Thursday, 26 June 2025
TheStatesTimes

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ชี้ถ้าจะฉีดวัคซีนโควิดสร้างภูมิคุ้มกันกลุ่ม ต้องฉีดให้ประชากรในประเทศเกือบ 50 ล้านคน วัคซีนที่ใช้จะต้องมีร่วม 100 ล้านโดส ขณะที่ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 64 นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan หัวข้อ วัคซีนโควิด จำนวนผู้ฉีดวัคซีนเท่าไหร่จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ดังนี้..

ภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะช่วยป้องกันการระบาดของโรคที่ติดต่อระหว่างคนสู่คน

การจะป้องกันได้ จะขึ้นอยู่กับว่าโรคนั้น ติดต่อง่ายหรือยาก

โรคติดต่อง่าย ก็จะต้องการภูมิคุ้มกันกลุ่ม ในอัตราที่สูง

โรคติดต่อยาก ก็จะใช้อัตราภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต่ำกว่า

โควิด 19 มีอัตราการติดต่อปานกลาง

เมื่อคำนวณภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต้องการ จะพบว่าอยู่ประมาณ 60%

การให้วัคซีนโควิด ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทาน ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ถ้าสมมุติว่าวัคซีนโควิด มีการสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรคได้ 80%

จำนวนผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีน ให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะมากกว่า 60% ขึ้นไปอีก จะอยู่ที่กว่า 70%

ดังนั้นการให้วัคซีนในประชากรไทย เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ซึ่งในอนาคต จะต้องรวมเด็กด้วย และชาวต่างชาติทั้งหมด ที่อยู่ในประเทศไทย คิดยอดรวมประมาณ 70 ล้านคน

ภูมิต้านทานไม่ว่าจะจากการติดเชื้อ หรือการได้รับวัคซีน ที่เกิดขึ้นต้อง เกือบ 50 ล้านคน

ดังนั้น ความต้องการในการฉีดวัคซีนทั้งประเทศ ถ้าคนละ 2 เข็ม วัคซีนที่ใช้ก็จะต้องใช้ ร่วม 100 ล้านโดส ถ้าขณะนี้ยังไม่นับเด็ก ก็จะต้องใช้ถึง 85 ล้านโดส

ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีการหาวัคซีนเพิ่มเติม อีกเป็นจำนวนมาก

กลุ่มประชากรเด็ก จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องได้รับวัคซีน จนกว่าจะมีการศึกษาขนาด และวิธีการใช้ เพื่อป้องกันการระบาดของโรค

และในอนาคตในปีหน้า ก็ยังไม่ทราบว่า มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มอีกหรือไม่

การให้วัคซีน ในหมู่มากสำหรับประเทศไทย มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติ วิกฤตการระบาดของโรค ให้ได้อย่างรวดเร็ว ชีวิตความเป็นอยู่และสังคม จะได้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

ประชาธิปไตยที่แท้จริง คืออะไร?

สภาพอากาศของเมืองไทยเพิ่งเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมนี้แล้ว แต่ที่ร้อนระอุมานานข้ามปี ก็คงเป็นสภาพการทางการเมืองของไทย ความเห็นต่างทางเมืองในครั้งนี้ดูสร้างความร้าวลึกให้สังคมไทย เพราะไม่เพียงสถาบันทางการเมืองเท่านั้นที่ตกเป็นเป้าในการประท้วงในครั้งนี้ แต่เหมือนเป้าหมายของการใช้เสรีภาพนี้ทะลุเลยเถิดไปถึงสถาบันกษัตริย์ สะท้อนจากข้อเรียกร้องล่าสุดของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่มีการเปิดตัวกลุ่มใหม่ในนาม REDEM – ประชาชนสร้างตัว

โดย REDEM นี้ย่อมาจากคำว่า RESTART DEMOCRACY ซึ่งมีประโยคต่อท้ายตามมาติด ๆ ว่า “สร้างประชาธิปไตยให้เกิดใหม่อีกครั้งไปด้วยกัน”

ฟังแล้วก็สงสัยมีคำถามว่านี้ประชาธิปไตยของไทยเราตายไปแล้วหรือจึงต้องมีการเกิดใหม่ แล้วที่เลือกตั้งกันไปคืออะไรกัน…

กลับมาที่ข้อเลือกร้อง 3 ข้อที่กลุ่ม REDEM ระบุว่ากลุ่มตนขอประกาศข้อเรียกร้องที่มีฐานคิดแบบสังคมนิยมประชาธิปไตย ซึ่งเปรียบเสมือนข้อตกลงร่วมกันหากต้องการต่อสู้ในการเคลื่อนไหวของมวลชนในชื่อ “REDEM” ซึ่งจะเป็นบันไดนำไปสู่ประชาธิปไตยที่ทุกคนมี 1 สิทธิ 1 เสียงที่แท้จริง ดังต่อไปนี้

1.) จำกัดอำนาจสถาบันฯ พอกันทีกับภาษีหลายหมื่นล้านบาทที่ประชาชนต้องจ่ายให้กับสถาบันฯ ทุกๆ ปีในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงต้องอดมื้อกินมื้อ พอกันทีกับอำนาจที่มากล้นจนไม่อาจตรวจสอบได้

2.) ปลดแอกประชาธิปไตยขับไล่ทหารออกจากการเมือง “ไม่ใช่แค่พลเอกประยุทธ์” เพราะนี่คือเครือข่ายนายพลขนาดใหญ่ที่รวมหัวกันเพื่อกัดกินประเทศนี้

3.) ลดความเหลื่อมล้ำด้วยรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า (ไม่ใช่สวัสดิการแบบชิงโชค) จัดสรรภาษีอย่างเป็นระบบ นำมาใช้กับการสร้างรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าตั้งแต่เกิดยันตาย เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

กลุ่ม REDEM ระบุว่านี่เป็น 3 ธงใหญ่ที่จะนำพาสังคมไทยไปสู่การเป็นประเทศที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงให้จงได้

อ่านแล้วก็เกิดคำถามในนามของประชาชน เราก็ย่อมมีสิทธิที่จะตั้งถามกับกลุ่ม REDEM ที่ได้ว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร?

อย่างข้อแรก หากจำกัดอำนาจสถาบันฯ ได้ ประเทศไทยจะมีประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือ? และอำนาจที่ต้องการจำกัดนั้น คือ อำนาจเรื่องใด? มีวิธีการในการจำกัดอย่างไร?

ถ้าตั้งธงที่การจำกัดอำนาจของสถาบันฯ ชวนตั้งคำถามต่อว่า อย่างนั้นประเทศที่ยิ่งไม่มีสถาบันกษัตริย์เลยยิ่งจะเป็นประชาธิปไตยหรือไม่…

หันมองประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์แล้วต้องเอียงคอสงสัยอีกว่า จริงหรือที่ประชาธิปไตยจะเบ่งบานในประเทศที่ไม่มีสถาบันกษัตริย์ หากจะอ้างว่าการจำกัดคือเพียงปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ก็น่าตั้งคำถามต่อว่าการปฎิรูปสถาบันหลักของชาติที่มีความเชื่อมโยง ผูกพันกับสังคมและคนไทยมากกว่า 700 ปี นับตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัย กรุงอยุธยา ไล่มาถึงกรุงธนบุรี จนยุคกรุงรัตนโกสินทร์ในปัจจุบัน

เรื่องใหญ่เช่นนี้ ควรมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน ตลอดจนวิธีการที่ละมุนละม่อมเป็นไปอย่างสันติวิธีและไร้ความรุนแรงที่สุดหรือไม่ มิควรใช้การหักหาญด้วยความหยาบคายก้าวร้าวรุนแรงใช่หรือไม่ และประเด็นสำคัญมากคือต้องเป็นความต้องการร่วมกันหรือมติร่วมกันของมหาชน (Consensus) ทั้งประเทศหรือไม่ ไม่ใช่เพียงคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งแล้วอ้างว่าตนคือตัวแทนของประชาชนทั้งหมดทั้งมวล เพราะท่ามกลางเสียงทัดทานและความเห็นต่างที่จากปรากฎเป็นรอยแยก คงพอพิสูจน์ได้ว่ามีคนไม่เห็นด้วยมากเหลือเกิน

ดังนั้นการที่กลุ่ม REDEM อ้างความต้องการของประชาชนนั้นมีชอบธรรมเพียงใด เป็นการกล่าวอ้างที่เกินจริงหรือไม่?

