างสรรค์ระหว่างฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อแสวงหาทางออกอย่างสันติเพื่อประโยชน์ของประชาชนชาวเมียนมา

3.) ผู้แทนพิเศษของอาเซียนจะอำนวยความสะดวกในการเป็นตัวกลางในการหารือดังกล่าวโดยความช่วยเหลือจากเลขาธิการอาเซียน

4.) อาเซียนจะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผ่านทางศูนย์ประสานงานเพื่อการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม

5.) ผู้แทนพิเศษและคณะจะเดินทางเยือนเมียนมาเพื่อพบกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

แต่ในความเป็นจริงนั้น ทางเมียนมาสามารถทำเช่นนั้นได้จริงหรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันนี้ยังมีการปะทะกันระหว่างกองทัพเมียนมาและกองทัพกะเหรี่ยงกลุ่ม KNU และกองทัพคะฉิ่นกลุ่ม KIA

อย่างก่อนหน้านี้ก็มีการประทะกันใกล้เมืองสะเทิม (Thaton) เป็นผลให้มีการปิดการจราจร ซึ่งสร้างผลกระทบในการคมนาคมและการขนส่งในช่วงเวลาที่มีการต่อสู้กัน และล่าสุดก็มีการต่อสู้จากชาวบ้านในเมือง Mindat ในรัฐชิน

ฉะนั้นในส่วนข้อ 2 ที่บอกว่า ต้องมีการจัดการหารืออย่างสร้างสรรค์นั้น แม้ทางรัฐบาลทหารจะต้องการที่จะทำมากเพียงใด แต่ไม่มีการตอบรับจากกลุ่ม National Unity Government อยู่ดี ซึ่งดูจากวันนี้เหมือนทั้งสองฝ่าย ก็ไม่ได้มีความต้องการจะประนีประนอมกันหรือยอมหันหน้าเข้าหาเพื่อเจรจากันอยู่แล้ว

พูดตรง ๆ คือ ต่อให้อาเซียนจะบอกว่าพร้อมเป็นตัวกลางแค่ไหน? แต่ถ้าผู้นำของทั้งสองฝ่ายหรือแต่ละฝ่ายมองแค่ผลประโยชน์ตัวเอง มันก็ไม่มีประโยชน์

...และนั่นหมายความว่า ข้อ 4 ข้อ 5 ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ หากทั้งสองฝ่ายยังเป็นเช่นนี้

นาทีนี้ สงสารก็เพียงชาวบ้านคนเมียนมาที่ต้องหนีตายหรือต้องมาตายกับอุดมการณ์อันเปล่าประโยชน์

ดังนั้นการแก้ปัญหาในครั้งนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องที่จะบอกว่าควรหันหน้าเจรจาหรือยัง แต่ควรจะบอกให้ฝ่ายต่อต้านเลิกปลุกระดมให้ประชาชนและกลุ่มชาติพันธุ์หยุดจับอาวุธเสียก่อน

เพราะฝ่ายยึดอำนาจได้ออกมาชี้แจงแล้วถึงสาเหตุการยึดอำนาจว่าเกิดจากการนับคะแนนไม่ถูกต้องและเตือนกรรมาธิการการเลือกตั้งของเมียนมาถึง 2 ครั้ง แต่ทางกรรมาธิการการเลือกตั้งที่ถูกคัดสรรมาจากรัฐบาล NLD เลือกจะนิ่งเฉยและนั่นคือสาเหตุที่ทำให้กองทัพทำการรัฐประหาร ซึ่งเป็นสิทธิ์ตามชอบธรรมที่ระบุไว้ในธรรมนูญที่ร่างไว้ฉบับปี 2008 ในการปกครองประเทศของเมียนมา ในข้อ 20 วรรค D ว่า...

