Saturday, 17 May 2025
Region

ชุมพร - ปลัดจังหวัดชุมพร นำทีมลงพื้นที่ตรวจกำกับติดตามงานในหน้าที่เชิงรุก 8 อำเภอ เพื่อขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาพัฒนาชุมพรให้สามารถหยุดยั้งโควิด-19 โดยฉีดวัคซีนครบไม่น้อยกว่า 70%

วันที่ 1 มิถุนายน 2564 นายพิทักษ์ พิศสิริวัฒนสุทธิ์ ปลัดจังหวัดชุมพรได้นำทีมที่ทำการปกครองจังหวัดชุมพร, ศอ.ปส.จ.ชพ., ศอ.จอส.พระราชทานจังหวัดชุมพร,หัวหน้าชุด ฉก.โชคชัย,ผบ.ร้อย อส.จ.ชพ.ที่1 รวมทั้งงานนิติการและสอบสวนได้ลงพื้นที่ตรวจกำกับและติดตามงานในหน้าที่ปลัดจังหวัด เพื่อให้การปฏิบัติราชการเป็นไปตามนโยบาย ระเบียบ กฎหมาย ข้อสั่งการ ของรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครองและ 5 วาระเร่งด่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ในพื้นที่ทั้ง 8 อําเภอ ดังนี้  วันที่ 31 พ.ค. - 4 มิ.ย. 2564 วันที 31 พ.ค.64 พื้นที่ อ.เมืองชุมพร , อ.สวี ,อ.ท่าเเซะ และ อ.ปะทิว วันที่  1 มิ.ย.64 พื้นที่ อ.ทุ่งตะโก และ อ.พะโต๊ะ  วันที่  4 มิ.ย.64 พื้นที่ อ.ละเเม และ อ.หลังสวน

โดยมีนายอำเภอ ปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ปกครอง สมาชิก อส. พนักงานราชการ ลูกจ้าง และลูกจ้าง(TST) ร่วมให้การต้อนรับและบรรยายสรุปผลการปฏิบัติราชการของแต่ละอำเภอ ซึ่งได้เน้นย้ำให้อำเภอปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกับนโยบายของ รัฐบาล ระเบียบ กฎหมาย หนังสือสั่งการของ กระทรวงมหาดไทย กรมการปกครอง และจังหวัดชุมพร อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะ 10 โครงการสำคัญสู่การเป็นกรมการปกครองวีถีใหม่ “10 Flagships to DOPA New Normal 2021" และในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19 ) ขอให้ร่วมมือ บูรณาการ สานพลังร่วมกันของหน่วยงานและภาคส่วนต่าง ๆ ในพื้นที่ (ชุมพรทีม) เฝ้าระวัง ป้องกันตามประกาศ คำสั่งและมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

โดยใช้กฎกติกาของหมู่บ้าน/ชุมชน การบังคับใช้กฎหมาย, การเร่งรัดลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ได้อย่างน้อย 70% ของจำนวนประชากร ,การตรวจคัดกรองหมู่บ้าน /ชุมชน( Re X -Ray) ในเชิงรุก,การขับเคลื่อน ศปก.อ./ทม. ,การเฝ้าระวังพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค เช่น ตลาด สถานประกอบการ ล้งผลไม้ แคมป์คนงาน ชุมชนแรงงานต่างด้าว และการหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย การลักลอบเล่นการพนัน ปัญหายาเสพติด การแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ เม.ย.64 เป็นต้น และการขับเคลื่อน วาระเร่งด่วน 5 วาระของจังหวัดชุมพร  ทั้งนี้ได้กำชับให้มีความสามัคคี “ปกครองทีม” ช่วยกันขับเคลื่อนพัฒนาและแก้ไขปัญหา การขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับจังหวัด งบเงินกู้ 405.6 ล้านบาท โดยใช้กลไก กบอ. กบต. ชปต.และ อปท.เพื่อให้ชุมพร เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น  เป็นประตูสู่ภาคใต้ ทุกครัวเรือนได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบรวมทั้งประชากรแฝง สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานราก/ท้องถิ่นและสังคมได้ภายใน ก.ย.64 นี้

ทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรได้ฝากเน้นย้ำการขับเคลื่อน 5 วาระเร่งด่วนซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงมหาดไทย ให้นายอำเภอเป็นผู้ขับเคลื่อนโดยใช้กลไกของปกครอง กลไกหมู่บ้านเพื่อให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลและให้วิเคราะห์สถานการณ์เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่โดยการร่วมมือบูรณาการสานพลังให้ชุดปฏิบัติการเคลื่อนที่เร็วลงพื้นที่แก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อให้ประชาชน “ทุกข์น้อยลง สุขมากขึ้น”


ภาพ/ข่าว  ธนากร โกศลเมธีรายงานศูนย์ข่าวสารจังหวัดชุมพร

เพชรบุรี - “ท็อป-วราวุธ” มอบสิ่งของช่วยเหลือชาวเพชรบุรี

วันที่ 4 มิถุนายน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พร้อมด้วย นายยุทธพล อังกินันทน์ ที่ปรึกษา รมว.ทส. นายธเนศพล ธนบุณยวัฒน์ เลขานุการ รมว.ทส. นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. และคณะผู้บริหาร ทส.ลงพื้นที่มอบสิ่งของสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์-ผู้ป่วย อาทิ ชุด PPE ,หน้ากากอนามัย (N95), Face Shield, พัดลม ,น้ำดื่มจำนวน 8,000 ขวด เป็นต้น เพื่อใช้ในการช่วยเหลือประชาชนที่เข้ามารักษาในโรงพยาบาลสนามทุกแห่งในจังหวัดเพชรบุรี พร้อมมอบถุงขยะสีแดงเพื่อใช้ในกิจกรรมคัดแยกขยะติดเชื้อในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยมี นางวันเพ็ญ มังศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี นายแพทย์เกรียงศักดิ์ คำอิ่ม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระจอมเกล้า หัวหน้าส่วนราชการ บุคลาการทางการแพทย์เป็นตัวแทนรับมอบ ณ โรงพยาบาลพระจอมเกล้า จ.เพชรบุรี

