Tuesday, 7 May 2024
Region

“ประยุทธ์” สั่งเดินหน้า “เมืองต้นแบบที่ 4” หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องละเอียดรอบคอบ ในการ ขับเคลื่อน

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี “สั่งการ” ให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เดินหน้า ในการ ผลักดัน “เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต” หรือ”เมืองต้นแบบที่ 4” มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ต่อไป ตามมติ ครม. 7 พฤษภาคม 2562 โดยให้ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ( ศอ.บต. ) เป็นฝ่ายอำนวยการ

เพราะได้มีการตรวจสอบในประเด็นของการ ร้องเรียนจาก กลุ่ม เอ็นจีโอ ที่ร้องเรียนถึงความไม่ถูกต้องในขบวนการต่างๆ ของหน่วยงานของรัฐ ที่เข้าไปดำเนินการขับเคลื่อนโครงการ “เมืองต้นแบบที่ 4” ตาม มติ ครม. และตามคำสั่งของ นายกรัฐมนตรี และ รองนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร สุวรรณวงค์ ผู้เป็นประธาน กพต. ที่เป็นผู้เสนอโครงการสรุปว่า

เรื่องที่เอ็นจีโอร้องเรียนต่อ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงเกษตรฯ ก็ดี เรื่องที่ ผู้ช่วยรัฐมนตรีสำนักนายก ที่เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริง จากหน่วยงานของรัฐ ทั้งเรื่องของการ เปลี่ยนผังเมือง เรื่องของการออกโฉนดที่ดิน เรื่องของการรับฟังความคิดเห็น และการทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ 3 ตำบล ของ อ.จะนะ ที่เป็นที่ตั้งโครงการ  มีการตรวจสอบแล้ว ว่าอะไรเป็นเรื่องเท็จ อะไรเป็นเรื่องจริง หลังจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงได้สั่งให้ เดินหน้า อย่างไม่ชักช้า

แสดงให้เห็นว่า เรื่องที่ถูก เอ็นจีโอ กล่าวหาต่อ หน่วยงานของรัฐทุกเรื่อง ทุกหน่วยงาน ตั้งแต่ ศอ.บต. ที่ดินอำเภอ ที่ดินจังหวัด สำนักงานโยธาธิการ ไม่มีข้อเท็จจริง และแม้แต่การที่ สส.ฝ่ายค้านนำเรื่องนี้ ไปอภิปราย ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ว่าเป็นผู้ “เอื้อ” ประโยชน์ ให้กับนายทุน ก็ไม่มีน้ำหนัก

หลังการอภิปราย เอ็นจีโอ และ กลุ่มผู้เห็นต่าง ในพื้นที่ อ.จะนะ ที่ต่อต้านโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ถึงขนาด ปล่อยข่าวว่า จะมีการย้าย พล.ร.ต.สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ และนายชนธัญ แสงพุ่ม ( ดร.เจ๋ง ) รองเลขาธิการ ศอ.บต. ออกจากพื้นที่ เพราะเชื่อมั่นว่าการ ร้องเรียนเพื่อ เอาผิด กับ ทุกหน่วยงานราชการที่เกี่ยว และการ อภิปรายของฝ่ายค้าน จะเป็น”หมัดเด็ด”นั้น  สลายเป็นอากาศธาตุในทันที ที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีการสั่งการเดินหน้า ของ โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4”

และ หลังที่คำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ถูก”สื่อ”ส่วนกลาง นำเสนอ เอ็นจีโอ ในพื้นที่ก็มีการ ต่อสายกับ”เครือข่าย” และกลุ่มผู้ที่”เห็นต่าง” ในพื้นที่ เพื่อเตรียมการกำหนดแผนในการ ขับเคลื่อน เพื่อการต่อต้าน โครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” ต่อไป ซึ่งจะต้องติดตามว่า ครั้งนี้ เอ็นจีโอ และกลุ่มผู้เห็นต่าง จะใช้แผนอะไร ในการ ต่อต้าน เพื่อมิให้ โครงการนี้เดินหน้าเพราะเมื่อผลจากการสอบสวนในข้อร้องเรียนไม่เป็นจริง การที่จะต่อต้าน ย่อมขาดความชอบธรรม

วันนี้ กลุ่มผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อการต่อต้าน “เมืองต้นแบบที่ 4” มีอย่างน้อย 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มเก่า ที่เป็นผลผลิตของ เอ็นจีโอ ตั้งแต่การต่อต้าน โรงงานท่อก๊าซไทย-มาเลเซีย เมื่อ 20 ปีก่อน และกลุ่มที่ 2 ที่ปรากฏตัวแบบชัดเจน ไม่มีการเป็น”อีแอบ”แล้ว ในขณะนี้คือ กลุ่มของโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา ซึ่งถือเป็นกลุ่มใหญ่ ที่เกิดขึ้นมา

