Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

ชวนไหว้ขอพร - แก้ปีชง ณ ศาลเจ้านาจา หรือศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ จังหวัดชลบุรี นอกจากการแก้ปีชง แนะนำให้มาไหว้ขอพรองค์เทพประจำปีเกิด เสริมพลังชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล

วันนี้เราจะพาทุกท่านไปเยี่ยมชม ศาลเจ้านาจา จ.ชลบุรี ที่นอกจากจะโดดเด่นในเรื่องการแก้ปีชงแล้ว ยังมีองค์เทพประจำปีนักกษัตร ไว้ให้สักการะ โดยในปีนักกษัตรใหม่นี้จะมีดาวดี ดาวร้าย หรือดาววิบาก “神煞”(สิ่งสั่วะ) ใดบ้าง? ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้าประจำปีองค์ใด? เพื่อเสริมส่งพลังชีวิตให้มีแต่ความสุขความเจริญ การงานราบรื่น ประสบแต่ความสำเร็จ อุปสรรคปัญหาน้อยใหญ่คลี่คลาย จากร้ายกลายดี มีโชคลาภทรัพย์สินเงินทอง ปราศจากโรคร้ายภัยเวร ปกติสุขสมดั่งปรารถนาตลอดทั้งปี ไปติดตามกันค่ะ

หากพูดถึงชลบุรี ก็คงหนีไม่พ้นทะเลบางแสน แต่จะบอกว่าที่นี่ไม่ได้มีดีแค่ทะเล เพราะวันนี้เราจะชวนทุกคนไปที่ ศาลเจ้านาจา หรือศาลเจ้าหน่าจาซาไท่จื้อ ตั้งอยู่ที่อ่างศิลา จังหวัดชลบุรี ไม่ไกลจากชายหาดบางแสนมากนัก

ศาลเจ้านาจา เดิมเป็นเพียงศาลเจ้าเล็กๆ ด้วยความเคารพศรัทธาของผู้ที่มากราบไหว้ด้วยเชื่อกันว่าให้โชคทางด้านการค้า ทำให้ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกพัฒนาปรับปรุงเรื่อยมา จนปัจจุบันเป็นศาลเจ้าจีนที่ใหญ่โตสวยงามตระการตา

ศาลเจ้านาจา สร้างด้วยศิลปะแบบจีน มีองค์เทพเจ้าปางต่างๆ มากมายให้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคล คนส่วนใหญ่ที่มากราบไหว้ มักมาขอเกี่ยวกับหน้าที่การงาน

ชุดของไหว้แก้ปีชง ของศาลเจ้านาจา โดยศาลเจ้าแห่งนี้มีความโดดเด่นมากด้านการมาแก้ปีชง เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐาน องค์เทพเจ้าครบทุกพระองค์ ตามความเชื่อแบบจีน

ผู้ที่เกิดปีชวด  :  มีดาวดี “太陽”(ไท้เอี้ยง) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太陽星君” (ไท้เอี้ยงแชกุง)

(อยู่ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีจอ    :   มีดาวดี “太陰”(ไท้อิม)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太陰星君”(ไท้อิมแชกุง)

(ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีฉลู   :    มีดาวร้าย “太歲”(ไท้ส่วย) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太歲爺” (ไท้ส่วยเอี๊ย)ประจำปี 2564 ที่ทรงพระนามว่า “楊信大星軍”(เอี่ยสิ่งไตแชกุง)

ผู้ที่เกิดปีมะแม  :  มีดาวร้าย “歲破”(ส่วยผั่ว) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “太歲爺” (ไท้ส่วยเอี๊ย) ประจำปี 2564 ที่ทรงพระนามว่า “楊信大星軍”(เอี่ยสิ่งไตแชกุง)

(ในอาคาร)

ผู้ที่เกิดปีขาล   :  มีดาวร้าย “病符”(แป่ฮู้) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “華陀仙師” (หั่วท้อเซียงซือ)

(นอกอาคาร จุดที่ 9)

ผู้ที่เกิดปีเถาะ  :   มีดาวร้าย “天狗”(เทียงเก้า) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “華光大帝” (หั่วกวงไต่ตี่)

(นอกอาคาร จุดที่ 9)

ผู้ที่เกิดปีมะโรง  :  มีดาวดี “天德”(เทียงเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “伯公” (แป๊ะกง)

ผู้ที่เกิดปีมะเมีย : มีดาวดี “龍德”(เหล่งเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “伯公” (แป๊ะกง)

(นอกอาคาร จุดที่ 11)

ผู้ที่เกิดปีมะเส็ง  : มีดาวร้าย “白虎”(แป๊ะโฮ้ว) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “玄天上帝” (เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่)

ผู้ที่เกิดปีกุน   :    มีดาวร้าย “喪門”(ซึงมึ้ง)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “玄天上帝” (เหี่ยงเทียงเสี่ยงตี่)

(นอกอาคาร จุดที่ 16)

ผู้ที่เกิดปีวอก  :   มีดาวดี “月德”(หง่วยเต็ก) สถิตในเรือนชะตา

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “觀世音菩薩”(กวนซืออิมผู่สัก) พระโพธิสัตย์เจ้าแม่กวนอิม

(นอกอาคาร จุดที่ 10)

ผู้ที่เกิดปีระกา  :   มีดาวร้าย “五鬼”(โหงวกุ้ย)

ควรกราบสักการะบูชาต่อองค์เทพเจ้า “文昌帝君”(บุ่งเชียงตี่กุง)

(นอกอาคาร จุดที่ 15)


เพจศาลเจ้า

https://www.facebook.com/ศาลเจ้าหน่าจาซาไท้จื้อ-อ่างศิลา-哪吒三太子宮-179019442244980/

พลิกเกมธุรกิจ ‘เชฟชุมพล’ จากเชฟห้องครัว สู่เชฟครัวโลก | Game Changer เก่งพลิกเกม EP.3

หลายคนอาจจะรู้จัก เชฟชุมพล - ชุมพล แจ้งไพร หรือ เชฟกระทะ ในบทบาทของเชฟอาหารไทยระดับประเทศ แต่น้อยคนนักจะทราบว่า ตัวเขาเองก็มีหมวกอีกใบในการเป็นนักธุรกิจตั้งแต่วัยเด็ก ตั้งแต่การทำธุรกิจแผงหนังสือ จนก้าวมาเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยทั้งในไทยและต่างประเทศ

แต่ในวันนี้ วันที่โควิด-19 ได้ลุกลามอุตสาหกรรมร้านอาหารแบบวงกว้าง เขาก็ต้องหาทางพลิกเกมเพื่อให้อยู่รอดได้ต่อไป

เจาะ 3 ธุรกิจใหม่ ‘เชฟชุมพล’ พลิกบทบาท จากเชฟห้องครัว สู่เชฟครัวโลก เพื่อตอบโจทย์โลกแห่งธุรกิจการอาหารยุคใหม่ เขาจะมีอะไรมาให้เซอร์ไพรซ์ไปติดตามกันได้ใน Game Changer เก่งพลิกเกม EP.3

.

"หมูกระทะ" อาหารที่ขาดไม่ได้ | The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร : EP.10

ร่างกายต้องการหมูกระทะ อาหารที่ขาดไม่ได้ยามนัดเจอเพื่อน กลิ่นหอมยั่วใจ น้ำลายสอ แต่ที่มาจากไหนอย่างไร เจต ณ นคร มีคำตอบ

.

กบร่อนเปย์ 'กระต่ายและคริส' กำเงิน 2 พันตะลุยกิน 6 ร้านดังย่านโชคชัย 4 | กบร่อน EP.11

‘กบร่อน’ เปย์สองสาวพริตตี้ตัวแม่ ‘กระต่าย’ และ ‘คริส’ กินอาหาร 6 ร้านดัง ย่านโชคชัย 4 ในงบ 2 พันบาท งบเท่านี้จะพอเลี้ยงสองสาวไหมนะ ตามไปดูกันได้เลยย 

"กบร่อน" รายการที่ "กบ" จะพาคุณไป ร่อน ตามที่ต่าง ๆ พร้อม Guest สนุกๆ ให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น ในสไตล์กบร่อน

.

.

'ดร.สันติ กีระนันทน์' ผู้วางนโยบายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ | The States Times Click on Clear EP.2

บทสัมภาษณ์ของ ดร.สันติ กีระนันทน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ผู้วางนโยบายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ เปิดมุมมอง ‘คนการเมืองสายสร้างสรรค์’ ผู้ไม่เคยคิดว่าการเมืองเป็น ‘เกม’ ที่มีไว้เล่น

.

 

.

 

.

รายการ : 'ดร.สันติ กีระนันทน์' ผู้วางนโยบายเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ | The States Times Click on Clear EP.2

 

.