นายวราวุธ กล่าวว่าสิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้นอกจากสิ่งของที่จำเป็นแล้ว คือ กำลังใจ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งมอบสิ่งของเพื่อสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ และสิ่งของที่จำเป็นให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนในการผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน ขอให้ทุกคนรับรู้ข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ รวมถึงดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง และปฏิบัติตามคำแนะนำการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด

จากนั้น นายวราวุธ และคณะได้ร่วมส่งมอบ “โครงการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่น จังหวัดเพชรบุรี” บริเวณท่าเทียบเรือบางแก้ว และรับฟังผลการดำเนินงานโครงการปรับปรุงฟื้นฟูคลองเจ๊กสี และติดตามการดำเนินงานของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ร่วมปลูกต้นไม้ ณ อ.บ้านแหลม และ อ.ท่ายาง พร้อมกล่าวว่าโครงการปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นเพื่อรักษาชายฝั่งทะเล นับเป็นการทำความเข้าใจธรรมชาติที่ถือเป็นหัวใจสำคัญ ให้เราอยู่คู่ธรรมชาติ เพราะไม่มีอะไรใหญ่กว่าธรรมชาติ การรักษาธรรมชาติ ธรรมชาติจะเคียงข้างให้เราทำมาหากินได้อย่างยั่งยืน ภายใต้การรักษาระบบนิเวศน์และสิ่งแวดล้อม การช่วยบรรเทาปัญหาการกัดเซาะในอนาคตและช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลนให้มากขึ้น การปักไม้ไผ่ชะลอคลื่นจากกำลังแรงคนยังช่วยแก้ปัญหาการว่างงานได้อีกด้วย รวมถึงปัญหาขยะจากทะเลที่ทุกฝ่ายร่วมรณรงค์มาอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลให้ประเทศไทยลดลำดับจากอันดับที่ 6 ที่เป็นประเทศที่ทิ้งขยะมากที่สุดในระดับโลก วันนี้เราอยู่ลำดับที่ 10 ซึ่งเพชรบุรีเป็น 1 ใน 23 จังหวัดชายฝั่งที่ช่วยกันลดปริมาณขยะ และต้องสร้างจิตสำนึกการรณรงค์อย่างต่อเนื่องที่จะไม่ทิ้งปัญหาไว้ให้กับรุ่นลูกรุ่นหลาน

“นอกจากนั้นยังได้ห่วงถึงเรื่องน้ำอุปโภค บริโภค จากความร่วมมือของกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ที่สามารถเจาะ เจอน้ำในปริมาณมาก ประชาชนสามารถได้รับประโยชน์ มีน้ำใช้ เพื่อการอุปโภคบริโภคตลอดทั้งปี มีจุดให้บริการน้ำดื่ม มีชุดงวงช้างเอาไว้เติมน้ำบริการให้กับประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลออกไป ช่วยประหยัดเงินแบ่งเบาภาระให้กับพี่น้องประชาชน และให้ตระหนักถึงการใช้น้ำว่า น้ำบาดาลแต่ละหยดนั้น ยิ่งเจาะลึกลงไปเท่าไหร่ เปรียบเสมือน การทุบกระปุกเก่า ยิ่งเจาะลึก น้ำก็จะยิ่งเก่า ก็แปลว่าเป็นสมบัติเก่า ที่คนรุ่นปู่ย่าตาทวดนั้นได้เก็บเอาไว้ให้กับพวกเรา ดังนั้นน้ำแต่ละหยดที่นำขึ้นมาใช้ ก็ขอให้พี่น้องประชาชนได้ใช้กันอย่างคุ้มค่า” นายวราวุธ กล่าว


ภาพ/ข่าว  นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์ / 4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

สมุทรปราการ – รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แก่ผู้ต้องขังเรือนจำกลางสมุทรปราการ

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 3 มิ.ย.2564 ฯพณฯสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานปิดเปิดโครงการฉีดวัคซีนป้องกันโรค โควิด 19แก่ผู้ต้องขังเรือนจำกลางสมุทรปราการ โดยมี นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวรายงาน และนายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายยงยุทธ สุวรรณบุตร สส.สมุทรปราการ ร่วมงาน ณ เรือนจำกลางสมุทรปราการ

เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ภายในประเทศ พบมีประชาชนผู้ติดเชื้อจำนวนมาก อย่างรุนแรงและ เป็นวงกว้างและมีผู้ติดเชื้อบางรายถูกจับกุมและถูกส่งตัวเข้าฝากขังภายในเรือนจำตามกระบวนการยุติธรรมโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่ง ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ต่อกลุ่มผู้ต้องขังซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง และถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำอย่างแออัด จนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อการบริหารกิจการภายในเรือนจำ และกรมราชทัณฑ์ ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ลด ผลกระทบต่อการเจ็บป่วยรุนแรง หรือการเสียชีวิตของผู้ต้องขัง ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นต่อญาติผู้ต้องขังและสังคมภายนอก ว่ากรมราชทัณฑ์สามารถจะควบคุมสถานการณ์ได้ และสามารถให้การปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอย่างมีศักดิ์ศรี และคุณค่าความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับสังคมภายนอก เรือนจำกลางสมุทรปราการจึงได้จัดทำโครงการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส โควิด-19 แก่ผู้ต้องขังหญิงจำนวน 845 คนและผู้ต้องขังชายจำนวน 5,658คน เจ้าหน้าที่จำนวน 22 ราย รวมจำนวนทั้งสิ้น 6,525 คน โดยได้รับการสนับสนุนวัคซีนและบุคลากรจากกรมราชทัณฑ์กระทรวงยุติธรรม กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ และโรงพยาบาลบางบ่อ ในฐานะโรงพยาบาลแม่ข่าย ร่วมกับจังหวัดสมุทรปราการ ในการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขัง ระหว่างวันที่ 3-6 มิถุนายน 2564 รวมระยะเวลา 4 วัน หรือวันละประมาณ 1,800 คน