"กองทัพมีหน้าที่หลักในการปกป้องการไม่สลายตัวของสหภาพและการไม่สลายตัวของความเป็นเอกภาพของประเทศรวมถึงการคงอยู่ตลอดไปของอำนาจอธิปไตย" ซึ่งการกระทำของกลุ่มต่อต้านในวันนี้ขัดกับที่รัฐธรรมนูญ ที่ระบุไว้ในเมียนมา จนยิ่งส่งเสริมให้เกิดความชอบธรรมในการปฏิบัติการของทหารเข้าไปอีก

การต่อต้านทุกวันนี้เอย การที่อาเซียนไม่สามารถเข้าไปทำอะไรได้เอย ทั้งหมดทั้งมวลก็เนื่องจากรัฐธรรมนูญของเมียนมาได้ระบุไว้หมดทุกอย่างแล้วนั่นเอง


ที่มา: AYA IRRAWADEE

วันนี้เมื่อ 147 ปีมาแล้ว ถือเป็นวันสำคัญอีกหนึ่งวัน เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้มี ‘สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน’ ขึ้นเป็นครั้งแรก

โดยการแต่งตั้ง ‘สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน’ (Council of State) ขึ้นในครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และการสร้างความเจริญก้าวหน้าให้กับประเทศตามแบบตะวันตก

สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ประกอบไปด้วย สมาชิกผู้มีบรรดาศักดิ์ชั้นพระยาจำนวน 12 คน มีหน้าที่ถวายคำปรึกษาและความคิดเห็นต่าง ๆ ในด้านนิติบัญญัติ และเมื่อข้อราชการใดที่ประชุมสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินมีมติเห็นชอบ ก็ให้ออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป

ทั้งนี้ผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง ต้องทำพิธีสัตยานุสัตย์ สาบานต่อหน้าพระพักตร์และถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เพื่อให้มีความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่จนเต็มกำลังความสามารถโดยไม่ลำเอียง ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง และรักษาความลับ เพื่อให้การปฏิรูปการเมืองการปกครองบรรลุตามวัตถุประสงค์

การประชุมของสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน จะต้องมีสมาชิกมาประชุมร่วมกันตั้งแต่ 7 นายขึ้นไป จึงจะนับว่าครบองค์ประชุม ผลการประชุมทุกครั้งต้องกราบทูลให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ เมื่อทรงเห็นชอบด้วย ผลของการประชุมหรือมติของสภาจึงจะมีผลบังคับใช้ต่อไป

ผ่านมาถึงวันนี้ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ถือเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปการเมืองการปกครองของประเทศไทย เปรียบเสมือน ‘คณะรัฐมนตรี’ ที่ดำเนินการด้านกฎหมาย และให้คำปรึกษาในการบริหารราชการแผ่นดิน อันเป็นพื้นฐานการปกครองสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้


ที่มา:

https://www.facebook.com/340609796616268/posts/530988617578384/

https://sites.google.com/site/prawaturachkalthi5/kar-ptirup-kar-pkkhrxng-kae

 

‘รองโฆษกพรรคกล้า’ ห่วงบรรทัดฐาน ‘คดีธรรมนัส’ คนต้องคำพิพากษาคดียาเสพติดต่างประเทศเป็น ส.ส.-รัฐมนตรีได้ ชี้ช่องยื่น ป.ป.ช. วินิจฉัยจริยธรรมร้ายแรงต่อ

นายแสนยากรณ์ สิงห์วีรธรรม รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวถึงศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคุณสมบัติร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ไม่มีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ กรณีต้องคำพิพากษาศาล ออสเตรเลียในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดว่า แม้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นที่สุดในเรื่องคุณสมบัติแล้ว แต่การให้เหตุผลคำวินิจฉัยในทำนองว่าคำพิพากษาของต่างประเทศ ไม่มีผลผูกพันต่อกฎหมายไทย เกิดเป็นคำถามถึงบรรทัดฐานกระบวนการยุติธรรมไทย

"ผมไม่ได้มีความขัดแย้งอะไรกับบุคคลในคดี แต่สงสัยว่า ถ้ามีคนก่อคดีคล้าย ๆ มันคือแป้ง ในต่างประเทศ หมายความว่าบุคคลนั้น สามารถสมัครรับเลือกตั้ง เป็น ส.ส. หรือเป็นรัฐมนตรี ได้หรือไม่ เชื่อว่าประชาชนอีกหลาย ๆ คน ก็คงรู้สึกสงสัยไม่ต่างกัน จึงหวังว่าคำวินิจฉัยฉบับเต็มที่จะออกมาภายหลัง จะมีการอธิบายถึงบรรทัดฐานในอนาคตที่ชัดเจนด้วย" นายแสนยากรณ์ กล่าว

