Sunday, 6 July 2025
TheStatesTimes

32 ปี สถาปนา ‘คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์’ สถาบันทางแพทยศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้นเป็นอันดับ 9 ของประเทศ 

นโยบายจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 โดยมี ศ.ปรีดี พนมยงศ์ ดำรงตำแหน่งอธิการบดีขณะนั้น จัดตั้งคณะกรรมการร่างโครงการจัดตั้งขึ้นชุดหนึ่ง และได้ดำเนินการอย่างจริงจังในสมัย ศาสตราจารย์คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี ดำรงตำแหน่งอธิการบดี โดยสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการประชุมครั้งที่ 8/2526 ได้ให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับนโยบายทางวิชาการของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในการที่จะส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ประยุกต์ โดยเฉพาะการผลิตบัณฑิตแพทย์ และมอบหมายให้อธิการบดีดำเนินการตามนโยบาย

โดยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ดำเนินตามแผนโดยการสร้างโรงพยาบาลขึ้น โดยศาสตราจารย์คุณหญิงนงเยาว์ ชัยเสรี ดำรงตำแหน่งอธิการบดี มีคำสั่ง ที่ 747/2529 ลงวันที่ 25 สิงหาคม 2529 แต่งตั้งคณะกรรมการจัดหาทุนสร้างโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มีศาสตราจารย์ สุธี นาทวรทัน เป็นประธานกรรมการ และ นายประมวล สภาวสุ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในขณะนั้น เป็นประธานกิตติมศักดิ์ ระดมทุนจากศิษย์เก่าทั้งในประเทศและต่างประเทศ

การดำเนินการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ ได้ดำเนินการต่อมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นชอบด้วยตามหนังสือของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร.0203/126 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2529 ซึ่งอธิการบดีได้พบปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ขอดำเนินการโรงพยาบาลให้ครบ 1 ปีก่อน เพื่อเป็นพื้นฐานของคณะแพทยศาสตร์ แล้วจึงจะดำเนินการเรื่องคณะแพทยศาสตร์ โดยมีการสานต่อในสมัย ศาสตราจารย์เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม ดำรงตำแหน่งอธิการบดีในปี พ.ศ. 2531

ในการดำเนินการได้มีการประสานกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาแนวทางร่วมกันในการผลิตบัณฑิตแพทย์พึงประสงค์ อันสอดคล้องกับนโยบายผู้บริหารมหาวิทยาลัย และนโยบายของทบวงมหาวิทยาลัย ซึ่งสภามหาวิทยาลัยได้พิจารณาอนุมัติโครงการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ ในเดือนสิงหาคม 2531 คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2533
 

‘พอร์ตแลนด์’ เอย จงอย่าหยุด ‘เพี้ยน’ (Keep Portland weird)

‘พอร์ตแลนด์’ (Portland) ถือเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเรียงนามกระฉ่อนทั่วโลกมาแต่ไหนแต่ไร แถมยังขึ้นชื่อว่าเป็นอีกเมืองฮิพแห่งรัฐโอเรกอนอย่างมากด้วย 

สังเกตได้จาก เมืองนี้ เต็มเปี่ยมไปชาวเมืองที่มีแนวคิดในการดูแลสิ่งแวดล้อมและแสดงออกได้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันยังเป็นเมืองต้นแบบอันดับต้นๆ ของสหรัฐอเมริกาในการสร้างและจัดการระบบขนส่งมวลชนให้ครอบคลุม

...เราจะพบเห็นทางจักรยานที่ถูกสร้างให้คนสัญจร ออกกำลังกาย รวมไปถึงปั่นไปทำงานก็ได้ 

...อีกทั้งเมืองนี้ ยังเต็มไปด้วยสวนสาธารณะที่เอื้อให้คนได้ใช้พื้นที่สีเขียวร่วมกันสำหรับพักผ่อน แถมยังมีการจัดการขยะรีไซเคิลอย่างเป็นระบบด้วยนะ