แนวโน้มเศรษฐกิจปี 2564

เนื่องจาก ดร.สันติ นั้นเคยเป็นผู้ที่ทำงานในแวดวงเกี่ยวกับเศรษฐกิจฟากตลาดทุนมาก่อน การพูดคุยครั้งนี้จึงเจาะจงไปที่ประเด็นทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก เปิดคำถามแรกด้วยคำถามที่ทุกคนสนใจ นั่นคือแนวโน้มของเศรษฐกิจในปี 2564 โดยดร.สันติเล่าว่า ผู้เชี่ยวชาญจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจปี 2564 นี้คงหนีไม่พ้นโรคระบาดโควิด-19 เพราะเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อทั้งโลก โรคระบาดนี้เองที่เป็นสิ่งแทบจะเปลี่ยนกระบวนทัศน์ หรือ Paradigm Shift ซึ่งหมายถึงปรากฎการณ์ที่จะทำให้คนเกิดความสามารถหรือในการแก้ปัญหาเดิม ๆ ที่เห็นกันอยู่ทุกวันแต่ไม่เคยแก้ไขได้ เกิดมุมมองใหม่ที่นำไปใช้แก้ไขปัญหานั้น ๆ ได้

ที่ผ่านมา กระแสโลกาภิวัฒน์ มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ โตขึ้นอย่างก้าวกระโดด กระทั่งเมื่อต้นปี 2020 ที่โรคโควิด-19 เข้ามา ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีผลกระทบรุนแรง ไม่กี่เดือนน่าจะควบคุมได้ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ เพราะมีการกลายพันธุ์ของโรค กระทั่งมีมาตรการที่ออกมาควบคุม แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้กระแสการไปมาหาสู่ของคนแต่ละภูมิภาคเกิดขึ้นได้ เศรษฐกิจที่ยังต้องพึ่งพาการท่องเที่ยว อย่างเช่นประเทศไทย ที่มีการพึ่งพาการท่องเที่ยวประมาณ 17% ของ GDP ส่งผลให้รายได้ของไทยหายไปสามสี่ล้านล้าน ตัวเลขอาจจะดูไม่เยอะ แต่เนื่องจากสายการผลิตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวมีความยาวมาก และมีผู้ที่เกี่ยวข้องหลายสิบล้านคน ขึ้นอยู่ที่ประเทศไทยจะสามารถจัดการโรคระบาดได้ดีแค่ไหน รวมทั้งการรับมือของทุกประเทศทั่วโลกเช่นกัน

การอยู่รอดของผู้ประกอบการ SME และภาคเกษตรในปี 2021 เมื่อเผชิญโควิด-19

ดร.สันติเองมองว่าถึงจะมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ออกมา แต่โรคนี้คงไม่มีวันหายไปอย่างสิ้นเชิง คนที่ทำมาค้าขายต้องคำนึงว่าจะอยู่กันอย่างไร โดยตนคาดหวังอยู่ 3 เรื่องคือ หากรักษาได้ ควบคุมไม่ให้กลายพันธุ์มากจนเกินไป มีการป้องกันด้วยวัคซีน คาดการณ์ว่า 6 เดือนแรกของปี 2564 ก็ยังคงต้องหวาดผวากันอยู่ แต่เนื่องจากเราเรียนรู้ประสบการณ์มาเรื่อย ๆ ธุรกิจที่จะไปกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปต้องคำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ เช่น เดิมทีมีการทำมาหากินกับการรวมกลุ่มกันขนาดใหญ่ ๆ ต้องมีการเปลี่ยนรูปแบบ ต้องมีการคิดว่าด้วยบริบทที่เปลี่ยนไปเราจะรับมือกับมันอย่างไร 

ในอีกฟากหนึ่ง โรคระบาดที่เข้ามาอาจเป็นโอกาสได้เหมือนกัน โดยก่อนที่จะมีโรคระบาดได้มีการคุยกันถึงเรื่อง Disruptive Technology หรือเทคโนโลยีสร้างความพลิก เป็นนวัตกรรม หรือเทคโนโลยีที่สร้างตลาด และ มูลค่าให้กับตัวผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี และส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อตลาดของผลิตภัณฑ์เดิม รวมทั้งอาจจะทำให้ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีแบบเดิม ๆ ล้มหายตายจากไป ในการนี้ถือว่าโรคระบาดมาเป็นตัวกระตุ้นคนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ จะเห็นว่าคนที่ปรับตัวได้กลับมีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ ส่งให้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้เร็วมากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นหมายความว่าธุรกิจในยุคใหม่จะประสบความสำเร็จได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าเดิม เชื่อว่าหลังจากนี้ Start-Up จะกลับมาได้เร็วและแข็งแรงกว่าเดิม

ในส่วนของภาคเกษตรนั้นดร.สันติมองว่าน่าเป็นห่วง ประชากรภาคเกษตรหากนับเป็นเปอร์เซ็นต์เทจของแรงงานในระบบประมาณเกือบครึ่งของแรงงานทั้งหมด หรือคิดเป็นประมาณ 30% ของประชากรในประเทศ contribution ของภาคเกษตรที่มากับระบบเศรษฐกิจที่วัดด้วย GDP จับตาดูประมาณ 7-8 ปีที่ผ่านมา ไล่มาตั้งแต่ 12-13% ปัจจุบันเหลือประมาณ 8% ของ GDP เท่านั้น รายได้ของเกษตรกร เฉลี่ยคนหนึ่งประมาณ 5,000 บาทต่อเดือน เทียบกับพวกผู้ใช้แรงงานทั่วไป ประมาณสัก 15,000 บาทต่อเดือน เห็นว่าเกษตรกรเป็นกลุ่มที่เปราะบางอย่างยิ่ง 

เพราะฉะนั้นกลุ่มนี้เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่นอกเหนือจาก SME ที่ค่อนข้างเป็นพวก low-tech และ low-touch ด้วย ทำให้ค่อนข้างลำบาก เกษตรกรจึงถือเป็นหนึ่งในกลุ่มเปราะบางของฐานราก ดังนั้นดร.สันติมองว่า นโยบายอะไรก็ตามของรัฐบาลหรือผู้ที่มีหน้าที่ในการดูแลเศรษฐกิจ จำเป็นต้องใส่ใจกับคนที่เป็นกลุ่มเปราะบางมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรที่มีจำนวนเยอะ และ SME ที่ยังหาทางออกของตัวเองไม่ค่อยได้ 2 กลุ่มนี้เป็นประชากรจำนวนมากของประเทศ แม้ว่าในแง่ของตัวเลขทางเศรษฐกิจจะถูกนำมาวัดค่า GDP ค่อนข้างน้อย แต่เพราะประชาชนทุกคนในประเทศนับว่ามีความสำคัญทั้งสิ้น ใครที่ไม่สามารถช่วยตัวเองได้รัฐมีหน้าที่ต้องเข้าไปช่วย ในขณะที่คนที่สามารถช่วยตัวเองได้แล้ว รัฐอาจจะยืนอยู่ห่าง ๆ ดูว่าเขาต้องการอะไรสนับสนุน นโยบายของรัฐจึงต้องมีความชัดเจนในการจัดการกับคนแต่ละกลุ่มด้วยกลยุทธ์และกระบวนทัศน์ที่แตกต่าง

นโยบายคนละครึ่ง

ดร.สันติในนามของผู้ที่เคยอยู่ในตลาดทุนและมองเรื่องเศรษฐกิจมาตลอด ตอบคำถามตามมุมมองวิชาการ เรื่องของนโยบายคนละครึ่ง แน่นอนว่าต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อดีคือ โครงการคนละครึ่งทำให้เกิดการหมุนเวียน เกิดสภาพคล่องในระบบที่ค่อนข้างดีมาก ในเฟสแรกมีคนลงทะเบียน 10 ล้านคน เฟสที่ 2 เติมไปอีก 5 ล้านคน เพราะฉะนั้นคนที่จะได้เม็ดเงินประมาณ 3,500 บาท ก็มีมากถึง 15 ล้านคน ส่งผลให้กระแสการหมุนเวียนของการจับจ่ายใช้สอยดีขึ้น ดังนั้นในปีนี้ทั้งปีจนจบไตรมาสที่ 4 เชื่อว่า GDP จะไม่ติดลบหนัก ข้อดีที่ 2 คือร้านค้าที่มาลงทะเบียนฟากที่รับเงินมีประมาณล้านกว่าราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อย ไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ ก็ต้องนับว่าเป็นข้อดีที่เม็ดเงินเหล่านี้ลงไปถึงคนที่เปราะบาง ข้อดีข้อที่ 3 ถือว่าโครงการคนละครึ่งนั้นเป็นการเร่งกระบวนการเข้าสู่สังคมไร้เงินสดได้อย่างรวดเร็ว ผู้เฒ่าผู้แก่อายุ 60 กว่าสามารถสแกนคิวอาร์โค้ดได้คล่อง ส่วนข้อที่ 4 ที่เป็นข้อดีอีกข้อคือ ตั้งแต่ชิมช้อปใช้เรื่อยมาจนถึงเราเที่ยวด้วยกัน กระทั่งมาถึงโครงการคนละครึ่ง รัฐได้ฐานข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคมหาศาล 