รองโฆษกพรรคกล้า กล่าวว่า เรื่องคุณสมบัติคงจะจบไปด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงมีประเด็นว่า ขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงตามหมวด 1 ของมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ พ.ศ.2561 ซึ่งกำหนดให้บังคับใช้แก่ ส.ส., ส.ว. และคณะรัฐมนตรี ด้วยหรือไม่โดยสามารถยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อชี้มูลว่าฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่ และส่งต่อให้ศาลฎีกาตัดสินต่อไป

นายแสนยากรณ์ ยังกล่าวถึง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 5 กำหนดด้วยว่า ผู้ใดกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด แม้จะกระทำนอกราชอาณาจักร ผู้นั้นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรด้วย รวมถึงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมายคณะที่ 5 ) เมื่อเดือนกรกฎาคมปี 2525 ก็ระบุถึงเจตนารมณ์ส่วนหนึ่งว่า ถ้าต้องห้ามเฉพาะการกระทำผิดในประเทศ ไม่เกี่ยวกับการกระทำผิดในต่างประเทศ ก็จะเกิดการลักลั่นไม่เป็นธรรม ซึ่ง 2 ประเด็นนี้ น่าจะเป็นข้อกฎหมายและความเห็นที่มีนัยยะสำคัญ หากมีการวินิจฉัยต่อว่าขัดต่อจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่

ขณะที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ ‘Withawatt Cozy Tansuhaj’ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

เรื่องคุณธรรมนัสวันนี้ ขอยกตัวอย่างที่ฮ่องกง

เหตุจลาจลที่ฮ่องกงเกิดจากอะไรแต่แรก

คือมีชายฮ่องกงพาเพื่อนหญิงของเขาไปใต้หวันและฆ่าเธอตายที่นั่น พอหนีกลับมาฮ่องกง ทางใต้หวันแจ้งไปเรื่องฆาตกรรม แต่เนื่องจากไม่มีกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน เขาจึงรับโทษที่ฮ่องกงแค่ข้อหาขโมยโทรศัพท์มาขายเท่านั้น

จีนจึงออกกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน พวกโจซัว หว่องเลยออกมาประท้วงเพราะกลัวจะหนีไม่ได้อีกต่อไป จะถูกจับส่งไปด้วย แล้วเรื่องมันก็ลุกลามอย่างที่เห็นกัน

ศาลฮ่องกงไม่มีสิทธิลงโทษชายผู้นั้นข้อหาฆาตกรรม ทั้งๆที่เขาก็ยอมรับว่าเป็นฆาตกร เพราะเขาไปฆ่าที่ใต้หวัน มันเป็นหลักสากลที่ว่า เหตุที่เกิดในประเทศหนึ่งจะไม่มีผลทางกฎหมายใดใดในอีกประเทศหนึ่ง

คุณธรรมนัสที่รอดก็ด้วยหลักสากลนี้ จะค้ายาจริงหรือไม่นั่นไม่ใช่ประเด็น แต่เขาติดคุกที่ออสเตรเลียไม่ใช่ที่ไทย ผลการตัดสินผมว่ามันก็ต้องเป็นไปอย่างนั้่นตามหลักอธิปไตยทางกฎหมาย

อันนี้ไม่ได้ชอบหรือเกลียดคุณธรรมนัสนะ เฉยๆมาก ครั้งเลือกตั้งล่าสุดก็ไม่ได้เลือกพรรค พปชร. แต่ผมเห็นด้วยกับการตัดสิน

การทำผิดกฏหมายที่ต่างประเทศ ไม่ควรมีผลสำหรับคุณสมบัติที่บังคับใช้ในประเทศไทย ถือว่าถูกแล้วครับ สำหรับประเทศที่ยังเป็นเอกราช

จะต่อว่าก็ต่อว่าคุณธรรมนัสได้ครับ ที่ไม่ยอมพิจารณาตัวเอง ไม่มีสปิริต

แต่จะมากล่าวหาว่าร้ายให้ศาลหรือเลยเถิดไปถึงไหนก็ตาม อันนี้ไม่ใช้สติละ ไม่ถูกเลยครับ ผิดและอคติอย่างมาก