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้กล่าวว่า ต้องขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ของเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ ทุกคนที่ได้ร่วมกันวางมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำเป็นอย่างดี ทำให้ในขณะนี้ในเรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการ ยังไม่พบว่ามีผู้ต้องขับติดเชื้อโควิดแต่อย่างใด มีเพียงผู้ต้องขังแรกรับเท่านั้นที่ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อจำนวน 4 ราย และมีการส่งไปรักษาตัวตามกระบวนการ ทำให้ในปัจจุบันเชื้อโควิด-19 ไม่สามารถเข้าไประบาดภายในเรือนจำได้ ทำให้เรือนจำกลางจังหวัดสมุทรปราการเป็นเรือนจำสีขาวปลอดเชื้อโควิด-19 โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ผู้ต้องขังและเจ้าหน้าที่ในวันนี้ก็เป็นการสร้างความเชื้อมันให้กับเจ้าหน้าที่และตัวผู้ต้องขังรวมทั้งญาติของผู้ต้องขัง และสังคมภายในนอก ซึ่งถือว่าเป็นนโยบายหลักของกระทรวงยุติธรรม

 


ภาพ/ข่าว ก๊วก สมุทรปราการ

นนทบุรี - ช่วงโควิด-19 หลายธุรกิจหยุดชะงัก แวะมาดูอินทผลัมออแกนิกของเกษตรกรชาวนนทบุรี สร้างศูนย์เรียนรู้ ท่องเที่ยวเชิงเกษตรใกล้กรุงฯที่จังหวัดนนทบุรี

สวนอินทผลัม ปามี 98 ต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี สวนของ คุณสุเทพ กังเกียรติกุล ชาวสวนอินทผลัมออแกนิก เที่ยวเชิงเกษตร ใช้ที่ดินกว่า 100 ไร่ ปลูกอินทผลัม ทุเรียน และสมุนไพรอื่นๆเพื่อให้ที่นี่เป็นแหล่งเรียนรู้ทางเกษตร ชนิดที่ว่าเข้าแล้วจะอิ่มเอมกับความบริสุทธิ์ของวิถีชาวสวนและสนุกกับการเดินข้ามท้องร่องในสวนบนบรรยากาศที่เป็นระเบียบน่ามองน่าชมเกษตรกรนนทบุรี ปลูกอินทผลัมกินผลสด ผลผลิตมากคุณภาพ ขายได้ราคาดี ผลใกล้สุกแล้วปลายเดือนมิถุนายนนี้ 

สำหรับสวนอินทผลัมออออแกนิก นายสุเทพ กังเกียรติกุล หรือ“ ปามี 98 “ แห่งนี้ได้ความสนใจจากประชาชนมาท่องเที่ยวเชิงเกษตรอย่างมากมาย เนื่องจากเป็นพืชนี้มีราคาดี รสชาติหวาน กรอบ อร่อย และยังเป็นพืชที่ให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากและให้พลังงานสูง

อินทผลัม เป็นพืชตระกูลปาล์ม มีหลากหลายสายพันธุ์ มีถิ่นกำเนิดในแถบตะวันออกกลาง โดยสามารถเจริญเติบโตได้ดีในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนและแห้งแบบทะเลทราย ลำต้นมีความสูงได้ถึงประมาณ 30 เมตร โดยใบติดอยู่บนต้น 40-60 ก้าน ทางใบยาว 3-4 เมตร มีลักษณะเป็นแบบขนนก ใบย่อยพุ่งออกหลายทิศทาง ช่อดอกของอินทผลัมจะออกจากโคนใบ เมื่อติดผลลักษณะของผลเป็นรูปทรงรี ยาวประมาณ 2-4 เซนติเมตร มีรสหวานฉ่ำ รับประทานได้ทั้งผลสดและสุก ซึ่งผลจะมีสีเหลืองถึงสีส้มและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลถึงสีน้ำตาลเข้มเมื่อแก่จัด โดยผลสุกจะนิยมนำไปตากแห้ง

คุณสุเทพ กังเกียรติกุล ชาวสวนอินทผลัมออแกนิก เที่ยวเชิงเกษตรกล่าวว่า “เห็นถึงลักษณะพิเศษของอินทผลัม จึงได้นำมาทดลองปลูกภายในสวน จนประสบผลสำเร็จ ทำให้ในเวลานี้ที่ สวนอินทผลัมออออแกนิก นายสุเทพ กังเกียรติกุล หรือ“ ปามี 98 “มีผลผลิตอินทผลัมเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาด พร้อมทั้งแต่ละปีมีผลผลิตคุณภาพออกสู่ตลาดเป็นที่ถูกใจของลูกค้าไม่น้อยทีเดียว

สำหรับผู้ที่สนใจ อยากจะปลูก ก็สามารถเข้ามาเรียนรู้ที่สวนเราได้ หรืออยากจะลองชิม หรือศูนย์เรียนรู้ได้ที่ ชาวสวนอินทผลัมออแกนิก เที่ยวเชิงเกษตร  เลขที่ 98 ต.บ้านใหม่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี  สวนของ คุณสุเทพ กังเกียรติกุล ได้ทุกเวลา

สตูล - ร.5 พัน.2 จัดกิจกรรมจิตอาสา “มีแล้วแบ่งปัน” ตามนโยบายของ ทบ.

