Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

พิษณุโลก แม่ทัพภาคที่ 3 ปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6

(25 มิ.ย. 68) เวลา 09.00 นาฬิกา ที่ โรงแรมท๊อปแลนด์ อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลโท กิตติพงษ์  แจ่มสุวรรณ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานปิดการอบรมหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหารกองทัพภาคที่ 3 รุ่นที่ 6 โดยได้มอบเกียรติบัตร และเข็มที่ระลึกให้กับผู้ที่สำเร็จการอบรม ซึ่งผู้เข้ารับการอบรมประกอบด้วย ข้าราชการทหาร ตำรวจ จำนวน 20 นาย ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ จำนวน 17 รายและนักธุรกิจภาคเอกชน จำนวน 43 ราย ในพื้นที่ภาคเหนือ รวมจำนวนทั้งสิ้น 80 ราย

จากการอบรมที่ผ่านมา สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างข้าราชการทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงานองค์กรของรัฐ และนักธุรกิจภาคเอกชน สร้างการมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาของชาติ และการพัฒนาประเทศ ตลอดจนเป็นการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ ของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3 พร้อมสร้างการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ภัยคุกคาม ด้านความมั่นคงของประเทศ

สำหรับเนื้อหาวิชาที่สำคัญแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ภาควิชาการ ประกอบด้วย การบรรยายการสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์ ภารกิจ และการดำเนินงานของกองทัพบกและกองทัพภาคที่ 3 ปัญหาภัยคุกคาม ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ การเดินตามศาสตร์พระราชาเพื่อการพัฒนาประเทศ และความยั่งยืนรวมทั้งการสื่อสารดิจิทัล และภาคปฏิบัติประกอบด้วย การจัดเวทีเสวนา การเสวนาระดมความคิดเห็น การทัศนศึกษา กิจกรรมพัฒนาสัมพันธ์และการดำเนินงานจิตอาสา ทั้งนี้ ผู้ที่ผ่านการอบรมจะได้ร่วมเป็นเครือข่ายและสนับสนุนงานด้านความมั่นคงของชาติ และร่วมทำกิจกรรมจิตอาสาอย่างสร้างสรรค์ ในนามของสมาชิกหลักสูตรพัฒนาสัมพันธ์ระดับผู้บริหาร

‘ซาน่า เอ็นริเก้’ เด็กหญิงตัวน้อยผู้กลายเป็นดวงดาว ส่องนำทางสู่ชัยชนะให้แก่พ่อผู้หัวใจแตกสลายของเธอ

(25 มิ.ย. 68) หากใครได้ชมการแข่งขันฟุตบอล UEFA Champions League นัดชิงชนะเลิศเมื่อค่ำคืนวันที่ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ระหว่างทีมอินเตอร์มิลานจากอิตาลี vs ปารีสแซงแชร์กแมง (PSG) จากฝรั่งเศส ก็คงจะสังเกตเห็นแผ่นป้ายผ้าใบขนาดยักษ์อันสวยงาม หรือ Tifo บนอัฒจันทร์ฝั่งกองเชียร์ทั้งสองฝั่ง 

ปกติแล้วภาพผืนผ้าใบยักษ์หรือ Tifo นี้จะเป็นภาพที่แสดงออกถึงความฮึกเหิม หรืออัตลักษณ์สำคัญของทีมนั้นๆ เพื่อเป็นการส่งพลังไปให้กับนักฟุตบอลในสนามเพื่อลงไปใส่ให้เต็มที่กับคู่แข่ง 

และเมื่อบวกกับเสียงเชียร์อันดังสนั่นจากกองเชียร์แล้วก็เหมือนเป็นการ “ข่ม” คู่แข่งและกองเชียร์ฝั่งตรงข้ามไปด้วยในตัวนั่นเอง เช่น Tifo จากทางฝั่งอินเตอร์มิลานก็เป็นรูปงูดูดุดันน่าเกรงขาม ซึ่งงูก็เป็นสัญลักษณ์อันโด่งดังที่รู้จักกันดีของสโมสรอินเตอร์มิลานในขณะที่ Tifo บนอัฒจันทร์ฝั่ง PSG กลับเป็นรูปที่ไม่ได้แสดงออกถึงความขึงขัง ฮึกเหิม ดุดันอะไรแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นรูปชายคนหนึ่งกำลังปักธงของ PSG บนพื้นสนาม โดยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งใส่ชุดแข่งของ PSG เบอร์ 8ยืนมองอยู่

บนหลังของเธอสลักชื่อว่า Xana 

ชายที่กำลังปักธงก็คือ หลุยส์ เอ็นริเก้ เฮดโค้ชคนปัจจุบันของ PSG ที่ทำผลงานในฤดูกาลนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม นำ PSG คว้า 2 แชมป์ใหญ่ในประเทศและกำลังพาทีมของเขาสร้างประวัติศาสตร์เข้าชิงชนะเลิศถ้วยที่ใหญ่ที่สุดของยุโรปเพื่อเป็น Treble Champs หรือคว้า 3 ถ้วยสำคัญได้ภายในปีเดียวเหมือนที่เขาเคยทำได้ครั้งหนึ่งกับสโมสรบาเซโลนาเมื่อปี 2015 มาแล้ว 