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=10226662436727835&id=1255629295

‘หมอยง’ ชี้ ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีน ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ว่าของเจ้าไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย แต่วัคซีนในกลุ่ม mRNA จะมีภูมิต้านทานสูงกว่าวัคซีนอื่น ส่วนประเทศไทยตัวไหนก็ได้ ขอให้ได้ฉีดเร็วที่สุด

นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Yong Poovorawan” หัวข้อ โควิด-19 วัคซีน ประสิทธิภาพของวัคซีน โดยระบุว่า ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีนไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ เพราะไม่ได้ทดลอง หรือ ศึกษาพร้อมกันในสถานที่เดียวกัน เวลาเดียวกัน จึงไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้

ตัวเลขประสิทธิภาพของวัคซีน ขึ้นอยู่กับ ปัจจัยต่าง ๆ มากมาย เช่น

1.) ความชุกของโรคในขณะทำการศึกษา ถ้าความชุกของโรคสูง ตัวเลขประสิทธิภาพจะต่ำกว่า ดังนั้นจะเห็นได้ว่าวัคซีน Pfizer ขณะทำการทดลองถึงประสิทธิภาพ มีอุบัติการณ์ของโรคในประชากรต่ำกว่า วัคซีน Johnson and Johnson ในขณะที่ทำการทดลองในอเมริกา ซึ่งเป็นช่วงที่มีการระบาดสูงสุดในอเมริกา จึงมองดูตัวเลขแล้ววัคซีนของ Pfizer จึง มีประสิทธิภาพสูงกว่าวัคซีนจอห์นสัน เพราะเป็นการนับจำนวนผู้ป่วยที่เกิดขึ้นในช่วงการศึกษา

2.) ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ถ้าใช้ประชากรกลุ่มเสี่ยงสูง จะมีประสิทธิภาพต่ำกว่า การศึกษาในประชากรกลุ่มเสี่ยงต่ำกว่า เพราะวัคซีนส่วนใหญ่จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อ แต่ป้องกันความรุนแรงของโรค เช่น วัคซีน Sinovac ที่ทำการศึกษาที่บราซิล ใช้กลุ่มเสี่ยงสูง คือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ได้ประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับวัคซีนเดียวกันที่ทำการศึกษาในประชากรทั่วไป ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่าในตุรกี ได้ตัวเลขประสิทธิภาพที่สูงกว่าการศึกษาในบราซิลมาก

3.) การนับความรุนแรงของโรค ก็มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างยิ่ง วัคซีนของจีน Sinovac ทำการศึกษาในบราซิล ตัวเลขประสิทธิภาพ นับจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการน้อยมากเข้าไปด้วย หรือ ระดับความรุนแรงที่เรียกว่า WHO grade 2 คือติดเชื้อมีอาการ แต่ไม่ต้องการการดูแลรักษา (no need medical attention) ซึ่งตรงข้ามกับวัคซีนอีกหลายตัว ไม่มีการกล่าวถึงความรุนแรงของโรคที่ชัดเจน ส่วนใหญ่มักจะเป็นความรุนแรงระดับ WHO grade 3 คือป่วย เป็นแบบผู้ป่วยนอกไม่ต้องการนอนโรงพยาบาล แต่ต้องพบแพทย์ (need medical attention) ถ้ายิ่งนับความรุนแรงที่น้อยมาก ๆ จะมีตัวเลขประสิทธิภาพต่ำ และถ้านับความรุนแรงตั้งแต่เกรด 4 คือป่วยต้องเข้านอนโรงพยาบาล ประสิทธิภาพจะยิ่งสูงมาก และถ้ายิ่งความรุนแรงที่สูงไปอีก ถึงเกรด 7 Grade 7 คือเสียชีวิต ประสิทธิภาพจะใกล้ 100% ของ วัคซีนเกือบทุกชนิด