พ.อ.ศุภชัย สงสังข์ ผบ.ร.5 พัน.2 และ คุณณัฐวิภา สงสังข์ ประธานสมาคมแม่บ้าน ทบ. สาขา ร.5 พัน.2 พร้อมด้วยกำลังพลและสมาชิกแม่บ้านจิตอาสาพระราชทานของหน่วย ร่วมกับ ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ บ้านวังพะเนียด จัดกิจกรรมจิตอาสา “มีแล้วแบ่งปัน” ตามนโยบายของ ทบ. เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี

โดยดำเนินการจัดตั้งรถครัวสนามประกอบอาหารปรุงสุก แจกให้ประชาชนพร้อมทั้งน้ำดื่ม หน้ากากอนามัย และเจลแอลกอฮอล์ล้างมือให้แก่ผู้ที่เดินทางมารอรับ พร้อมนำอาหารปรุกสุก อุปกรณ์ป้องกันโรคโควิด ถุงยังชีพ และยาเวชภัณฑ์ ไปมอบให้แก่ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ด้อยโอกาส ตามโครงการ Army Delivery เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคไวรัส Covid-19  เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แสดงออกถึงความจงรักภักดี และน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ณ ม.5 บ้านวังพะเนียด ต.เกตรี อ.เมือง จ.สตูล


ภาพ/ข่าว  นิตยา แสงมณี  ผู้สื่อข่าวประจำจังหวัดสตูล

สงขลา - ม.อ. พร้อม !! เตรียมพื้นที่ฉีดวัคซีนโควิด-19 ดีเดย์ 7 มิ.ย. นี้ รองรับ 1,000-2,000 คนต่อวัน

ผศ. ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พร้อมด้วย นายแพทย์บุญประสิทธิ์ กฤตย์ประชา รองอธิการบดีฝ่ายทรัพยากรบุคคลและพัฒนาคุณภาพ รองศาสตราจารย์ นพ.เรืองศักดิ์ ลีธนาภรณ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ นพ.กิตติพงศ์ เรียบร้อย รองคณบดีฝ่ายโรงพยาบาลและผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พญ.ธารทิพย์ แสงสุวรรณ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายส่งเสริมสุขภาพบุคลากร ตลอดจนทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมถวายสักการะ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์ พร้อมเยี่ยมชมและให้กำลังใจบุคลากรทางการแพทย์ในการทดลองระบบการให้บริการฉีดวัคซีนกับประชาชนกลุ่มสูงอายุ และ 7 กลุ่มเสี่ยงฯ ณ ศูนย์กีฬาและสุขภาพ (โรงยิม) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

ผศ. ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ในสภาวการณ์ที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การฉีดวัคซีนถือเป็นการป้องกันการติดเชื้อ ควบคู่กับมาตรการการป้องกันอย่างเข้มงวด ซึ่งมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้ดำเนินการในการช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อมาตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปีนี้ที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนัก ได้มีการเปิดโรงพยาบาลสนามรวม 4 วิทยาเขต ขอบคุณทีมแพทย์ พยาบาล และบุคลากรทุกคนที่ร่วมกันทำงาน ถือเป็นความเสียสละและความตั้งใจที่จะช่วยเหลือสังคม ตามปณิธานของมหาวิทยาลัย “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง" ขอให้ทุกคนปฎิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เพื่อดูแลประชาชน ตลอดจนบุคลากร และนักศึกษาที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีน มหาวิทยาลัยมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะทำงานร่วมกับทุกฝ่าย เพื่อสนับสนุนภารกิจการฉีดวัคซีนให้ลุล่วงไปด้วยดี

โดยในวันนี้ (4 มิ.ย. 64) เป็นการให้บริการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แก่บุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ และเพื่อเตรียมความพร้อมของบุคลากรที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั่วไป สำหรับกลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รวมถึงผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง 7 โรค ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง, โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคไตเรื้อรัง, โรคระบบประสาท, โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนเลือกโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ และได้วัน-เวลา รับวัคซีนในระบบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะเริ่มทำการฉีดวัคซีนวันแรกในวันที่ 7 มิถุนายน 2564 โดยผู้มารับวัคซีนควรมา ณ สถานที่ฉีดก่อนเวลา 30 นาที ตามวันและเวลาที่นัดไว้ นำบัตรประชาชนพร้อมใบยินยอมฯ ที่กรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว หากยังไม่มี สามารถดาวน์โหลดใบยินยอมได้ที่ http://medinfo2.psu.ac.th/pr/consent_vaccine.pdf หรือ QR Code และผู้รับวัคซีนควรแต่งกายด้วยชุดที่สะดวกต่อการฉีดวัคซีน (สามารถเปิดแขนได้สะดวก)

สำหรับขั้นตอนการฉีดวัคซีนโควิด-19 จะมีขั้นตอนตั้งแต่การเตรียมเอกสาร (ใบยินยอมฯ / ประวัติ),ลงทะเบียน (โดยใช้บัตรประชาชน), วัดไข้ / ความดัน / ชีพจร, ซักประวัติ / บันทึกข้อมูล, รอฉีดวัคซีน, ฉีดวัคซีน, พักสังเกตอาการ 30 นาที, รับบัตรนัดเข็มที่ 2 / เอกสาร

โดยผู้รับวัคซีนที่มีวันและเวลานัดกับทางโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ให้เดินทางไปรับวัคซีนได้ที่ ศูนย์กีฬาและสุขภาพ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มีการจัดสถานที่สำหรับจอดรถไว้รองรับผู้ฉีดวัคซีนไว้ ณ ลานจอดรถโรงยิมและริมถนนโดยรอบ หรือประชาชนทั่วไปที่เดินทางมาด้วยรถสาธารณะ มีรถรับ – ส่ง บริเวณศาลารอรถตรงข้ามร้านกาแฟ บินหลาบลู (ด้านข้างโรงพยาบาลสงขลานครินทร์) ซึ่งรถจะวนมารับทุก ๆ 30 นาที นอกจากนี้ ผู้ป่วยรถเข็น พระภิกษุสงฆ์ และผู้พิการ สามารถวนรถเพื่อส่งผู้รับวัคซีนได้ ณ ทางเข้าตรงข้ามโรงช้าง และจอดรถบริเวณลานจอดรถตรงข้ามโรงช้าง ทั้งนี้ ผู้รับวัคซีนควรเตรียมตัวให้พร้อม พักผ่อนให้เพียงพอ และปฏิบัติตามคำแนะนำก่อน – หลัง การรับวัคซีน

หากผู้รับวัคซีนมีอาการที่สงสัยว่าเป็นอาการแพ้วัคซีน เช่น ผื่น ลมพิษ ปากบวม ตาบวม หน้ามือ เยื่อบุจมูกอักเสบ อาเจียน ปวดท้อง แน่นหน้าอก หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอาการข้างเคียงหรือแพ้ สามารถโทรสอบถามได้ที่

- ศูนย์เภสัชสนเทศ โทร.074-451314 เวลาทำการ 08.30 – 16.30 น.