แต่สิ่งที่ดร.สันติอยากจะวิพากษ์วิจารณ์ คือ เนื่องจากโครงการคนละครึ่งมีเฟส 1 เฟส 2 แล้ว และมีดำริต่อว่าจะออกเฟส 3 - 4 ในความเห็นส่วนตัวมองว่าอาจจะต้องคิดให้ดีอีกสักนิด เนื่องจากการกระตุ้นการบริโภคที่เกิดขึ้นไปแล้วและติดลมไปแล้ว ยังจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องกระตุ้นต่อไป ควรนำเม็ดเงินไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นที่จะสร้างความยั่งยืนต่อไปในระยะยาวดีกว่าหรือไม่ เช่น การแก้ปัญหาเรื่องของภัยแล้งซ้ำซาก เรื่องน้ำท่วมที่ไม่พึงประสงค์ เอาเม็ดเงินลงไปสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อทำให้ระบบน้ำซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเกษตรกรทั้งประเทศดีขึ้น แทนที่จะเอามาแจกเพื่อกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นเท่านั้น 

ปัญหาเศรษฐกิจคลี่คลายและการฟื้นตัว

หากปัญหาเศรษฐกิจคลี่คลาย การฟื้นตัวควรจะเป็นไปในทิศทางไหนนั้น ดร.สันติเผยว่า อยากเห็นการฟื้นตัวรูปแบบ V-shaped ที่สุด คือจากล่างแล้วขึ้นบนได้เลย หรือน้อยกว่านั้นคือรูปแบบ U-shaped คือตกมาแล้วลากยาวสักแปบนึงแล้วค่อยขึ้น แต่ที่กังวลมากที่สุดคือตัว L คือตกมาแล้วไม่ขึ้นอีกเลย กับอีกแบบคือตัว K ที่ตอนนี้พูดกันทั่วไปก็คือ คนกลุ่มที่มีเรี่ยวมีแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่คนกลุ่มที่ไม่มีเรี่ยวมีแรงตกแล้วตายลงสนิท กลายเป็นสองขาแยกจากกัน ปัญหาที่จะตามมาคือเรื่องความเหลื่อมล้ำ 

ปัญหาหนึ่งที่อยู่ในใจของดร.สันติตลอดเวลาคือปัญหาของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ดร.สันติเล่าว่าประเทศไทยปี 62 และปี 61 มีการโจมตีรัฐบาลมากในเรื่องปัญหาความเหลื่อมล้ำ ตนเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการโจมตีนั้น เนื่องจากความเหลื่อมล้ำในแง่ของเศรษฐกิจ อาจจะแยกย่อยได้ 3 เรื่อง คือ 1. ความเหลื่อมล้ำในด้านความมั่งคั่ง 2. ความเหลื่อมล้ำของการหารายได้ 3. ความเหลื่อมล้ำในความสามารถในการจับจ่ายใช้สอย จริงอยู่ว่าเรามีความเหลื่อมล้ำในแง่ของความมั่งคั่งสูง ประชากรของประเทศไม่เกิน 10% ของประชากร เป็นคนที่ถือครองทรัพย์สินของประเทศนี้ 70-80% เพราะฉะนั้นในแง่ของความเหลื่อมล้ำเรื่องความมั่นคั่งมีสูงแน่นอน แต่ความเหลื่อมล้ำในแง่ของการหารายได้กลับไม่ได้มากนัก เพราะพวกที่หารายได้ได้มากๆ อย่างมหาเศรษฐี ที่จริงแล้วรายได้ก้อนมหึมาไม่ได้มาจากในประเทศทั้งหมด แต่มาจากการหารายได้จากต่างประเทศเป็นหลัก ขณะที่รายได้ที่เกิดขึ้นกับคนในประเทศมีความกระจายตัวได้ดีพอสมควร จากคนชั้นบนลงถึงคนชั้นกลางละเว้นคนที่เป็นพวกกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรหรือ SME ที่อ่อนแรง การกระจายตัวของรายได้และการกระจายตัวของความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยไม่ได้น่ากลัว แต่ถ้าเอาคนกลุ่มเปราะบางเข้ามา การที่แก้ไขเศรษฐกิจแล้วมันเกิดเป็นตัว K นั่นหมายความว่าปัญหาที่สะสมเรื้อรังมาในประเทศไทยไม่ได้ถูกแก้ไข และยิ่งทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมา คือเรื่องความเหลื่อมล้ำในการหารายได้กับความเหลื่อมล้ำในการจับจ่ายใช้สอย นอกเหนือจากความเหลื่อมล้ำของความมั่งคั่ง คราวนี้ก็จะหนักหนากับการจัดการและการบริหารเศรษฐกิจต่อไป 

ข้อเสนอแนะการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจสำหรับประเทศไทย

ก่อนที่จะเกิดโรคระบาด ย้อนหลังไปถึงตอนที่มีการหาเสียงเลือกตั้งกัน ดร.สันติกับอาจารย์สุวิทย์เป็น 2 คนในพรรคพลังประชารัฐ ร่วมกับอาจารย์วลัยพร ซึ่งเป็นคณบดีคณะรัฐประศาสนศาสตร์ ที่ธุรกิจบัณฑิต และน้ององอาจ เป็นทีมที่เดินทางไปทั่วภูมิภาคของประเทศ คลุกคลีกับชาวบ้านชาวช่องที่ไม่มีจะกิน ไม่มีน้ำใช้มาแล้ว 2 ปี เมื่อเห็นปัญหาก็พยายามมาพัฒนานโยบายทางเศรษฐกิจหลายหลาก แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เนื่องจากพรรคพลังประชารัฐพอจัดตั้งรัฐบาล ไม่ใช่แกนนำทางด้านเศรษฐกิจ เลยต้องพับไป หลังจากที่เกิดโรคระบาดแนวคิดต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้หายไป ช่วงที่โรคระบาดเกิดขึ้น ประเทศไทยคุมการแพร่ระบาดได้ดี อาจจะต้องนับว่าโรคระบาด Set Zero ทั้งโลก ดร.สันติจึงเสนอว่าเราควรจะคว้าโอกาส เพราะในทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ 

เมื่อ Set Zero ประเทศไทยต้องคิดแล้วว่าโครงสร้างที่เราพึ่งพานักท่องเที่ยวปีละ 40 ล้านคน พึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ มูลค่าต่ำ แต่ต้นทุนสูง เรายังจะทำอย่างนั้นหรือไม่ ดร.สันติจึงมองว่า ประเทศไทยต้องวางยุทธศาสตร์ใหม่ ในระยะกลางถึงยาว แทนที่จะส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เราต้องเปลี่ยนสินค้าโภคภัณฑ์ ให้เป็นสินค้าเจาะจงซื้อ เพื่อให้เป็นสินค้าที่มีมูลค่า ส่วนเรื่องที่ 2 ที่ยังหวังว่าจะมีคนมาเที่ยวประเทศไทยปีละ 40 ล้านคน ดร.สันติมองว่าทำไมไม่ลองคิดให้ธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยเราเป็นแบบภูฏานที่จำกัดและแพง โดยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้จำเป็นต้องใช้นักกลยุทธ์ในการคิด 

'กล้า'​ มองไทยให้รอบด้าน กับ 'กรณ์​ จาติกวณิช'​ | The States Times Click on Clear EP.3

คุณกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จากนักการเงินสู่บทบาทนักการเมืองเข้าปีที่ 16 เริ่มต้นด้วยการเปิดบริษัทหลักทรัพย์ของตัวเองในวัย 24 ปี นำเอาประสบการณ์ที่มีมาสร้างธุรกิจของตัวเอง จนกระทั่งเดินเข้าสู่เส้นทางสายการเมือง 

.

.

รายการ : 'กล้า'​ มองไทยให้รอบด้าน กับ 'กรณ์​ จาติกวณิช'​ | The States Times Click on Clear EP.3

.