4.) สายพันธุ์ของไวรัส การศึกษาของ Pfizer และ Moderna ทำก่อน Johnson การทำทีหลังจะเจอสายพันธุ์ของไวรัสที่กลายพันธุ์ หลบหลีกวัคซีน ทำให้ภาพรวมของวัคซีนที่ทำก่อนมีประสิทธิภาพดีและไม่ทราบประสิทธิภาพต่อไวรัสที่กลายพันธุ์ วัคซีนของจอห์นสันเห็นได้ชัดเจน การกลายพันธุ์ของไวรัสมีส่วนที่ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง การทำการศึกษาคนละเวลาจึงเป็นการยากที่จะมาเปรียบเทียบตัวเลขกัน ถึงแม้ว่าจะทำในประเทศเดียวกัน เพราะไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในการหลบหลีกประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่แล้ว วัคซีนของอินเดียทำการศึกษาที่หลังสุด และศึกษาในสายพันธุ์อินเดีย ก็ไม่สามารถที่จะไปเปรียบเทียบกับวัคซีนที่ทำการศึกษาในอเมริกาใด้ ข้อมูลล่าสุดก็เห็นได้ชัดว่าวัคซีน Pfizer และมีประสิทธิภาพลดลง ประมาณ 20% ต่อสายพันธุ์แอฟริกาใต้ และถ้ามาเจอสายพันธุ์อินเดีย ก็อย่างที่มีข่าวฉีดวัคซีน pfizer มาแล้ว 2 เข็ม ก็มาติดเชื้อในอินเดีย เสียชีวิตในเวลาต่อมา

ดังนั้นในทางปฏิบัติในการดูวัคซีน เราจะต้องศึกษาข้อมูลทั้งหมด แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้ข้อมูลทั้งหมด เราจึงไม่อยากเห็นการใช้ตัวเลขที่ทำการศึกษาต่างระยะเวลากัน ต่างสถานที่กัน มาเปรียบเทียบกัน ว่าวัคซีนใครดีกว่าใคร

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลการวัดระดับภูมิต้านทาน วัคซีนในกลุ่ม mRNA จะมีภูมิต้านทานสูงกว่าวัคซีนอื่นทั้งหมด

สำหรับประเทศไทยเราต้องการวัคซีนทุกตัว ที่สามารถจะนำเข้ามาได้ และให้มีการใช้อย่างเร็วที่สุด

#หมอยง


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=5634675056575065&id=100000978797641&sfnsn=mo

ทยอยมาเรื่อย ๆ วัคซีนซิโนแวค ล็อตใหม่อีก 1 ล้านโดส จากจีนถึงไทยแล้ว เผยล็อตต่อไป 14 พ.ค. 64 เข้ามาอีก 5 แสนโดส จากการบริจาคของประเทศจีน และสิ้นเดือนนี้จะเข้ามาอีก จำนวน 2 ล้านโดส

วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 เวลา 05.35 น. ที่เขตปลอดอากรและคลังสินค้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จังหวัดสมุทรปราการ นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม รับมอบวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค จำนวน 1 ล้านโดส จากประเทศจีน ที่ขนส่งโดยสายการบิน Air China Airline เที่ยวบินที่ CA603 เส้นทางปักกิ่ง-กรุงเทพมหานคร

สำหรับการรับมอบวัคซีนโควิด-19 ของซิโนแวค จากประเทศจีนในครั้งนี้เพิ่มอีกจำนวน 1 ล้านโดส มีการบรรจุในตู้ Envirotainer ระบบ Cold Chain ในการขนส่งสินค้าทางอากาศ ที่ใช้เทคโนโลยีพิเศษในการควบคุมอุณหภูมิของสินค้าในกล่อง ที่ต้องควบคุมอุณหภูมิไว้ไม่เกิน 2-8 องศาเซลเซียส ตลอดการขนส่งเพื่อรักษาคุณภาพ จำนวน 6 ตู้ 27 พาเลท