ส่วนเด็กผู้หญิงในภาพก็คือ ซาน่า เอ็นริเก้ ลูกสาวคนสุดท้องของเขานั่นเอง โดยภาพๆนี้ เป็นภาพที่เคยเกิดขึ้นจริงในปี 2015 เมื่อหลุยส์ เอ็นริเก้ นำสโมสรบาเซโลนาคว้า 3 แชมป์ได้สำเร็จ ในค่ำคืนแห่งการเฉลิมฉลองการขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกฟุตบอลของหลุยส์ ซาน่าในวัย 5 ขวบได้วิ่งเข้าไปหาพ่อของเธอเป็นคนแรก และก็อยู่กับพ่อของเธอด้วยตลอดการเฉลิมฉลองอันยาวนานในค่ำคืนนั้น 

โดยเธอใส่เสื้อบาเซโลน่าเบอร์ 8 และโมเม้นท์สำคัญสำหรับคนทั้งคู่ก็คือ ซาน่าได้ช่วยพ่อของเธอปักธงบาเซโลน่าลงบนพื้นสนาม โดยภาพๆนี้ได้กลายเป็นภาพจำของซาน่าในฐานะนางฟ้าแห่งชัยชนะของหลุยส์ และบรรดาแฟน ๆ ของ PSG ก็ได้นำเอาภาพนี้มาทำเป็น Tifo โดยเปลี่ยนแค่ชุดของซาน่าและธงในมือของหลุยส์จากบาเซโลนาเป็น PSG เท่านั้น โดยคงรายละเอียดอื่นๆของภาพไว้ครบถ้วน หากแต่ว่าอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมจากค่ำคืนอันสวยงามนั้นก็คือ ในวันที่หลุยส์ เอ็นริเก้กำลังจะนำ PSG สร้างประวัติศาสตร์คว้า Treble Champ เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งที่สองในอาชีพกุนซือของเขานั้น ซาน่ากลับไม่ได้อยู่ตรงนั้นกับพ่อของเธออีกแล้ว…. 

ซาน่า เอ็นริเก้ จากโลกนี้ไปในปี 2019 ด้วยวัยเพียง 9ขวบจากอาการของโรคมะเร็งกระดูกชนิดหายาก ในช่วงระหว่างการต่อสู้กับโรคมะเร็งของซาน่านั้น หลุยส์และครอบครัวได้ดูแลเธออย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาพาเธอไปรักษากับหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็งกระดูกที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก ทุ่มเงินทั้งหมดที่เขามี มอบเวลาแทบจะทั้งหมดที่เขามีให้กับเธอโดยวางฟุตบอลไว้เป็นเรื่องรอง 

แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครสามารถฝืนชะตาได้ ในวันที่ซาน่าจากไปอย่างสงบนั้น หลุยส์ได้ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า เหมือนกับว่าแสงสว่างทั้งหมดในชีวิตของเขานั้นได้ดับมืดลงไปพร้อมกับชีวิตของซาน่าด้วย เขาเปรียบการสูญเสียลูกสาวว่าเหมือนกับการสูญเสียดวงดาวนำทางของชีวิตไปอย่างไม่มีวันหวนคืน 

แต่อย่างไรก็ดี สำหรับหลุยส์แล้ว ซาน่าจากไปเพียงแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ความรักและจิตวิญญาณของเธอยังคงอยู่กับเขาเสมอ รวมถึงความทรงจำอันสวยงามตลอด 9 ปี ที่เธอเกิดมาเป็นลูกสาวอันแสนงดงามและสดใสของเขาก็ยังคงเป็นพลังและแรงส่งให้เขาเสมอมาไม่เปลี่ยนแปลง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลุยส์ได้ไปเยี่ยมแม่ของเขาภายหลังจากที่ซาน่าจากไปไม่นานแล้วพบว่าที่บ้านแม่ของเขาไม่มีรูปของซาน่าเหลืออยู่อีกเลย 

เขาจึงได้ถามแม่ของเขาว่า รูปของซาน่าทั้งหมดในบ้านหายไปไหน แม่ของหลุยส์ก็ได้ตอบว่าเธอได้เก็บรูปของซาน่าทั้งหมดไว้ในห้องเก็บของเพราะเธอทำใจไม่ได้และร้องไห้ด้วยความเสียใจทุกครั้งที่ได้เห็นรูปของซาน่า หลุยส์ตอบแม่ของเขาไปว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ถูกต้อง เพราะถึงแม้ว่าซาน่าจะได้จากไปแล้ว แต่เธอก็ได้ฝากความทรงจำที่มีความสุขและพลังงานดี ๆ มากมายไว้ให้กับคนที่เธอรักและรักเธอ 