ซึ่งหน่วยงานที่ถูกตั้งขึ้นเพื่อรับผิดชอบในเรื่องการทำความเข้าใจ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายมวลชนของ”กลุ่มทุน” ต้องนับหนึ่งใหม่ ในการสร้างความเข้าใจ การให้รายละเอียดของโครงการ การรับฟังความคิดเห็น และข้อเสนอแนะ ข้อเรียกร้อง ให้เป็นไปตาม ขบวนการ เพื่อสร้างความชอบธรรม และต้องทำให้”โปร่งใส” ครบถ้วนทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความชอบธรรมให้เกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อนแต่อย่าใด

ส่วนกลุ่มโรงเรียนเอกชนสอนศาสนา นั้น เป็นกลุ่มใหม่ที่ต่อต้านโครงการนี้ ซึ่งอาจะมีปัญหาของความ”ไม่เข้าใจ” ปัญหาการ ไม่ให้เกียรติกัน ไม่เห็นความสำคัญ และไม่ได้มีส่วนร่วมในโครงการดังกล่าว  ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำความเข้าใจ ก็ต้องไปคิดว่าจะดำเนินการอย่างไร เพราะแต่ละกลุ่ม มีความคิด ความเห็น ความต้องการ ที่ไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า หลังจากการเลือกตั้งท้องระดับเทศบาลผ่านไป สถานการณ์ในพื้นที่อาจจะนิ่งในระดับหนึ่ง เพราะต้องยอมรับว่าเรื่องของการเมืองท้องถิ่น ก็มีส่วนในการสร้าง ก๊ก สร้างกลุ่ม สร้างความขัดแย้งในพื้นที่ โดยมีโครงการ”เมืองต้นแบบที่ 4” เป็น”เหยื่อ” เช่นกัน

บรรทัดนี้ จึงขอแสดงความยินดีกับ กลุ่มประชาชน และ องค์กรต่างๆ ที่สนับสนุนให้”เมืองต้นแบบที่ 4” ที่ อ.จะนะ เดินหน้า เพราะต้องการที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ภาคใต้ตอนล่าง และใกล้เคียง ที่จะได้รับประโยชน์ จากการเกิดขึ้นของ”เมืองต้นแบบที่ 4” แห่งนี้ เพื่อเปิดประตูของภาคใต้ไปสู่โลกภายนอก และนำเงินตราเข้าสู่ประเทศไทย เพราะวันนี้ ภาคใต้จะหวัง”พึ่งพา” อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว และ ผลผลิตทางการเกษตร ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว นั่นเอง


ภาพ/ข่าว นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ (หาดใหญ่ จ.สงขลา)

ความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์ห้องกัก และการจัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว

จากสถานการณ์ผู้ต้องกักติดเชื้อไวรัส Covid19 วันนี้ 23 มี.ค.64 สตม.ได้ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข , กรมควบคุมโรค , รพ.ตร. และสำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานคร ได้จัดประชุมเพื่อวางแผนรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยผู้เข้าร่วมประชุมมี ดังนี้ พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และผู้เกี่ยวข้อง , นายแพทย์ เกียรติภูมิ วงค์รกิจ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, นายแพทย์กิติศักดิ์ อักษรวงศ์ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข , นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค , นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค , นายแพทย์ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ  ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค , พ.ต.อ.เอกลักษณ์ ดีรุ่งโรจน์  โรงพยาบาลตำรวจ , สำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานคร, สำนักงานเขตหลักสี่

สตม.มีการจัดกำลัง จนท.ตร. รักษาความปลอดภัยของ รพ.สนามชั่วคราว ตลอด 24 ชม. และมีการดำเนินการตามมาตรฐานการควบคุมโรค ตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าจะไม่มีการแพร่ระบาดของโรคออกไปด้านนอกพื้นที่ รพ.สนามชั่วคราว

โดยมาตรการแก้ไขและควบคุมการแพร่ของ Covid19 ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ ของ สตม. ได้แก่

1) ให้ กก.3 บก.สส.สตม.งดรับผู้ต้องกัก จนกว่าจะสามารถแก้ไขปัญหา และกำหนดมาตรการป้องกันได้ มีหนังสือให้แต่ละ บก. บริหารการกักตัวผู้ต้องกัก/ ตม.จังหวัด ฝาก สภ.ควบคุมผู้ต้องกัก ในส่วน กทม. กก.3 บก.สส.สตม.รับตัวแล้วให้ ตม.จว.นนบุรีควบคุมแทน