...Portland ยังเป็นศูนย์รวมคนหลายกลุ่มหลากประเภท ตั้งแต่ฮิพสเตอร์แต่งกายแลดูเรียบๆ แต่แอบติดหรูแบรนด์เนม ดูเนิร์ดใส่แว่นตา แต่ก็โคตรเท่ประมาณนั้น หรือจะเป็นเด็กฮิพย้อมผมสีฉูดฉาดตัดกับผิวสีขาวซีดที่เต็มไปด้วยรอยสักประหนึ่งขนเอาสวนสัตว์เปิดเขาเขียวมาไว้บนผิวหนัง พวกฮิปปี้ซึ่งนิยมสวมเสื้อผ้าวินเทจและดูดปู๊นเป็นเนืองนิจก็มี ถ้าจะให้คูลต้องถกกันด้วยหลักปรัชญาตะวันออก

...นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มคนเฉพาะที่บ้ากาแฟขึ้นสมองก็มากองกันอยู่ที่นี่ ร้านกาแฟคลื่นที่สามที่สี่มากมายชนิดทำ Coffee Shop กันไม่หวาดไม่ไหว

...โรงผลิตเบียร์คราฟต์เบียดตัวในย่านท่องเที่ยวกินดื่มแข่งกับร้านขายกัญชา

...แพทย์แผนตะวันออกได้รับความนิยมพอๆ กับโรงพยาบาลฝรั่ง

...ช่างสักตามร้านที่เห็นได้ทั่วไปทำเงินเป็นกอบเป็นกำ บางเจ้าถึงขั้นเปิดโรงเรียนสอนการสักก็มี

...ศิลปินทุกแขนงทั้งแบบสร้างผลงานขายเป็นเรื่องเป็นราวกับศิลปินริมถนนผสมปนเปกันอยู่ในหม้อหลอมใบนี้ 

…กลุ่ม LGBTQ ก็มีพื้นที่ยืนในสังคมได้อย่างค่อนข้างเสรี 

...ร้านอาหาร ผับ บาร์ ฟู้ดทรักมากมายขายอาหารและเครื่องดื่มทุกสัญชาติบนโลกใบนี้ เรียกว่าใครอยากกินเมนูประเทศอะไรเมืองนี้ประเคนให้ได้หมด 

...แถมยังขึ้นชื่อว่ามีความหนาแน่นของสถานเริงรมย์ประเภทคลับโชว์เปลื้องผ้ามากที่สุดในอเมริกาอีกด้วย

...นอกจากนี้ ในส่วนของย่านใจกลางเมือง ก็มีพลเมืองรวมๆ กันอยู่ร่วมครึ่งล้าน แต่เมื่อรวมชานเมืองโดยรอบนับหัวก็จะได้ราว 3 ล้านคน โดยผสมผสานไปด้วยความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติเป็นเงาตามตัวด้วย แต่แน่นอนคนขาวยังคงเป็นประชากรหลัก พวกตะวันออกกลางและอาหรับก็มีบ้าง ในขณะที่เม็กซิกันและคนเชื้อสายละตินค่อนข้างมากและมักไปกระจุกกันอยู่แถว Hillsboro ซึ่งอยู่ชานเมืองด้านตะวันตก จนคนล้อกันว่าเป็น Hillburito ส่วนพวกเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม, จีน, เกาหลี, ไทย, ลาว ทั้งหลายต่างไปรวมกันอยู่แถว Happy Valley ซึ่งอยู่ค่อนไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง จึงสังเกตได้ว่าแนวถนนหมายเลข SE 82 มักเต็มไปด้วยร้านอาหารและซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติผิวเหลือง

ความหลากหลายต่างมิติทั้งสภาพแวดล้อมและเชื้อชาติดังกล่าวข้างต้น มันเลยเป็นที่มาว่าทำไม Portland ถึงดูจะกลายเป็นเมืองเพี้ยนๆ มากพอตัว 

แต่เชื่อไหมว่า ชาวเมืองบางส่วนเห็นความเพี้ยนที่ผสมปนเปเหล่านี้ ว่าเป็นจุดเด่น แถมดูจะภูมิอกภูมิใจ ถึงขั้นเขียนประโยคขึ้นผนัง Keep Portland weird หรือแปลให้เข้าง่ายก็คง “พอร์ตแลนด์เอ๋ย จงอย่าหยุดเพี้ยน” 

