Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

ชาวเชียงใหม่สำลักควัน ดัชนีคุณภาพอากาศย่ำแย่ ค่าฝุ่นละออง PM2.5 พุ่งสูงติดอันดับ 1 ของโลกต่อเนื่องเป็นวันที่ 4 พบจุดฮอตสปอตใน 17 จังหวัดภาคเหนือ สูงกว่า 926 จุด

วันนี้ (9 มี.ค.64) สถานการณ์มลพิษจากหมอกควันในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเข้าสู่วันที่ 4 แล้วที่คุณภาพอากาศ และฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ PM 2.5 สูงเกินค่ามาตรฐาน ทำให้ช่วงเช้าวันนี้สภาพอากาศในตัวเมืองเชียงใหม่ ยังถูกปกคลุมด้วยหมอกควันสีเทาหนาทึบจนมองไม่เห็นดอยสุเทพ ภูเขาที่อยู่ใกล้ตัวเมืองมากที่สุด

ถือเป็นดัชนีชี้วัดทางสายตาที่เห็นได้ชัดเจนว่าคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ย่ำแย่ เช่นเดียวกับที่จุดชมวิวดอยสุเทพที่มองเห็นทัศนียภาพของตัวเมืองเชียงใหม่ได้เลื่อนลาง เพราะมีหมอกควันพิษปกคลุม

โดยเมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้แอปพลิเชัน AirVisual ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันตรวจวัดคุณภาพอากาศ หรือ AQI ใน 50 เมืองสำคัญทั่วโลก พบว่าจังหวัดเชียงใหม่มีดัชนีคุณภาพอากาศแย่ที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก AQI สูงกว่า 242

ส่วนแอปพลิเคชัน AirCMI ซึ่งเป็นแอปพลิเคชันตรวจวัดค่า PM2.5 พบว่าช่วงเช้าวันนี้ ค่า PM2.5 ในพื้นที่ตัวเมืองเชียงใหม่สูงถึง 108 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินมาตรฐานที่กำหนดไว้ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งถือว่ามีผลกระต่อสุขภาพมาก

ปัจจัยที่ทำให้มลพิษหมอกควันในจังหวัดเชียงใหม่ และภาคเหนือยังทวีความรุนแรง เนื่องจากยังมีการลักลอบเผาในเขตป่าอย่างต่อเนื่อง โดยกองบัญชการควบคุมสถานการณ์ไฟป่าและหมอกควันและฝุ่นละอองภาคเหนือ กองทัพภาคที่ 3 รายงานข้อมูลจุดความร้อน หรือ ฮอตสปอต ที่ตรวจพบโดยดาวเทียมระบบ VIRS ในห้วงเวลา 02.22 น. ของวันที่ 9 มีนาคม พบจุดความร้อนสูงกว่า 926 จุด จากเมื่อวานนี้ที่มีจำนวนเพียง 609 จุด จังหวัดที่พบจุดความร้อนมากที่สุด คือ แม่ฮ่องสอน 617 จุด รองลงมา คือ เชียงใหม่ 211 จุด และ ตาก จำนวน 108 จุด ส่วนพื้นที่ที่ตรวจพบจุดความร้อนมากที่สุด คือ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ จำนวน 617 จุด และป่าสงวนฯ จำนวน 283 จุด

แม้จังหวัดเชียงใหม่จะตรวจพบจุดความร้อนเพียง 211 จุด แต่เนื่องจากพื้นที่รอบข้างยังมีการเผาที่รุนแรง ประกอบกับสภาพอากาศมีลมตะวันตกเฉียงเหนือ พัดพาเอามลพิษหมอกควันจากการเผาลอยในพื้นที่ตังเมืองเชียงใหม่ซึ่งเป็นแอ่งกระทะ และยังมีลมตะวันตกเฉียงเหนือพัดเข้ามาสมทบ จึงทำให้อากาศหมุนวนในพื้นที่แอ่งกระทะ และในช่วงเช้าที่สภาพอากาศยังหนาวเย็น มลพิษหมอกควันจึงถูกกดลงต่ำ


ที่มา : https://www.tnnthailand.com/news/local/73575/

“เสรีพิศุทธ์” เสียใจกับ ปชป.ที่เสียแชมป์ให้กับกลุ่มคนที่ตัวเองยอมเป็นนั่งร้านให้ เปรียบนโยบายแจกเงินของรัฐเหมือนกับการเสพฝิ่น ลดการเจ็บปวดชั่วขณะแต่รักษาโรคร้ายไม่ได้

พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ขอกราบขอบพระคุณพี่น้องเขต 3 นครศรีธรรมราชทุกท่านที่ได้ลงคะแนนให้กับผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค แม้คะแนนเสียงที่ได้รับจะยังไม่มาก แต่ก็ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการจุดประกายความคิดเรื่องการสร้างประชาธิปไตยในภาคใต้

โดยทางพรรคพร้อมที่จะคิดค้นนโยบายส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับพี่น้องชาวภาคใต้ต่อไป แม้จะเป็นเพียงพรรคเล็กๆ แต่ด้วยอุดมการณ์ที่มุ่งมั่นก็เชื่อว่าพี่น้องชาวใต้จะให้การยอมรับในวันข้างหน้า

"ขอแสดงความเสียใจกับพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องเสียแชมป์หมดสภาพทางการเมือง เพราะกลุ่มคนที่พวกท่านยอมเป็นนั่งร้านให้เพื่อแลกกับการได้ร่วมรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์บางคนอุตส่าห์ไปเป่านกหวีด ล้มรัฐบาลเลือกตั้งจนได้ พล.อ.ประยุทธ์และพรรคพวกเข้ามา แต่วันนี้คนที่พวกท่านมีส่วนสร้างขึ้นมาได้ล้มท่านเองโดยไม่ให้ค่าและไม่เห็นประชาธิปัตย์อยู่ในสายตา ไม่รู้ว่าพวกท่านทนอยู่ร่วมกันได้อย่างไร"

ส่วนพรรคที่ชนะก็อย่าได้ลำพองจนเกินไป เพราะแม้กระทั่งคนของประชาธิปัตย์เองยังออกมาเแฉว่ามีการเคลมมาตรการแจกเงินว่าเป็นโครงการของพรรคเขาพรรคเดียวเท่านั้นไม่ใช่ของพรรคร่วมรัฐบาล จนถึงขนาดไปปล่อยข่าวว่าถ้าได้ ส.ส.ประชาธิปัตย์เข้ามาจะมีการล้มโครงการคนละครึ่ง

นอกจากนี้ยังมีการใช้อำนาจผ่านกลไกรัฐทุกรูปแบบ มีการแจกเอกสารสิทธิ์ที่ดินใกล้พื้นที่เลือกตั้ง มีการใช้รถตำรวจนำขบวน มีข่าวการซื้อเสียงอย่างหนัก จนชาวบ้านเองต้องออกมาโวยว่าถูกอ้างชื่อ แต่ กกต.กลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย เป็นไปได้อย่างไร

"สรุปว่างานนี้ โครงการคนละครึ่งชนะประกันราคา เพราะคนละครึ่งแจกเงินได้ครอบคลุมกว่า วันนี้สังคมกำลังเคลิบเคลิ้มกับการแจกเงินผ่านโครงการต่าง ๆ เพราะมันได้ง่าย ได้ตรง ยิ่งกว่าประชานิยมในอดีต แต่เชื่อว่าพอประเทศหมดเงินเมื่อไรก็จะมีการรีดภาษีจากพวกเรานี่แหละ เพราะรู้กันอยู่ว่าพวกทหารหาเงินไม่เป็นถนัดแต่ยึดอำนาจ

ตอนนี้ยังใช้โควิดบังหน้าได้แต่ต่อไปจะเห็นได้ชัด การแจกเงินก็เหมือนกับการเสพฝิ่น ทำให้เคลิบเคลิ้มลดความเจ็บปวด แต่รักษาโรคร้ายไม่ได้จริง พรรคเสรีรวมไทยเป็นพรรคเล็กที่คอยเตือนสติผู้คนว่ามีแต่แนวทางประชาธิปไตย เท่านั้นที่จะทำให้ประชาชนลืมตาอ้าปากได้" พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์กล่าว

Self-Control ทักษะในการสร้างความมีวินัย หรือความสามารถในการบังคับตนเอง เป็นหนึ่งใน Soft Skill ตัวแปรสำคัญของความสำเร็จ Self-Control สำคัญอย่างไร แนะการเสริมสร้าง Self-Control ในเด็ก