หลังจากที่ก่อนหน้านี้นำเข้ามาแล้ว 2 ล้าน 5 แสนโดส รวมยอดการนำเข้าวัคซีนซิโนแวคจากประเทศจีน จำนวนทั้งสิ้น 3 ล้าน 5 แสนโดส โดยวัคซีนทั้งหมดนี้จะขนส่งไปจัดเก็บยังคลังสำรองวัคซีนโควิด-19 ซึ่งมีการควบคุมอุณหภูมิระหว่าง 2-8 องศา ที่ศูนย์กระจายสินค้าของบริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด จากนั้นองค์การฯ จะดำเนินการตรวจรับวัคซีนและส่งให้กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ตรวจสอบคุณภาพ มาตรฐาน และเอกสารต่างๆ เมื่อผ่านการตรวจสอบทุกขั้นตอนแล้ว จะส่งให้กรมควบคุมโรคตรวจรับวัคซีนและกระจายไปยังหน่วยบริการ และสถานพยาบาลต่าง ๆ เพื่อฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายตามแผนที่ทางกรมควบคุมโรคกำหนดต่อไป

โดยวัคซีนซิโนแวค นี้จะมีการส่งมอบมาอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ 14 พฤษภาคม จะเข้ามาอีกจำนวน 5 แสนโดส จากการบริจาคของประเทศจีน และสิ้นเดือนจะเข้ามาอีก จำนวน 2 ล้านโดสจากการจัดซื้อโดยองค์การเภสัชกรรมเอง


ที่มา : องค์การเภสัชกรรม https://www.facebook.com/gpoth.official

"แรมโบ้" ได้ทีอ้างข้อมูลวัคซีนไฟเซอร์ยังไม่เข้าไทย เรียกร้องโทนี่ ออกมาขอโทษ “บอก”เป็นถึงอดีตนายกฯควรแสดงความรับผิดชอบต่อคำพูด ที่สร้างความสับสนให้คนเข้าใจผิด

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซั่ม ออกมาพูดในรายการ คลับเฮาส์ ว่ามีวัคซีนไฟเซอร์เข้ามาประเทศไทยแล้ว ว่าจากที่ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ออกแถลงการณ์ ที่ไฟเซอร์ยืนหยัดที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในประเทศต่าง ๆ เพื่อให้คนทั่วโลกรวมถึงคนไทยได้สามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 อย่างเท่าเทียมกัน และมุ่งเน้นการส่งมอบวัคซีนผ่านหน่วยงานรัฐบาลแห่งชาติเท่านั้นไม่มีนโยบายจัดจำหน่ายวัคซีนโควิด-19 ผ่านตัวแทนหรือตัวกลางใด ๆ

ทั้งนี้ จนถึงปัจจุบันไม่เคยมีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ผ่านสำนักงานในประเทศไทย จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าข้อมูลที่นายทักษิณ นำมาพูดนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่อย่างใด นอกจากนี้นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แถลงข่าวชี้แจงกรณีที่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชี้หลักฐานว่ามีการนำเข้าวัคซีนยี่ห้อไฟเซอร์ในไทย โดยยืนยันว่า อย. ยังไม่มีการนำเข้าวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์แต่อย่างใด โดยกลไกการนำเข้าวัคซีนนั้น บริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด จะต้องยื่นขออนุญาตเป็นผู้นำเข้า และขอขึ้นทะเบียนยาต่อ อย. และขั้นตอนในการนำเข้ามาก็จะต้องผ่านด่านของ อย. ทุกครั้ง ซึ่งหลังมีกรณีนี้ ได้ไปตรวจสอบในทุกส่วนงานแล้ว พบว่ายังไม่มีการนำวัคซีนโควิด-19 ของไฟเซอร์เข้ามา 