จากซีรีย์ Start-Up สู่มุมมอง Sand Box ในประเทศไทย

ด้วยความที่ชื่นชอบซีรีย์เรื่อง Start-Up เป็นการส่วนตัวและบทบาทนักการเงินมือฉมัง คุณกรณ์จึงเปิดเรื่องด้วยการนำความรู้และข้อคิดจากในเรื่องมาอธิบายเชื่อมโยงถึงประเด็นทางธุรกิจ Start-up ในประเทศไทย โดยคุณกรณ์อธิบายว่า ประเทศไทยมีกฎหมายและระเบียบมากมาย ในอดีตอาจออกกฎหมายมาเพื่อลดความกังวลในยุคที่ยังกลัวคอมมิวนิสต์ แต่มาถึงตอนนี้วันเวลาและบริบทในสังคมเปลี่ยนไปมาก แต่กฎหมายบางตัวกลับไม่เปลี่ยน เป็นเหตุให้ธุรกิจ Start-Up ในหลายกรณีเกิดไม่ได้ เพราะติดขัดในเรื่องระเบียบและกฎเกณฑ์ จึงคิดว่ารัฐควรมี Sand Box หมายถึง พื้นที่ปลอดภัยให้กลับคนเริ่มต้นทำธุรกิจ โดยไม่ต้องกังวลกฎหมายหรือระเบียบราชการ เพื่อเรียนรู้การทำธุรกิจที่ล้มแล้วไม่เจ็บ  แล้วค่อยนำเอาประสบการณ์หรือข้อมูลที่มีนั้นไปปรับกฎหมายอีกครั้งหนึ่ง  

อีกปัญหาที่มองเห็นคือ ณ ปัจจุบัน ข้อมูลของภาครัฐนั้นมีเยอะ แต่กลับกระจัดกระจาย สิ่งที่สำคัญที่จะมีธุรกิจเชิงนวัตกรรม ดิจิตอลเทคโนโลยี รัฐต้องทำให้ข้อมูลของรัฐเอง ไปสู่ในระบบ Digital มากขึ้น  เปิดให้ภาคเอกชน ประชาชนสามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้ได้ ซึ่งคุณกรณ์มองว่า "เป็นภารกิจสำคัญที่สุดของรัฐบาล"

บทบาทพรรคกล้า 

เมื่อพูดถึงพรรคกล้า พรรคใหม่ไฟแรงที่กำลังเข้ามามีบทบาททางการเมืองของประเทศ  คุณกรณ์ ในฐานะหัวหน้าพรรคให้นิยามความเป็นพรรคกล้าไว้ว่า พรรคกล้าเป็นแพลตฟอร์มที่จะไปสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สร้างความเปลี่ยนแปลงในแง่ของแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจสังคม แพลตฟอร์มสำหรับคนที่มีใจอยากจะแก้ปัญหา โดยกล่าวว่า ที่ผ่านมามีการพึ่งพานักการเมืองอาชีพเยอะเกินไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีข้อจำกัด แต่วันนี้ถึงเวลาที่จะหาคนที่มีประสบการณ์โดยตรงในแต่ละเรื่องเข้ามาเปลี่ยนแปลง เนื่องจากหลายๆ อย่างเป็นปัญหาเรื้อรังที่ยังแก้ไม่ตก เพราะยังผูกติดกับความคิดแบบเดิม แก้ปัญหาแบบเดิม ด้วยคนเดิม ๆ ไม่มองปัญหาในข้อเท็จจริง แต่กลับไปมองในเชิงอุดมคติ การมองปัญหาในเชิงอุดมคติทำให้แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง 

เปิดนโยบายพรรคกล้า

เปิดนโยบายพรรคกล้า 5 ภารกิจ ได้แก่ เศรษฐกิจ การเกษตร การศึกษา คุณภาพชีวิต เศรษฐกิจสร้างสรรค์ คุณกรณ์เล่าว่า การขับเคลื่อนทุกภารกิจมีปัญหาเหมือนกัน คือ ระบบราชการที่ล้าหลัง เพราะฉะนั้นต้องเน้นถึงภารกิจสำคัญ คือทำอย่างไรให้การบริหารราชการมีความทันสมัย มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ คำตอบก็คือ e-Government ทำให้ทุกอย่างโปร่งใสด้วยการใช้เทคโนโลยี โดยเฉพาะในส่วนของภาครัฐ

ในส่วนของภารกิจที่เรียกว่า เศรษฐกิจคนตัวเล็ก สาเหตุคือ ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเอื้อกับทุนใหญ่มากกว่า ขีดความสามารถของผู้ประกอบการขนาดใหญ่เทียบกับผู้ประกอบการขนาดเล็กมีช่องว่างมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ติดกับดักการพัฒนาในแง่ของประเทศโดยรวม จึงต้องมีการส่งเสริมการใช้นวัตกรรม ให้ตอบโจทย์คนตัวเล็กมากขึ้น 

ด้านการเกษตร พรรคกล้าเชื่อในอนาคตของการเกษตร ทุกครั้งที่มีการลงพื้นที่จะขอพบกลุ่ม Young Smart Farmer เสมอ เพราะพรรคมองว่านี่คืออนาคตการเกษตรของไทย ความต่างของเกษตรกรรุ่นใหม่คือเวลาคิดแผนจะคิดครบไปถึงแผนการตลาด ขณะที่เกษตรกรทั่วไปจะเน้นเรื่องของการผลิต ไม่มีแผนการเข้าถึงตลาดด้วยตัวเอง ทำให้ขาดอำนาจต่อรอง 

ระบบการศึกษา เทคโนโลยีเป็นตัวบ่งบอกว่าระบบที่ใช้อยู่ในปัจจุบันอาจไม่ใช่คำตอบในการพัฒนาการศึกษา บทบาทของครูคนหนึ่งไม่มีทางที่จะมีข้อมูลเทียบเท่ากับข้อมูลที่มีอยู่ในโลกอินเทอร์เน็ตที่นักเรียน นักศึกษาสามารถหาความรู้ได้เอง ดังนั้นจึงต้องมีการสลับสับเปลี่ยนบทบาท นักเรียนควรได้รับมอบหมายไปหาข้อมูลด้วยตนเอง แต่ครูยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นโค้ช ด้วยการให้ประสบการณ์ที่ครูมีซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กไม่มี ที่สำคัญเรียนไปแล้วต้องมีอาชีพ สร้างเนื้อสร้างตัว สร้างโอกาส เป็นเรื่องของกระจายอำนาจออกไปจากกระทรวงศึกษาธิการ 

ส่วนในเรื่องคุณภาพชีวิต คุณกรณ์มองว่าเป็นเรื่องของผังเมืองยังเป็นปัญหาที่อาจนำมาซึ่งความเสียหาย และการจัดการ PM2.5 ที่ไม่ได้มาตรฐาน

และสุดท้าย เศรษฐกิจสร้างสรรค์ คุณกรณ์ยกตัวอย่างจากวิกฤติต้มยำกุ้งปี 40 โดยอธิบายว่า วิกฤติครั้งนี้เกาหลีและไทยโดนหนักที่สุด ทุกประเทศมีการปรับตัวแตกต่างกัน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ เกาหลีใช้การปฏิรูปกฎหมาย ตัดลดกฎหมายที่ล้าสมัยออก ปลดแอกภาคเอกชน ส่งเสริมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ การที่เกาหลีมาถึงจุดนี้ได้จึงไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เกิดจากยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนของประเทศ และรัฐบาลมีส่วนสำคัญในการส่งเสริม เชื่อว่าของไทยมีของสะสมไว้เยอะมากไม่ต่างกัน เพียงแต่ยังไม่มีการส่งเสริม หากรัฐไม่ลดอำนาจตัวเองลงจากกฎหมายและระเบียบราชการที่มี ปรับวิธีการทำงานและทัศนคติ ก็เป็นเรื่องยากที่เอกชนจะเกิดได้ เพราะฉะนั้นการจะประสบความสำเร็จได้ต้องมีความสร้างสรรค์ มีนวัตกรรม ต้องแข่งกันยกระดับคุณภาพสินค้า ไม่ใช่แข่งกันเข้าถึงผู้มีอำนาจอย่างทุกวันนี้

เปรียบเทียบ วิกฤติ Covid-19 vs วิกฤติ Hamburger 

อดีตรมว.คลังโลก ผู้ที่เคยพาประเทศผ่านวิกฤติ Hamburger กล่าวว่า หากให้เปรียบเทียบที่ผ่านมาวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี 40  หนักที่สุด เป็นเหตุการณ์ถังแตกของจริง ประเทศเจ๊งเอง ส่วน Hamburger ตนมองว่ายังไม่เท่าไหร่ เพียงแต่ได้รับผลกระทบเพราะการทำการค้าระหว่างประเทศ เมื่อกำลังซื้อคู่ค้าไม่มี จึงทำให้ไทยได้รับผลกระทบไปด้วย ส่วนโควิด เป็นวิกฤติที่ค่อย ๆ ซึม เกิดขึ้นกับทุกประเทศพร้อมกันทั่วโลก ทุกอย่างหยุดชะงักพร้อมกัน เหลือที่พึ่งเดียวคือรัฐบาล ความโชคดีคือฐานะทางการคลังของประเทศยังดีมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ รัฐบาลจึงสามารถกู้ยืมมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือมาเยียวยาประชาชน   

ทางออกของวิกฤติโควิด-19 และเงินกู้ 6 แสนล้าน 

อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า วิกฤติโควิดรอบสองต่างกับรอบแรก ในทางลบคนอยู่ในสภาพเศรษฐกิจที่เดือดร้อนมากกว่ารอบแรก เพราะอดทนมา 1 ปี เงินในกระเป๋าลดลง ในทางบวกเราเห็นจุดจบ คือวันที่คนไทยได้รับวัคซีนครบ แต่ถึงอย่างไรรัฐปฏิเสธความเดือดร้อนของประชาชนไม่ได้ ต้องมีการเยียวยา เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น ต้องมีการส่งสัญญาณให้ชัดเพื่อลดภาระความเดือดร้อน ประเมินแล้วว่ามีเงินส่วนเหลือจาก พ.ร.ก. 1 ล้านล้านบาท อย่างน้อย 6 แสนล้านที่ยังไม่ได้ใช้ 