ดังนั้นพวกเราจึงไม่ควรจะจมอยู่กับความเศร้าโศกเสียใจ และกำจัดความเศร้านั้นด้วยการพยายามลืมเธอหรือไม่นึกถึงเธอ นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกในการบำบัดหัวใจที่แตกร้าวเพราะการสูญเสีย ในทางกลับกันพวกเราควรระลึกถึงเธอเสมอโดยเฉพาะความสุขและความรักที่เธอมอบให้เราอย่างเต็มเปี่ยมมาตลอดชีวิตอันสว่างไสวของเธอ และเราควรจะระลึกอยู่เสมอว่าเราโชคดีเพียงไรที่ได้มีโอกาสได้รับความสุขนั้นจากเธอถึง 9 ปี นั่นต่างหากถึงจะเป็นการตอบสนองที่ถูกต้องและแสดงความเคารพต่อตัวตนของเธอ ความทรงจำของเธอ และความรักที่เธอฝากไว้ให้กับพวกเรา 

และในค่ำคืนแห่งฟุตบอลนัดสำคัญที่สุดนัดหนึ่งในชีวิตของหลุยส์ แฟนบอลของ PSG ได้เลือกที่จะแสดงความรักต่อผู้นำทัพของพวกเขาด้วยการแสดงออกถึงความเคารพและระลึกถึงซาน่าประดุจแสงดาวนำทางสู่ความสำเร็จตามที่หลุยส์เคยกล่าวถึงเธอไว้ด้วยความรักอย่างที่สุด 

ผลการแข่งขันในค่ำคืนแห่งโชคชะตานี้ปรากฏว่า PSG ชนะไปถึง 5-0 ชนิดที่อินเตอร์มิลานสู้ไม่ได้ในทุกเหลี่ยมมุม ทำให้ PSG ภายใต้การนำของหลุยส์เถลิงบัลลังก์จุดสูงสุดของยุโรปเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรและเป็นการทำ Treble Champ เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิตของหลุยส์ 

ส่งผลให้ชื่อของเขาได้ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลทันทีว่าเป็นโค้ชคนที่ 6 ในโลกนี้ที่ทำทีมเป็นแชมป์สโมสรยุโรปได้จาก 2 สโมสร (บาเซโลนา และ PSG) 

และในวินาทีที่กรรมการเป่านกหวีดยาวหมดเวลาการแข่งขันเป็นการย้ำชัดเจนถึงการเป็นเจ้ายุโรปและ Treble Champ ของ PSG หลุยส์ก็ได้เปลี่ยนเสื้อเตรียมขึ้นรับถ้วยรางวัลที่สำคัญที่สุดถ้วยหนึ่งในชีวิตของเขาเป็นเสื้อยืดลายการ์ตูนของมูลนิธิซาน่า เอ็นริเก้ที่เขาและครอบครัวก่อตั้งขึ้นภายหลังการจากไปของซาน่า 

โดยมูลนิธินี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ป่วยด้วยโรคร้ายแรงทุกโรคไม่เพียงแต่มะเร็งเท่านั้น เพราะหลุยส์รู้ซึ้งดีถึงความเจ็บปวดจากการสูญเสียซาน่าและเขาไม่ต้องการให้ใครต้องรู้สึกแตกสลายเช่นเดียวกันกับเขาอีก

หลุยส์ เอ็นริเก้ แม้จะเศร้าโศกจากการสูญเสียลูกสาวอันเป็นที่รักสักเพียงใด แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้และลุกขึ้นมาสู้อีกครั้ง เพราะเขามีความเชื่ออย่างแรงกล้าว่าลูกสาวอันเป็นที่รัก จะเฝ้ามองเขาอยู่จากที่ใดที่หนึ่งอันไกลแสนไกลและเธอจะรับรู้ได้ถึงความสุขและความทุกข์ของเขาดังเช่นที่เคยเป็นมา 

ดังนั้น ถึงแม้ว่าการจากไปของซาน่าจะทิ้งบาดแผลขนาดใหญ่ไว้ในหัวใจของเขา แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บเอาความทรงจำอันสว่างไสวของลูกสาวมาเป็นพลัง และเอาความรักอันเปี่ยมล้นที่มีต่อเธอเป็นดั่งแสงดาวนำทางให้ชีวิตของเขาก้าวเดินต่อไปสู่ความสำเร็จ เพราะเขารู้ว่าในวันที่เขามีความสุขและประสบความสำเร็จซาน่าก็จะมีความสุขและร่วมยินดีไปกับเขาด้วยเหมือนที่เป็นมาเสมอนั่นเอง 

หลุยส์ได้ให้สัมภาษณ์ก่อนนัดชิงถ้วยสโมสรยุโรปในครั้งนี้ไว้ว่า "ผมจำภาพถ่ายที่น่าทึ่งภาพหนึ่งได้ เป็นภาพที่ผมถ่ายกับเธอหลังคว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ที่กรุงเบอร์ลิน ขณะกำลังปักธง บาร์เซโลน่า ลงบนสนาม"