- ห้องยาผู้ป่วยนอก โทร.074-451303 เวลาทำการ 08.30 – 16.30 น.

- ห้องยาฉุกเฉิน โทร.074-451309 ตลอด 24 ชั่วโมง

สมุทรปราการ - ปิดชั่วคราว ! ตลาดสดหนามแดง หลังพบผู้ติดเชื้อโควิด เจ้าหน้าที่เร่งทำความสะอาดพ่นยาฆ่าเชื้อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน

ที่บริเวณตลาดสดหนามแดง หรือ ตลาดเทพประธาน (หนามแดง) อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ได้ทำการปิดตลาดชั่วคราว หลังพบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในตลาดสดแห่งนี้  โดยมีการติดป้ายพร้อมด้วยแผงเหล็กกั้นมาปิดกั้นบริเวณทางเข้า-ออก เพื่อปิดทำความสะอาด และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการและประชาชน ที่เดินทางมาใช้บริการยังตลาดเทพประธานแห่งนี้

โดยนาย วชิรเชษฐ์ รุ่งธวัฒน์วงศ์ นายกเทศมนตรีตำบลเทพารักษ์  หลังจากได้ทราบว่าตลาดเทพประธาน (หนามแดง) พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จึงมีความห่วงใยผู้ประกอบการและประชาชนในเขตพื้นที่รวมถึงประชาชนทั่วไป  ที่เดินทางมาจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าภายในตลาดแห่งนี้  จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการล้างทำความสะอาดภายในตลาดเทพประธาน  และฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างเร่งด่วน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนที่มาใช้บริการยังตลาดสดแห่งนี้

ด้านนาย ชาตรี อยู่วัฒนะ ในฐานะผู้บริหารตลาดเทพประธาน (หนามแดง) หรือตลาดสดหนามแดง กล่าวว่า หลังพบว่าตลาดเทพประธานมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 จึงได้ทำการสั่งปิดตลาดชั่วคราวเพื่อล้างทำความสะอาด จากนั้นทางเจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลเทพารักษ์  ภายใต้การอำนวยการของนาย  วชิรเชษฐ์  รุ่งธวัฒน์วงศ์  นายกเทศมนตรีตำบลเทพารักษ์  รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายโดยมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนจึงได้ร่วมลงพื้นที่ล้างทำความสะอาดและฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในตลาดเทพประธาน โดยมีนาย ธนะสิทธิ์ วงษ์แก้วบุญเรือน รองประธานสภาเทศบาลตำบลเทพารักษ์ พร้อมด้วย  สมาชิกสภาเทศบาลตำบลเทพารักษ์ นายกิตติพงษ์  อยู่วัฒนะ ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 2 และคณะเจ้าหน้าที่กองสาธารณสุข  ร่วมลงพื้นที่ล้างทำความสะอาด รวมทั้งฉีดพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อภายในบริเวณตลาดและพื้นที่โดยรอบ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนผู้พักอาศัย และประชาชนทั่วไปที่เดินทางมาใช้บริการรวมถึงผู้ประกอบการ

อีกทั้งยังมีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่เดินทางมาจับจ่ายเลือกซื้อสินค้าภายในตลาดเทพประธานแห่งนี้ หลังจากที่ทำการปิดตลาดเพื่อล้างทำความสะอาดเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น คาดว่าตลาดเทพประธาน หรือ ตลาดสดหนามแดง  จะกับมาเปิดให้บริการตามปกติอีกครั้งภายในวันที่ 12 มิถุนายน 2564


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

ราชบุรี- ชาวมอญนครชุมน์ ปั้นตุ๊กตาเสียกระบาลลอยน้ำ ปัดรังควานโรคโควิด-19

ชุมชนชาวไทยเชื้อสายมอญ ต.นครชุมน์ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี จัดพิธีเทาะฮะป่านโหน่ก ทิ้งกระบาลใหญ่ โดยปั้นตุ๊กตาเสียกระบานขับไล่โรคห่า (โควิด) และโรคภัยต่าง ๆ นำไปลอยน้ำและทางสามแพร่ง ตามประเพณีความเชื่อหลงเหลืออยู่

ที่ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมอาหารมอญ  ต.นครชุมน์ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ชาวบ้านผู้สูงอายุ เป็นชาวไทยเชื้อสายมอญ ที่ได้มาตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ริมแม่น้ำแม่กลองมาแต่สมัยโบราณของบรรพบุรุษ  ซึ่งนำพิธีกรรมและความเชื่อต่าง ๆ มาใช้ในช่วงที่สำคัญของการเกิดสถานการณ์ที่ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจที่ดีให้แก่ชาวบ้านในชุมชนตามประเพณี ทุก ๆ ปีจะมีชาวบ้านมาช่วยกันจัดกิจกรรมในช่วงเดือน 7 ร่วมกันนั่งปั้นหุ่นตุ๊กตาเสียกระบานเป็นรูป ตุ๊กตา คน วัว ควาย สัตว์เลี้ยง   เพื่อนำไปประกอบพิธีกรรม ใส่กระธงทิ้งบริเวณทางสามแพร่ง และสร้างแพลอยน้ำ ตามความเชื่อ เพื่อให้โรคภัยต่าง ๆ โรคเฉพาะโรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดรุ่นแรงอยู่ในขณะนี้  หมดหายไปจากแผ่นดิน ถือเป็นประเพณีที่ชาวมอญนครชุมน์ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน

นายคมสรร จับจุ ประธานกลุ่มอนุรักษ์มอญนครชุมน์ และรองประธานสภาวัฒนธรรม ต.นครชุมน์   กล่าวว่า เป็นวิถีทางตามความเชื่อ  1 ปี จัดเพียงครั้งเดียว  ช่วงเดือน 7 ชาวมอญเมืองนครชุมน์  ยังมีความเชื่อแบบดั้งเดิมอยู่ เพราะเชื่อมาแต่ครั้ง ปู่ ย่าตา ยาย แล้วว่า พอถึงเดือน 7 จะต้องมีพิธีกรรมนี้คือ การหนีภัยจากโรคร้าย ทางชาวมอญ จะเรียกว่าทิ้งกระบาลใหญ่ หรือเรียกว่า “ เทาะฮะป่านโหน่ก ”  เทาะฮะป่านก็คือการทิ้งกระบาล ส่วนโหน่ก หมายถึง เป็นพิเศษ ด้วยความกลัวภัยจากโรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้น จึงมีการปั้นหุ่นตุ๊กตาเสียกระบาลจากแป้งข้าวเจ้า เป็นรูปตัวคน สัตว์เลี้ยง ช้าง ม้า วัว ควาย เพราะเชื่อกันว่า บ้านมีทั้งสัตว์เลี้ยง คน ลูกหลาน  บ้านหลังหนึ่งมีคนกี่คนก็จะปั้นตุ๊กตาตามจำนวน มีสัตว์เลี้ยงกี่ตัวก็จะปั้นเท่านั้น จากการร่วมใจในชุมชนช่วยกันปีละครั้งสร้างแพขึ้นมา 2  ลำ โดยลำหนึ่งจะต้องไปทิ้งตรงทางสามแพร่ง ที่ไปทางทุ่ง ส่วนอีกลำต้องไปลอยทางน้ำ

พิธีจัดขึ้นที่ทางสามแพร่งกลางหมู่บ้าน โดยใช้ผู้ทำพิธีกรรมเป็นคนปัดเป่าภยันตรายต่าง ๆ ทั้งหมดบอกว่า “ พวกเราจะหนีขึ้นแพไปแล้วนะเจ้าโรคร้าย ตามไปกินหุ่นพวกนี้ ตามไปกินคนในแพ  เพราะว่าแพนี้จะไปมหาสมุทร ” เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ในขณะที่ทุกคนเดือดร้อน เกิดความทุกข์จากความเศร้าจากโรคต่าง ๆ เพราะว่าสมัยก่อนจะมีโรคห่า หรือ อหิวาตกโรค ทำร้ายผู้คนตายในสมัยอดีตที่ผ่านมา เช่น สมัยเมืองหริภุญชัย จ.ลำพูน ชาวมอญที่ลำพูนแทบจะร้างเพราะหนีโรคห่าไปเมืองหงสาวดีกันหมด นอกจากนี้ยังมีสมัยพุทธกาลได้เกิดโรคห่าระบาดเหมือนกัน ต้องมีการปัดเป่าปัดรังควานด้วยพุทธมนต์เป็นบทสวดเฉพาะของเรื่องการกำจัดโรคภัยนี้ ในชุมชนที่นี่ก็เหมือนกัน ปีนี้ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ไม่ได้มีการรวมคนกันมากนัก เอาที่สะดวกพอทำได้เสร็จพิธีกรรม มีการเว้นระยะห่างพอสมควร เพื่อให้ขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ยังคงอยู่ต่อไปให้ลูกหลานรู้ว่า นี่คือวิธีการเรียกขวัญให้กับคนชุมชน ให้กับลูกหลาน ในขณะที่กำลังมีภัยจากโรคระบาด หรือภัยพิบัติต่าง ๆ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กลับคืนมา

นายคมสรร จับจุ ประธานกลุ่มอนุรักษ์มอญนครชุมน์ และรองประธานสภาวัฒนธรรม ต.นครชุมน์ กล่าวอีกว่า  สำหรับปีนี้สถานการณ์ยิ่งชัดเจน ชาวบ้านได้นำเงินมาร่วม เพราะทุกคนกลัว ได้เงินแต่ละบ้านช่วยกันบ้านละ 10 - 20 บาท ได้เงินกว่า 2,000 บาท ช่วยค่าแป้ง ค่าขนมจีน  ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ช่วยเครื่องคาวต่าง ๆ เพื่อนำมาประกอบพิธี ให้งานสำเร็จลุล่วงไป  และยังมีการทำอาหารไปเลี้ยงพระด้วย เป็นงานบุญที่ชาวบ้านร่วมด้วยช่วยกัน  เรื่องนี้ถือเป็นวิถีดั้งเดิมของชาวมอญ และเป็นความเชื่อ เช่น หากเกิดทุกข์ภัยเล็ก ๆ  ก็จะบอกว่าผีมาเข้า ผีมาสิง  ก็จะทิ้งกระบาลเล็ก คือการเรียกขวัญให้ขวัญนั้นกลับมาไม่ให้ตกใจ  ยิ่งในตอนเด็กจะเล่นตุ๊กตาแบบนี้ไม่ได้ เขาบอกว่าจะมีสื่อทางวิญญาณ หรือสื่อที่มองไม่เห็นอยู่ในรูปปั้นที่เหมือนคน หรือเหมือนสัตว์ต่าง ๆ เด็กมอญจะไม่มีโอกาสได้ปั้นเล่นแบบนี้  แต่หากเกี่ยวกับความเชื่อจริง ๆ เพื่อหนีโรคร้าย โรคภัยจากโรคระบาด สามารถมาปั้นได้ โดยตั้งแต่เกิดโรคโควิด-19 มานั้น ในชุมชนนครชุมน์ยังไม่มีใครติดโรคโควิด -19  ในหมู่บ้านเลย จากการได้พบเจอ น้อยนักที่จัดทำพิธีกรรมแบบนี้ อาจจะเหลือไม่กี่ที่แล้วในประเทศไทย เพราะชุมชนมอญนครชุมน์ มีรากเหง้ากันมาในสมัยหงสาวดี มีต้นตระกูลหรือบรรพบุรุษได้นำเอาสรรพวิชาความรู้ และภูมิปัญญากลับมาทางนี้หมดแล้ว โดยการย้ายถิ่นขนานแท้ ได้ทั้งเรื่องของความเชื่อ รวมทั้งพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ทั้งการนับถือผี ยังมีการนับถือพุทธ ที่ยังชัดเจนอยู่ และยังยึดมั่นอยู่อย่างมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับการจัดพิธีกรรมปั้นหุ่นตุ๊กตาเสียกระบาล คน สัตว์เลี้ยง ขับไล่โรคภัย ของชาวบ้านนครชุมน์แห่งนี้ สื่อให้เห็นความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจ การแสดงออกถึงวัฒนธรรมประเพณีที่ยังคงมีการสืบทอดต่อจากรุ่นสู่รุ่น ทั้งการทำอาหาร การละเล่นของชาวมอญ และการจัดพิธีกรรมตามความเชื่อ โดยความมุ่งหวังเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจของชาวบ้านให้กลับคืนมา และหวังให้โรคร้ายหมดไปจากแผ่นดินโดยเร็ว