นอกจากนี้แล้วกลุ่ม REDEM ยังระบุความเชื่อโยงไปถึงภาษีและความอดมื้อกินมื้อของประชาชน โดยระบุจากข้อความที่ว่า…

“พอกันทีกับภาษีหลายหมื่นล้านบาทที่ประชาชนต้องจ่ายให้กับสถาบันฯ ทุกๆ ปีในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงต้องอดมื้อกินมื้อ…”

ประโยคนี้ชวนงงหนักเพราะราวกับว่าเพราะรัฐนำเงินไปใช้จ่ายให้กับสถาบันฯ แต่ละเลยประชาชนจนประชาชนต้องอดมื้อกินมื้อ แถมระบุว่าเป็นประชาชนส่วนใหญ่ด้วยนะที่ต้องอดมื้อกินมื้อ (และสงสัยว่าเอาข้อมูลมาจากไหนว่าประชาชนส่วนใหญ่อดมื้อกินมื้อด้วย) อย่างนี้ถือเป็นเหมารวมกล่าวโทษต่อสถาบันฯอย่างไม่เป็นธรรมเกินไปหรือไม่

ต่อมาในข้อที่ 2 ใจความอยู่ที่การขับไล่ทหารออกจากการเมือง ข้อนี้ต้องพิจารณาออกใช้ชัดเจน ว่าทหารในที่นี้คือ บุคคลที่เป็นปัจเจกชน หรือ ทหารที่เป็นสถาบันทหาร เพราะในโครงสร้างในการบริหารราชการแผ่นดิน เห็นด้วยว่าสถาบันทหารมีบทบาทหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบตามภารกิจเพื่อการรักษาอธิปไตยของประเทศที่ แต่ไม่ควรข้ามเข้ามาในกลไกของวงอำนาจการบริหารประเทศทั้งในฝ่ายบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติ

แต่หากทหารในที่นี้เป็นเพียงตัวบุคคลที่ต้องการเข้ามาเล่นการเมือง ก็ย่อมเป็นสิทธิของปัจเจกชนนั้น ๆ โดยหลักแห่งความเสมอภาคเสรีภาพนั้นเองว่า แม้จะเคยทำงานอาชีพใด ๆ หากมีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายกำหนด ก็สามารถเข้ามาในตำแหน่งทางการเมืองได้ เพราะโดยแนวคิดของระบบประชาธิปไตยย่อมไม่มีใครควรกีดกั้นก่อนจากการเข้ามาเป็นนักการเมืองด้วย

แม้จะเคยมีอาชีพอะไรมาก่อน ไม่ว่าจะรับข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้า ประชาชน หรือ เกษตรกร ก็ย่อมมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้ามาสู่ภาคการเมืองใช่หรือไม่ เพราะทหารคนหนึ่ง ก็คือ ประชาชนคนหนึ่งเช่นกัน และที่สำคัญหากเข้ามาตามกติกาของระบบประชาธิปไตยด้วยแล้ว ทุกฝ่ายต้องยิ่งต้องเคารพกติกาด้วยเช่นกัน

ข้อสุดท้ายที่กลุ่ม REDEM เรียกร้อง คือ การลดความเหลื่อมล้ำด้วยรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า จัดสรรภาษีอย่างเป็นระบบ นำมาใช้กับการสร้างรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้าตั้งแต่เกิดยันตาย เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประเด็นนี้มีความเห็นด้วยอย่างยิ่งว่ารัฐต้องเร่งดำเนินการบริหารจัดการสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อมุ่งสู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างทั่วถึงให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตได้อย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่การจัดสรรภาษีคือคำตอบสู่การสร้างรัฐสวัสดิการได้จริงหรือไม่

เพราะภาษีเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งในการบริหารงานทางการคลังของประเทศเท่านั้น และก่อนที่จะพูดถึงการจัดสรรภาษีอย่างเป็นธรรมนั้น ขอชวนมาดูรายได้ภาครัฐกันสักหน่อยว่าไม่ได้มาจากภาษีทางตรงจากประชาชนเพียงทางเดียว ที่เรามักได้ยินคำพูดที่ว่า ‘ภาษีกูๆ’ หรือภาษีประชาชนนั้น หมายถึงอะไร หากหมายถึงภาษีรายได้บุคคลธรรมดาที่ประชาชนต้องเสียให้แก่รัฐประจำทุกปี

โดยการจัดเก็บของกรมสรรพากรนั้น พบว่าข้อมูลล่าสุดจาก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ระบุว่าในช่วง ตุลาคม 2560 - พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมารัฐสามารถเก็บภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอยู่ที่ 222,853 ล้านบาท จากยอดรวมรายได้ที่จัดเก็บได้ คือ 2,450,000 ล้านบาทจากการจัดเก็บภาษีทั้งหมดของกรมสรรพกร กรมศุลกากร และรายได้จากหน่วยงานอื่นๆ เช่น กรมธนารักษ์ เป็นต้น ซึ่งหากคิดเป็นสัดส่วนร้อยละจะพบว่ารายได้ของรัฐที่จัดเก็บได้จากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือประชาชนทั่วๆไปนั้นคิดเป็นเพียง 9.1% จากจำนวนเงินรายได้ที่รัฐจัดเก็บได้ทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้นการกล่าวอ้างว่าใดๆ ในโลกล้วนมาจากเงินภาษีของตนนั้น อาจจะต้องคิดใหม่

นอกจากนี้ความจริงสำคัญคือการเป็นรัฐสวัสดิการ (Welfare State) นั้นต้องใช้เงินเยอะมาก ประเทศในแถบสแกนดิเนเวียนั้นเก็บภาษีได้เกือบ 50% ของ GDP ขณะที่ไทยเก็บภาษีได้ไม่ถึง 20% ของ GDP แล้วเราจะมีรัฐสวัสดิการอย่างที่เหมือนเขาได้หรือไม่

และน่าตั้งคำถามว่าในการลดความเหลี่ยมล้ำในสังคมไทย เราจะจัดสรรภาษีเพียงอย่างเดียว หรือควรพิจารณากลไกอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น การปรับปรุงโครงสร้างภาษีอากรทั้งระบบ การสนับสนุนการออมของประชาชน การพัฒนาบริการทางการเงินให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างทั่วถึง เป็นต้น

ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า เพียงแค่การจัดสรรภาษีตามที่กลุ่ม REDEM ระบุคงไม่สามารถนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำด้วยการสร้างรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าได้ เพราะยังมีองคาพยพอีกมากที่ต้องคำนึงถึงหรือไม่

ที่ตั้งคำถามทั้งหมดนี้มิใช่จะปฏิเสธการเปลี่ยนแปลง หรือ ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติบ้านเมือง หรือสนับสนุนเผด็จการ หรือแม้แต่การกล่าวโทษกลุ่ม REDEM ผู้ประท้วงในทางกลับกันต้องขอบคุณที่การเคลื่อนไหวเรียกร้องในครั้งนี้ทำให้เกิดการตั้งคำถามหรือทบทวนความเป็นไปในบ้านเมืองนี้

หากแต่เพียงอยากให้พวกเราร่วมด้วยช่วยกันคิดและดึงสติกันด้วยเหตุผลอย่างรอบด้านมากขึ้น ชวนทุกคนช่วยกันคิดว่าแทนที่จะหาว่าประชาธิปไตยที่แท้จริงคืออะไร เราควรตั้งคำถามใหม่ว่าเราสามารถมีประชาธิปไตยหรือมีการปกครองในแบบที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทยได้เองหรือไม่? อย่างไร?