"ผมหวังว่าจะได้ทำแบบนั้นอีกครั้งกับ เปแอสเช แม้ว่าลูกสาวของผมจะไม่ได้อยู่ที่นั่นทางร่างกาย แต่เธอจะอยู่ที่นั่นในทางจิตวิญญาณ และนั่นสำคัญกับผมมากจริงๆ"

และแฟนบอล PSG ก็ตอบสนองต่อความรักระหว่างหลุยส์กับซาน่าได้อย่างงดงามและน่าจดจำอย่างที่สุด และเป็นอีกครั้งที่พวกเราได้เห็นว่าฟุตบอลนั้นสวยงามเพียงไร 

ใดๆdigest หวังว่าเรื่องราวของหลุยส์กับซาน่า เอ็นริเก้ คงจะช่วยปลอบโยนใครก็ตามที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก และขอแสดงความเคารพต่อดวงจิตทุกดวงที่สร้างความทรงจำอันสว่างไสวและมอบความรักอันสวยงามให้กับผู้คน 

ขอให้ความรักนำทางทุกท่านครับ 

Xana Enrique 
ด้วยจิตคารวะ

‘แม่ทัพภาค 2’ ลั่น หากกัมพูชาเปิดฉากยิงก่อน พร้อมตอบโต้ จะไม่พูดคุยแม้แต่คำเดียว ยัน เราจะไม่ยิงก่อน ชี้ ไม่มีแผ่นดิน ประเทศชาติอยู่ไม่ได้

เมื่อวันที่ (24 มิ.ย. 68) ที่สโมสรร่วมเริงชัย กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เดินทางมารับมอบเครื่องใช้อุปโภคบริโภค ข้าวสาร อาหารแห้ง และผักสด จากกลุ่มองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ชาวจังหวัดนครราชสีมา เพื่อนำไปมอบให้เป็นขวัญกำลังใจให้กับทหารตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่น

พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่ร่วมกันมอบสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคในครั้งนี้ โดยได้กล่าวว่า ตนได้ไปต้อนรับ ผบ.ทบ. และได้ไปตรวจเยี่ยมกำลังพลที่แนวชายแดน ได้เจอพี่น้องชาวบ้านในพื้นที่มาต้อนรับก็รู้สึกดีใจ และเป็นกำลังใจ ทั้งเด็กเล็ก น้อง ๆ เยาวชน โรงเรียน เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการ ประเทศชาติแผ่นดินนี้ต้องการ พี่น้องประชาชนมีความเป็นหนึ่งเดียวกันในเวลานี้ เราไม่ได้สนใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น สนใจแต่ว่าแผ่นดินต้องเป็นของเรา แผ่นดินนี้ต้องไม่สูญไปไหน เราต้องรักษาไว้ให้ลูกหลานของเรา ตนเข้าใจทุกคน ที่มายืนพูดที่นี่ พูดได้ไม่นาน พูดไปมันเหมือนกับน้ำตาจะร่วงอะไรสักอย่างนึง ตนเข้าใจ ที่ตนพูดได้เพราะเป็นเจ้าของพื้นที่ ตนชินกับความรู้สึกนี้แล้ว ชินกับน้ำจิตน้ำใจ ตนอยู่กับประเทศชาติอยู่กับแผ่นดิน ตนจะพูดคำว่าแผ่นดินบ่อยมาก ประเทศชาติยังสู้แผ่นดินไม่ได้ ถ้าไม่มีแผ่นดิน ประเทศชาติก็อยู่ไม่ได้

พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า สิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคทั้งหมดที่นำมามอบให้ ตนจะนำไปมอบให้น้อง ๆ ทหารแนวหน้าด้วยมือของตนเอง ตนยืนยันทหารที่อยู่กับตนปลอดภัยแน่นอน ถ้ายิงก่อน ตนจะไม่พูดไม่คุยแม้แต่คำเดียว แต่เราก็จะไม่ยิงก่อนเหมือนกัน แต่ถ้ายิงก่อน คุณต้องทำใจ ทุกอย่างเตรียมไว้หมด พร้อมหมดแล้ว ฉะนั้นให้มั่นใจว่า ตนจะพาน้อง ๆ ทหารทุกคนทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด แล้วก็สัญญาว่าแผ่นดินนี้ก็ไม่มีไปไหน อยู่กับพวกเราไปตลอดชั่วลูกชั่วหลาน

หรือนี่คือหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ค่าไฟฟ้าแพง!!

(25 มิ.ย. 68) หลายคนอาจสงสัย เหตุใดค่าไฟของไทยจึงแพง ทั้งที่รัฐสามารถผลิตไฟฟ้าได้เอง โดย กฟผ. แต่ในความจริงคือ แม้รัฐไทยมีโรงไฟฟ้า แต่ก็ต้องซื้อไฟจากเอกชนราว 68% เพราะติด “สัญญาระยะยาว 20–30 ปี” กับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่เรียกว่า IPP – Independent Power Producer ซึ่งบางบริษัทมีสัดส่วนผลิตไฟฟ้ามากกว่า กฟผ. เสียอีก และที่สำคัญแม้ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้า ก็จะได้รับเงินจากค่าพร้อมจ่ายที่รัฐต้องจ่ายให้ตามสัญญา...