เราได้พูดถึงความสำคัญของ Self-Esteem และวิธีการเสริมสร้าง Self-Esteem ทักษะพื้นฐานที่ดีเพื่อนำไปสู่ความสำเร็จให้แก่ลูกไปแล้ว คุณผู้อ่านสามารถติดตามอ่านย้อนหลังได้ใน https://thestatestimes.com/post/2021030411

ส่วนทักษะต่อไปที่สำคัญไม่น้อยไปกว่า Self-Esteem เลย ก็คือทักษะที่เรียกว่า Self-Control และวันนี้เราจะมาแบ่งปันให้กับคุณผู้อ่านกันว่า Self-Control สำคัญอย่างไร และการเสริมสร้าง Self-Control ในเด็กต้องทำอย่างไรกันค่ะ

Self-Control คืออะไร

Self-Control เป็นหนึ่งใน Soft Skill ที่เป็นตัวแปรสำคัญของความสำเร็จ นั่นก็คือทักษะในการสร้างความมีวินัย หรือความสามารถในการบังคับตนเอง การสร้างความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่อง ตกลงกับตัวเองว่าจะไม่หยุดกลางคันจนกว่าจะไปถึงเป้าหมายหรือชัยชนะนั้น ๆ  หัวใจสำคัญของ Self-Control หรือการควบคุมตัวเองได้นี้คือ เป้าหมายที่ตั้งไว้นั้นจะต้องเป็นสิ่งที่เจ้าตัวหรือตัวเด็กเป็นคนกำหนดขึ้นมาเอง การกำหนดเป้าหมายเองทำให้เด็กรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของ ให้เด็กเป็นคนกำหนดผลลัพธ์ แล้วเด็กจะเกิดพลังขับเคลื่อนภายในเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ๆ

จะเสริมสร้าง Self-Control ให้กับลูกได้อย่างไร

วิธีการเสริมสร้างความมีวินัยหรือ Self-Control ให้กับเด็กนั้นสร้างได้ตั้งแต่วัย 3-5 ขวบ สามารถสร้างไปพร้อม ๆ กับ Self-Esteem ได้เลยโดยการชวนลูกตั้งเป้าหมาย คุณพ่อคุณแม่ลองชวนลูกตั้งเป้ากับเรื่องเล็ก ๆ ในชีวิตประจำวันได้ เช่น มื้อนี้หนูจะกินผักกี่ชิ้น วันนี้หนูเล่นเสร็จแล้วหนูจะเอาของเล่นไปเก็บที่เดิมได้มั้ย หนูอยากติดกระดุมเองมั้ยหนูจะติดเองกี่เม็ด

การตั้งเป้าหมายที่ดีนั้นควรมีผลลัพธ์ที่พิสูจน์ได้ทันทีและเข้าใจง่าย เช่น ผักหมดจาน ของเล่นกลับไปอยู่ในที่เก็บของเล่น หรือลูกติดกระดุมเองครบทุกเม็ด หากเป็นเรื่องที่วัดผลลัพธ์ยาก คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้ตัวเลขกำหนดผลลัพธ์ได้ เช่น วันที่หนูจะเข้านอนตอนเข็มนาฬิกาชี้ไปที่เลขอะไรระหว่างเลข 8 กับเลข 9 เป็นต้น และเมื่อเด็กทำได้สำเร็จแล้ว อย่าลืมชื่นชมในความสำเร็จนั้น เด็กจะจดจำว่าสิ่งนี้ดีหรือไม่ดีจากคำชมและคำติของผู้ปกครอง อยากให้เน้นไปที่คำชมและให้กำลังใจเค้า เพราะจะเป็นการสร้าง Self-Esteem ไปพร้อม ๆ กันด้วย

อยากให้ลูกเก่งให้ชมที่ผลลัพธ์ อยากให้ลูกพยายามให้ชมที่การกระทำ

ขอถามคุณพ่อคุณแม่ก่อนว่า คุณพ่อคุณแม่อยากให้ลูกเก่งหรืออยากให้ลูกเป็นคนเข้มแข็ง รู้จักอดทนอดกลั้น และรู้จักความพยายาม หากอยากให้ลูกเก่ง ให้ชมลูกที่ผลลัพธ์ เช่น ชมที่เกรดเฉลี่ย ชมเมื่อลูกได้รับรางวัล แต่หากอยากให้ลูกเป็นคนมีความพยายาม ให้ชมในการกระทำ ชมที่ความตั้งใจของลูก ลูกจะทำสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ไม่ต้องสนใจ ขอให้ลูกลงมือด้วยความตั้งใจเป็นเพียงพอ