เพราะแท้จริงแล้วประชาธิปไตยก็เป็นเพียงเครื่องมือหรือทางเลือกหนึ่งที่นำประเทศไปสู่จุดหมาย คือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้อยู่ดีมีสุขใช่หรือไม่ อย่ามัวแต่เพ่งที่เครื่องมือจนละเลยจุดหมายของการปกครอง…เพราะนิ้วที่ชี้ไปที่ดวงจันทร์หาใช่ดวงจันทร์ไม่


อ้างอิงที่มา:

เยาวชนปลดแอก เปิดตัว REDEM ช่องทางออกแบบการเคลื่อนไหว บันไดสู่ ปชต. (matichon.co.th)

ผลการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2561 1/ (ตุลาคม 2560 - พฤษภาคม 2561) จัดทำโดย ส่วนนโยบายรายได้ส้านักนโยบายการคลัง ส้านักงานเศรษฐกิจการคลัง

คอร์รัปชั่น...ไหมครับท่าน ตอนที่ 1

แต่เดิมสังคมไทยเรียกการคอร์รัปชันว่าการ “ฉ้อราษฎร์บังหลวง” ซึ่งสองคำนี้มีความหมายที่ต่างกันตามผู้เสียหาย กล่าวคือ คำว่า “ฉ้อราษฎร์” หมายถึง โกงประชาชน หรือ การที่เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ในทางที่มิชอบจากราษฎร ส่วนคำว่าการ “บังหลวง” หมายถึง การที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำการทุจริตประพฤติมิชอบต่อหน้าที่อันทำให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์ของแผ่นดิน หรือแก่ผลประโยชน์ของส่วนรวม โดยทำให้ตนเองหรือบุคคลอื่นได้รับประโยชน์โดยมิชอบ ปัจจุบันเป็นที่เข้าใจกันว่า การฉ้อราษฎร์บังหลวง หรือ การคอร์รัปชั่น คือ การที่เจ้าพนักงานของรัฐกระทำการทุจริตประพฤติมิชอบเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่งบุคคลใด

คอลัมภ์ สรรสาระ ประชาธรรม เปิดคอลัมภ์ด้วยเรื่องใหญ่ที่เห็นว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ถ่วงความเจริญของประเทศ และองค์กรต่างๆ โดยวิเคราะห์ในมุมเศรษฐศาสตร์ และกรอบวิเคราะห์เชิงสังคม

การคอร์รัปชั่นมีความซับซ้อน ลุ่มลึก และมีพัฒนาการตามระยะเวลา เราอาจคุ้นหูกับการรีดไถ ส่งส่วย จนกระทั่งถึง คอร์รัปชั่นเชิงนโยบาย ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ ในตอนแรกจะกล่าวถึงเพียงสาเหตุเดียว กล่าวคือ ทรัพย์แผ่นดินหรือสาธารณสมบัติ ซึ่งรัฐหรือประชาชนเป็นเจ้าของร่วมกัน ก็จะเปรียบได้กับการไม่มีเจ้าของ และจะก่อแรงจูงใจให้ผู้มีอำนาจกระทำการทุจริตประพฤติมิชอบ

ในทางเศรษฐศาสตร์จะพูดถึง “โศกนาฏกรรมของทรัพย์ส่วนรวม (The Tragedy of the Commons)” ซึ่งเป็นบทความที่โด่งดังเขียนโดย การ์เร็ต ฮาร์ดิน (Garett Hardin) ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Science ในปี ค.ศ. 1968 บทความ “The Tragedy of the Commons” โดยมีคำโปรยนำเนื้อหาสั้นๆ ว่า “ปัญหาของมนุษย์ปุถุชน ไม่มีทางออกหรือแก้ไขโดยใช้เทคนิค แต่ต้องทำการปลูกฝังศีลธรรมและความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเป็นพื้นฐาน”

เมื่อสาธารณสมบัติคือการเป็นเจ้าของร่วมกัน จะเปรียบได้กับการไม่มีเจ้าของที่แท้จริง การคอร์รัปชั่นก็เกิดขึ้นจากผู้มีอำนาจที่กระทำการทุจริตประพฤติมิชอบ ยักยอกสาธารณสมบัติไปเป็นประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง ทรัพย์ส่วนรวมอาจอยู่ในรูปที่ดินสาธารณะ ที่ดินราชพัสดุ คลองลำรางสาธารณะ คลื่นความถี่ หรือกรรมสิทธิ์ในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ ที่เมื่อผู้มีอำนาจรัฐกระทำการดังกล่าว ก็ยากที่จะเอาผิดได้

ความยากที่จะเอาผิดนั้น ประกอบด้วย...

(1) ข้อมูล เอกสารหลักฐาน ที่ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ยากมากๆ แม้ว่าจะมีการกำหนดให้เปิดเผยข้อมูล หรือมีกฎหมายข้อมูลข่าวสาร แต่การได้มาซึ่งข้อมูลก็เป็นต้นทุนที่สูงสำหรับผู้ที่จะเข้าถึงข้อมูล นอกจากนั้น หน่วยงานรัฐหลายแห่งซึ่งมีกฎหมายจัดตั้งและตราบทบัญญัติไว้ เช่น การเปิดเผยงบการเงิน แต่เมื่อหน่วยงานนั้นไม่ดำเนินการ ผู้กำกับดูแลไม่ดำเนินการ ก็ไม่มีการรับผิด (Accountability) หรือมีผู้ยืดอกรับผิดชอบแต่อย่างใด ซึ่งการไม่เปิดเผยงบการเงินนั้นเป็นต้นตอของปัญหาทั้งปวงที่มีรากฐานจากการทุจริตประพฤติมิชอบ

(2) ต้นทุนและผลประโยชน์ อย่าลืมว่า สาธารณประโยชน์นั้นทุกคนได้รับประโยชน์ กรณีเกิดการทุจริตประพฤติมิชอบ ประโยชน์สาธารณะจะตกแก่พวกพ้องตน แต่ผู้รักษาประโยชน์ส่วนรวมในกรณีที่ผู้มีอำนาจกระทำผิดเสียเอง ต้นทุนการดำเนินการนั้นกลับตกอยู่ที่ผู้ร้องทั้งสิ้น หากใช้หลักต้นทุนและผลประโยชน์จะพบว่า ผู้รักษาผลประโยชน์ส่วนรวมจะเป็นผู้เสียสละ และอาจได้รับภัยอันตราย

(3) มายาคติของหน่วยงานที่มีชื่อเสียง หลายต่อหลายครั้งผู้กำกับดูแลหน่วยงานที่มีประวัติศาสตร์แห่งความดีงามเลือกที่จะปกปิดความผิด และช่วยเหลือผู้กระทำทุจริตประพฤติมิชอบเสียเอง เพียงเพราะความพยายามในการรักษาชื่อเสียงของหน่วยงานไว้ และมองว่าหน่วยงานจะมีชื่อเสียหาย ความหลงผิดเช่นนี้ทำให้เกิดความยากที่จะเอาผิดต่อผู้กระทำผิด และยังมีส่วนสนับสนุนผู้กระทำผิดในทางอ้อม

นักประวัติศาสตร์ นักการเมือง และนักเขียนชาวอังกฤษ นามว่า จอห์น เอเมอริช เอดเวิร์ด ดัลเบิร์ก-แอกตัน บารอนแอกตันที่ 1 หรือที่มักเรียกกันว่า ลอร์ดแอกตัน (Lord Acton) ได้กล่าวถ้อยคำที่เป็นที่รู้จักและกล่าวขวัญกันว่า “Power tends to corrupt, and absolute power corrupts absolutely.” แปลว่า การมีอำนาจนำไปสู่การฉ้อฉล และอำนาจเบ็ดเสร็จจะทำให้ฉ้อฉลแน่แท้ ตอกย้ำว่า การคอร์รัปชั่นนั้นมักพัวพันกับการมีอำนาจและใช้อำนาจนั้นในทางที่ผิด อย่างไรก็ตาม ในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองนั้น หากสมมติว่า รัฐเป็นรัฐที่ดี (Benevolent Government) ก็มักจะสร้างประโยชน์สาธารณะหรือสวัสดิการสังคมที่สูงที่สุด ไม่ว่ารัฐนั้นจะเป็นการปกครองในรูปแบบใด

การแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นนั้น ในทางวิชาการดูจะสอดคล้องกันในเรื่อง พื้นฐานของผู้มีอำนาจ ซึ่งหากเป็นคนดี มีศีลธรรม มีความรู้ดีรู้ชั่ว ก็จะไม่กระทำการทุจริตประพฤติมิชอบ ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่สังคม ไม่ฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ความยุ่งยากนั้นอยู่ที่พื้นฐานของแต่ละสังคมเช่นกัน ถ้าสังคมส่วนใหญ่ประกอบด้วยคนที่มีพื้นฐานศีลธรรมและความรู้ดีรู้ชั่ว การได้มาซึ่งคนดี รัฐที่ดี ก็จะไม่ยุ่งยากนัก แต่ในทางกลับกันหากสังคมส่วนใหญ่ประกอบด้วยคนไร้ศีลธรรมจำนวนมาก และคนมีศีลธรรมจำนวนน้อย สังคมนั้นก็มักจะโน้มเอียงไปในทางที่ผิด ดังเช่น บทกลอนของ ‘อภิชาติ ดำดี’ เรื่อง ‘โจรกับพระ’ ดังนี้