2) ลดจำนวนผู้ต้องกักในความดูแลของ กก.3 บก.สส.สตม. (สำหรับผู้ปลอดเชื้อ ผลักดัน/ส่งกลับ, ขอให้ พม.มารับไปดูแล)

3) จัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว สตม. ขอสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ จาก รพ.ตร. จัดสถานที่ อุปกรณ์ โดยประสานกับกรมควบคุมโรค

4) ให้ ตม.จว. และ หน.ด่านคัดแยกผู้ต้องกักกลุ่มเสี่ยงแยกออกจากรายอื่น ๆ

5) ให้ ตม.จว. ประสานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ในการจัดแผนรองรับ

6) ขอสนับสนุนชุดผู้ป่วย จาก รพ.ตร. จำนวน 400 ชุด และยา

7) ให้ บก.อก.สตม.สนับสนุนยาสำหรับฉีดพ่น

8) ให้แต่ละ ตม.จว.จัดหาพื้นที่สำหรับ รพ.สนาม หากเกิดกรณีผู้ต้องกักติดเชื้อ

9) การรับตัวผู้ต้องกัก ให้แยกผู้ต้องกักโดยมีห้องแรกรับ 3-5 วัน รอดูอาการก่อนส่งตัวเข้ารวมในห้องกัก

10) กำชับผู้บังคับบัญชาให้ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่าให้มีการติดเชื้อเพิ่ม

11) หน.หน่วย สำรวจอุปกรณ์ป้องกัน ไม่ให้บกพร่อง

12) การรับอุปกรณ์มาเพิ่มใหม่ให้จัดทำเป็นงวดๆ โดยให้ใช้ในส่วนที่รับมาก่อนเป็นอันดับแรก

13) ศฝร.สตม. ให้จัดที่พักสำหรับแพทย์ และพยาบาลที่จะไปดูแลผู้ป่วย รวมถึงจัดห้องพักให้กับ จนท.ปอพ.ที่ไปเข้าเวรในหลาย ๆ ผลัดเนื่องจากเป็นผู้เสียสละ

14) ให้ บก.อก.สตม. จัดทำตารางประชุม หน.หน่วย หรือผู้แทน ในเวลา 10.00 น. ของทุกวัน

ส่วนผู้ต้องกักที่อยู่ในความดูแล ปัจจุบันมี มีจำนวน  1,615 คน โดยถูกกักที่บางเขน จำนวน 490 คน ที่สวนพลูจำนวน 1,125 คน  ซึ่งผู้ที่ติด Covid19 ที่อยู่ในความดูแล มีทั้งสิ้น 393 คน (ชาย 370 คน,หญิง 23 คน) ถูกแยกกักตัว ณ รพ.สนามชั่วคราวในห้องกัก(บางเขน) โดย สตม. ได้จัดตั้ง รพ.สนามชั่วคราว สตม. ณ อาคารโรงยิมกองสวัสดิการ ตร. ในพื้นที่สโมสรตำรวจจัดตั้งขึ้นโดยการประสานความร่วมมือกับ รพ.ตร.(จัดส่งบุคลาการทางการแพทย์) กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมควบคุมโรค กรมการแพทย์ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง ให้คำปรึกษา แนะนำและกำหนดมาตรฐานของการจัดตั้ง รพ.สนาม มาตรฐานของการตรวจควบคุมโรค สนับสนุนอุปกรณ์ทางการแพทย์ และในส่วนของ กรุงเทพมหานครให้การสนับสนุนด้านการรักษาความสะอาด และสาธารณูปโภค

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างสูง

ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย ลงพื้นที่ช่วยเหลือเด็กนักเรียนเมืองพัทยา 7 เกิดอุบัติเหตุรถล้มบาดเจ็บสาหัสทางบ้านต้องกู้เงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาล

เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2564​ ที่โรงเรียนพัทยาเมือง 7 อ.บางละมุง​ จ.ชลบุรี นายปิยะพงษ์ สงค์สุข ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย คุณลิซ่า แฮมิลตัน หัวหน้าศูนย์ประสานงานพรรคเสรีรวมไทย เขต อำเภอ​บางละมุง จ.ชลบุรี และทีมงาน พรรคเสรีรวมไทยได้มอบทุนการศึกษา และ ข้าวสาร อาหารแห้ง ให้แก่เด็กชายพีรภัทร ชื่นชม เด็กนักเรียนชั้น ม.1/4 โรงเรียนพัทยาเมือง 7