นาวิกโยธินสหรัฐ​ ถูกศาลญี่ปุ่นตัดสินจำคุก 7 ปี คดีล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาว ที่โอกินาวา

ศาลในญี่ปุ่นตัดสินจำคุก ส.ท.เจเมล เคลย์ตัน ทหารนาวิกโยธินสหรัฐ อายุ 22 ปี เป็นเวลา 7 ปี หลังพบว่ามีความผิดฐานล่วงละเมิดทางเพศหญิงสาวในโอกินาวาเมื่อปีที่ผ่านมา

เคลย์ตันได้ใช้กำลังทำร้ายหญิงวัย 20 ปีรายหนึ่ง โดยใช้มือรัดคอจากด้านหลังและพยายามบังคับข่มขืนศาลระบุว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง และเหยื่อได้รับบาดเจ็บที่ดวงตาและใช้เวลารักษานานถึงสองสัปดาห์

เหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของคดีล่วงละเมิดทางเพศหลายคดีที่เกี่ยวข้องกับทหารสหรัฐซึ่งประจำการในหมู่เกาะโอกินาวา โดยมีทหารสหรัฐกว่า 54,000 นายในญี่ปุ่น และกว่า 50% ประจำอยู่ที่นี่ ทำให้เกิดความไม่พอใจและการประท้วงของชาวบ้านมาอย่างต่อเนื่อง

ในปีที่ผ่านมา มีคดีทหารสหรัฐก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศในโอกินาวารวมทั้งหมด 4 คดีด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือคดีของเบรนนอน วอชิงตัน ทหารกองทัพอากาศ ที่ถูกตัดสินจำคุก 5 ปี จากข้อหาข่มขืนและลักพาตัวเด็กสาว

แม้ว่าเคลย์ตันจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และฝ่ายจำเลยจะชี้ว่าคำให้การของผู้เสียหายมีความไม่ชัดเจน แต่ศาลนครนาฮะกลับเห็นว่าคำให้การของผู้เสียหายมีความน่าเชื่อถือสูง จึงตัดสินลงโทษเคลย์ตันตามคำร้องของอัยการ โดยให้โทษจำคุก 7 ปี ซึ่งน้อยกว่าที่อัยการขอไว้คือ 10 ปี

นอกจากนี้ ปัญหาการมีฐานทัพสหรัฐในโอกินาวายังทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ประชาชนท้องถิ่นทั้งเรื่องเสียงดังของเครื่องบินและมลพิษ แม้จะมีความพยายามย้ายฐานทัพไปยังพื้นที่ห่างไกลมากขึ้น แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ต้องการให้ย้ายฐานทัพออกไปโดยถาวร

“พล.ต.อ.กรไชยฯ” มอบอุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียนการสอน และทุนการศึกษา แก่โรงเรียนวัดตรีทศเทพ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการศึกษาแก่เยาวชน

(23 มิ.ย. 68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะ เดินทางไปมอบอุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียนการสอน และทุนสนับสนุนการศึกษา ให้แก่โรงเรียนวัดตรีทศเทพ ถนนประชาธิปไตย แขวงบ้านพานถม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมี นางสาวกานต์พิชชา ทุมดี ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนวัดตรีทศเทพ พร้อมด้วยคณะครูและนักเรียน ให้การต้อนรับ

พล.ต.อ.กรไชยฯ กล่าวว่า ด้วยรากฐานของบ้านคืออิฐ รากฐานของชีวิตคือการศึกษา วันนี้จึงได้นำอุปกรณ์กีฬา อุปกรณ์การเรียนการสอน สีไม้ สีเทียน ดินน้ำมันเบา พร้อมด้วยทุนสนับสนุนการศึกษาจำนวน 20,000 บาท มอบให้แก่โรงเรียนวัดตรีทศเทพ เพื่อเป็นการสนับสนุนส่งเสริมการศึกษา ให้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านการศึกษา ตลอดจนการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ 

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กรไชยฯ และคณะ ได้เยี่ยมชมภายในบริเวณโรงเรียน อีกทั้งได้นำไอศกรีมมามอบให้แก่นักเรียนด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ จัดโครงการ “แสงธรรมนำใจ” ครั้งที่ 2 ฟังธรรมบรรยายจาก “หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช” หัวข้อ “พัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์”

(25 มิ.ย. 68) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานโครงการ “แสงธรรมนำใจ” ครั้งที่ 2 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมี พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. , คุณอภิรมย์ ทรวดทรง อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , คุณนภัสนันท์ วุฒิจรัสธำรงค์ อุปนายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ และคณะแม่บ้านตำรวจ รวมกว่า 300 คน ร่วมฟังการธรรมบรรยายจาก “หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช” หัวข้อ “พัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์” ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทางออนไลน์

หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช ได้แสดงธรรมในการพัฒนาจิตเพื่อการดับทุกข์ สิ่งสำคัญคือการเจริญสติ หรือ สติปัฏฐาน ซึ่งต้องลงมือฝึกจิต ฝึกใจ ให้ถึงความดับทุกข์ ประการแรกคือ การตั้งใจรักษาศีล 5 ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด และประการต่อไปคือการฝึกกรรมฐาน เพื่อให้จิตสงบ และรู้ทันจิตเพื่อให้จิตตั้งมั่น

โครงการ “แสงธรรมนำใจ” จัดขึ้นโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ เพื่อให้ข้าราชการตำรวจ , แม่บ้านตำรวจ และประชาชน ได้น้อมนำคุณธรรม หลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนา มาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยจะจัดขึ้นเป็นประจำตลอดปีงบประมาณ พ.ศ.2568 ซึ่งในวันนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2/2568 ซึ่งข้าราชการตำรวจทั่วประเทศและครอบครัว รวมถึงประชาชนที่สนใจ สามารถรับชมรับฟังธรรมบรรยายย้อนหลังผ่านทางเพจเฟซบุ๊กสมาคมแม่บ้านตำรวจ และเพจเฟซบุ๊ก PoliceTV สถานีโทรทัศน์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมดูแลการชุมนุม 28 มิ.ย. ย้ำใช้เสรีภาพภายใต้กรอบกฎหมาย  จัดกำลัง 1,200 นายดูแลความเรียบร้อย

(25 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้เตรียมความพร้อมในการดูแลและบริหารจัดการการชุมนุมสาธารณะที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 มิถุนายน 2568 บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ โดยขอความร่วมมือจากผู้ชุมนุมให้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกภายใต้กรอบของกฎหมาย เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อประชาชนและการใช้พื้นที่สาธารณะ

สำหรับการดำเนินการในภาพรวมได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักในการบริหารจัดการการชุมนุม และบังคับใช้กฎหมายตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 โดยเน้นย้ำการใช้แนวทางเจรจา พูดคุย และทำความเข้าใจกับผู้จัดการชุมนุม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการใช้สิทธิเสรีภาพกับการรักษาความสงบเรียบร้อย

พล.ต.ท.อาชยนฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ บช.น. ได้รับหนังสือแจ้งการชุมนุมเรียบร้อยแล้ว และได้ประสานงานกับผู้จัดการชุมนุม รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 1,200 นาย ประกอบด้วยกำลังรักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกด้านการจราจร และฝ่ายสืบสวน เพื่อติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดทั้งก่อน ขณะ และหลังการชุมนุม ในส่วนของการข่าว ได้สั่งการให้หน่วยสืบสวนในทุกกองบัญชีกำกับดูแลความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด พร้อมจัดตั้งจุดตรวจ/คัดกรองบุคคลและยานพาหนะในเส้นทางจราจรหลัก รวมถึงบริเวณสถานีรถไฟฟ้า เพื่อป้องกันและเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลที่อาจไม่หวังดี หรือมีเจตนาก่อความไม่สงบ

ทั้งนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือจากประชาชนให้หลีกเลี่ยงการเดินทางผ่านพื้นที่การชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในวันดังกล่าว แม้ภาพรวมการจราจรจะยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ และหากพบเห็นเหตุผิดปกติหรือเหตุฉุกเฉินใด ๆ สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ที่หมายเลข 191 ตลอด 24 ชั่วโมง

ทัพทหารอิสราเอลถังแตก! เรื่องอาวุธ…หลังรบยืดเยื้อ นักวิเคราะห์ชี้ เป็นฝ่ายต้องการหยุดยิงมากกว่าอิหร่าน

(25 มิ.ย. 68) รายงานจาก NBC News อ้างเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) กำลังเผชิญปัญหาขาดแคลนอาวุธ โดยเฉพาะกระสุนและยุทโธปกรณ์หลักหลายชนิด หลังเปิดฉากโจมตีอิหร่านเมื่อ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา

อิสราเอลกล่าวหาอิหร่านว่าแอบพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ จึงเริ่มโจมตีเป้าหมายต่างๆ ในอิหร่านก่อน จนนำไปสู่การตอบโต้ทันทีจากอิหร่าน ซึ่งยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพหลายแห่งในอิสราเอลในปฏิบัติการที่ชื่อว่า ‘True Promise 3’

แม้อิหร่านจะปฏิเสธว่าตนไม่มีโครงการนิวเคลียร์ แต่สหรัฐฯ ได้ร่วมกับอิสราเอลในวันที่ 22 มิถุนายน โจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน 3 แห่ง ส่งผลให้อิหร่านโต้กลับด้วยการยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ที่กาตาร์ แต่ไม่เกิดความเสียหายหรือผู้บาดเจ็บ

ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า อิสราเอลและอิหร่านตกลงหยุดยิงหลังสู้รบยืดเยื้อ 12 วัน ขณะที่นักวิเคราะห์บางฝ่ายชี้ว่า อิสราเอลน่าจะต้องการหยุดยิงมากกว่า เนื่องจากศักยภาพการรบลดลงอย่างมาก

‘กัมพูชา’ เมื่อเกมการเมืองกลายเป็นการทำร้ายตัวเอง ผยองตัดไฟฟ้าประชดไทยสุดท้ายเศรษฐกิจชายแดนเจ๊ง

จากที่เฝ้าติดตามมาตลอดตั้งแต่ช่วงต้นจนถึงปัจจุบัน จะเห็นว่ากัมพูชาเดินเกมทางการเมืองเหมือนจะดูดุดันนะครับ แต่จริง ๆ แล้วกลับออกแนว 'ร้อน' เหมือนคนแก่เล่น Facebook อารมณ์ไม่นิ่ง เดี๋ยวดิ้น เดี๋ยววีน แล้วก็พลาดซ้ำซาก ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? เดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังครับ

เริ่มกันที่กรณี 'ตัดไฟฟ้าประชดไทย' ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด และตอนนี้กำลังย้อนกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างชัดเจน

การที่กัมพูชาตัดไฟในเขตปอยเปตนั้น แม้จะดูเหมือนเป็นมาตรการตอบโต้ทางการเมืองที่แข็งกร้าว แต่เบื้องหลังก็เต็มไปด้วยการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดซ้ำซ้อน และความพยายามเล่นเกมทูตแบบย้อนแย้งไร้แผนรองรับ

ต้องย้อนกลับไปดูช่วงแรกของวิกฤตชายแดน กัมพูชามีท่าที 'ชะล่าใจ' ค่อนข้างมาก ขุดคูเลตทหาร โชว์กำลัง กดดันไทยว่าเขามีสิทธิ์ในพื้นที่ โดยเชื่อว่าไทยจะไม่กล้าตอบโต้แรง เพราะตอนนั้นรัฐบาล โดยเฉพาะคุณแพทองธาร (อุ๊งอิ๊ง) ยังนิ่ง ๆ เงียบ ๆ ไม่แสดงท่าทีแข็งกร้าวใด ๆ ทำให้ฝั่งเขาเชื่อไปว่าไทยไม่กล้าปิดด่านจริงจัง

ในทางกลับกัน ฝ่ายทหารและความมั่นคงของไทยกลับแสดงท่าทีขึงขัง ชัดเจนว่า “อธิปไตยไทยไม่ใช่ของเล่น” มีการใช้มาตรการเบื้องต้น เช่น ปรับเวลาเข้า–ออกด่าน และเตือนว่า “หากกัมพูชายังคุกคาม จะตัดไฟ”

แต่ฝั่งกัมพูชากลับคิดว่าไทยไม่กล้า ด้วยความมั่นใจที่อาจมาจากความสัมพันธ์ทางเครือญาติ จึงตัดสินใจบลัฟกลับ โดยอ้างว่าไทยเป็นฝ่ายจะปิดด่านก่อน แล้วก็เลยตัดไฟฟ้าเอง เป็นการ “ประชดกลับ” แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง

แต่การ “อ่านเกมผิด” ครั้งนี้ ทำให้พังทั้งกระดาน

แม้รัฐบาลไทยจะลังเลในตอนแรก แต่เมื่อแรงกดดันจากสังคมและภาครัฐเพิ่มขึ้น การปิดด่านก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันในคืนวันที่ 23 มิ.ย. 68

สิ่งที่ตามมาคือ “ภาวะช็อก” ของผู้นำกัมพูชา ที่ประเมินผิดทุกจุด

แก๊งพนันออนไลน์ในปอยเปตเริ่มอพยพออกจำนวนมาก ระบบเศรษฐกิจชายแดนกลายเป็นอัมพาตทันที

แม้กัมพูชาจะพยายามปล่อยข่าวว่าตัวเองมีไฟฟ้าใช้ได้ตามปกติ แต่ข้อเท็จจริงคือ ไฟฟ้าในประเทศมีไม่เพียงพอ (ไฟฟ้าส่วนใหญ่ของประเทศถูกนำเข้ามาจากประเทศไทย  การตัดไฟที่โชว์ไปแต่แรกก็เป็นเพียงแค่การบลัฟ เพียงเล็กน้อย เพราะยังซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทยอยู่อีกหลายจุดแต่ไม่ปรากฏเป็นข่าว) และการจะหันไปซื้อไฟจากเวียดนามก็เป็นไปไม่ได้ ทั้งจากข้อจำกัดเรื่องโครงสร้างพื้นฐานและปริมาณกำลังผลิต