ภาพ/ข่าว  ตาเป้ จ.ราชบุรี

กรุงเทพฯ - นิพนธ์ ลงพื้นที่คลองเตย ร่วมผู้บริหารเนชั่น นำถุงยังชีพมูลนิธิม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และมูลนิธิเนชั่น พร้อมส่งกำลังใจให้ผ่านพ้นวิกฤตโควิดฯ"

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 6 มิถุนายน 2564 ที่โรงเรียนสามัคคีสงเคราะห์ นายนิพนธ์  บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะกรรมการมูลนิธิหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช ร่วมกับคุณฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริหารบริษัทเนชั่นมัลติมีเดียกรุ๊ป น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และนางกรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขตคลองเตย - วัฒนา พรรคพลังประชารัฐ  ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพ ซึ่งประกอบไปด้วย ข้าวสารขนาดบรรจุ 5 กก. อาหารแห้ง น้ำดื่ม หน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ เครื่องอุปโภค สิ่งของจำเป็นจากมูลนิธิ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ให้กับชาวชุมชนโรงหมู เขตคลองเตย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งชุมชนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19

นายนิพนธ์ กล่าวว่า "การลงพื้นที่ครั้งนี้เพื่อหวังส่งกำลังใจให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ชุมชนคลองเตย ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดฯ อย่างมาก โดยได้นำสิ่งของเพื่อการบริโภคอุปโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวันมามอบให้ ซึ่งมูลนิธิเสนีย์ฯ และ มูลนิธิเนชั่น ได้ร่วมกันนำมามอบให้แก่พี่น้องประชาชนถึงพื้นที่อยู่อาศัยอีกด้วย ทั้งนี้สถานการณ์ต่างๆยังคงต้องเฝ้าระวังอยู่อย่างต่อเนื่อง พี่น้องประชาชนต้องให้ความร่วมมือการ์ดต้องไม่ตก โดยรัฐบาลยังคงทำงานอย่างจริงจังเพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ให้คลี่คลายและให้เกิดผลกระทบที่สร้างความลำบากต่อพี่น้องประชาชนให้น้อยที่สุดเพื่อให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้โดยเร็ว"

ราชบุรี - ฮือฮา !! เจ้าของร้านถ่ายรูปโชว์ ‘มอนสเตอร่าด่างมิ้นต์’ ราคานับล้าน

เจ้าของร้านสตูดิโอถ่ายภาพชาวอำเภอปากท่อ โชว์ "มอนสเตอร่าด่างมิ้นต์" ฉายาราชินีแห่งไม้ใบ ต้นไม้ฟอกอากาศที่กำลังเป็นกระแสและมีคนนิยมหันมาให้ความสนใจซื้อไปปลูกกันเป็นจำนวนมาก หลังมีการซื้อขายสูงถึง 1.4 ล้าน ล่าสุดมีคนมาเสนอราคามากกว่าครึ่งล้าน

(7 มิ.ย. 2564) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกโซเชียลกำลังฮือฮา กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชนัญญา า. ร้านสวนปลูกรัก ภายในตลาดต้นไม้อินโดจีน การ์เด้น ต.สมอแข อ.เมืองพิษณุโลก ของ นางวรรณา นางบวช และ น.ส.ชนัญญา มีสุวรรณ หรือ น้องนุ่น อายุ 19 ปี สองแม่ลูก เจ้าของร้าน ที่ได้โพสต์ขายต้นไม้มอนสเตอร่า พันธุ์ด่างมิ้นต์ โดยระบุข้อความว่า "มาส่งน้องวันนี้ 1.4 M มารับเงินเต็ม ส่งถึงมือ ขอบคุณคุณพี่ค้าบบบ monstera deliciosa mint" พร้อมแนบสลิปโอนเงินจำนวน 1.32 ล้านบาท หลังจากโพสต์ขายเพียงวันเดียว แต่กลับมีคนสนใจติดต่อขอซื้อไปในราคา 1 ล้าน 4 แสนบาท และโอนเงินมัดจำเอาไว้ 8 หมื่นบาท ก่อนจะขับรถเดินทางไปส่งให้ถึงมือลูกค้าที่ กทม. พร้อมรับเงินโอนเข้าบัญชีธนาคารอีกจำนวนที่เหลือทั้งหมด จนกลายเป็นที่ฮือฮา