โดยกลุ่มเดือดร้อนที่ควรมีมาตรการช่วยเหลือทันที ได้แก่ กลุ่มแรก คือกลุ่มที่เปราะบางที่สุด ขึ้นทะเบียน 20 กว่าล้านคนในรอบที่แล้ว ให้เงินไป 5,000 บาท 3 เดือน วันนี้ก็ควรจะช่วยต่อไป กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง สมาชิกกองทุนประกันสังคม ได้รับการเยียวยาผ่านกองทุนประกันสังคม เศรษฐกิจแบบนี้คาดว่ายังไม่สามารถหางานใหม่ได้ จะมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร สามารถใช้เงินฉุกเฉินยิงตรงให้ได้ กลุ่มที่สาม คือ ผู้ประกอบการทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งรัฐบาล ร้านอาหาร โรงแรม อุตสาหกรรมท่องเที่ยว ห้องเช่า ร้านค้าต่าง ๆ ควรออกมาตรการเยียวยาช่วยในระยะเวลาที่จำกัดได้ ต่อมาคือ ผู้ค้าที่ได้รับผลจากโครงการคนละครึ่ง จะเติมส่วนนี้ให้เต็มเหมือนเดิมได้อย่างไร และสุดท้ายกลุ่มฟรีแลนซ์ เนื่องจากทำงานได้ยากขึ้น ไม่อยากให้ถูกมองข้าม ทั้งนี้ตนและพรรคพยายามทำหน้าที่ในการนำเสนอให้รัฐบาลได้รับรู้เพื่อออกมาตรการที่เหมาะสม 

ความคาดหวังทางการเมืองของพรรคกล้า

ทิ้งท้ายประเด็นความคาดหวังทางการเมือง โดยคุณกรณ์คาดหวังว่าพรรคกล้าจะมีโอกาสเข้ามาทำในเรื่องที่จะทำให้ประเทศดีขึ้น ให้ประชาชนมีความรู้สึกว่ามีโอกาสมากขึ้น แต่หากการเมืองไม่เปลี่ยนก็เป็นเรื่องยากที่จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ การเมืองจะเปลี่ยนได้ คนที่มาทำการเมืองต้องเปลี่ยน พรรคกล้าจึงใช้เวลารวมตัวคนที่อาจไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่มีความรู้ ความสามารถในการที่จะสร้างโอกาสให้กับคนไทยในอนาคต หน้าที่ของพรรคกล้าคือขายคนเหล่านี้ให้กับประชาชน 

ความคาดหวังทางการเมืองของพรรคกล้า

ทิ้งท้ายประเด็นความคาดหวังทางการเมือง โดยคุณกรณ์คาดหวังว่าพรรคกล้าจะมีโอกาสเข้ามาทำในเรื่องที่จะทำให้ประเทศดีขึ้น ให้ประชาชนมีความรู้สึกว่ามีโอกาสมากขึ้น แต่หากการเมืองไม่เปลี่ยนก็เป็นเรื่องยากที่จะสร้างโอกาสใหม่ ๆ การเมืองจะเปลี่ยนได้ คนที่มาทำการเมืองต้องเปลี่ยน พรรคกล้าจึงใช้เวลารวมตัวคนที่อาจไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง แต่มีความรู้ ความสามารถในการที่จะสร้างโอกาสให้กับคนไทยในอนาคต หน้าที่ของพรรคกล้าคือขายคนเหล่านี้ให้กับประชาชน 

'สรวุฒิ เนื่องจำนงค์' มุ่งมั่นลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน | The States Times Click on Clear EP.5

บทสัมภาษณ์ของ 'สรวุฒิ เนื่องจำนงค์' ส.ส. คะแนนเสียงอันดับ 1 แห่งเมืองชลบุรี รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ในวันที่การเมืองสอนให้รับมือกับความผิดหวัง มุ่งมั่นลงพื้นที่อย่างจริงจังเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชน

รายการ : 'สรวุฒิ เนื่องจำนงค์' มุ่งมั่นลงพื้นที่เพื่อช่วยเหลือประชาชน | The States Times Click on Clear EP.5

 

.

จุดเริ่มต้นสู่เส้นทางนักการเมือง

ส.ส.ต้นเล่าว่าจุดเริ่มต้นของนักการเมืองมาจากความฝันในวัยเด็กที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่อยากเป็นตำรวจ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ พอโตขึ้นมาหน่อยก็อยากจะเป็นทูต แต่เส้นทางการเมืองมาฉายชัดในช่วงเรียนจบปริญญาตรี  เพราะอยากทำงานเพื่อสังคม จึงได้ไปศึกษาจากผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่าน มีการทาบทามจากผู้ใหญ่ในพรรคการเมืองซึ่งตอนนั้นรู้จักกับคุณพ่อ โดยการลงสมัครครั้งแรกเป็นแบบบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองหนึ่งมี 100 คน ตนอยู่ในอันดับที่ 50 เศษๆ  ถือว่าอายุยังน้อยมากเพียง 20 กว่า ๆ  

ส.ส.อันดับ 1 พื้นที่ชลบุรีกับการเผชิญความกดดันในการเลือกตั้งปี 62 

การเป็นนักการเมืองของส.ส.ต้นที่ผ่านมานั้น ถือว่าอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดชลบุรีและได้รับการตอบรับคะแนนเสียงอันดับหนึ่งมาโดยตลอด การเลือกตั้งครั้งล่าสุดปี 62 ที่แสนดุเดือด การเผชิญหน้าความกดดันไม่ทำให้ส.ส.ต้นท้อ เพราะทุกครั้งทุกสมัยที่ลงเป็นผู้แทน ตนมั่นใจว่าช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ลงสมัครหาเสียง แต่ละคนมีมุมที่เสนอแนะประชาชนในส่วนที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้าน ขึ้นอยู่กับชาวบ้านว่านโยบายใดที่โดนใจ การเห็นความสม่ำเสมอของผู้แทนเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งตนทำมาตลอด การหาเสียงเลือกตั้งจึงทำแบบสบาย ๆ 

ในส่วนเรื่องราวการฟ้องร้องจากคนตระกูลเดียวกันนั้น เนื่องจากการแข่งขันในเขตนี้มีความดุเดือด ตนเป็นผู้แทนที่ได้รับเลือกมาโดยตลอด คนที่นามสกุลเดียวกันก็ลงสมัครในเขตนี้มากที่สุดถึง 4 คน รู้จักกันทั้งหมด และอยู่ในพรรคการเมืองหลักทั้งนั้น ถือว่าแต่ละคนก็มีมุมมองที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายชาวบ้านได้เลือกแล้ว

จากประชาธิปัตย์สู่พลังประชารัฐ

จุดเริ่มต้นในการเข้ามาเป็นนักการเมืองของส.ส.ต้นนั้น ในตอนแรกมี ‘พรรคไทยรักไทย’ ทาบทามเข้ามาแต่ไม่ได้ไปร่วม หลังจากนั้นตัดสินใจมาอยู่กับ’พรรคประชาธิปัตย์’ ตั้งแต่ปี 2546 ก่อนจะย้ายมาอยู่ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ 

โดยในช่วงที่มีการยุบสภาเนื่องจากวิกฤตทางการเมือง มีการรัฐประหารตั้งแต่ปี 57 จนถึงประมาณปี 62 5 ปีเต็ม ๆ ที่ประเทศไทยไม่มีสภา ขณะนั้นส.ส.ต้นอยู่ในช่วงวัยกลางคน กำลังจะอายุ 40 ตนรู้สึกว่าเราไม่มีความหวังกับประเทศ ประเทศวุ่นวายไปหมด คิดจะเลิกจากการเมือง จึงโทรไปพูดคุยกับผู้บริหารในพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งว่าครั้งหน้าอาจจะไม่สมัคร ความรู้สึกส่วนตัวคือเบื่อ รู้สึกว่าประเทศไทยถูกครอบงำด้วยระบบที่เรียกว่า วงจรอุบาทว์ พอมีการโกงกินขึ้นมา มีรัฐบาลถูกลบโดยเสียงเรียกร้องของประชาชน มีทหารเข้ามารักษาความสงบ กลับมาก็มีการคืนอำนาจให้กับรัฐบาลที่เลือกตั้ง วนเวียนกันอยู่แบบนี้ ประชาชนไม่เคยได้สิ่งที่ควรจะได้ 

ในช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านนี้เองได้มีผู้หลักผู้ใหญ่หลายท่านและพรรคการเมืองอยากให้ไปช่วย สิ่งหนึ่งที่่ส.ส.ต้นถามทุกท่าน ทุกพรรค คือ มีนโยบายอย่างไรที่จะทำเพื่อประชาชน ตนจะมีบทบาทอะไรในสังคม และจะทำหน้าที่ส.ส.ที่ดีได้อย่างไร สุดท้ายมาตรงใจกับพรรคพลังประชารัฐ ผ่านการชักชวนของท่านสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ 

รองเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ บทบาทและการทำงาน

หลังจากที่เข้ามาในพรรคพลังประชารัฐนั้นคุณต้นได้รับโอกาสที่หลากหลาย ทั้งเป็นกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐสามสมัย เป็นสมาชิกพรรคหมายเลข 007 เป็นกรรการตั้งแต่ชุดแรก จนกระทั่งชุดสามได้รับการเสนอชื่อให้เป็นตำแหน่งรองเลขาธิการพรรค ซึ่งถือว่าเป็นบทบาทที่สำคัญ และยังได้ทำงานหลายเรื่องที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในการบริการต่าง ๆ เป็นประธานอนุกรรมการตรวจสอบเงินกู้โควิด 1.9 ล้านล้านบาท 

ในส่วนของบทบาทการเป็นประธานอนุกรรมการวิสามัญพิจารณาติดตามและตรวจสอบการใช้เงินตามพระราชกำหนด 3 ฉบับในการแก้ปัญหาโควิดนั้น ส.ส.ต้น ได้แยกออกเป็น 3 ส่วน ส่วนหนึ่งคือการเยียวยา เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน ซึ่งได้จ่ายเงินให้ประชาชนโดยตรงเป็นจำนวน 5,000 บาท 3 เดือน โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนที่ถือบัตรประชารัฐอยู่ 14.5 ล้านคน และโครงการคนละครึ่ง อีกส่วนหนึ่งที่กำลังดำเนินการคือเรื่อง 3500 บาท 2 เดือน 

ปัจจุบันรัฐบาลไทยเป็นรัฐบาลที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมากที่สุด เป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากที่สุดในโลก โดยก้อนแรกนำไปใช้ในการเยียวยาแล้วส่วนหนึ่ง อีกส่วนได้จัดสรรไว้ใช้ในการป้องกัน ระมัดระวังเรื่องภัยพิบัติทางโควิด ส่วนใหญ่จะใช้กับเรื่องวัคซีน ซึ่งมีการเตรียมเงินไว้หลายหมื่นล้านบาท ส่วนที่ 3 เป็นเรื่องการเสริมสร้างเศรษฐกิจ เนื่องจากพิษโควิดทำให้เศรษฐกิจฐานรากมีปัญหา ภาคท่องเที่ยวภาคส่งออกต้องหยุดชะงัก สิ่งที่ต้องฟื้นฟูคือให้ประชาชนมีกำลังซื้อ 

ส.ส.ต้น กับบทบาทตัวเชื่อมผู้แทนรุ่นใหม่ 

สำหรับผู้แทนรุ่นใหม่ ที่ปรับบทบาทมาจากท้องถิ่น หรือมาจากภาคส่วนต่าง ๆ ในอันดับแรกส.ส.ต้นได้มีการติดอาวุธให้ไปทำงาน เช่น แนะวิธีการตั้งกระทู้ วิธีการหารือ วิธีการสอบถามพี่น้องประชาชน กลไกการดูแลความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ คอยถ่ายทอดประสบการณ์ เป็นการหลอมรวมระหว่างผู้ที่มีประสบการณ์ในพรรคและผู้แทนรุ่นใหม่

การเมืองของคนรุ่นใหม่

ส.ส.ต้นมองว่า สิ่งสำคัญเกี่ยวกับการเมืองของคนรุ่นใหม่คือการเปิดใจยอมรับทั้งสองฝ่าย ต้องมีการรับฟังกัน แนวคิดหรือความคิดของทุกคนมีค่าเสมอ แต่บางทีเราเร่งรัดเร่งร้อนสิ่งที่เป็นอุดมคติมาให้สังคม อาจจะมีปัญหาเรื่องโครงสร้าง สิ่งนี้สำคัญต้องระมัดระวัง เพราะบางทีสิ่งที่ทุกคนต้องการ สิ่งที่ทุกคนอยากจะได้ไม่ได้มาแค่ข้ามคืน ต้องมีการเรียนรู้จากสิ่งที่ถูกและสิ่งที่ผิด เสียงของคนรุ่นใหม่น่ารับฟัง ต้องมีการพูดคุยกัน ในขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ก็ต้องรับฟังภาคส่วนอื่น 

บทเรียนการเป็นนักการเมือง 

บทเรียนจากการเป็นนักการเมืองมาอย่างยาวนาน ส.ส.ต้นเผยว่าสิ่งแรกคือนักการเมืองสอนให้รู้จักรับมือกับความผิดหวัง ต้องแยกแยะปัญหาของพี่น้องประชาชน ว่ามันมีระดับของเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เรื่องที่เป็นปัญหาระยะสั้น เรื่องที่เป็นปัญหาระยะยาว ต้องจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะทำ ในนามที่เป็นผู้แทน การเป็นส.ส.ไม่ได้หมายความว่าจะทำทุกอย่างได้ตามประสงค์ บางส่วนมาไม่ตรงเวลาก็ต้องผลักดันให้เต็มที่

สิ่งที่เป็นปัญหาหลักตอนนี้

ส.ส.ต้นมองว่าเรื่องที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดขณะนี้ คือ บ่อนการพนันและแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ในเรื่องบ่อนการพนัน ตนเชื่อว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมที่เป็นต้นน้ำของประเทศทั้งหมด อย่างเช่น ตำรวจ เนื่องจากตำรวจประเทศไทยน่าสงสารมาก เพราะเงินเดือนน้อย เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาจะต้องทำก็คือพยายามไปเรียกเงินหรือเรียกส่วยจากอาชญากรรมที่มีน้ำหนักเบา เช่น หวย การพนัน หรือแม้กระทั่งโสเภณี เพื่อไปป้องกันอาชญากรรมที่มีขนาดใหญ่และมีผลกระทบต่อสังคม เช่น ฆ่ากันตาย ยาเสพติด 

เห็นได้ว่าตำรวจต้องไปที่เกิดเหตุออกเงินจ่ายค่าน้ำมันเอง ปืนก็ต้องซื้อเอง ค่าใช้จ่ายในการไปหาพยานก็ต้องทำเอง หลวงไม่ได้มีงบให้ เชื่อว่าทุกโรงพักต้องมีส่วย จึงถึงเวลาแล้วที่ประชาชนต้องยอมรับเรื่องนี้ หากจำเป็นต้องมีบ่อนการพนันก็ควรให้เอาระบบพวกนี้ขึ้นมาสู่บนดิน ขึ้นทะเบียนรายได้ให้รัฐ และจัดระบบสวัสดิการให้ถูกต้องกับคนที่มีหน้าที่ป้องกัน เอาชีวิตไปเสี่ยงอันตราย ทำให้ทุกอย่างถูกต้องโปร่งใส ประเทศจะน่าอยู่ขึ้นเรื่อย ๆ

อีกเรื่องหนึ่งคือแรงงานต่างด้าว ส.ส.ต้นมองว่าแรงงานต่างด้าวอยู่คู่กับประเทศไทย 2-3 ล้านคนอย่างต่ำ ถ้ามีการจัดให้ถูกกฎหมาย มีการลงทะเบียนให้ถูกต้อง เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ตามตัวง่าย เกิดโรคระบาดขึ้นก็รู้เลยว่าทำงานที่ไหน รายได้ส่วนนี้ก็เข้ารัฐ นำไปทำนุบำรุงชีวิตพี่น้องโดยรวม ไม่เข้ากระเป๋าเฉพาะคนบางคน

..ต้น ในฐานะผู้แทนราษฎร จ.ชลบุรี การเตรียมพร้อมของโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

ส.ส.ต้นเล่าว่า ชาวชลบุรีส่วนใหญ่ตื่นตัวและอยากได้โครงการนี้ พื้นที่บางส่วนเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีการทำเกษตรกรรมและมีการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์  นับตั้งแต่ยุคพลเอกเปรม เราไม่มีสิ่งใหม่ ๆ เสนอชาวโลกเลย EEC จะเป็นหัวขบวนที่จะทำให้มีอุตสาหกรรมใหม่ ดึงดูดการลงทุนระดับโลกอีกครั้งหนึ่ง เชื่อว่าชาวชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง มีความพร้อม ทุกอย่างจะมีการเริ่มต้น และเมื่อมีการเริ่มต้นที่ดี ความเจริญจะกระจายไปที่อื่น ๆ

นักการเมืองเพื่อคนในบ้านเกิดเมืองนอน กับสิ่งที่ชลบุรียังขาด

สุดท้ายนี้ส.ส.ต้นเผยว่าสิ่งที่ชลบุรียังเป็นปัญหา คือเรื่องความเหลื่อมล้ำที่บางส่วนชาวบ้านตอบรับ บางส่วนชาวบ้านปฏิเสธ ปัญหาความรับผิดชอบของผู้ประกอบการที่ไม่รับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชน  

 

การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของ'ม็อบรุ่นพี่' 'จตุพร พรหมพันธุ์' | The States Times Click on Clear EP.4

บทสัมภาษณ์ของ จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ ‘ตู่ ศรัทธาธรรม’ แม้เสียงจะแผ่วเบาลง แต่อุดมการณ์ยังคงเดิม

นับถอยหลัง!! การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยกสุดท้ายในชีวิต จาก 'ม็อบรุ่นพี่' ผู้ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และเมื่อถึงวันเผด็จศึก ต้องไม่มีคำว่า...ถอย!