แต่ในมุมที่ควรยอมรับต่อการถอยห่าง Portland มันเริ่มหนักข้อขึ้น โดยเฉพาะช่วงปีหลังๆ มานี้เกิดการแตกขั้วทางความเห็นเกี่ยวกับการเมืองค่อนข้างรุนแรง ประจวบเหมาะกับโรคอุบัติใหม่เมื่อปีที่แล้ว ทำให้เศรษฐกิจเมืองระส่ำระสายไปพักใหญ่ จนกลายสถานประกอบการต้องพังลงไป

'เกษตรฯ' ดันแผนบริหารผลไม้ภาคตะวันออกรับฤดูกาลเก็บเกี่ยว

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ในช่วงระหว่างนี้เรื่อยไปจนถึงประมาณเดือนกันยายน เป็นช่วงที่ผลไม้ภาคตะวันออกให้ผลผลิต ผลไม้สำคัญหลายชนิดโดยเฉพาะทุเรียน มังคุด และเงาะ ปีนี้ให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา คาดว่าผลผลิตทุเรียนปีนี้อยู่ที่ประมาณ 744,549 ตัน มังคุด 210,864 ตัน และเงาะ 210,646 ตัน 

มีสาเหตุเนื่องมาจากหลากหลายปัจจัย ทั้งสภาพอากาศที่เหมาะสม จำหน่ายได้ราคาดีตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา จูงใจให้เกษตรกรหันมาปลูกและบำรุงรักษาผลไม้ดังกล่าวกันมากขึ้นเพื่อให้ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพ และเพื่อเป็นการรักษาคุณภาพมาตรฐานของผลผลิตไม้ผลภาคตะวันออกตลอดทั้งฤดูกาล โดยในปี 2564 ที่ผ่านมานั้นไทยสามารถส่งออกผลไม้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะเผชิญกับปัญหาการขนส่งโลจิสติกส์จากค่าระวางที่สูงขึ้น การขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และการปิดด่านหลายครั้งจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 

ดังนั้นในปี 2565 นี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้กำหนดเป้าหมายในการส่งออกผลไม้ภาคตะวันออกเพื่อเพิ่มศักยภาพการส่งออก สร้างความเชื่อมั่นสู่ผู้บริโภคในประเทศและต่างประเทศและการส่งออกผลไม้ต้อง Zero COVID เท่านั้น โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ทำแนวทางและวิธีการปฏิบัติร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับสั่งการให้สำนักงานเกษตรจังหวัดตั้งชุดเฉพาะกิจร่วมกับฝ่ายปกครองในพื้นที่ เพื่อสกัดกั้นทุเรียนอ่อนในจังหวัดแหล่งผลิตที่สำคัญ 

รองปลัด ก.แรงงาน เปิดโครงการสัมมนาการยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565    

วันที่ 18 มีนาคม 2565 เวลา 09.00 น. นางบุปผา พันธุ์เพ็ง รองปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมโครงการสัมมนาการยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565  เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงแรงงานให้สามารถปฏิบัติงานได้ตรงตามแนวทางการประเมิน ITA และสามารถนำข้อเสนอแนะจากผลการประเมินฯ มาปรับปรุงเพื่อยกระดับการประเมินด้านธรรมาภิบาล และการบริหารจัดการภาครัฐของสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานอย่างต่อเนื่อง

‘เซเลนสกี’ จะขอปราศรัยต่อรัฐสภาญี่ปุ่น คาดขอใช้ภาพถ่ายดาวเทียมช่วยต้านรัสเซีย

ยูเครนร้องขอใช้ภาพถ่ายดาวเทียมของญี่ปุ่นเพื่อต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย และประธานาธิบดีจะขอกล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่รัฐสภาญี่ปุ่น เพื่อเรียกร้องการสนับสนุน

รัฐบาลยูเครนได้แจ้งต่อกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ขอให้นายโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน ปราศรัยต่อรัฐสภาญี่ปุ่นผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ เพื่อขอการสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ หลังจากเขาได้ปราศรัยต่อรัฐสภาของสหรัฐฯ และหลายชาติยุโรปมาแล้วรัฐบาลญี่ปุ่นมีท่าทีตอบรับข้อเสนอของยูเครน คณะกรรมาธิการกิจการรัฐสภาจากทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านกำลังดำเนินการเพื่อจัดเตรียมระบบออนไลน์ โดยแทบจะไม่เคยมีผู้นำต่างชาติที่ได้ปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่รัฐสภาญี่ปุ่น