“โจร 9 เสียงกับพระ มี 1 เสียง ต่างพร้อมเพรียงชุมนุม ประชุมใหญ่ มีญัตติเร่งรัดตัดสินใจ คืนนี้ไปสวดมนต์หรือปล้นดี? ... เสียงข้างมากต้องมีธรรมนำชีวิต สุจริตเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่ เสียงข้างมากไม่มีธรรมส่องนำใจ จะพาชาติบรรลัยในไม่ช้า…”

ศีลธรรมหรือความรู้สึกผิดชอบชั่วดี จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการขจัดปัญหาการคอร์รัปชั่นและการทุจริตประพฤติมิชอบ สอดคล้องกับพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”

อย่างไรก็ตาม การออกแบบระบบการส่งเสริมคนดี และระบบควบคุมคนไม่ดีนั้น อาจใช้แนวทางเศรษฐศาสตร์มาประยุกต์ใช้ได้ ตามแนวทางของนักเศรษฐศาสตร์หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างชุมชนที่มีการรับรู้ต่อประโยชน์สาธารณะ และไม่ทนต่อการทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อไป

สุดฮือฮา เมื่อ “มวยไทย” กีฬาประจำชาติไทย ถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของมหกรรมกีฬา “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” ที่ประเทศโปแลนด์ นับเป็นครั้งแรกที่มวยไทยถูกบรรจุเข้าไปในมหกรรมนี้

เรื่องนี้ ได้รับการยืนยันจาก สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) ในฐานผู้กำกับดูแลเรื่องกีฬามวยไทย ที่อนุญาติให้นักกีฬาสามารถเข้าแข่งขันได้ เปิดเผยว่า คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป (อีโอซี) ได้บรรจุชนิดกีฬาที่ไม่มีจัดแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์เพิ่มเติม เพื่อเปิดเวที และสร้างโอกาส รวมทั้งประสบการณ์ให้นักกีฬา ได้แสดงความสามารถในชนิดกีฬาต่าง ๆ ให้ทั่วโลกได้เห็น

โดย มวยไทย ถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วในทวีปยุโรปทั้งกลุ่มของนักกีฬาและผู้ชมที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซี่งการแข่งขันครั้งนี้ จะมีชิงเหรียญทองประกอบด้วย ประเภทชาย 7 รุ่น ประเภทหญิง 7 รุ่น และประเภททีมผสม

สำหรับการแข่งขัน “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” นั้น เป็นมหกรรมกีฬาระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ที่จัดต่อเนื่องทุก 4 ปี ซึ่งดำเนินการแข่งขันมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งต่อไปจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 25 มิ.ย. 2023 ที่ เมืองคราคอฟ ประเทศโปแลนด์ โดยมี 50 ชาติในยุโรปเข้าร่วมแข่งขัน

ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะทำให้คนทั่วโลก ได้รู้จักมวยไทยมากขึ้นกว่าเดิมด้วย

หากย้อนกลับไปราว ๆ 2 ปีที่แล้ว ชื่อของ อี้ - แทนคุณ จิตต์อิสระ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขานุการคณะทำงานทางการเมืองของประธานสภาผู้แทนราษฎรไทย และเคยเป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ของพรรคประชาธิปัตย์ เรียกว่าโด่งดังในหมู่คนรุ่นใหม่พอสมควร

เพียงแต่เป็นความโด่งดังในเชิง ‘ลบ’ ไปนิด หลังจากมีซีนเด็ดพิพาทระหว่างเขา กับ ‘เพนกวิน’ หรือ พริษฐ์ ชิวารักษ์ ที่น่าจะทำให้สังคมคนรุ่นใหม่บางกลุ่มมองเขาเป็นศัตรู

อย่างไรก็ตามในวันที่เขาได้มีโอกาสมานั่งคุยกับ THE STATES TIMES เขาบอกแบบเปิดใจว่า ไม่ได้กังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับกันรู้สึกเป็นห่วงอนาคตของชาติกลุ่มนี้มากกว่า

ว่าแต่ ชนวนเหตุ ของเหตุพิพาทคืออะไร?

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562 ตอนที่ พริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือ เพนกวิน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้ายื่นหนังสือพร้อมมอบพจนานุกรมภาษาไทยให้ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผ่านนายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการสภาผู้แทนราษฎร และ นายแทนคุณ จิตต์อิสระ คณะทำงาน พร้อมระบุว่า อยากให้นายชวน นำพจนานุกรมไปศึกษาคำว่า ออกเสียงลงคะแนน กับ นับคะแนนใหม่ เนื่องจากมีความแตกต่างกัน พร้อมกับยกตัวอย่างว่า ตนเองเคยทำงานในสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัย หากมีการลงคะแนนเสร็จแล้วจะต้องยึดถือผลคะแนนนั้นไม่สามารถนับใหม่ได้ พร้อมระบุว่าก่อนหน้านี้มีความเคารพนับถือนายชวนมาก จึงไม่อยากให้เสื่อมเสีย

แทนคุณ ซึ่งยืนฟังอยู่ จึงได้ขึ้นมาพูด พร้อมระบุว่า ขอคืนพจนานุกรมให้นายพริษฐ์ เนื่องจากมองว่าเป็นคนที่จำเป็นต้องใช้มากที่สุด เพราะยังขาดความเข้าใจในภาษาไทย ย้ำว่า ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรกำหนดไว้ชัดเจนว่าต้องดำเนินการอย่างไร ซึ่งนายชวนปฎิบัติตามข้อบังคับทุกขั้นตอน และไม่ควรนำข้อบังคับการประชุมของมหาวิทยาลัยมาเปรียบเทียบกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพราะมีกติกาต่างกัน รวมถึงมองว่านายพริษฐ์ไม่ควรพูดพาดพิงบุคคลอื่น หรือ หากจะพาดพิงควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบ

แม้วันนั้น แทนคุณ จะพูดทิ้งท้ายว่า ดีใจที่คนรุ่นใหม่สนใจการเมือง แต่เขามองว่าไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใด เนื่องจากระหว่างการแถลงข่าว ข้างเวทีแถลงข่าวมีคนคอยบอกและสนับสนุนให้พริษฐ์แถลงข่าวต่อกับสื่อมวลชน ที่อาคารรัฐสภา เกียกกาย (เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.2562) แบบนั้น ทำให้เขาไม่สบายใจกับการกระทำที่เกิดขึ้น

แน่นอนว่า ถ้อยคำและวิวาทะในวันนั้น ถูกมองเป็นการประกาศศึกกับคนรุ่นใหม่บางกลุ่ม จนน่าจะมี ‘กรุ๊ปทัวร์’ ย่อยๆ มาไล่ขยี้ อี้ แทนคุณ กันตั้งแต่วันนั้น

แม้จะถูกตั้งแง่จากคนรุ่นใหม่ตั้งแต่วันนั้น แต่กลับกันในใจของเขาพยายามเฝ้ามองพฤติกรรมของเยาวชน คนรุ่นใหม่ในบริบทที่พัฒนามาเป็นผู้ชุมนุมม็อบคณะราษฏรว่า สิ่งที่พวกเขาทำกำลังตัดบันไดทางลงของตน เพราะเหตุการณ์การชุมนุมกำลังนำพาเด็กๆ ไปจบในสถานที่ที่ไม่พึงประสงค์อย่าง ‘คุก’

และมันก็ดูจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ

เขาเล่าให้ฟังว่า เขาอยากแนะ ‘ทางลง’ ให้กับผู้ชุมนุม ที่ควรทำได้เลยทันที จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมไปไล่กรีดแผลบางอย่างที่มิควรกรีด ตั้งแต่...หยุดการล่วงเกินต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ในทุกรูปแบบ ทุกเวที โดยอยากขอร้องให้น้องๆ ที่มีเจตนาดี อยากทำเพื่อบ้านเมืองจริงๆ โดยบริสุทธิ์ใจ ถอนตัวจากทุกการชุมนุมที่มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดด้วยถ้อยคำและท่าทีหรือการแสดงออกที่หยาบคาย เสียดสีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และร่วมประณาม หรือเตือนสติผู้ที่กำลังกระทำการจาบจ้วงนั้นอยู่ให้หยุดพฤติกรรมนั้นเสีย