.

 

.

รายการ : การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของ'ม็อบรุ่นพี่' 'จตุพร พรหมพันธุ์' | The States Times Click on Clear EP.4

 

.

จุดยืนทางการเมือง ณ ปัจจุบัน

เปิดประเด็นแรกมา นายจตุพรตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นถึงจุดยืนทางการเมือง ณ วันนี้ ว่า ตนมีจุดยืนเดียวตลอดชีวิต คือยึดมั่นในระบบประชาธิปไตย ตั้งแต่วัยเด็ก ผ่านวัยหนุ่ม จวบจนกระทั่งวันนี้ ที่หายไปไม่ได้แสดงว่ายุติบทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ตนยังเหมือนเดิม เพียงแต่ถ้าให้เปรียบก็คงเหมือนกับนักร้องที่ยังร้องเนื้อเดิม แค่คีย์เสียงมันเบาลง คมน้อยลงตามวัยและยุคสมัย

ชีวิตมหาวิทยาลัย จุดเริ่มต้นบทบาททางการเมือง

นายจตุพรเล่าถึงบทบาททางการเมืองที่เริ่มต้นมาจากในรั้วมหาวิทยาลัยไว้ว่า เพราะเป็นนักศึกษาที่เข้ามาเรียนช้ากว่าคนอื่น ด้วยเหตุผลว่าไปเป็นครูอาสากว่า 3 ปี ตนยังมีความฝัน ไม่ว่าจะเรื่องค่ายอาสาพัฒนาชนบท ลงพื้นที่สร้างโรงเรียน หรือแม้กระทั่งความฝันเรื่องชาติบ้านเมือง สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถทำสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว เพราะฉะนั้นการตั้งพรรคการเมืองในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นจุดรวมความฝันในห้วงระยะเวลานั้น กระทั่งนำไปสู่เหตุการณ์พฤษภา 35 สิ่งที่ตนเป็นทุกวันนี้ได้มาจากในรั้วมหาวิทยาลัย และยังมองว่าห้วงเวลาที่ดีที่สุดของคนหนุ่มสาวนั้นคือช่วงเวลาที่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย

มุมมองต่อกลุ่มแฟลชม็อบนักศึกษาในยุคปัจจุบัน

สำหรับกลุ่มแฟลชม็อบนักศึกษานั้น ในฐานะม็อบรุ่นพี่อย่างนายจตุพรมองว่า สิ่งนี้เป็นความงดงาม และเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น ตนเห็นการเคลื่อนไหวและความสนใจของนักศึกษายุคนี้มากกว่าตอน 14 ตุลา 2516 และยุคพฤษภา 35 หรือยุค นปช.53 ในม็อบแต่ละยุคสมัยจะมีรูปแบบการแสดงออก และบทเรียนที่แตกต่างกันไป ณ ยุคปัจจุบันถือเป็นยุคของพวกเขา เพราะฉะนั้นการตัดสินใจหรือการเลือกวิถีทาง จะต้องให้พวกเขาเป็นคนตัดสินใจ ยุคปัจจุบันไม่ใช่เวลาของเรา ช่วงเวลานี้ คือ การให้เกียรติกับน้องๆ ที่ปลุกปั้นยุคแห่งการต่อสู้ด้วยตัวของพวกเขาเอง

บทบาทของรัฐที่ควรแสดงออกต่อการเรียกร้องของคนรุ่นใหม่

บทบาทท่าทีของรัฐที่ควรแสดงออกต่อการเรียกร้องของเด็กยุคใหม่ นายจตุพรมองว่า รัฐนั้นต้องใช้หู มากกว่าใช้อำนาจ ต้องรับฟังมากกว่าใช้กฎหมาย ประเทศใดที่ไม่มีคนหนุ่มสาวลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อชาติบ้านเมือง ประเทศนั้นจะหาอนาคตไม่ได้ รัฐต้องใจกว้าง ยอมรับฟัง พร้อมพูดคุยแลกเปลี่ยน และต้องไม่คิดทำลายล้างหรือคิดว่าพวกเขาเป็นศัตรู  มองพวกเขาอย่างลูกหลาน ด้วยหลักเมตตาธรรมระหว่างกัน

หากเป็นรัฐบาล จะแก้ปัญหาเรื่องความเห็นต่างระหว่าง Generation อย่างไร

นายจตุพรมองว่า เรื่องนี้ต้องมีการคุยเรียงตามลำดับขั้นตอน  ระหว่างคนต่างยุค ต่างสมัยกัน ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะเรื่องที่เห็นต่าง แต่ยังมีเรื่องที่เห็นพ้องต้องกัน ให้นำเรื่องที่เห็นพ้องนั้นขึ้นมาคุยกันก่อน กระทั่งไล่ไปจนถึงความเห็นต่าง ต้องยอมรับทั้งสองฝ่าย เพราะในระบอบประชาธิปไตย ความสวยงามอยู่ที่ความแตกต่าง ต้องมีการจัดพื้นที่พูดคุยกันอย่างตรงไปตรงมา ตนเชื่อว่าหากหาทางออกในรูปแบบนี้ ความเสียหายจะไม่บังเกิด

บทบาทในการสนับสนุนประชาธิปไตย ณ วันนี้ของ ‘จตุพร’

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ก็ยังไม่หยุดการต่อสู้เพื่อ ‘ประชาธิปไตย’ เพียงแต่หากจะต้องออกมาอีกครั้ง ก็ต้องออกมาแบบ ‘ครั้งเดียว’ แล้วต้องเป็นครั้งเดียวที่มีคุณค่า สมกับเป็นการสู้ที่ตั้งใจว่าจะเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’

เพราะตั้งแต่วัยเด็ก จนหนุ่ม และบัดนี้ งัดกับรัฐบาลหลายยุค มองเห็นและเข้าใจเกมการเมืองแบบเด่นชัด จึงอยากใช้ครั้งเดียวต่อจากนี้ให้คุ้มค่าที่สุด คนบอกตนไม่ขยับ นั่นเพราะต้องเลือกเวลาที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

ตนยืนยันคำพูดหนึ่งว่า ช่วงเวลาที่จะออกมาต่อสู้อีกครั้ง คือ วันที่รัฐบาลตัดสินใจฆ่าประชาชน และใช้มาตรการปราบปรามหนัก วันนั้นก็จะถึงคิวที่ตนจะก้าวออกมา เหมือนกับช่วงสมัยพฤษภาทมิฬปี 35 และ ช่วงเมษายนปี 53 จะออกมาสู้ร่วมกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย

นายจตุพร เล่าต่ออีกว่า เส้นทางของรัฐบาลในตอนนี้เริ่มตีบตัน และมองว่าอีกไม่นานรัฐบาลจะต้องพังด้วยปัญหาร่วมของประชาชน นั่นก็คือ ‘ปัญหาปากท้อง’ ความหิวของมนุษย์จะทำให้คนโกรธ และรัฐจะเอาไม่อยู่ ยิ่งรัฐไม่ซึมซับบทเรียนจากรอบแรก ทั้งสนามมวยในรอบแรก และตอนนี้ก็มาจากบ่อนระยอง รวมถึงแรงงานพม่าเล็ดลอดเข้ามา จนระบาดกันทั้งแผ่นดิน เป็นความบกพร่องของรัฐ ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรง

ความคิดหลังพ้นโทษ ช่วงเวลาที่ได้อยู่กับตัวเอง

หลังจากเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ นายจตุพรกล่าวว่าตนใช้ชีวิตเหมือนกับการไปบวช ได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง และตกตะกอนทางความคิด หากเรายังแข็งกร้าวอยู่ตลอดเวลาทั้งที่อยู่ในเรือนจำ แสดงว่าเราไม่รู้จักตนเลย เพราะเราต้องอยู่กับคนอื่น ณ วันนี้เรารู้ว่าหนทางข้างหน้าคืออะไร เพราะสู้มาตลอดชีวิต  การกำหนดจังหวะย่างก้าวไม่จำเป็นต้องแข็งแรงตลอดเวลา ที่จริงแล้ว การต่อสู้มีเพียงครั้งเดียว เพราะฉะนั้นเราควรแข็งแรงในเวลาที่เราแข็งแรง และบางเวลาถ้ายังไม่แข็งแรงก็อย่าทำตัวให้แข็งแรง เพราะจะไม่มีโอกาสได้แข็งแรง เพราะฉะนั้นเราต้องเข้าใจผู้ต่อสู้ ไม่ใช่ว่าจะไม่สู้ แต่จะใช้ความคิดมากกว่าเดิม ใจตัวเองต้องเป็นผู้กำหนด เพราะเราจะรู้ว่าควรสู้อย่างไร สงครามที่เพลี่ยงพล้ำเพราะตามใจคนอื่น ยกสุดท้ายขอกำหนดชะตาชีวิตตัวเอง    