โดยการมอบเงินในครั้งนี้ทางศูนย์ประสานงานพรรคเสรีรวมไทย เขต อำเภอ​บางละมุง จ.ชลบุรีได้รับการร้องเรียนผ่านครูและผู้ปกครองเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ว่ามีเด็กนักเรียนคือเด็กชายพีรภัทร ชื่นชม เด็กนักเรียนชั้น ม.1/4 โรงเรียนพัทยาเมือง 7 บุตรของนางสุพรรณ บุญกล้า  ประสบอุบัติเหตุ มอเตอร์ไซค์ล้มได้รับบาดเจ็บ เลือดคลั่งในสมอง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบางละมุง ตอนนี้อาการดีขึ้น และออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่มีปัญหาในการจ่าย ค่ารักษาพยาบาลเพราะ โรงพยาบาลบางละมุงไม่รับ บัตร 30 บาทรักษาทุกโรคทางพรรคเสรีรวมไทยจึงลงพื้นที่ตรวจสอบและช่วยเหลือเด็กนักเรียนเมืองพัทยา 7 คนดังกล่าว​ เพราะทางบ้านฐานะ​ยากจน จึงนำเงินสดจำนวนหนึ่งพร้อมข้าวสารอาหารแห้งมามอบให้อีกจำนวนหนึ่ง​ เพื่อร่วมสร้างความสุขให้สังคม ไปกับพรรคเสรีรวมไทย

ด้านนายปิยะพงษ์ สงค์สุข ตัวแทนพรรคเสรีรวมไทย​ ได้กล่าว่าจากการลงพื้นที่ตรวจสอบเด็กนักเรียนคนดังกล่าวแล้วพบ​ว่าเกิดเหตุจริงและเด็กนักเรียนคนนี้มีความกตัญญู​ หลังเลิกเรียนจะนำถั่วต้มที่ทางบ้านทำ​ และนำไปเดินขายตามชายหาดจอมเทียน​ เพื่อหาเงินเลี้ยงขอบครอบครัว​  และหลังจากขายเสร็จในวันดังกล่าว​เกิดอุบัติเหตุ​รถจยย.ล้มและได้รับบาดเจ็บสาหัส​ทางเจ้าหน้าที่นำตัวส่งโรงพยาบาลบางละมุง​  แต่ทางเด็กไม่มีประกันภัย​ มีแต่บัตรรัฐบาล30 บาทรักษาทุกโรค​ แต่ทางโรงพยาบาล​แจ้งว่าใช้สิทธิ​ไม่ได้​ ทำให้ทางบ้านงง​ และแจ้งให้หาเงินมาจ่าย​ ค่ารักษาพยาบาล​ ทางบ้านไม่มีเงินจึงไปหายืมเงินกู้​ มาจ่าย​เพื่อทำการรักษาพยาบาล​ให้ลูกเพราะเด็กต้องผ่าตัด​รักษาต่อไป 


ภาพ/ข่าว​ : อนันต์​  สุข​วัฒนะ ​/ เอกชัย​  สุข​วัฒนะ​  (ผู้​สื่อข่าว​ภูมิภาค​ พัทยา​ จ.ชลบุรี)

แลนด์มาร์คแห่งใหม่ ในพื้นที่อำเภอศรีราชา “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล” รวมร้านอาหารอร่อยหลากหลายไม่ซ้ำกันไว้ที่นี่ จัดขึ้นวันที่ 26 มี.ค.64 นี้

คุณโชคชัย ประทีปอุษานนท์ หรือ คุณเต่า นักธุรกิจชื่อดังในพื้นที่ จังหวัดชลบุรี ซึ่งลงทุนมาทำ “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด” ริมถนนสายเก้ากิโล ช่วงไฟแดงถนนคู่ขนานสาย7 ขาเข้าชลบุรี โดยร้านจะอยู่ฝั่งตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันปตท. ขาเข้าศรีราชาได้เปิดเผยว่าร้านจะเปิดเป็นทางการในวันศุกร์ที่ 26 มีนาคม2564 นี้ ตั้งแต่เวลา 16.00-23.00 น.