การบลัฟว่ามีไฟสำรองจ่ายนั้น หลอกได้แค่คนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริง เพราะ…
1. ไฟฟ้าในเวียดนามผลิตได้พอใช้แค่ภายในประเทศ
2. ไม่มีเส้นทางส่งไฟฟ้าจากเวียดนามมายังฝั่งตะวันตกของกัมพูชา
3. หากจะสร้างโครงข่ายสายส่งใหม่ ต้องใช้เวลาหลายปีและเงินมหาศาล
และที่พังยิ่งกว่าคือ การกระทำของกัมพูชา กลับไปกระทบเวียดนามอย่างจัง

ข้อมูลบางส่วนระบุว่า กัมพูชาอาจปิดด่านล่วงหน้าโดยหวังโยนความผิดให้ไทย แล้วหวังว่าไทยจะเปิดก่อน เพื่อรักษาภาพลักษณ์ตัวเองในสายตาต่างประเทศ

แต่กลายเป็นว่า “ไทยไม่เดือดร้อน” กลับเป็น “เวียดนามซวยแทน”

เพราะเส้นทางนำเข้าสินค้าจากไทยไปเวียดนามจำนวนมากต้องผ่านกัมพูชา เมื่อด่านปิด เวียดนามก็ถูกตัดเส้นทางทันที ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวกับความขัดแย้งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว

อีกด้านหนึ่ง กัมพูชาก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าไทยลังเลจะปิดด่าน จึงรีบ “แสดงบทแข็ง” หวังจะชิงพื้นที่สื่อและปลุกกระแสภายในประเทศ เพื่อเอาใจฐานเสียงเดิมและฟื้นภาพลักษณ์ของตระกูลฮุน

แต่ผลที่ได้ คือ คนเวียดนามและไทย “พร้อมใจกันไม่ประทับใจ”

สิ่งที่สำคัญคือ การปิดด่านนี้ทำลายเศรษฐกิจของกัมพูชาเองอย่างจัง เพราะรายได้ส่วนใหญ่ของฝั่งปอยเปต มาจากระบบเศรษฐกิจ “สีเทา” ไม่ว่าจะเป็นบ่อนพนันออนไลน์, call center, hacker ฯลฯ ซึ่งเมื่อช่องทางเข้า–ออกถูกตัด รายได้พวกนี้ก็เหือดหายไปทันที และหากปิดยาว ก็ยิ่งเจ็บลึก

ขณะที่การคว่ำบาตรไม่ซื้อน้ำมันจากไทยก็เป็นอีกการตัดสินใจที่ย้อนแย้ง เพราะน้ำมันไม่ใช่สินค้าที่สั่งวันนี้ได้พรุ่งนี้

ในตลาดโลกตอนนี้ ประเทศต่าง ๆ เริ่มอั้นน้ำมันเพื่อใช้ภายใน การจะหาน้ำมันจากแหล่งอื่นต้องใช้เวลา 3–6 เดือน เพราะเป็นระบบสัญญาล่วงหน้า ราคาก็สูงกว่าไทยอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะหันไปสิงคโปร์ ก็ยังต้องรอขนส่งอีกหลายเดือน ขณะที่กัมพูชาไม่มีระบบน้ำมันสำรองเหมือนไทย จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นคนเขมรแห่กักตุนจากประเทศเพื่อนบ้านอยู่เรื่อย ๆ

สุดท้าย ท่าทีของกัมพูชาที่ดึงดันเดินเกมนี้นานขึ้น ยิ่งทำให้เพื่อนบ้านในภูมิภาคหมดความอดทน โดยเฉพาะเวียดนามและลาว

การกระทำของกัมพูชาจึงไม่ใช่แค่พลาดทางยุทธศาสตร์ แต่กำลังเร่งให้ภูมิภาคหมดความเกรงใจในตัวเขา

สุดท้ายแล้ว คนที่ควรได้รับผลกระทบจากเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ควรเป็นแค่ประชาชนตาดำ ๆ ที่หาเช้ากินค่ำ จำเป็นต้องเดินทางข้ามแดนไทย–กัมพูชาเพื่อเอาตัวรอด แต่กลับต้องกลายเป็นผู้รับกรรมในเกมการเมืองที่ตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่พวกชนชั้นนำหรือครอบครัวตระกูลฮุนหรอกครับที่จะลำบากอะไร
พวกเขายังอยู่ในคฤหาสน์ มีไฟฟ้าใช้ มีรถกันกระสุน มีน้ำมันเติม

แต่ชาวบ้าน? ต้องอยู่กับความเสี่ยง ไฟดับ น้ำไม่ไหล น้ำมันแพง และข้าวของขึ้นราคาแบบทวีคูณ
ทั้งหมดนี้เพียงเพราะ 'อีโก้' ของผู้นำประเทศ ที่อยากเอาชนะให้ได้ในเกมที่ตัวเองเป็นคนเริ่ม

และหากพูดถึงเรื่อง 'ดินแดน' — ถ้าไทยยืนยันหนักแน่นว่านั่นคือแผ่นดินไทย กัมพูชาก็ไม่มีวันได้อยู่ดี ต่อให้กดดันแค่ไหน ก็เท่ากับทำร้ายตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่านั้นเอง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top