การฝึกทักษะของลูกนั้นต้องการความต่อเนื่องเช่นกัน หากคุณพ่อคุณแม่อยากฝึกทักษะด้านใดให้กับลูก ให้คุณพ่อคุณแม่ตั้งเป้าหมายเลย เช่น ภายใน 6 เดือนต่อจากนี้เราจะฝึกเรื่องความกล้าให้กับลูก คุณพ่อคุณแม่ก็ให้ลูกได้ลองคิด ตัดสินใจ ลงมือด้วยตนเองเป็นระยะเวลา 6 เดือน หากมีแนวโน้มว่าลูกจะคิด ตัดสินใจ หรือลงมือทำผิด ก็ปล่อยให้เค้าเรียนรู้เองไปก่อน เพราะเรากำลังฝึกทักษะความกล้าให้แก่เค้าอยู่

Soft Skill เป็นทักษะที่ไม่สามารถเรียนรู้ผ่านการอ่านคู่มือหรือตำราได้ จำเป็นต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์เท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็น ๆ เด็กเป็นวัยแห่งการเรียนรู้อยู่แล้ว ปล่อยให้ลูกเรียนรู้ด้วยตนเอง ลองผิดลองถูกบ้าง ประสบการณ์จะนำพาเด็กให้เค้าสร้างทักษะที่แข็งแกร่งให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวของเค้าเองค่ะ

เป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่และลูกทุกคนค่ะ


สามารถย้อนไปฟังการ LIVE หัวข้อที่น่าสนใจเหล่านี้เพิ่มเติมได้ที่ เพจดีต่อลูก

หัวข้อ อยากให้ลูกมีชีวิตที่มั่นคง พ่อแม่ต้องสร้างให้ลูกมี Soft Skills กับครูพี่หญิงฝาย โรงเรียนคู่ขนาน

Link https://www.facebook.com/299800753872915/videos/3651437871537025

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์ 

มือถือโนเกีย เปิดตัวโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ Nokia 1.4 เล็งเจาะตลาดคนทั่วไป โดยเฉพาะกลุ่มที่ยังไม่มีสมาร์ทโฟน ชูจุดขายรองรับแอปฯ ‘เป๋าตัง’ ได้ ดีเดย์วางขายวันแรก 10 มีนา ราคา 2,690 บาท

นายราวี คุณวา ผู้จัดการทั่วไปของภูมิภาคแพนเอเชีย เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวว่า ประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญสำหรับธุรกิจมือถือ Nokia เนื่องจากมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดสมาร์ทโฟนระดับเริ่มต้น และตลาดลูกค้าฟีเจอร์โฟนที่จะอัพเกรดมาใช้สมาร์ทโฟน เนื่องจากการเรียนออนไลน์และการทำงานจากที่บ้านกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ ซึ่งความปกติใหม่นี้ยังส่งผลเร่งอัตราการใช้สมาร์ทโฟน เนื่องจากผู้บริโภคต้องการสมาร์ทโฟนเพื่อใช้เช็คอิน QR code ผ่านทางแอปฯ ‘ไทยชนะ’ ในการติดตามการติดต่อ

นอกจากนี้ ยังรองรับมาตรการการเว้นระยะห่างทางสังคม ด้วยความสามารถใช้งานแอปฯ อื่น ๆ เช่น โมบายแบงก์กิ้ง หรือการทำธุรกรรมทางการเงินยบนสมาร์ทโฟน เป็นต้น โดยมีประสิทธิภาพการสแกนใบหน้าและการสแกนคิวอาร์โค้ด ด้วยกล้องมาโคร สามารถจับภาพระยะใกล้ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อทำธุรกรรมทางการเงิน ทั้งในแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” รวมทั้งใช้บริการทางการเงินผ่านแอปพลิเคชันธนาคารต่าง ๆ ง่ายขึ้น พร้อมจุดเด่นแบตเตอรี่สามารถใช้ได้นานถึง 2 วัน