“ดังนั้นเป็นสิ่งการันตีชัดเจนว่า คนอย่างนายทักษิณ เป็นคนเชื่อถือไม่ได้ กล้าเอาความเท็จมาพูดโกหกคนไทยได้อย่างน่าละอายใจที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นแล้วว่าการออกมาพูดของนายทักษิณมีเจตนาที่ไม่ดีต่อประเทศไทย นำข้อมูลเท็จมาพูด เพื่อต้องการทำให้ประชาชนคนไทยเกิดความสับสน เข้าใจผิดในตัวนายกฯ รัฐบาล เกี่ยวกับการบริหารจัดการวัคซีน รวมถึงเรื่องอื่นๆ ตนไม่เข้าใจว่าเหตุใดนายทักษิณ จึงออกมาพูดกล่าวโจมตีคนทำงาน พูดยั่วยุ เพื่อให้ประชาชนเกิดความสับสน และทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันของคนในประเทศได้ ไม่น่าเชื่อว่าเคยเป็นอดีตนายกฯมาก่อน ปากบอกว่าเป็นห่วงคนไทย แต่แท้จริงแล้วก็คิดอยากทำลายคนไทยและทำร้ายประเทศไทย คิดถึงแต่ตัวเองโดยไม่สนใจชีวิตของประชาชนคนไทยที่กำลังเดือดร้อน ทำไมจึงกล้าพูดเท็จเพื่อหวังผลตีกินทางการเมือง ทำลายเครดิตนายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ทำให้ประชาชนเข้าใจผิดได้ จนเกิดการปั่นกระแสทางโชเชียล นายทักษิณกล้าออกมารับผิดชอบในคำพูดหรือไม่ นายทักษิณไม่ละอายปากละอายใจตัวเองเลยหรือ ทำไมไม่กล้าออกมารับผิดชอบขอโทษคนไทย ผมขอเรียกร้องให้ออกมาขอโทษคนไทยทั้งประเทศ เพื่อแสดงความรับผิดชอบในคำพูดอันเป็นเท็จของนายทักษิณในครั้งนี้ด้วย" นายเสกสกลกล่าว

“บิ๊กช้าง” สั่งกกล.ชายแดน เฝ้าระวัง สกัดกั้นลักลอบข้ามแดน หวั่นนำโควิดสายพันธ์ุที่แพร่ระบาดในมาเลเซีย เข้าประเทศ ย้ำ กกล.ชายแดนไทย-เมียนมา ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือปชช.ในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัย

“บิ๊กช้าง” สั่งกกล.ชายแดน เฝ้าระวัง สกัดกั้นลักลอบข้ามแดน หวั่นนำโควิดสายพันธ์ุที่แพร่ระบาดในมาเลเซีย เข้าประเทศ ย้ำ กกล.ชายแดนไทย-เมียนมา ประสานหน่วยงานเกี่ยวข้องให้ความช่วยเหลือปชช.ในพื้นที่ให้ได้รับความปลอดภัย พร้อมช่วยเหลือดูแลตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบ จำนวน 2,318 คน 

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกลาโหม เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ย้ำกับทุกเหล่าทัพ ปฏิบัติตามนโยบายของ นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในการกำกับการปฏิบัติงานของกองกำลังป้องกันชายแดนให้เป็นที่เชื่อมั่นในการสนับสนุนการควบคุมโรค COVID-19 ตามแนวชายแดนให้ได้เด็ดขาด  

โดยให้ติดตามสถานการณ์ชายแดนกัมพูชา เมียนมาและมาเลเซียอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสกัดกั้นการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและเข้มมาตรการควบคุมโรคที่กำหนดอย่างต่อเนื่องจริงจัง โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนใต้ที่ต้องเฝ้าระวังสูง กับความเสี่ยงของ COVID-19 สายพันธ์ุที่กำลังแพร่ระบาดในมาเลเซีย ที่อาจเข้ามาพร้อมกับผู้ที่เดินทางกลับจากมาเลเซีย ซึ่งอาจสร้างปัญหาและจำเป็นต้องคัดกรองอย่างเข้มข้น โดย นายกฯและรมว.กลาโหม ยังได้แสดงความห่วงใยเจ้าหน้าที่ทุกนาย ขอให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง ตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและมีความปลอดภัยทั่วกัน

ทั้งนี้ พล.อ.ชัยชาญ ยังได้กำชับ ถึงการทำงานในพื้นที่แนวชายแดนไทย - เมียนม่า ขอให้ติดตามและประเมินสถานการณ์ความรุนแรงจากสู้รบด้วยกำลังทหาร ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนไทยในพื้นที่  

โดยขอให้ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกอพยพประชาชนไปยังพื้นที่ปลอดภัยที่กำหนดไว้โดยเร็ว ขณะเดียวกัน หากมีผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบชาวเมียนมาหรือชนกลุ่มน้อยชาวกระเหรี่ยงตามแนวชายแดนที่อพยพข้ามแดนเข้ามา จากผลกระทบความรุนแรงการสู้รบ ขอให้ดำเนินการช่วยเหลือขั้นต้นตามหลักมนุษยธรรมและคุมเข้มคัดกรองตามมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด โดยประสานการทำงานกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ให้การสนับสนุนและช่วยเหลือดูแลความปลอดภัยจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย 