คาดว่าเรื่องสำคัญที่ผู้นำยูเครนจะร้องขอต่อญี่ปุ่น คือ ขอใช้ภาพถ่ายความละเอียดสูงจากดาวเทียมญี่ปุ่น เพื่อจับตาความเคลื่อนไหวของกองทัพรัสเซีย

ญี่ปุ่นมีดาวเทียมหลายดวงที่ใช้เทคโนโลยี synthetic aperture radar (SAR) สามารถจับภาพได้ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน ในทุกสภาพอากาศ และยังจับภาพได้แม้มีสิ่งบดบังในชั้นบรรยากาศ ดาวเทียมเหล่านี้มีทั้งที่ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐและเอกชนญี่ปุ่น หน่วยงานของรัฐบาลญี่ปุ่นที่มีภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง คือ สำนักงานสำรวจอวกาศแห่งญี่ปุ่น หรือ จั๊กซา

'รองผบ.ทสส.' ตรวจเข้ม ฝึกอบรมนายทหารประทวนบรรจุ รุ่นที่ 3 พร้อมปลูกฝังอุดมการณ์ การเป็นนายทหารปกครอง

เมื่อวันที่ 18 มี.ค.พล.อ.นเรนทร์ สิริภูบาล รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด (รอง ผบ.ทสส.) เดินทางมาตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมนายทหารประทวนบรรจุใหม่ของกองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) รุ่นที่ 3 จำนวน 200 นาย ณ. โรงเรียนเตรียมทหาร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (รร.ตท. สปท.) จ. นครนายก 

ศบค.ถกเคาะ ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 2 เดือน เม.ย.-พ.ค. พร้อมปรับพื้นที่สีคุมโรคใหม่ สีส้ม 21 จังหวัดยังห้ามดื่มน้ำเมาในร้าน  ส่วนสีเหลือง 47 จังหวัด ก๊งได้ถึง 5 ทุ่ม สีฟ้า 9 จังหวัด   

เมื่อเวลา 10.40 น. วันที่ 18 มี.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล รายงานข่าวจากที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โรคโควิด 19 (ศบค.) ระบุว่าในที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. มีการพิจาณาขยายระยะเวลา ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 17 ) เพื่อเอื้อต่อการบริหารจัดการด้านสาธารณสุข และควบคุมการติดเชื้อโรคโควิด 19 ไม่ให้เกินขีดความสามารถของระบบสาธารณสุข เพื่อเตรียมความพร้อมอยู่กับโรคโควิด 9 ในระยะยาว

รวมถึงการบริหารจัดการการเดินทางสัญจรข้ามจังหวัด และการรวมกลุ่มทางสังคมของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงการบริหารจัดการชายแดน การป้องกันการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านจึงมีการพิจารณาขยายระยะเวลาพ.ร.ก.ฉุกเฉิน คราวที่ 17 ออกไปอีก 2 เดือน จากวันที่ 1 เม.ย. -31 พ.ค. 2565 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาปรับลดระดับพื้นที่โซนสีจากพื้นที่ควบคุม (สีส้ม) เดิม 44 จังหวัด ปรับลดเหลือ 21 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) เดิม 25 จังหวัด เพิ่มเป็น 47 จังหวัด พื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) จาก 8 จังหวัด เพิ่มเป็น 9 จังหวัด ทั้งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค. เป็นต้นไป โดยพื้นที่สีส้มอนุญาตให้ร้านอาหารทั้งในและนอกศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า หรือสถานที่อื่นใดที่มีร้านอาหารสามารถรังรับประทานในร้านได้ เปิดได้ตามปกติ แต่ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้าน ส่วนพื้นที่สีเหลือง สามารถรับประทานอาหารในร้านได้ เปิดได้ตามปกติ ส่วนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านจำกัดเวลาไม่เกิน 23. 00 น.  