ซึ่งในร้านก็จะมีสวนสนุก ดนตรีสด ให้อาหารปลา หรือจะปั่นเรือถีบกลางน้ำ ถ่ายรูปเช็คอิน นั่งชิลล์ริมน้ำ โซนสัตว์เลี้ยงน่ารัก ซึ่งจะเป็น "แลนด์มาร์คแห่งใหม่" ในพื้นที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี โดยทางร้านจะรวบรวมร้านอาหารอร่อยหลากหลายไม่ซ้ำแบบกว่า 40 ร้าน มาไว้ ให้เลือกสรรสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารในประเภทต่าง ๆ กัน

โดยที่พิเศษในช่วงเปิดร้านอย่างทางการนั้น ระหว่างวันที่ 26 - 28 มี.ค.64 พบกับทีมงานร้านเจ้าอร่อย ๆจากเพจ กินไรดี ศรีราชา ที่จะยกพลไปรวมกันที่ เดอะเมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล อีกด้วย  ซึ่งตั้งแต่วันที่26 มีนาคมเป็นต้นไปอยากขอเชิญมาพบกับ "แลนด์มาร์คแห่งใหม่" ในพื้นที่อำเภอศรีราชา “เดอะ เมาท์เท่น ฟู้ด ถนนเก้ากิโล” ที่เที่ยวแห่งใหม่ รวมร้านอาหารอร่อยไว้ที่นี่รวมถึง เดอะเมาท์เท่นฟู้ด เก้ากิโล ยังรับจัดงานเลี้ยง งานสังสรรค์ ในราคาเป็นกันเอง สถานที่จอดรถกว้างขวางรับรถยนต์ได้ถึง 250 คัน ลองไปสัมผัสกันดูแล้วจะไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน

ผบ.พล.ร.15 ให้กำลังใจกำลังพลและตรวจเยี่ยมการฝึกเตรียมความพร้อมของหน่วยที่จะเข้าปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนใต้

พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เดินทางตรวจเยี่ยมการฝึกเตรียมความพร้อมของหน่วยที่จะเข้าปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนใต้ ขั้นที่ 4 ของ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 ณ ที่ทำการกองพันฝึก จังหวัดชายแดนใต้ กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 (วัดขวัญประชา) อ.สุไหงโกลก จ.นราธิวาส

โดยมีพันโท กฤตณ์พัทธ์  กรกัน  ผู้บังคับกองพันทหาราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 151 ให้การต้อนรับ โดย การฝึก ประกอบด้วย การรปภ.เส้นทาง  / การรปภ. เป้าหมายอ่อนแอ การพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับประชาชน และสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการเมือง ตามแผนปฏิบัติการ ของ กอ.รมน.ภาค.๔ สน. แต่ทั้งนี้ให้ทําการฝึกเพิ่มเติมเมื่อมีโอกาส โดยใช้แนวทางการฝึก ตามเอกสารข้อมูลที่ ยศ.ทบ. ได้แจกจ่ายให้หน่วยแล้ว ซึ่งมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการดําเนินการตามนโยบายของกองทัพบก ให้หน่วยที่จะสับเปลี่ยนกําลังพลใช่วงเม.ย. 64 ได้มีความคุ้นเคยและรับทราบสถานการณ์ในพื้นที่จริง และยังเป็นการเพิ่มเติมกําลังพลในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ โดยกําหนดแผนการฝึกให้สอดคล้องกับงานทางด้านยุทธวิธีของหน่วยในพื้นที่ ตลอดจนพัฒนาขีดความสามารถของหน่วยให้มีความพร้อมในการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้อีกด้วย

ทั้งนี้ พลตรีไพศาล หนูสังข์ ได้มอบความห่วงใยพร้อมทั้งมอบของบริโภคให้กับแต่ละกองร้อยฝึก เพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่กำลังพลที่เข้ารับการฝึก ตลอดจนได้เน้นย้ำให้ผู้บังคับหน่วยกวดขัน และกำกับดูแลการฝึกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้กำลังพลได้รับการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ จากกำลังพลที่ผ่านการฝึกอบรมจาก ยศ.ทบ. โดยมีการประเมินผลตนเอง ทั้งก่อนการฝึกระหว่างการฝึกและหลังจากการฝึก เพื่อให้กำลังพลได้พัฒนาขีดความสามารถ มุ่งเน้นสายงานการข่าวและสายงานกิจการพลเรือน พร้อมรับทราบแนวทางการปฎิบัติและเทคนิคต่าง ๆ ให้มีความพร้อมและสามารถปฎิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป


ภาพ/ข่าว : แวดาโอ๊ะ หะไร (จ.นราธิวาส)

นายก ไก่ ติวเข้มคนอบจ.ฉะเชิงเทรา ต้องทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชน

วันที่ 23 มี.ค. 2564 นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา เป็นประธานในการประชุมมอบนโยบาย ให้แก่บุคลากรองค์การบริหารส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา พร้อมด้วยนายรัฐสภา นพเกตุ  นายวรรณา รอดพิทักษ์ รองนายก อบจ.ฉะเชิงเทรา / นายทรัพย์ทวี กุลสารี ที่ปรึกษานายก อบจ.ฉะเชิงเทรา / นายมณฑล ไวยเจริญ / น.ส.ปาลาวดี เนื่องจำนงค์ / นายไพศาล ช้างพลายแก้ว และนายขวัญชัย สินสมบัติ เลขานุการ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา และนายจักร์กฤษณ์ นนท์จีรพัส ปลัด อบจ.ฉะเชิงเทรา ร่วมชี้แจง ทั้งนี้มีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้างในสังกัด อบจ.ฉะเชิงเทรา เข้าร่วมการประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุมบางแก้ว อบจ.ฉะเชิงเทรา

สำหรับการประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารสถานศึกษา ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานจ้างในสังกัด อบจ.ฉะเชิงเทรา รับทราบนโยบายการปฏิบัติราชการของคณะผู้บริหาร มุ่งหวังให้บุคลากร อบจ.ฉะเชิงเทรา ปฏิบัติราชการด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจและเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนในจังหวัดฉะเชิงเทรา

ทั้งนี้นโยบายการปฏิบัติราชการ มี 6 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 2. ด้านการสาธารณสุขและการส่งเสริมคุณภาพชีวิต 3. ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 4. ด้านการส่งเสริมเศรษฐกิจและอาชีพ 5. ด้านโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ 6. ด้านการบริหารจัดการ ซึ่งครอบคลุมการพัฒนาเรื่องต่าง ๆ เพื่อให้ท้องถิ่นมีความเจริญก้าวหน้า “เปลี่ยนคุณภาพชีวิต เพื่อคนแปดริ้ว”

นอกจากนี้นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายก อบจ.ฉะเชิงเทรา ได้เน้นย้ำนโยบายการปฏิบัติงานให้กับบุคลากรในสังกัดทุกคนว่า “ผิดระเบียบไม่ทำ สั่งการไม่ถูกให้บอก อะไรคลุมเครือปรึกษาหารือกัน” การทำงานต้องมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้าง การควบคุมงาน การตรวจรับงานจ้าง การใช้วัสดุ ครุภัณฑ์ของทางราชการ ต้องไม่เอื้อประโยชน์ส่วนตัว การปฏิบัติราชการต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ


ภาพ/ข่าว : สัมฤทธิ์ ล้ำเลิศ (ฉะเชิงเทรา)

บิ๊กแจ๊ส หนุน มทร.ธัญบุรี จับมือ 23 โรงเรียนมัธยมจังหวัดปทุมธานี ยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อมุ่งเน้นเรียนจบแล้วมีงานทำ

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 เวลา10:00 น. ที่ห้องประชุมสงค์ธนาพิทักษ์ สำนักงานอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี และองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การจัดการศึกษาระบบธนาคารหน่วยกิต (Memorandum of Understanding : MOU) ระดับปริญญาตรี

โดยมี นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ซึ่งมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วย นายเฉลิมพงษ์ รังสิวัฒนศักดิ์ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เขตอำเภอธัญบุรี ผศ.ดร. สมหมาย ผิวสะอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี และ ดร.นิยม  ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปทุมธานี เข้าร่วมลงนามความร่วมมือในวันนี้

สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการจัดการศึกษาระบบธนาคารหน่วยกิต (Memorandum of Understanding : MOU) ระดับปริญญาตรี ในวันนี้ เป็นการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ด้านการจัดการศึกษาระบบธนาคารหน่วยกิต (Memorandum of Understanding : MOU) ระดับปริญญาตรี ระหว่าง 3 หน่วยงาน ได้แก่ ผศ.ดร. สมหมาย ผิวสะอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ดร.นิยม  ไผ่โสภา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปทุมธานี พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เพื่อร่วมมือกันจัดการศึกษา และพัฒนาผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี และองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีให้เกิดการเรียนรู้เต็มศักยภาพ มีความรู้ และทักษะด้านวิชาการ ด้านวิชาชีพ

มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน และร่วมมือกันพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาสู่มาตรฐานวิชาชีพ เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนาคุณภาพการศึกษา เครือข่ายการวิจัย และเครือข่ายพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สมาคม และชุมชน นอกจากนี้ยังร่วมกันสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนและเข้าร่วมโครงการการเรียนรู้ระบบธนาคารหน่วยกิต ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งเป็นแนวความคิดด้านการศึกษารูปแบบใหม่ คือ “การจัดการศึกษาและการสะสมหน่วยกิตในระบบธนาคารหน่วยกิต” หรือ ระบบสะสมหน่วยการเรียนรู้ เป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิต โดยกำหนดรูปแบบการจัดการศึกษาที่ยืดหยุ่นตามความต้องการของผู้เรียน สามารถสะสมผลการเรียนรู้ในแต่ละวิชา แต่ละทักษะ องค์ความรู้ที่ต้องการและนำมาสะสมไว้เพื่อการศึกษาต่อในระดับต่าง ๆ ได้

ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้คัดเลือกสถานศึกษาระดับมัธยมศึกษาในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาปทุมธานี และสถานศึกษาในสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เป็นสถานศึกษานำร่องในการดำเนินงานโครงการจัดการเรียนรู้ตลอดชีวิตในระบบเทียบโอนความรู้และประสบการณ์ (ธนาคารหน่วยกิต)

โดย พลตำรวจโท คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ทาง อบจ.ปทุมธานี พร้อมใช้งบประมาณของ อบจ.ปทุมธานี ในการดูแลโครงการนี้ โดยมี โรงเรียนในระดับมัธยมศึกษาที่สังกัดที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปทุมธานี เข้าร่วมโครงการนี้ 22 โรงเรียน บวกกับโรงเรียนสามโคก ที่สังกัดอยู่ใน อบจ.ปทุมธานี ซึ่งก็เป็นโรงเรียนระดับมัธยมศึกษาเหมือนกัน อีก 1 โรงเรียน รวมเป็น 23 โรงเรียน ซึ่งทุกโรงเรียนที่เข้าร่วมจะต้องร่วมโครงการนี้จะต้องเป็นเนื้อเดียวกันไม่แบ่งแยก

ด้าน พล.ต.ท.อดุลย์ รัตนภิรมย์ เปิดเผยว่า ทาง อบจ.ปทุมธานี มีแนวคิดที่จะให้โรงเรียนของโรงเรียนต่าง ๆ ในจังหวัดปทุมธานี มีจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกันตั้งแต่ระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา ซึ่งหลังจากจบการศึกษาไปแล้วจะสามารถมีความรู้นำไปประกอบวิชาชีพได้ ซึ่งทาง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา ปทุมธานี ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในการฝึกบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถ รองรับกัน อีกทั้งทาง อบจ.ปทุมธานี จะดำเนินการประสานไปยัง บริษัท ห้างร้าน หรือ แม้กระทั่งโรงงานในนิคมอุตสาหากรรม เพื่อรองรับนักเรียน นักศึกษา ที่เข้าร่วมโครงการนี้ ให้มีงานทำต่อไป

ส่วน ผศ.ดร. สมหมาย ผิวสะอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า ทางมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี ได้รับเกียรติ เป็นอย่างมาก ในการดำเนินการโครงการดังกล่าว ซึ่งทางมหาวิทยาลัย จะมุ่งเน้นยักระดับการศึกษาในจังหวัดปทุมธานี ให้ได้ ด้วยการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความเชี่ยวชาญด้านของทักษะ โดยใช้โจทย์จากชุมชนเป็นตัวตั้ง เพื่อให้ สถาบันการศึกษาสามารถก้าวเดินไปได้อย่างมั่นคงควบคู่กับชุมชน

ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ รายงาน

พบอีก ไอซ์ ลอยทะเลตราด

ล่าสุด ( 22 มี.ค. 2564 ) เวลา ประมาณ 19.00 น.  นายสมศักดิ์  จุฑาวงศ์กุล  นายอำเภอเกาะกูด พร้อมด้วย ปลัดอำเภอ เจ้าหน้าที่ อส อำเภอเกาะกูด ร่วมกับผู้กำกับ รองผู้กำกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ  สถานีตำรวจภูธรอำเภอเกาะกูด กำนัน และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ต.เกาะหมาก

เข้าตรวจยึดยาไอซ์ที่ลอยขึ้นมาติดที่ชายฝั่ง บ้านอ่าวโปง ตำบลเกาะหมาก อำเภอเกาะกูด เบื้องต้นตรวจสอบพบ ยาไอซ์จำนวนทั้งสิ้น 20 กิโลกรัม ทางฝ่ายปกครอง ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ดำเนินการนำของกลางมาเก็บไว้ยังสถานีตำรวจภูธรอำเภอเกาะกูด เพื่อดำเนินการต่อไป

สำหรับพื้นที่ จ.ตราด ก่อนหน้าที่ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ ยาไอซ์ ลอยทะเลตราด ลอยเข้าหลายจุดด้วยกันไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เกาะช้าง และพื้นที่เขตอำเภอเมือง ในพื้นที่ ต.แหลมกลัด ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยาไอซ์ลอยทะเล ลอยเข้ามามากที่สุดของเขตอำเภอเมือง เมื่อช่วงต้นปี 63 ที่ผ่านมา สำหรับยาไอซ์ลอยทะเล ล็อตนี้ยังไม่สามารถคาดเดาว่าเป็นยาไอซ์ล็อตเดียวกับเมื่อปี 63 ที่ลอยทะเลหรือไม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดได้กว่า 700 กิโลกรัม ในปี 63 ที่ผ่านมา