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา กกล.ป้องกันชายแดนทางบกในพื้นที่ กองทัพภาคที่ 3 และฝ่ายปกครองในพื้นที่ ได้ให้การช่วยเหลืออพยพประชาชนที่อาจได้รับอันตรายจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดน บ้านแม่สามแลบ และ บ.ท่าตาฝั่ง จ.แม่ฮ่องสอน กว่า 600 คน ออกมายังพื้นที่ปลอดภัยที่กำหนดเป็นการชั่วคราวและได้เดินทางกลับภูมิลำเนาแล้วหลังสถานการณ์สงบ พร้อมกันนี้ ได้ให้การช่วยเหลือดูแลตามหลักมนุษยธรรมแก่ผู้หลบหนีภัยจากความไม่สงบชาวเมียนมา จำนวน 2,318 คน ที่อพยพข้ามแดนมายังฝั่งไทย บริเวณ ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง และพื้นที่ใกล้เคียงของ จว.แม่ฮ่องสอน โดยจัดเตรียมพื้นที่ปลอดภัยชั่วคราวรองรับ จำนวน 4 แห่ง    

“ขอความร่วมมือ ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้อง งดหรือหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าพื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่อยู่ในเขตอุทยานและอยู่ในมาตรการควบคุมโรคเข้มข้นตามที่จังหวัดกำหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคนในภาพรวม” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว

‘ดร.ปิติ ศรีแสงนาม’ วอนหยุดแพร่ข่าวเท็จ ไทยเข้าร่วม ‘CPTPP’ หวังหลอกลวงสร้างกระแสต่อต้านจากมวล ขณะที่ รัฐบาลยัน ครม. ไม่ได้ลักไก่ไฟเขียวให้เจรจาเข้าร่วม CPTPP เพียงแค่อนุมัติศึกษาเพิ่มเติมอีก 50 วัน เท่านั้น

รองศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ผู้อำนวยการฝ่ายวิชาการ ศูนย์อาเซียนศึกษา และอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Piti Srisangnam’ เกี่ยวกับกระแสข่าวรัฐบาลแอบลักไก่อนุมัติเข้าร่วม หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP โดยระบุว่า

สิ่งที่น่ากลัว ไม่ใช่การเจรจาการค้า หรือผลกระทบจากการเข้าเป็นภาคี

หากแต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด คือ การมโนไปเอง การสร้าง fake news การหลอกลวงเพื่อสร้างมวลชน

วันนี้ไม่มีประชุมลับ ไม่มีลงมติลับ

ขณะที่ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า ที่ประชุมครม. เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ยังไม่ได้มีการเห็นชอบให้ไทยไปขอเจรจาเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP แต่อย่างใด มีเพียงการอนุมัติให้ขยายระยะเวลาเพิ่มเติมอีก 50 วัน เพื่อให้คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (กนศ.) หารือกับภาคส่วนต่าง ๆ ให้ครอบคลุม ครบถ้วน และรอบคอบมากที่สุด ในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่มอบหมายให้ กนศ. จัดทำกรอบการทำงานเพื่อติดตามแผนการดำเนินการเพื่อปรับตัวของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องตามข้อสังเกตของ กรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรเรื่อง CPTPP

ทั้งนี้ที่ผ่านมา ที่ประชุม ครม. รับทราบข้อสังเกตของกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาผลกระทบจากการเข้าร่วมความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (ซีพีทีพีพี) โดย ครม. ได้มอบหมายให้ นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.การต่างประเทศ รับข้อสังเกต ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดยเฉพาะ 3 ประเด็นหลัก คือ ด้านการเกษตรและพันธุ์พืช ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เช่น ให้มีกฎหมายที่กำหนดให้ผู้ที่ต้องการขอขึ้นทะเบียนยา ที่มีส่วนประกอบของจุลชีพหรือจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับจุลชีพ ต้องสำแดงแหล่งที่มาร่วมด้วยให้เร็วที่สุด และด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน เช่น เสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top