ความสัมพันธ์กับทักษิณ ชินวัตร ณ วันนี้

นายจตุพรเล่าว่า ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผู้มีอำนาจไม่พอใจอดีตนายกทักษิณ ตนอยู่ในประเทศไทยก็จะถูกลงมือทุกครั้งไป เป็นเรื่องปกติ การต่อสู้ในหนทางนั้นได้พิสูจน์กันอย่างชัดเจน เวลายืน ก็ยืนกันอย่างแข็งแรง ระหว่างตนกับอดีตนายกทักษิณ ตนกล้าเห็นต่าง และไม่ใช่ครั้งแรก เพียงแต่เป็นคนแรก ๆ ที่เห็นต่างและยังอยู่กันได้นาน แต่ไม่เคยมีเรื่องส่วนตัว ตนยังเคารพอดีตนายกทักษิณเหมือนเดิมตลอดเวลา แต่ความเชื่อกับสิ่งที่ได้เห็นหลายเรื่องมีความแตกต่างกัน ความสัมพันธ์ ณ ตอนนี้ตอบได้ว่า ไม่ได้คุยกันมานานกว่าสามปีแล้ว ซึ่งเป็นปกติของตนที่ไม่ใช่คนช่างคุย จะอย่างไรก็ตาม ความแตกต่างที่ตนเห็นกับอดีตนายกทักษิณนั้นไม่ได้เป็นครั้งแรก และไม่ได้เป็นครั้งสุดท้าย

ภาพในอนาคต ความฝันสูงสุดเกี่ยวกับทิศทางบ้านเมือง

นายจตุพร ทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ต้องการเห็นมากที่สุดคือการนำพาบ้านเมืองนี้ให้เป็นประชาธิปไตย ประชาชนอยู่ดีกินดี ทำทุกอย่างเพื่อประชาชน เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง แก้ปัญหาชาติ นักการเมืองยกระดับตัวเอง ยุคต่อไปสิ่งที่เราต้องการจะสร้างคือนักประชาธิปไตย ที่รับผิดชอบบ้านเมืองตามยุคสมัย คนที่เขาจะสู้เพื่อประชาชน

ความฝันที่อยากจะได้สักครั้ง คือได้นักการเมืองที่เป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตย และทำเพื่อประชาชน ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทร ตนขอเห็นก่อนตายสักครั้ง

หลังจากกรณีการจับกุม นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โตโต้ หัวหน้าการ์ดวีโว่ ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเมเจอร์ รัชโยธิน ทางเพจ 'Potato Corner Thailand' ร้านเฟรนช์ฟรายส์ชื่อดังของ 'พีช พชร' ที่ได้โพสต์ข้อความเพื่อทำการตลาด

“Potato Corner ฟรายส์คลุกผงเจ้าแรกแห่งไทย โดนแจ้งข้อหาฟรายส์อร่อยเกินไป เบื้องต้น “น้องโตโต้” (นามสมมติ) ได้ถูกจับกุมที่ร้าน Potato Corner สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ชั้น 6"

โดยทางแบรนด์ได้อธิบายว่าได้ใช้มาสคอตประจำร้านชื่อว่า “น้องโตโต้” เป็นคาแรกเตอร์มันฝรั่ง สื่อถึงสินค้าหลักที่เป็นเฟรนช์ฟรายส์มาโดยตลอด

แต่ด้านดราม่ากลับมองว่าแบรนด์ได้ล้อเล่นกับความเป็นความตายของคนๆ หนึ่ง และได้ติดแฮชแท็ก #แบนPotatoCornerThailand จนเชื่อได้ว่าร้านของหนุ่มพีชอาจต้องถูกวิกฤติแบนหนักแน่ ๆ

อย่างไรก็ตามได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อ Atom SP โพสต์ภาพลูกค้าเข้าแถวต่อคิวยาวหน้าร้าน หวังลิ้มรส Potato Corner เฟรนช์ฟรายส์ชื่อดังของพระเอกไฮโซทายาทห้างดัง แต่กลับต้องถามชาวเน็ตกลับว่า ติดแฮชแท็ก #แบนPotatoCorner แบนยังไงทำไมขายดีขึ้น

โดยเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ระบุว่า...

ทัวร์ตั้งใจขับรถมากิน #potatocorner แต่ โดยมีคนต่อแถวชั่วคราว 50 คิวโดยเฉพาะผู้สูงวัยที่มากกว่าเกินกฎหมาย

#มันแบนยังไงของมันวะ

#ว๊ากคนอยากกินไม่ได้กิน


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000022189

วัยรุ่นเตรียมเฮ ททท.ปรับเกณฑ์หนุนท่องเที่ยวไทย เล็งเสนอโครงการใหม่ ‘ทัวร์เที่ยวไทย’ แจก 5,000 บ. ช่วยค่าเที่ยว ผ่านบริษัททัวร์นำเที่ยวในราคาแพคเกจขั้นต่ำ 12,500 บาท เป็นจำนวนประมาณ 1 ล้านคน แทนที่ ‘เที่ยวไทยวัยเก๋า’

รัฐบาลแจกเก่ง ล่าสุดเตรียมสนับสนุนให้คนไทยออกมาเที่ยวช่วงสงกรานต์ โดยเพจ ‘เราชนะ’ ได้ออกมาโพสต์ว่า

เตรียมเฮกันเลย จัดให้ทั้งวันหยุดและเงินเที่ยว สงกรานต์ปีนี้ หยุดยาว 6 วัน (10 - 15 เม.ย)

แต่เท่านั้นยังไม่พอ จัดให้อีกต่อ เตรียมเปิดโครงการใหม่ "ทัวร์เที่ยวไทย" แจก 5,000 บ. ช่วยค่าเที่ยว เพียงอายุ 18 ปีขึ้นไป แทนที่เที่ยวไทยวัยเก๋าที่กำหนดอายุ 55 ปีขึ้นไป (รอรายละเอียดเต็มหลังมติ ครม.)

รายละเอียดเบื้องต้น

- อายุ 18 ปีขึ้นไป

- สมทบเงินสูงสุด 5,000 บ./คน ให้ออกเดินทางเที่ยวผ่านบริษัททัวร์ (โดยจะสมทบเงินให้ 40% ของแพคเกจ)

** สำหรับรายละเอียดทัวร์เที่ยวไทยเต็ม ๆ ต้องรอสรุป มติ ครม.คาดว่าจะออกมาเร็ว ๆ นี้

ขณะที่ ก่อนหน้านี้ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เปิดเผยความคืบหน้าโครงการกระตุ้นการท่องเที่ยว ได้แก่ เราเที่ยวด้วยกัน และเที่ยวไทยวัยเก๋า ว่า ทาง ททท.จะหารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนออกมามากขึ้น และหากผ่านการพิจารณาของสศช. จะนำเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป

โดยโครงการเที่ยวไทยวัยเก๋า จะปรับเปลี่ยนรูปแบบเล็กน้อย ภายใต้ชื่อ ‘ทัวร์เที่ยวไทย’ ที่จะขยายกลุ่มเป้าหมายครอบคลุมระดับอายุมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ไม่ได้จำกัดแค่เพียงผู้สูงวัยเท่านั้น โดยจะสมทบเงินให้ 40% หรือไม่เกิน 5,000 บาทต่อคน ให้ออกเดินทางท่องเที่ยวผ่านบริษัททัวร์นำเที่ยวในราคาแพคเกจขั้นต่ำ 12,500 บาท เป็นจำนวนประมาณ 1 ล้านคน

ซึ่งจะทำให้บริษัททัวร์ รับคนเข้าร่วมโครงการได้จำนวน 3,000 คนต่อ 1 บริษัท รวมบริษัททัวร์ประมาณ 300 ราย ระยะเวลาดำเนินโครงการ 3 เดือน ซึ่งขณะนี้ยังต้องหารือกันอีกครั้งว่า สรุปแล้วเงินที่รัฐบาลจะสมทบให้นั้น จะส่งตรงไปยังผู้ใด ระหว่างบริษัทหรือผู้ใช้สิทธิ

ซึ่งนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้แนวทางมาว่า ควรส่งตรงไปยังบริษัทมากกว่า เพราะจำนวนน้อยกว่าประชาชนใช้สิทธิ รวมถึงหากมีการผิดปกติหรือต้องดำเนินการตรวจสอบใด ๆ ก็สามารถทำได้ง่ายกว่าด้วย

ขณะเดียวกัน ช่วงวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ รัฐบาลประกาศหยุดยาว 6 วันตั้งแต่วันที่ 10 - 15 เมษายน 2564 ททท.ยืนยันว่าในปีนี้มีการจัดงานสงกรานต์แน่นอน ส่วนการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวจะออกมาในรูปแบบใดยังต้องพิจารณาในระยะใกล้ ๆ อีกครั้ง เพราะมีหลากหลายวิธี อาทิ การเล่นน้ำสงกรานต์แบบวัฒนธรรมดั้งเดิม การฉีดน้ำได้หรือไม่ได้ ซึ่งต้องรอความชัดเจนจากรัฐบาลอีกครั้ง


ที่มา : 

https://web.facebook.com/105309981534467/photos/a.105323294866469/120967176635414/

https://www.matichon.co.th/economy/news_2608546


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top