ขณะเดียวกันก็ควรสนับสนุนการมีส่วนร่วมกับกลไกรัฐสภา โดยเลือกแกนนำที่มีเหตุมีผลเป็นตัวแทน มุ่งนำประเด็นที่เป็นไปได้จริงและมีผลต่อประชาชนส่วนรวมจำนวนมาก เช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ที่จะนำไปสู่การเสนอข้อชี้แนะและแนวทางแก้ไขปัญหาของประเทศอย่างแท้จริง โดยที่ไม่นำเรื่องของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเงื่อนไข หรือนำไปสู่ความขัดแย้งต่อการทำผิดกฎหมาย ซึ่งอาจทำลายอนาคตของตัวเองและครอบครัว เพราะตอนนี้มีผู้ที่ไม่พอใจในสิ่งที่น้อง ๆ หลายคน ที่อาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คึกคะนอง จากการรับข้อมูลที่คลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง จนเริ่มทนไม่ไหวจนและกำลังบานปลายเป็นการปะทะหักหาญกัน

สุดท้าย ควรสื่อสารตรงในข้อสงสัยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ถ้าหากน้องๆยังมีข้อเสนอที่ต้องการจะสื่อสารหรือส่งต่อความคิดเห็น เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ขอให้ส่งไปที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับสถาบันโดยตรง ได้แก่ สำนักพระราชวัง สำนักงานองคมนตรี เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ ดูจะเป็นข้อเสนอที่หากไม่มองแบบเอนเอียง ก็ถือเป็นเป็นจุดเริ่มต้นในการทำให้เสรีภาพของน้องๆ ไม่สูญหายไป แต่เป็นการใช้เสรีภาพ ในทิศทางที่สร้างสรรค์อันจะนำมาซึ่งพลังและการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง

“คนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้ผิด แต่พวกเขาต้องรู้จักวิธีการจัดลำดับความสำคัญ บางทีเรื่องใหญ่ของ ‘เขา’ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของ ‘ทุกคน’

“ยิ่งไปกว่านั้นการวิพากษ์วิจารณ์ กับด่าก็ไม่เหมือนกัน บางคนคิดว่าอิสรภาพและเสรีภาพทางวิชาการ เสรีภาพในทางการเมือง ทำไปทำมากลายเป็นทำลายเสรีภาพของคนอื่น และเสรีภาพทางความคิดที่ปราศจากความรับผิดชอบ มันก็ไม่ได้ต่างจากคนที่เห็นแก่ตัวคนหนึ่งที่เก่ง ซึ่งเรื่องนี้น่ากลัวที่ผมพยายามอยากให้ทุกคนคิดก้าวออกจากจุดที่ไม่ถูกต้อง

“ผมไม่อยากให้อนาคตของชาติต้องเดินตามเส้นทางจากคนเก่งที่เห็นแก่ตัวชี้ไว้ เราเป็นคนไทย ต้องหาให้เจอว่าควรมีการเมืองแบบของเราอย่างไร อย่าเป็นนักก็อปปี้ที่ซื่อสัตย์ หรือนักบริโภคที่ซื่อตรงจนเกินไป”

ติดตามประสบการณ์เส้นทางการเมืองสไตล์ ‘แทนคุณ จิตต์อิสระ’ และมุมมองคิดที่น่าตามจากมิติการเมือง เศรษฐกิจ และพรรคประชาธิปัตย์เต็มๆ ได้ที่ Contributor EP.8 >> https://www.facebook.com/watch/?v=1074229983079722


อ้างอิง: https://www.thaipost.net/main/detail/82278

คลังเผย! กลุ่มไม่มีสมาร์ทโฟน - พิเศษ ที่ลงทะเบียนเราชนะกลุ่มแรก รับเงินงวดแรกวันนี้ 4,000 บาท พร้อมรองวดต่อไป12 - 19 - 26 มี.ค. รวม 7,000 ส่วนกลุ่มสอง รอคัดกรองสิทธ์ิ 19 มี.ค. รอรับงวดแรก 6,000 บาท !

หลังจากที่กระทรวงการคลัง เปิดให้ประชาชนกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กลุ่มพิเศษเปิดให้ ลงทะเบียนร่วมโครงการเราชนะ โดยไม่ต้องลงทะเบียนผ่าน www.เราชนะ.com ตั้งแต่วันที่ - 21 ก.พ. กระทรวงการคลัง ได้แจ้งว่ามีผู้ผ่านการคัดกรองแล้วจำนวน 5 แสนคน

ดังนั้นในวันนี้ กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน หรือ กลุ่มพิเศษ ที่ลงทะเบียนในโครงการเราชนะตั้งแต่วันที่ 15 - 21 ก.พ. ซึ่งเป็นกลุ่มรอบแรก ที่ผ่านเกณฑ์การคัดกรองแล้วจะรับเงินงวดที่ 1 จำนวน 4,000 บาทหลังจากนั้นทุกวันศุกร์ กระทรวงการคลัง โอนเงินเพิ่มอีก 1,000 บาท ในวันที่12 มีนาคม , วันที่19 มีนาคม และ วันที่ 26 มี.ค. รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 7,000 บาท

โดยประชาชนสามารถใช้จ่ายวงเงินสิทธิ์ดังกล่าวผ่านบัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ผ่านผู้ประกอบการร้านค้าและผู้ให้บริการที่เข้าร่วมโครงการเราชนะได้เลย สำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ลงทะเบียนเราชนะ ระหว่างวันที่ 22 ก.พ. - 5 มี.ค. รับทราบผลการคัดกรองสิทธิ์ครั้งแรกในวันที่ 19 มี.ค. กลุ่มที่ 2 เมื่อผ่านการคัดกรองได้รับเงิน ครั้งแรกจำนวน 6,000 บาท หลังจากนั้นก็จะได้รับเงินในวันศุกร์ที่ 26 มี.ค. อีกจำนวน 1,000 บาท

ยอดขายของร้านหนังสือในจีน ยอดเติบโตก้าวกระโดดช่วงหยุดยาวตรุษจีนที่ผ่านมา เฉพาะที่เซี่ยงไฮ้ ทะลุ 8.5 ล้านหยวน ตอกย้ำ ‘ร้านหนังสือไม่มีวันตายในจีน’

ธุรกิจหนังสือและร้านหนังสือในจีน ยังคงเป็นธุรกิจที่สามารถทำเงินได้ ต่างจากประเทศอื่นๆ ที่โดยส่วนใหญ่ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์โดน Disrupt ด้วยสื่อและหนังสือแบบดิจิทัล

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะ?

เนื่องจากคนจีนเองถูกปลูกฝังให้รักการอ่านและคุ้นชินกับการอ่านหนังสือเป็นเล่มมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงการปรับตัวของร้านหนังสือ ที่ไม่ได้เป็นแค่ร้านหนังสือ แต่เป็นเหมือนสถานที่พักผ่อน พบปะ และสามารถท่องเที่ยวได้ด้วย เห็นได้จากคนจีน โดยเฉพาะคนที่มีลูก จะพาครอบครัวมาเที่ยวร้านหนังสือในช่วงวันหยุด

จากที่กล่าวมาข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจเลบว่า ทำไมช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน 12 ก.พ.64 ที่ผ่านมา ยอดขายหนังสือในร้านหนังสือจีน เฉพาะที่มหานครเซี่ยงไฮ้ ถึงทะลุ 8.5 ล้านหยวน หรือมากกว่า 2 เท่าของยอดขายหนังสือแบบออนไลน์

ยิ่งไปกว่านั้นยอดขายที่มากมาย ก็ยังเกิดขึ้นในช่วงที่ร้านหนังสือต่างๆ จำกัดจำนวนคนเข้าร้าน โดยลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนคนที่รับได้ เนื่องจากต้องป้องกัน COVID-19 แต่ก็ยังมีคนจีนหลั่งไหลมาซื้อหนังสืออ่านกัน

สำหรับหนังสือที่เป็นนิยมมากที่สุดในกลุ่มชาวเซี่ยงไฮ้ ได้แก่

- หนังสือสายสังคมวิทยา

- หนังสือเด็ก

- หนังสือแนววัฒนธรรม

- หนังสือนิยายวิทยาศาสตร์


ที่มา: อ้ายจงเล่าเรื่องจาก China Daily

https://www.facebook.com/348166825314887/posts/2160116784119873/

Helsinki Is The World's Most Honest City เมืองที่ได้ชื่อว่า ‘ผู้คนซื่อสัตย์ที่สุด (และน้อยที่สุด) ในโลก’

เมืองที่ได้ชื่อว่า ผู้คนซื่อสัตย์ที่สุด (และน้อยที่สุด) ในโลก’ : ทดสอบด้วยการทำกระเป๋าเงิน หล่น” โดยนิตยสาร Reader's Digest ซึ่งได้ทำการทดลองทางสังคมทั่วโลกเพื่อหาคำตอบ