ล่าสุดพบการเลี้ยง "มอนสเตอร่าด่างมิ้นต์” อีกที่ 1 กำลังเป็นที่สนใจในสื่อต่าง ๆ หลังมีการออกมานำเสนอ เจ้าของร้านถ่ายภาพ และผู้สื่อข่าวท้องถิ่นหัวเขียว ที่อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี ที่นำ "มอนสเตอร่าด่างมิ้นต์” ที่เลี้ยงไว้ดูเล่นภายในสวนเกษตรของตนเอง แต่กลายเป็นกระแสจึงนำมาเลี้ยงดูภายในบ้าน เนื่องจากหวั่นถูกขโมย เพราะต้นไม้กำลังได้รับความนิยมและมีราคาแพง

ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางได้ที่ร้านถ่ายรูปดังกล่าว ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษมสายเก่า สมุทรสงคราม – ปากท่อ ตรงข้ามหน้าที่ว่าการอำเภอปากท่อ เลขที่ 191 หมู่ 8 ต.ปากท่อ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี จังหวัดราชบุรี พบกับนายสมศักดิ์ สุกเกลี้ยง อายุ 69 ปี เจ้าของสตูดิโอถ่ายภาพเมืองทอง และยังเป็นผู้สื่อข่าวฉบับหัวเขียว

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนได้ทดลองเลี้ยงต้น "มอนสเตอร่าด่างมิ้นต์” โดยดูแลมาเพียง 6 เดือน แรกเริ่มเดิมทีตนเป็นคนทำสวน ทำไร่ ชอบปลูกต้นไม้อยู่แล้ว ประกอบกับอายุที่มากขึ้น และลูกโตแล้วพอที่จะดูแลกิจการและทำข่าวแทนได้ จึงได้หันมาเป็นชาวสวนชาวไร่ เพื่อเป็นการพักผ่อน จนกระทั่งเห็นกระแสนิยมของต้น "มอนสเตอร่าด่างมิ้นต์ ราชินีแห่งไม้ใบ มีการซื้อขายกันนับล้านบาท และมีคนนิยมเลี้ยงกันเยอะมาก อีกทั้งยังมีคุณสมบัติพิเศษสามารถฟอกอากาศได้ด้วย ตนจึงมีความสนใจอยากจะลองปลูกและเลี้ยงดู ไม่ได้หวังจะเลี้ยงเพื่อเป็นการค้าอะไร เห็นว่าใบมีความสวยงาม และก่อนหน้านี้เลี้ยงอยู่ในกระถางวางไว้ที่สวน ดูแลรดน้ำตามปกติ พอมีกระแสข่าว กลัวว่าจะมีผู้ไม่หวังดีมายืมแบบไม่บอกกล่าวเอาไป (ขโมย) จึงได้นำกลับมาเลี้ยงที่ร้าน ตั้งอยู่ตรงโต๊ะทำงานในร้านคนผ่านไปผ่านมาก็จะเห็นอย่างเด่นชัด

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การเลี้ยงต้นไม้ชนิดนี้จะมีความสนุกอย่างหนึ่ง คือเราจะได้ลุ้นทุกครั้งที่ใบของมันจะคลายออกจากม้วนว่าจะมีลวดลายด่างสวยงามขนาดไหน ถึงขนาดมีบางคนเคยพูดไว้ว่า ปลูกต้นไม้ชนิดนี้ต้องมีดวงและวาสนาด้วยถึงจะได้เห็นใบด่างของมัน ตนได้ซื้อต้นนี้มาเมื่อ 6 เดือนก่อน มีแต่หน่อและใบม้วนขนาดเล็กเท่านั้น แต่เมื่อตนเลี้ยงดูแลเขามาเรื่อยๆ จนใบเริ่มคลายม้วนและมีลายด่างให้เห็น จนออกมา 5 ใบ ตนก็เฉยๆไม่ได้คาดหวังหรือคิดอะไรดูแลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งออกใบที่ 6 และเริ่มคลายม้วนออกมามีลายด่างมิ้นสวยงามเต็มใบ มีลำต้นและใบสีสันเขียวสดใส ลวดลายของใบเป็นด่างมิ้นสลับขาว มีใบทั้งหมด 6 ใบ ใบใหญ่สุดยาวขนาดประมาณ 60 ซม. กว้าง 40 ซม.

หลังจากมีคนทราบข่าวจากสื่อต่าง ๆ ว่าตนปลูก "มอนสเตอร่าด่างมิ้นต์” แวะเวียนเข้ามาขอชม เพราะให้เหตุผลว่า สวยสะดุดตามาก ล่าสุดมีคนเสนอราคาให้กับตนจำนวน 5 แสนบาท และอีกรายล่าสุดมาเสนอให้เกือบ 1 ล้านบาท ซึ่งตนเองก็ขอดูไว้ก่อน เพราะแต่ตอนนี้ "มอนสเตอร่าด่างมิ้นต์”กำลังออกด่างอย่างสวยงาม หากเจริญเต็มที่ก็จะกางใบหงายขึ้นสวยงามอีก ซึ่งราคาต้องไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านแน่นอน จึงขอตัดสินใจอยู่ว่า จะขายหรือเก็บไว้เพื่อดูแลต่อไปดี เพราะใจหนึ่งตนก็อยากขายแต่อีกใจก็เสียดาย เพราะถือว่าหายากมาก

สำหรับใครสนใจที่จะศึกษา หรือ มาชมความงามก็สามารถเดินทางมาได้ที่ร้านถ่ายรูปพิมพ์ทอง ตั้งอยู่ริมถนนเพชรเกษมสายเก่า สมุทรสงคราม – ปากท่อ ตรงข้ามหน้าที่ว่าการอำเภอปากท่อ เลขที่ 191 หมู่ 8 ต.ปากท่อ อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี จังหวัดราชบุรี โทร 081-4257166


ภาพ/ข่าว  ตาเป้ จ.ราชบุรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top