สำหรับพื้นที่ สีส้ม 21 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ ตาก นครนายก นครปฐม นครราชสีมา  นครศรีธรรมราช บุรีรัมย์ ประจวบคีรีขันธ์ พระนครศรีอยุธยา พัทลุง พิจิตร พิษณุโลก ระนอง ระยอง ราชบุรี  สงขลา สมุทรปราการ สมุทรสาคร สุราษฎร์ธานี อุดรธานี อุตรดิตถ์ 

Sberbank​ แบงก์ยักษ์รัสเซีย​ ออกสินทรัพย์ดิจิทัลของตัวเอง คาด!! เชื่อมโยงกับระบบการเงินจีนได้

Sberbank ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของรัสเซียได้ประกาศอนุมัติการออกสินทรัพย์ดิจิทัลทางการเงิน (Digital Financial Assets) บน Blockchain เป็นของตัวเองภายใน 1 เดือนต่อจากนี้ โดยจะใช้เทคฯ แบบ Defi มาผสมผสานบางส่วน และคาดว่าระบบเหล่านี้จะมีการเชื่อมโยงกับจีน ซึ่งอาจจะได้เห็นอย่างรวดเร็วต่อจากนี้

กระแส "โหดจัดรัสเซีย" ยังคงมีมาให้เห็นอย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว !! หลังจากล่าสุด Sberbank ซึ่งเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย ได้ประกาศอนุมัติการออกสินทรัพย์ดิจิทัลทางการเงินหรือ (Digital Financial Assets : DFAs) ที่รันผ่านระบบ Blockchain เป็นของตัวเองแล้ว !! ถือเป็นความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่มาก ซึ่งทาง World Maker สรุปรายละเอียดสำคัญไว้ดังนี้... 

1.) DFA ที่ออกบนแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัล (digital assets platform) ของ Sberbank นั้นจะถูกบันทึกและเผยแพร่ผ่านระบบข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (distributed ledger technology) ซึ่งถือเป็นการรับรองความปลอดภัยของข้อมูลและทำให้ข้อมูลไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้

2.) โดยทาง Sberbank จะใช้ DFAs นี้ในการทำธุรกรรมใหม่ รวมถึงการระดมทุนเข้าประเทศ และแน่นอนว่าจะมีการขยายระบบไปสู่ภาคธนาคารของรัสเซียหลายแห่งในอนาคต

3.) แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ จะเป็นไปตามข้อกฎหมายที่รัฐบาลรัสเซียรองรับแบบ 100% หรือพูดง่ายๆ คือ​ รัฐบาลรัสเซียตั้งใจสร้างระบบการชำระเงินใหม่ขึ้นมานั่นเอง

ตัวตนที่เลือนลาง!! หวนรำลึก SEATO องค์การ ‘เสือกระดาษ’ แห่งภูมิภาคอาเซียน

ตอนนี้หลายท่านอาจจะคุ้นหูกับคำว่า NATO ‘องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ’ (North Atlantic Treaty Organization) องค์กรความร่วมมือทางการเมืองและการทหารของประเทศค่ายเสรีประชาธิปไตย 

เชื่อว่าหลายท่านอาจจะไม่คุ้นกับองค์การ SEATO หรือ Southeast Asia Treaty Organization องค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ.) ซึ่งมีสถานะเป็นองค์การความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างประเทศของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่เคยถูกวิจารณ์ว่าเป็น ‘เสือกระดาษ’ ใช่ไหมครับ?

วันนี้เลยจะขอเล่าเรื่องราวขององค์การ SEATO ที่เปรียบเสมือนองค์การ NATO แห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (แต่แทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลย) ด้วยมีคำขอจากพี่สาวท่านหนึ่งใน เพจ FB ‘ดร.โญ มีเรื่องเล่า’ ซึ่งบอกมาว่า “อาจารย์คะ รบกวนเล่าที่มาของสนธิสัญญา อินโด-แปซิฟิก หน่อยได้มั้ยคะ ขอบคุณค่ะ”

จัดให้เลยครับ!! แต่ต้องขอเล่าเท้าความย้อนไปยุคหลังสงครามโลกที่สอง (ยุคสงครามเย็น) ซึ่งโลกถูกแบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจนคือ ขั้วสังคมนิยมคอมมิวนิสต์และขั้วประชาธิปไตย (และเผด็จการ) โดยองค์การ SEATO ถือเรื่องราวเป็นส่วนแรกของยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ตามรายละเอียดดังนี้...