นิตยสาร Reader's Digest ได้ทำการทดลองด้วยการทำกระเป๋าเงิน หล่น” ในเมืองต่างๆ ทั่วโลก โดยในกระเป๋าแต่ละใบจะใส่ ชื่อพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ รูปถ่ายครอบครัว คูปองและนามบัตร รวมถึงเงินจำนวน US $50 จากนั้นก็ได้ทำกระเป๋าเงิน 12 ใบ หล่น” ในแต่ละเมืองจาก 16 เมืองที่เลือกไว้ โดยทำหล่นไว้ใน สวนสาธารณะ ใกล้ห้างสรรพสินค้า และบนทางเท้า จากนั้นก็เฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น

ซื่อสัตย์ที่สุด : Helsinki, Finland ได้รับกระเป๋าเงินคืน : 11 จาก 12 ใบ เริ่มจาก Lasse Luomakoski นักธุรกิจหนุ่ม วัย 27 ปี พบกระเป๋าเงินในตัวเมือง ชาวฟินแลนด์มีความซื่อสัตย์โดยธรรมชาติ” เขากล่าว เราเป็นชุมชนเล็กๆ ที่เงียบสงบ และมีความผูกพันกันอย่างแน่นแฟ้น การคอร์รัปชันของเราเล็กน้อยมาก และเราแทบจะไม่เคยติดไฟแดงด้วยซ้ำ” ในย่านชนชั้นแรงงานของ Kallio สามีภรรยาคู่หนึ่งในวัยหกสิบเศษกล่าวว่า แน่นอนว่าเราคืนกระเป๋าเงินไปแล้ว ความซื่อสัตย์คือความเชื่อมั่นที่อยู่ภายใน”

Mumbai, Indiaได้รับคืนกระเป๋าเงิน : 9 จาก 12 ใบ Rahul Rai บรรณาธิการวัย 27 ปีกล่าวว่า “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของผมจะไม่ปล่อยให้ผมทำอะไรผิดพลาด กระเป๋าเงินเป็นเรื่องใหญ่ที่มีเอกสารสำคัญมากมาย [อยู่ในนั้น]”

Vaishali Mhaskar แม่ลูกสองคืนกระเป๋าเงินที่ทิ้งไว้ในที่ทำการไปรษณีย์ ฉันสอนลูกๆ ให้ซื่อสัตย์เหมือนที่พ่อแม่สอนฉัน” เธอกล่าว ต่อมาในวันนั้นผู้ใหญ่สามคนพบกระเป๋าเงิน และโทรตามหาทันที

Budapest, Hungary จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 8 จาก 12 ใบ Regina Györfi วัย 17 ปีโทรหาหมายเลขโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋าเงินใบหนึ่งทันทีที่พบในห้างสรรพสินค้า ฉันจำได้ว่าอยู่ในรถเมื่อพ่อของฉันสังเกตเห็นกระเป๋าเงินตกอยู่ข้างถนน” เธอกล่าว เมื่อเราไปถึงเจ้าของเขารู้สึกขอบคุณมาก : หากไม่มีเอกสารในกระเป๋าเงิน เขาจะต้องเลื่อนงานแต่งงานออกไป ซึ่งจะเกิดขึ้นในวันเดียวกัน!” อย่างไรก็ตามผู้หญิงในวัยหกสิบต้น ๆ ของเธอคนหนึ่งเก็บกระเป๋าเงินใบหนึ่งที่ทำ หล่น” เธอเปิดกระเป๋าเงินจากนั้นก็เข้าไปในอาคารใกล้เคียง และไม่ได้ข่าวจากเธออีกเลย

Moscow, Russia จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 7 จาก 12 ใบ ใกล้สวนสัตว์ใจกลางเมือง Eduard Anitpin เจ้าหน้าที่ฉุกเฉินยื่นกระเป๋าเงินที่หายไปให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผมเป็นเจ้าหน้าที่ และผมผูกพันกับจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่” เขากล่าว พ่อแม่ของผมเลี้ยงดูผมอย่างซื่อสัตย์และดีงาม” ต่อมาผู้ทำความดีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า เชื่อมั่นว่า ผู้คนควรช่วยเหลือซึ่งกันและกันและถ้าสามารถทำให้ใครบางคนมีความสุขมากขึ้นได้ก็จะทำ”New York City, U.S.A.จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 8 จาก 12 Richard Hamilton พนักงานของรัฐวัย 36 ปี จาก Brooklyn พบกระเป๋าเงินใกล้ศาลากลางและนำกลับมาคืน ทุกคนบอกว่า ชาวนิวยอร์กไม่เป็นมิตร แต่พวกเขาก็เป็นคนดีจริงๆ” เขากล่าว “ผมคิดว่า คุณคงต้องประหลาดใจมากที่เห็นว่า จะมีชาวนิวยอร์กจะยอมคืน [กระเป๋าเงิน] ได้กี่คน” ไม่ใช่ชาวนิวยอร์กทุกคนที่ซื่อสัตย์ และเมื่อเฝ้าดูชายวัยยี่สิบคนหนึ่งเก็บและเอาเงินจากกระเป๋าเงินไปซื้อบุหรี่ที่ร้านสะดวกซื้อ อย่างไรก็ตามเด็กหนุ่ม อายุ 17 ปี หนึ่งในสองคนที่พบกระเป๋าเงินอธิบายถึงแรงจูงใจในการติดต่อกลับว่า ผมอ่านเอกสารทั้งหมด และเห็นรูปถ่ายของครอบครัว และคิดว่า แย่จัง เขามีลูกสองคน เราต้องคืนสิ่งนี้” คนในท้องถิ่นอีกคนบอกว่า มันง่ายมากที่จะถูกเหยียดหยาม แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ 9/11 สิ่งนั้นได้ปลูกฝังความเป็นเพื่อนให้กับทุกคน”

Amsterdam, the Netherlands จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 7 จาก 12 ใบ คนบางคนที่พบกระเป๋าเงินสนใจเงินยูโรข้างในมากกว่ารูปที่ใส่ไว้ แต่ Julius Maarleveld เห็นกระเป๋าเงินที่หล่น และเข้าไปในร้านเหล้าใกล้ๆ เมื่อตามเข้าไป จึงกระตุ้นให้ Maarleveld พูดขึ้นว่า คุณมาที่นี่เพื่อตามกระเป๋าเงินหรือไม่? ถ้าเป็นเช่นนั้น [เสมียน] ก็โทร...ภรรยาของผมทำกระเป๋าเงินหาย มันถูกพบและส่งคืน ความซื่อสัตย์เป็นสิ่งที่วิเศษมิใช่หรือ” Angelique Monsieurs วัย 42 ปี สังเกตเห็นกระเป๋าเงินระหว่างทางเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต และรอเพื่อส่งกระเป๋าเงินคืนเจ้าของอีกครั้ง

Berlin, Germany จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 6 จาก 12 Seyran Coban ครูฝึกสอนได้ไปที่กระเป๋าเงินในเวลาเดียวกันกับชายหนุ่มอีกคน แต่ปฏิเสธที่จะให้เก็บ ฉันไม่ไว้ใจเด็กคนนั้น ผู้คนมักปฏิบัติต่อฉันด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และถ้าฉันทำเช่นเดียวกันนั่นคือสิ่งที่ฉันจะได้รับตอบแทน” เธอบอก Abel Ben Salem วัย 46 ปีกล่าวว่า เขาคืนกระเป๋าเงินเพราะ “ผมเห็นรูปถ่ายของแม่กับลูก สิ่งอื่นใดที่สำคัญภาพถ่ายเช่นนั้นหมายถึงบางสิ่งซึ่งสื่อถึงเจ้าของ” ชายคนหนึ่งในวัยสี่สิบต้นๆ รีบคว้ากระเป๋าเงินใส่กระเป๋าจากนั้นใช้เวลาสิบนาทีในการโทรศัพท์ โดยไม่มีเบอร์ที่อยู่ในกระเป๋าเงินเลย