ด้าน ภราดร รามบุตร ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เอชเอ็มดี โกลบอล กล่าวเสริม Nokia 1.4 ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันในยุคที่ต้องสแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อการเช็คอินโลเคชั่นบนแอปฯ ‘ไทยชนะ’ ‘หมอชนะ’ ตามมาตรการป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 แอปฯ เป๋าตัง ทั้งการสแกนหน้ายืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือและเยียวยาต่าง ๆ รวมถึงการโอนเงิน เติมเงิน และจ่ายเงิน ผ่านแอปฯ ของธนาคาร ช่วยให้ใช้งานแอปฯ ที่กล่าวมาได้แบบไม่ติดขัด

สำหรับ Nokia 1.4 เริ่มจำหน่ายในประเทศไทยในวันที่ 10 มีนาคม 2564 มีให้เลือก 2 สี คือ สี Fjord (สีฟ้า) และ สี Charcoal (สีเทาดำ) ในราคา 2,690 บาท

วันนี้เมื่อ 25 ปีก่อน เป็นวันที่ต้องถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยเป็นวันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือ ‘สมเด็จย่า’ ของปวงชนชาวไทย

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี พระราชสมภพเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443 มีพระนามเดิมว่า สังวาลย์ ตะละภัฏ ทรงเป็นพระชายาในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระราชชนนีในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และเป็นพระอัยยิกาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10

ตลอดพระชนชีพ สมเด็จย่า ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนชาวไทยอย่างมากมาย อาทิ ทรงให้การอุปถัมป์ราษฎรชาวไทยภูเขาที่อาศัยในถิ่นทุรกันดาร เพื่อให้มีอาชีพ ตลอดจนมีคุณภาพชีวิตที่ดี จนเป็นที่มาของ ‘มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง’ นอกจากนี้ยังทรงเป็นแบบอย่างของความพอเพียง ทรงสอนพระโอรสและพระธิดา ให้รู้จัก ‘การให้’ มาตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์

โดยสมเด็จย่าจะทรงตั้งกระป๋องออมสินเรียกว่า ‘กระป๋องคนจน’ หากทรงนำเงินไปทำกิจกรรมแล้วมีกำไร จะต้องถูก ‘เก็บภาษี’ หยอดใส่กระปุกนี้ 10% และทุกสิ้นเดือน สมเด็จย่าจะเรียกประชุมเพื่อตรัสว่า จะนำเงินในกระป๋องไปทำอะไร เช่น มอบให้โรงเรียนตาบอด มอบให้เด็กกำพร้า หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยากจน

สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงพระประชวร โดยมีพระอาการทางพระหทัยกำเริบและทรงเหนื่อยอ่อน โดยเข้าประทับรักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2538 จนกระทั่งในวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ทรงมีพระอาการทรุดลง เนื่องด้วยมีพระอาการแทรกซ้อนทางพระยกนะ (ตับ) และพระวักกะ (ไต) ไม่ทำงาน พระหทัย (หัวใจ) ทำงานไม่ปกติ ความดันพระโลหิตต่ำทำให้เกิดภาวะเป็นกรดในพระโลหิต

คณะแพทย์ได้ถวายการรักษาความผิดปกติของระบบต่าง ๆ แต่พระอาการคงอยู่ในภาวะวิกฤต จนเมื่อเวลา 21.17 น. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสวรรคต สิริพระชนมายุ 94 พรรษา ต่อมาจึงมีพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ จัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2539 ณ พระเมรุ ท้องสนามหลวง


ที่มา: https://www.tnews.co.th/religion/

'อ.ปริญญา' ยกข้อกฎหมายยันให้ขังแกนนำม็อบที่ไม่ใช่เรือนจำ

จากกรณีศาลอาญามีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ประกันตัวแกนนำม็อบราษฎร ประกอบด้วย

1.) น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง

2.) นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์

3.) นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือไผ่ ดาวดิน

จากกรณีอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องในคดีชุมนุม 19 กันยาทวงอำนาจคืนราษฎร ในความผิดฐานยุยงปลุกปั่นฯ ตาม ป.อาญา ม.116, ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปฯ ป.อาญา ม.215, ฝ่าฝืน พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ, ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, กีดขวางทางสาธารณะฯ, ร่วมกันกีดขวางการจราจรฯ, ตั้งวางวัตถุบนถนนอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายฯ, ทำลายโบราณสถานฯ, ทำให้เสียทรัพย์ฯ และร่วมกันโฆษณาเครื่องขยายเสียงโดยไม่ได้รับอนุญาตฯ และความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ฯ ป.อาญา ม.112 ที่ผ่านมา