องค์การ SEATO ซึ่งตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2497 มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการขยายตัวของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในช่วงสงครามเย็น เป็นส่วนหนึ่งของลัทธิทรูแมน (Truman Doctrine) ในการสร้างแนวร่วมเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ในระดับทวิภาคีและส่วนร่วมในสนธิสัญญาป้องกันระดับภูมิภาค

สนธิสัญญาและข้อตกลงเหล่านี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างพันธมิตรที่จะควบคุมอำนาจคอมมิวนิสต์ (ในกรณีของ SEATO คือคอมมิวนิสต์จีนหรือสาธารณรัฐประชาชนจีน) ซึ่งขยายแนวคิดในการป้องกันของกลุ่มประเทศที่ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยรองประธานาธิบดี Richard Nixon ในขณะนั้นสนับสนุนให้มีองค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมแห่งเอเชียตามแบบองค์การ NATO หลังจากกลับมาจากการเดินทางเยือนเอเชียปลายปี พ.ศ. 2496 จึงได้ใช้องค์การ NATO เป็นแบบอย่างในการจัดตั้งองค์การใหม่ โดยมีกองกำลังทหารของชาติสมาชิกซึ่งตั้งใจที่จะประสานการปฏิบัติร่วมกันในอันที่จะทำการป้องกันประเทศสมาชิกโดยรวม

การประชุมองค์การ SEATO ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์

องค์การ SEATO เป็นองค์การที่ก่อตั้งขึ้นตามสนธิสัญญามะนิลาในช่วงสงครามเย็น โดยมีการลงนามเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2497 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498 ประกอบด้วยสมาชิก 8 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ปากีสถาน, ไทย (ปี พ.ศ. 2497 จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้นได้ตัดสินใจลงนามในสนธิสัญญามะนิลา เพื่อเข้าร่วมเป็นสมาชิกขององค์การ SEATO) และฟิลิปปินส์

ประชาชนคนไทยเข้าแถว-ถือป้ายต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมคณะมนตรี SEATO ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม

ในภาคอารัมภบทของสัญญานี้ บรรดาประเทศสมาชิกต่างแสดงความปรารถนาที่จะประสานความพยายามของตนที่จะป้องกันร่วมกัน เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง โดยเฉพาะข้อ 4 ของสนธิสัญญาเป็นข้อสำคัญที่สุด คือ แต่ละประเทศภาคีคู่สัญญาตกลงเห็นพ้องกันว่า หากดินแดนของประเทศใดถูกรุกรานจากการโจมตีด้วยกำลังอาวุธ ประเทศภาคีทั้งหมดที่เหลือจะถือว่าเป็นอันตรายร่วมกัน และจะปฏิบัติการเพื่อเผชิญหน้ากับอันตรายร่วมกัน หรือถ้าหากพื้นที่ภายในเขตครอบคลุมของสนธิสัญญาถูกคุกคามด้วยประการใดๆ ประเทศภาคีทั้งหมดจะปรึกษากันในทันที เพื่อตกลงในมาตรการเพื่อการป้องกันร่วมกัน 

กองพันทหารพลร่ม กองทัพบกไทย ขณะร่วมพิธีสวนสนามในการฝึกร่วมขององค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (องค์การ SEATO) ภายใต้รหัสการฝึก ‘Firm Link’ กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2499 ณ จังหวัดพระนคร ประเทศไทย โดยผู้บังคับกองพันในขณะนั้นคือ พันโท เทียนชัย ศิริสัมพันธ์ (ยศสุดท้ายพลเอก)

อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วองค์การ SEATO ก็ประสบความล้มเหลวในการเข้าแทรกแซงความขัดแย้งในประเทศลาว และเวียดนาม เนื่องจากการตัดสินใจนั้นต้องการมติเอกฉันท์ แต่ฝรั่งเศสและฟิลิปปินส์กลับไม่เห็นด้วย

การประชุมคณะมนตรี SEATO ทั้งแปดประเทศ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม

ในการประชุมคณะมนตรี SEATO ครั้งที่ 1 (23-25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2498) ที่ประชุมตัดสินเลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ เพราะเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร มีนายพจน์ สารสิน จากประเทศไทย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการทั่วไป ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำอย่างเป็นทางการขององค์การ ตั้งแต่ พ.ศ. 2500 ถึง พ.ศ. 2507 (ปัจจุบันนี้บริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ขององค์การ ที่ถนนศรีอยุธยา ได้กลายเป็นที่ตั้งของกระทรวงการต่างประเทศของประเทศไทย) 

สาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติแทนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ในปี พ.ศ. 2514

อย่างไรก็ตาม เมื่อสหรัฐอเมริกาเปลี่ยนนโยบายต่างประเทศแบบสุดขั้ว ด้วยการรับรองสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติแทนสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) การดำเนินงานแบบเดิมขององค์การ SEATO จึงไม่ได้ผล และถูกลดบทบาทและระดับความสำคัญลงเรื่อยๆ จนถูกวิจารณ์ว่าเป็น ‘เสือกระดาษ’ กอปรกับภาคีหลายประเทศถอนตัว ในที่สุดรัฐบาลไทยและรัฐบาลฟิลิปปินส์ก็ได้ตกลงในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2518 ให้ยุบเลิกองค์การ SEATO

ไทยเกือบเหมือน 'ยูเครน' หากไร้ 'ปราชญ์แห่งสยาม' พลิกเกม!! หลังพลาดตามก้นเมกา ปล่อยตั้งฐานทัพบินถลาถล่มเพื่อนบ้าน

เป็นที่รู้กันว่า เหตุที่ยูเครนถูกรัสเซียถล่มในตอนนี้ ก็เพราะหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายในสมัยประธานาธิบดี มิคาอิล กอร์บาชอฟ แตกเป็นรัฐเล็กๆ ถึง ๑๕ รัฐ หลายรัฐได้หันเข้าไปหาชาติตะวันตก หวังจะให้ช่วยคุ้มกัน ยอมร่วมสนธิสัญญานาโต้ จึงค่อยๆ ขยายตัวโอบล้อมรัสเซียเข้ามา จนกระทั่งยูเครนที่รัสเซียหวังให้เป็นกันชน เมื่อประธานาธิบดีคนปัจจุบันที่มาจากคนดังแต่ยังอ่อนประสบการณ์ทางด้านการเมือง ก็จะเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ด้วย รัสเซียจึงยอมไม่ได้ที่จะให้นาโต้ที่ตั้งขึ้นมาก็เพื่อจะเล่นงานรัสเซียโดยเฉพาะ เอาอาวุธนิวเคลียร์เข้ามาตั้งจ่อคอ

ไทยเราก็เกือบเหมือนยูเครน เมื่อรัฐบาลยุคหนึ่งใช้นโยบาย “ตามก้นอเมริกา” ส่งทหารไปร่วมรบในเวียดนามแล้ว ยังยอมให้สหรัฐเข้ามาตั้งฐานทัพที่อู่ตะเภา, อุดรธานี, นครพนม, อุบล, โคราช, ตาคลี รวมทั้งดอนเมือง ส่งเครื่องบินรบทรงอานุภาพที่สุดเท่าที่มี ขนระเบิดไปถล่มเวียดนามเหนือและลาว สัปดาห์ละ ๘๗๕-๑,๕๐๐ เที่ยว เครื่องบินทิ้งระเบิด B-๕๒ เที่ยวหนึ่งขนได้ ๓๒ ตัน รบกันถึง ๑๙ ปี ๖ เดือน ไม่รู้ว่าถล่มระเบิดไปกี่ล้านตัน แต่ก็แพ้ ต้องถอนทหารกลับไป

แต่เมื่อสหรัฐต้องถอนทหารออกจากเวียดนามใต้ในเดือนเมษายน ๒๕๑๘ ก่อนหน้านั้นเพียงไม่กี่วัน ประเทศไทยก็ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ ๑๓ คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้เป็นปราชญ์ที่ลึกซึ้งทั้งประวัติศาสตร์และการเมือง ไม่ใช่มือใหม่หัดขับ อ่านสถานการณ์ได้ทะลุว่า ขืนล่มหัวจมท้ายกับอเมริกันต่อไปต้องถูกเวียดนามคิดบัญชีแน่

ในการแถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๑๘ นายกรัฐมนตรีจึงประกาศว่าปรารถนาจะสถาปนาการทูตระหว่างไทยจีนขึ้นใหม่ เป็นการส่งสัญญาณไปถึงจีนก่อน

ต่อจากนั้นในวันที่ ๓๐ มิถุนายน นายกรัฐมนตรีพร้อมด้วย พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ ก็บินเงียบฝ่ากฎหมายป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ไปพบผู้นำจีน ซึ่งทำให้โลกเสรีต้องตกตะลึง

การต้อนรับคณะนายกรัฐมนตรีไทยนั้น เป็นการต้อนรับที่ยิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์อย่างที่จีนไม่เคยต้อนรับใครมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจหรือมุขบุรุษของประเทศใด นอกจากได้เข้าพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีโจวเอนไล และรองนายกรัฐมนตรีเติ้งเสี่ยวผิงแล้ว ประธานเหมาเจ๋อตุงในวัยชรา ยังเพิ่มรายการพิเศษแหวกคิวกะทันหันให้ไปพบขณะพักผ่อนอยู่ที่บ้าน และคุยกันอย่างเป็นกันเองเป็นเวลายาวนาน ซึ่ง สละ ลิขิตกุล นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ผู้ติดตามคึกฤทธิ์บันทึกไว้ว่า

"ถึงใจพระเดชพระคุณ" อย่างผู้ใหญ่พูดกับลูกกับหลาน ถาม พล.ต.ชาติชายว่า “ไอ้หนูนี่เคยมาเมืองจีนแล้วไม่ใช่หรือ” ส่วน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ก็เรียก “ไอ้หนู” เหมือนกัน เข้ามากอดและตบบ่า เป็นการทูตแบบตะวันออกที่ตะวันตกไม่มีทางเข้าใจ
ก่อนหน้าที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์จะพาทีมไปจีนนั้น ได้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญขึ้นอย่างหนึ่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้ไทยได้ประกาศเปลี่ยนนโยบาย

ในวันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๑๘ หลังจากที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ ๑๙ มีนาคม ก็เกิด “กรณีมายาเกซ” ขึ้น เมื่อเรือสินค้าของสหรัฐอเมริกาชื่อ มายาเกซ บรรทุกเวชภัณฑ์และเสบียงจะมาท่าเรือสัตหีบ ขณะแล่นผ่านเข้าไปใกล้ชายฝั่งกัมพูชา ได้ถูกเรือปืนเขมรแดงยึดและจับลูกเรือเป็นประกัน สหรัฐจึงส่งนาวิกโยธินจำนวน ๑,๐๐๐ นายจากโอกินาวามายังฐานทัพอู่ตะเภา และเข้าไปชิงลูกเรือที่ถูกควบคุมอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งโดยมีเครื่องบินจากฐานทัพอุดรธานีและนครราชสีมาเข้าร่วม หลังจากรบกัน ๓ วันก็สามารถช่วยลูกเรือกลับมาได้ แต่ทหารสหรัฐเสียชีวิตไป ๔๐ คนและสูญหายไปอีกจำนวนหนึ่ง

เรื่องนี้เป็นข่าวดังไปทั่วโลก รัฐบาลไทยเห็นว่าสหรัฐใช้ดินแดนไทยไปปฏิบัติการในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ จึงได้เชิญอุปทูตสหรัฐมาพบ ประท้วงอย่างเป็นทางการต่อการกระทำของสหรัฐ และเรียกร้องให้สหรัฐถอนกำลังกลุ่มนี้ออกไปทันที

ต่อมาในวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศ ยังได้เชิญอุปทูตสหรัฐมาพบ เพื่อแจ้งอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลไทยจะทบทวนความร่วมมือและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐทั้งหมด และในวันเดียวกันก็มีคำสั่งให้เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงวอชิงตันเดินทางกลับกรุงเทพฯ แสดงความไม่พอใจในการกระทำในครั้งนี้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top