Ljubljana, Slovenia จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 6 จาก 12 เราถาม Manca Smolej นักเรียนอายุ 21 ปีว่า เธอคิดจะเก็บเงินไว้หรือไม่ เมื่อพบกระเป๋าเงิน ไม่!” เธอตอบ...พ่อแม่ของฉันสอนฉันว่า ความซื่อสัตย์นั้นสำคัญแค่ไหน เมื่อฉันทำกระเป๋าหายทั้งใบ แต่ฉันได้ทุกอย่างกลับคืนมา ดังนั้นฉันรู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร” ชายคนหนึ่งในวัยห้าสิบต้นๆ หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา แล้วเริ่มหมุนโทรศัพท์ แต่แล้วก็หยุด เก็บกระเป๋าเงินไว้ และขับรถหรูราคาแพงจากไป

London, England จำนวนการส่งคืนส่งคืนกระเป๋าเงิน : 5 จาก 12 Ursula Smist อายุ 35 ปีซึ่งมีพื้นเพมาจากโปแลนด์เก็บกระเป๋าเงินได้ และส่งมอบให้เจ้านายของเธอ ถ้าคุณหาเงินคุณไม่สามารถสรุปได้ว่า มันเป็นของคนจนหรือรวย” เจ้านายของเธอกล่าว มันอาจจะเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่แม่ต้องเลี้ยงครอบครัว”

Warsaw, Poland จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 5 ใน 12 Marlena Kamínska นักเทคโนโลยีชีวภาพ วัย 28 ปี หยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา และกระโดดขึ้นรถบัส สามชั่วโมงต่อมาเธอโทรตามหาเจ้าของ หลังจากคุยกับเพื่อนร่วมงาน “มีผู้แนะนำให้ฉันไม่ต้องกังวลกับการตามหาเจ้าของ” เธอกล่าว แต่ฉันคิดว่า อาจมีคนต้องการเงินจำนวนนั้นมาก” ส่วนกระเป๋าเงินอีกเจ็ดใบนั้นถูกหญิงหลายคนเก็บไปและไม่ได้เจอะเจอพวกเขาอีกเลย

Bucharest, Romania จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 4 จาก 12 Sonia Parvan นักเรียนอายุ 20 ปี กับ Cristina Topa พบกระเป๋าเงิน และตามหาเจ้าของทันที ฉันรู้ว่า การทำกระเป๋าเงินหายมันรู้สึกยังไง แม่ของฉันทำหายไปครั้งหนึ่งและไม่ได้คืน” เธอกล่าว เราเฝ้าดูหญิงสาวอีกคนหนึ่งหยิบกระเป๋าเงินของเราขึ้นมา แล้วถามคนที่เดินผ่านไปมาสองคนว่า เป็นของพวกเขาหรือไม่ จากนั้นเธอก็ค้นอย่างละเอียด และเก็บไว้ในกระเป๋าของเธอ และไม่ได้รับการติดต่อจากเธออีกเลย

Rio de Janeiro, Brazil จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 4 จาก 12 ใน ย่านการค้าหญิงอายุปลายๆ ยี่สิบส่งคืนกระเป๋าเงินโดยไม่มีเงิน แต่ Delma Monteiro Brandāo วัย 73 ปีส่งคืนให้ หลังพบกระป๋าเงิน ขณะไปรับหลานสาวที่โรงเรียน นี่ไม่ใช่ของฉัน!” เธอพูด ในช่วงวัยรุ่นฉันหยิบนิตยสารเล่มหนึ่งในห้างสรรพสินค้าโดยไม่จ่ายเงิน เมื่อแม่ของฉันรู้ เธอบอกฉันว่า พฤติกรรมนี้เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”

Zurich, Switzerland จำนวนการส่งคืนกระเป๋าเงิน : 4 ใน 12 ใบ Jeanette Baum ครูสอนดนตรีวัย 38 ปี พบกระเป๋าเงิน และส่งอีเมลและข้อความถึงที่อยู่ในกระเป๋าหลังจากโทรติดต่อไม่ได้ ฉันรู้ว่าการสูญเสียอะไรบางอย่างไป” เธอกล่าว การ ‘ไม่รู้’ หลังจากนั้นแย่มาก นั่นคือเหตุผลที่ฉันต้องตอบสนองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ในขณะเดียวกันคนขับรถรางในวัยห้าสิบต้นๆ ได้เก็บกระเป๋าเงินเอาไว้

Prague, Czech Republic จำนวนการได้รับกระเป๋าเงินคืน : 3 ใน 12 Petra Samcová เก็บกระเป๋าเงินได้ และไม่คิดว่าจะเก็บไว้ มันเป็นเรื่องธรรมดาที่คุณควรทำ” เธอกล่าว แต่วัยรุ่นหนุ่มสาวสองคนที่เดินอยู่ย่านบ้านจัดสรรชานเมืองในเขตชานเมืองปรากกลับเก็บกระเป๋าเงินไว้ในกระเป๋าเป้อย่างอารมณ์ดี โดยคิดที่จะไม่ส่งคืน

Madrid, Spain จำนวนกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 2 ใน 12 Beatriz Lopez นักเรียน อายุ 22 ปี พบกระเป๋าเงินในย่านหรูใจกลางเมืองกับเพื่อนของเธอ Lena Jansen อายุ 22 ปีเช่นกัน“ เราแค่อยากจะคืนให้เท่านั้น” Jansen กล่าวว่า ฉันไม่สามารถเก็บกระเป๋าเงินที่ไม่ใช่ของฉันได้”

ซื่อสัตย์น้อยที่สุด : Lisbon, Portugal มีกระเป๋าเงินที่ถูกส่งคืน : 1 ใน 12 คู่สามีภรรยาอายุหกสิบเศษเห็นกระเป๋าเงิน และโทรหาทันที ที่น่าสนใจคือ ทั้งสองไม่ได้มาจากลิสบอน แต่มาจาก Netherlands ส่วนกระเป๋าเงินที่เหลืออีกสิบเอ็ดใบไม่ได้รับการส่งคืนทั้งหมด

จากกระเป๋าเงินจำนวน 192 ใบที่ถูกตั้งใจทำ หล่น” 90 ใบถูกส่งคืน คิดเป็น 47 % เมื่อดูผลลัพธ์แล้ว พบว่าอายุไม่สามารถทำนายได้ว่าคนๆ นั้นจะซื่อสัตย์หรือไม่ กระเป๋าเงินซึ่งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งที่เก็บไว้หรือส่งคืน จะเป็นเพศชายหรือหญิง ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ รวมถึงความมั่งคั่ง ก็ดูเหมือนจะไม่รับประกันความซื่อสัตย์

มีคนซื่อสัตย์และไม่ซื่อสัตย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่สามารถเดาเมืองที่ดีที่สุดในโลกได้ แต่จากคำแนะนำ : ยังไงก็น่าจะไม่ใช่ นิวยอร์ก ลอนดอน หรือปารีส อย่างแน่นอน

ครั้งหนึ่งนิตยสาร Reader's Digest ก็ได้ทำการทดลองทางสังคมทั่วโลก เพื่อหาคำตอบถึงเมืองที่ผู้คนซื่อสัตย์ที่สุด โดยมี กรุงเทพมหานคร” เป็นหนึ่งใน 32 เมืองใหญ่ทั่วโลก ซึ่งถูกร่วมทดสอบ ด้วยการนำเอาโทรศัพท์มือถือ 30 เครื่อง ไปวางทิ้งไว้ตามสถานที่ชุมชนต่างๆ ในเมือง แล้วเฝ้าดูว่า มีคนเมืองไหนที่ซื่อสัตย์ นำโทรศัพท์คืนให้เจ้าของมากที่สุด

ผลการทดสอบที่ออกมาน่าเหลือเชื่อ ประเทศที่เคยมีผู้สำรวจว่า มีความซื่อสัตย์สุจริตติดอันดับต้นๆ ของโลก เพราะมีการทุจริตโกงกินน้อย อย่างเช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ปรากฏว่า ความซื่อสัตย์ของคนในเมืองเหล่านี้ กลับแพ้คนไทยหลุดลุ่ย

ความซื่อสัตย์ของคนไทยอยู่ในอันดับที่ 14 ร่วมกับ บราซิล ฝรั่งเศส เยอรมนี โทรศัพท์มือถือที่วางทิ้งไว้ในศูนย์การค้า สวนสาธารณะ ย่านธุรกิจทั่วกรุงเทพฯ 30 เครื่อง มีผู้นำไปคืนมากถึง 21 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 70 ซึ่งนิตยสาร Reader's Digest ได้ทำการสัมภาษณ์คนไทยผู้ซื่อสัตย์ที่นำโทรศัพท์มือถือคืนเจ้าของกว่าสิบคน ดังนี้