ล่าสุด ผศ. ดร. ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัว Prinya Thaewanarumitkul เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า…

การได้รับการประกันตัวในคดีอาญาหรือที่กฎหมายใช้คำว่า ‘ปล่อยชั่วคราว’ นั้นเป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้ต้องหาและจำเลยทุกคน ดังที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาบัญญัติไว้ในมาตรา 107 ว่า #ผู้ต้องหาหรือจำเลยทุกคนพึงได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

แม้ว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ศาลจะมีดุลพินิจสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราวได้ แต่สิ่งที่บุคลากรในกระบวนการยุติธรรมอาจจะลืมไปคือ ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์นั้น หากศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว #ผู้ต้องหาหรือจำเลยจะถูกเอาไปขังไว้ในเรือนจำกับนักโทษที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และจะถูกปฏิบัติเหมือนกับนักโทษแทบจะทุกประการ

และนี่คือปัญหาใหญ่มาก!!

เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง บัญญัติว่า #ก่อนมีคำพิพากษาอันถึงที่สุด แสดงว่าบุคคลใดกระทำความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้น #เสมือนเป็นผู้กระทำความผิดมิได้ การเอาบุคคลซึ่งยังเป็นแค่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไปขังไว้ในเรือนจำรวมกับนักโทษ ก็คือการปฏิบัติกับเขาเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดแล้ว ซึ่งย่อมไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง

ดังนั้น หากศาลท่านจะไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ก็ต้องสั่งให้ไป #กักขังในที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ และให้ปฏิบัติต่อเขาแบบคนที่ยังไม่ถูกศาลพิพากษาด้วยครับ หรือไม่งั้นก็ต้อง #อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวให้เขาสู้คดีนอกคุก อย่างหนึ่งอย่างใด หาไม่แล้วจะเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 29 วรรคสอง ที่คุ้มครองประชาชนทุกคนไม่ให้ถูกปฏิบัติเยี่ยงนักโทษก่อนศาลพิพากษา ด้วยความเคารพครับ


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3980182318692343&id=100001018415956

รัฐบาลเตรียมเปิดตัวโครงการ “SME คนละครึ่ง” ช่วยลดภาระค่าบริการทางธุรกิจ เพิ่มความสามารถทางการแข่งขัน คาดเริ่มเปิดโครงการฯ กลางปีนี้

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผยรัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยเพิ่มเติม ในลักษณะร่วมกันจ่ายกับ SME (Co-payment) มีสัดส่วนตั้งแต่ร้อยละ 50 - 80 สำหรับค่าใช้จ่ายในการขอทดสอบผลิตภัณฑ์ จดทะเบียนหรือขอใบรับรองมาตรฐานต่าง ๆ และการปรึกษาทางธุรกิจ เช่น มาตรฐานการบัญชี มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกอช.) มาตรฐานอาหาร (อย.) ซึ่งที่ผ่านมาการขอรับบริการทางธุรกิจต่างๆ มีค่าใช้จ่ายสูง เป็นต้นทุนสำคัญของการประกอบการ และกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของเอสเอ็มอีไทยด้วย

โดย คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เห็นชอบโครงการดังกล่าวแล้ว คาดว่าจะเริ่มเปิดตัวโครงการ SMEs’ Co-payment ในกลางปีนี้ ซึ่งนอกจากจะลดภาระค่าใช้จ่ายแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ เอสเอ็มอีไทยที่มีอยู่กว่า 3.1 ล้านราย สามารถตัดสินใจเลือกพัฒนาคุณภาพและขอรับมาตรฐานสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการของแต่ละอุตสาหกรรมแต่ละราย สร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางการตลาดด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมาตรฐานสากลด้วย