พนักงานขับรถไฟฟ้า BTS บอกว่า ผมทำงานที่รถไฟฟ้า BTS ทำให้เจอพลเมืองดีนำโทรศัพท์มือถือมาคืนเยอะมาก ผมไม่เคยทำมือถือหาย แต่ตระหนักดีว่า เจ้าของต้องเดือดร้อนแน่ เพราะเบอร์ติดต่อหายหมด

นักเรียน วัย 14 ปี อีกคนบอกว่า หนูเคยทำมือถือหายสองครั้ง ไม่ได้คืนทั้งสองครั้ง เสียใจ เสียความรู้สึก เดือดร้อนที่หมายเลขโทรศัพท์เพื่อนๆ หายหมด จึงอยากคืนให้เจ้าของ และไม่สนใจว่า โทรศัพท์จะราคาถูกหรือแพง

แต่สิงคโปร์ ประเทศที่ฝรั่งยกย่องว่า ทุจริตโกงกินน้อยที่สุดในภูมิภาคนี้ คนสิงคโปร์กลับซื่อสัตย์น้อยมากกว่ามาก โดยนำโทรศัพท์ที่เก็บได้คืนเจ้าของเพียงแค่ร้อยละ 53 เท่านั้น เรียกว่า สอบผ่านอย่างเฉียดฉิว

ส่วน คนฮ่องกง และ มาเลเซีย รั้งตำแหน่ง บ๊วย” ด้วยกันทั้งคู่ สอบตกเรื่องความซื่อสัตย์ นำโทรศัพท์ไปคืนต่ำที่สุดในภูมิภาค แค่ร้อยละ 43 เท่านั้นเอง และเมืองที่ประชาชนมีความซื่อสัตย์ที่สุดในโลก ตกเป็นของประเทศเกิดใหม่ กรุง Ljubljana, Slovenia โทรศัพท์มือถือที่ถูกทำ หล่น” ไว้ 30 เครื่อง ได้รับคืน 29 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 97 หายไปแค่ 1 เครื่องเท่านั้นเอง ชาวเมืองทุกคนล้วนมีน้ำใจเอื้ออารี

อันดับ 2 เป็นชาวนคร Toronto, Canada ได้รับโทรศัพท์ คืน 28 เครื่อง จาก 30 เครื่อง คิดเป็นร้อยละ 93 โดยเหตุผลที่ชาวโตรอนโตบอกคือ ถ้าเราพอจะช่วยใครสักคนได้ ทำไมจะไม่ช่วยเล่า” น้ำใจอย่างนี้ช่างน่านับถือจริงๆ

อันดับ 3 เป็นกรุงโซล ของเกาหลีใต้ ได้คะแนนสูงถึงร้อยละ 90 กรุง Stockholm Sweden แม้ความซื่อสัตย์จะมาเป็นอันดับที่ 4 แต่คำตอบของชาวสวีเดนน่าประทับใจเหลือเกิน การทำสิ่งที่ถูกต้อง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตการทำงานประจำวัน”

อยากให้สังคมไทยคิดได้อย่างนี้ การทำสิ่งที่ถูกต้องให้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน บ้านเราจะเป็นสวรรค์บนดินไปเลย สังคมไทยจะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่แตกแยกแบ่งฝ่ายเช่นที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

โลกคู่ขนานของ ‘ละคร’ และ ‘ชีวิตจริง’

ละครโทรทัศน์ คือ ความบันเทิงในรูปแบบหนึ่งที่อยู่คู่กับจอแก้วมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยุคแอนะล็อกมาจนถึงการออกอากาศระบบดิจิทัล หลังจากที่มีช่องโทรทัศน์เพิ่มมากขึ้น ก็ทำให้คนดูมีทางเลือกในการรับชมละครเพิ่มมากขึ้น และข้อที่ยังยืนยันได้ว่าละครโทรทัศน์ยังเป็นรายการที่ได้รับความนิยม ก็จากการจัดเรตติงของเนลสัน ที่พบว่า ละครโทรทัศน์ ยังคงเป็นรายการที่มีผู้รับชมสูงสุดของแต่ละสถานี และเป็นจุดขายของแต่ละสถานีในการช่วงชิงพื้นที่เรตติงหลังข่าวภาคค่ำ

โดยความคาดหวังของละครโทรทัศน์ในมุมคนดู ก็มีหลายเหตุผล เช่น เพื่อความเพลิดเพลิน ให้ความบันเทิงกับคนดู หรือเพื่อหลักหนีจากโลกความจริงไปสู่โลกจินตนาการ เราอาจจะเป็นนางเอกนิยายในชีวิตจริงไม่ได้แต่เราเป็นได้ในโลกละคร

นอกจากนี้บางครั้งละครก็ถูกคาดหวังให้ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนสังคม ให้แง่คิด และเปลี่ยนแปลงสังคมได้ และละครก็จะถูกตรวจสอบจากคนดูได้เช่นกันหากพบว่าเนื้อหามีความไม่เหมาะสม เช่นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีกระแสแบนละครเมียจำเป็น ทางช่อง 3 ที่ถูกพุ่งเป้าไปที่บทละครที่มีเนื้อหาไม่เหมาะสม ทำให้เกิด hashtag #แบนเมียจำเป็น #ข่มขืนผ่านจอพอกันที ซึ่งขึ้นเทรนด์อันดับ 1 และ 2 ของทวิตเตอร์ประเทศไทยในช่วงเวลานั้น

ประเด็นเนื้อหาที่ถูกพูดถึง เช่น การใส่ฉากข่มขืนในละคร พระเอกรังเกียจนางเอกที่ถูกขืนใจ แม้กระแสในโลกโซเชียลจะถูกตั้งคำถามถึงความไม่เหมาะสมของเรื่องราว แต่ดูเหมือนว่าเรตติงตอนจบจะสวนทางกับกระแสสังคม ที่สามารถโกยเรตติงไปได้ทั่วประเทศถึง 4.7 ขณะที่ยอดชมทางออนไลน์ ก็กวาดยอดวิวรวมกัน 2 แพลตฟอร์มไปได้กว่า 500,000 วิว (TrueID, 3+)

หากเรามองว่าละคร สามารถเป็นสื่อชนิดหนึ่งที่สามารถเป็นเครื่องมือในการสอนหรือกล่อมเกลาสังคมได้ การมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมออกฉาย อาจจะทำให้เกิดการเลียนแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในโลกความจริงที่คู่ขนานมากับโลกของละคร ผ่านการเลียนแบบตามหลักจิตวิทยา ที่มีทั้งรูปแบบของการเลียนแบบภายใน (Identification) ที่อาจจะเป็นสิ่งที่สังเกตได้ยากและต้องใช้เวลา และการเลียนแบบภายนอก (Imitation) ซึ่งการเลียนแบบภายนอกเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายและชัดเจน เช่น เด็กที่ดูเซเลอร์มูนแล้วทำท่าแปลงร่างตาม

หรือแม้แต่การเลียนแบบงานในสื่อมวลชน ที่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายจากการเรียนรู้ร่วมไปกับเหตุการณ์ต่างๆ เช่น เราอาจจะรู้ว่าการขับรถยนต์ขับยังไงจากการดูละคร ทั้งๆ ที่ในชีวิตจริงของเราอาจจะไม่เคยขับรถยนต์มาก่อน เรียกว่า Observation Learning หรือถ้าละครได้นำเสนอบทลงโทษของคนที่ทำผิด ผู้ที่รับชมอาจจะรู้สึกคล้ายกับว่าตนเองได้รับบทลงโทษไปด้วย และจะไม่กล้าทำตามที่นักแสดงทำ เรียกว่า Inhibitory Effect ซึ่งก็มีงานวิจัยมากมายที่ออกมาสนับสนุนแนวคิดเหล่านี้พอสมควร

ดังนั้น แม้ว่าละครอยู่ในจอแก้ว ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าละครที่ถ่ายทอดออกมาเป็นการแสดงที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ก็เป็นสื่อที่อาจจะส่งผลและมีอิทธิพลต่อคนดู จึงต้องถูกคาดหวังตามมาว่าจะสามารถให้คติหรือสอนคนดูได้เช่นกัน


ที่มา:

Bandura, A., (1997). Social Learning Theory. America: New Jersey.

กาญจนา แก้วเทพ. (2556). สื่อสารมวลชน : ทฤษฎีและแนวทางการศึกษา. กรุงเทพฯ: เอดิสัน เพรส โพรดักส์

Instagram : @klink.official

https://www.thairath.co.th/entertain/news/2029213


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top