ทั้งนี้ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ได้ริเริ่มแนวทางเพื่อสร้างทางเลือกให้กับ SME ในการพัฒนาธุรกิจของตนเองให้ได้ตรงตามความต้องการได้มากขึ้น สสว. จากผู้ให้บริการทางธุรกิจ (Business Development Service: BDS) โดยสสว. จะให้การเงินสนับสนุนแบบร่วมจ่าย (co-payment) โดยมีค่าใช้จ่ายที่สามารถขอรับการสนับสนุน ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการอบรมพัฒนาความรู้ด้านธุรกิจ ค่าใช้จ่ายในการทดสอบและรับรองมาตรฐาน ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การทดลองผลิตระดับอุตสาหกรรมและการออกแบบ ค่าใช้จ่ายในการขยายโอกาสทางการตลาด ค่าใช้จ่ายในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา รวมทั้งค่าตอบแทน เช่น ค่าที่ปรึกษา ค่าผู้เชี่ยวชาญ ค่าวินิจฉัย เป็นต้น โดยคุณสมบัติของเอสเอ็มอีต้องเป็นธุรกิจที่มีการยื่นชำระภาษีและขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว.

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยอีกว่า ล่าสุดรัฐบาลได้มีการปรับกฎเกณฑ์ด้วยการออกกฎกระทรวงกำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2563 เพื่อเอื้อให้เอสเอ็มอีสามารถเข้าถึงตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่มีมูลค่ากว่า 1.3 ล้านล้านบาทต่อปี ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 22 ธ.ค. 2563

นอกจากนี้แล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังได้มีการหารือเพื่อปรับปรุงโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Softloan) ให้มีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงซอฟท์โลนได้ง่ายและมีวงเงินกู้สูงขึ้น รวมทั้งแนวทาง asset warehousing เพื่อช่วยเหลือไม่ใช้ทรัพย์สินธุรกิจที่ยังมีศักยภาพต้องถูกยึดหรือปิดตัวลง ซึ่งรายละเอียดจะนำสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในเร็ววันนี้

ญี่ปุ่นจ่อพัฒนา ‘Gatebox’ เพื่อนสาวเสมือนจริง ขนาดเท่าคน ตอบโจทย์คนเหงา = ธุรกิจบริการ คาดเปิดขายช่วงแรกให้ฟากธุรกิจก่อน แต่ก็อาจจะขายให้คนทั่วไปด้วย

เว็บไซต์ SoraNews24 นำเสนอข่าวว่า Gatebox หรือเพื่อนสาวเสมือนกำลังจะถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่เท่าขนาดคนจริง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Gatebox บริษัทเทคโนโลยีของญี่ปุ่นได้ปล่อยผลิตภัณฑ์ ที่มีชื่อว่า Gatebox หรือ ‘อุปกรณ์อัญเชิญตัวละคร’ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายเครื่องชงกาแฟขนาดกะทัดรัด สามารถตั้งบนโต๊ะทำงานของคุณได้ โดย GateBox จะสร้างภาพ 3 มิติของตัวละครที่คุณชอบ มาคอยดูแลและให้กำลังใจคุณ (ส่วนใหญ่จะเป็นหนุ่ม ๆ) ในทุก ๆ วัน เช่น ปลุกคุณในตอนเช้า เปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้า และสามารถสนทนาโต้ตอบกับคุณได้ตลอดทั้งวัน

ที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ GateBox ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีการอัปเดตซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา และล่าสุดทางบริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวเวอร์ชันใหม่ของ Gatebox ที่ใช้ชื่อว่า ‘Gatebox Grande’ ซึ่งเป็น Gate box ที่เพิ่มขนาดขึ้น ให้มีความสูงราว 165 เซนติเมตร หรือเท่าขนาดคนจริง

อย่างไรก็ตาม ด้วยขนาดของ Gatebox Grande ที่มีขนาดใหญ่กว่า Gatebox รุ่นเดิม โดยมีระบบแสดงผลขนาดใหญ่ และมีขนาดเครื่องที่สูงราว 2 เมตร น่าจะเหมาะกับภาคธุรกิจ ในฐานะผู้ต้อนรับเสมือนจริง เช่น ติดตั้งในร้านค้า สถานบันเทิง พิพิธภัณฑ์ โรงภาพยนตร์ สถานที่จัดงานต่างๆ และธุรกิจอื่น ๆ เป็นอันดับแรก

แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเปิดขายให้กับคนทั่วไปที่มีกำลังทรัพย์และพื้นที่เหลือเฟือ (ภายในอพาร์ตเมนต์ของคนโสด) เพราะคาดว่าจะมีราคาที่สูงมากเช่นกัน (ราคารุ่นแรกร่วม 5 หมื่นบาท)

สำหรับ Gatebox เวอร์ชั่นก่อนหน้าไซส์ จะเป็นตัวการ์ตูนสาวที่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในแท่งแก้ว สามารถโต้ตอบกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ เนื่องจากใช้เทคโนโลยี AI ที่คอยเรียนรู้พฤติกรรมประจำวันของเรา รวมถึงตัวเสื้อผ้าที่สวมใส่ยังเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาในแต่ละวันได้เองอัตโนมัติ แถมยังสามารถรายงานสภาพอากาศ, เป็นนาฬิกาปลุก และควบคุมการเปิดปิดของอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้านตามเวลาที่กำหนด

ขณะเดียวกัน ยังสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้ ทำให้คุณสามารถติดต่อสื่อสารกับ Gatebox ได้เหมือนมีเพื่อนสาวจริง ๆ แม้จะอยู่นอกบ้าน ซึ่งจะคอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบและอยู่ข้าง ๆ คุณในทุกช่วงเวลา

ส่วน GateboxGrande ก็มีความสามารถคล้ายกัน เช่น สามารถตรวจจับมนุษย์ได้และตัวละครสามารถตอบโต้กับผู้คนได้ เช่น กล่าวต้อนรับผู้มาเยือนเมื่อพวกเขาเข้าใกล้ และขอบคุณพวกเขาเมื่อพวกเขาออกจากร้านไป เพื่อสร้างความรู้สึกว่ามีตัวละครอยู่จริง ไม่ใช่แค่วิดีโอที่ถูกบันทึกไว้


ที่มา : 

https://www.khaosod.co.th/lifestyle/news_6096297

https://soranews24.com/2021/03/08/virtual-anime-wife-gadgets-go-life-size-with-gatebox-grande

ประเทศไทยมีตำรา หนังสือ กันมานับร้อยปี แต่สำหรับในแวดวงวรรณกรรม หรืองานเขียนแนวเรื่องแต่ง ประเภทนวนิยาย เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งวันนี้ถือเป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ ครบรอบ 111 ปี

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร มีพระนามเดิมว่า พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ต่อมาในรัชสมัยของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ให้พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าคัคณางคยุคล เป็นองคมนตรี ก่อนที่ในปี พ.ศ.2419 จะทรงแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีศาลฎีกา พระองค์แรกของประเทศไทย และเป็นอธิบดีศาลแพ่งกลาง และศาลแพ่งเกษม อีก 2 ศาล ในเวลาต่อมา

นอกจากพระปรีชาสามารถในด้านกฎหมาย พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ยังมีพระอัจฉริยภาพในด้านการพระนิพนธ์บทร้อยแก้วและร้อยกรองมากมายหลายเรื่อง เช่น ท้ายกาสีหา นางปทุมสังกา รวมทั้งยังทรงสนใจงานเขียนทางตะวันตก ประเภท fiction และ novel จนเป็นที่มาของการทรงนิพนธ์เรื่อง ‘สนุกนึก’ ซึ่งเป็นเรื่องสั้นกึ่งนิยาย หรือที่เรียกว่าเป็น บันเทิงคดี ตามแบบอย่างนิยายตะวันตก เป็นเรื่องแรกของประเทศไทยอีกด้วย

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ทรงเป็นต้นแบบของผู้ที่มีความใฝ่รู้ในการศึกษา โดยครั้งหนึ่งทรงศึกษาภาษาอังกฤษด้วยพระองค์เอง จนสามารถอ่านงานเขียนชาวตะวันตก และนำมาประยุกต์ในงานพระนิพนธ์ของพระองค์เอง ต่อมาในปี พ.ศ.2439 ทรงเริ่มประชวรด้วยพระอาการพระวัณโรคภายใน และมีพระอาการทรงกับทรุดเรื่อยมา จนเมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2453 ได้สิ้นพระชนม์ลง สิริพระชันษาได้ 54 ปี


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/พระเจ้าบรมวงศ์เธอ_กรมหลวงพิชิตปรีชากร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top