เร่งตรวจสอบถ้ำโต๊ะหลวง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ แหล่งโบราณสถาน พบภาพเขียนสีโบราณ หลังพบกลุ่มนักขับวิบากนำจยย.ซิ่งในถ้ำ

เมื่อเวลา10.00 น.วันที่ 23 มี.ค.64   นายนายบัญชา ธนูอินทร์ นายอำเภออ่าวลึก จ.กระบี่  พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 สาขากระบี่   พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองและผู้นำท้องถิ่น  ได้ลงพื้นที่สำรวจถ้ำโต๊ะหลวง ม.2 บ้านนบ ต.คลองหิน อ.อ่าวลึก  จ.กระบี่  หลังรับแจ้งว่า มีกลุ่มขับจักรยานยนต์มอเตอร์ครอส  ขับรถเข้ามาแข่งกันในถ้ำ ซึ่งเป็นโบราณ   และมีการแชร์ในสังคมออนไลน์จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ถึงความไม่เหมาะสมและเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ

นายบัญชา  กล่าวว่า จากการตรวจสอบภายในถ้ำโต๊ะหลวง พบร่องรอยล้อรถจักรยายนต์มอเตอร์ครอสหรือรถวิบากจำนวนมาก ส่วนความเสียหายอื่น ๆ ยังอยุ่ระหว่างการสำรวจ ซึ่งขณะนี้ได้มอบหมายให้หัวหน้าฝ่ายความมั่นคง  ประสาน เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ซึ่งเป็นผู้ดูแลพื้นที่ที่ขึ้นทะเบียนโบราณสถาน และจนท.ป่าไม้  เข้ามาตรวจสอบ และดำเนินการตามขึ้นตอนของกฎหมาย และให้จนท.นำป้ายเข้าพื้นที่มาติดตั้งไว้บริเวณปากถ้ำห้ามเข้าโดยเด็ดขาด เพื่อที่จะตรวจสอบร่องรอยความเสียหาย

ผู้สื่อข่าวตรวจสอบคลิปที่มีการแชร์คลิปในโลกออนไลน์ พบว่ามีการขับมอเตอร์ครอสเข้าไปในถ้ำจำนวนประมาณ 10 คัน ขับรถจักรยายนต์ เข้าไปตามช่องแคบ ๆ ภายในโถงถ้ำโดยใช้เท้ายันตามเนินช่องทางเดินภายในถ้ำตลอดทาง และส่งเสียงโห่ร้องกันอย่างสนุกสนาน และมีรายงานว่ามีนักการเมืองท้องถิ่นรายหนึ่งร่วมในกลุ่มด้วย ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า กลุ่มขับรถวิบากดังกล่าว  เข้ามาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคมผ่านมา ใช้เวลาประมาณ 20 นาที  โดยพยายามยามขับรถผ่านโถงถ้ำแต่ ติดกิ่งไม้ จากนั้นก็พากันขับออกไป

ขณะที่นายวินิต พึ่งหล้า รอง ประธานสภาอบต.คลองหิน  กล่าวว่า เมื่อวันที่อาทิตย์ที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา ตนฐานะประธานชมรมเปตองตำบลคลองหิน จัดกิจกรรมรวมกลุ่มนักกีฬาประมาณ 50 ทีม ที่หน้าโรงเรียนบ้านคลองหินและเห็นกลุ่มขับรถจยย.วิบากขับผ่านมา แต่ตนก็ไม่ทราบว่าจะขับเข้ามาในถ้ำโต๊ะหลวง  ซึ่งที่ผ่านมาก็มีกลุ่มมวิบากขับเข้ามาบ่อย ส่วนใหญ่ตามสันเขาในสวนยางสวนปาล์มในพื้นที่  แต่คราวนี้มีการขับเข้าในพื้นที่แหล่งโบราณสถาน และไม่มีการแจ้งอบต.ในพื้นที่แต่อย่างใด  ซึ่งอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์  และขอฝากให้ช่วยกันดูแล เพราะถ้ำโต๊ะหลวงนอกจากเป็นแหล่งโบราณสถานแล้วยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวของตำบลคลองหินด้วย

นายนิวัฒน์ วัฒนยมนาพร กรรมการที่ปรึกษาหน่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและศิลปกรรมท้องถิ่นจังหวัดกระบี่  กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มี.ค.ที่ผ่านมา  เบื้องต้นทราบว่ากลุ่มที่เป็นนักขับรถวิบาก เป็นกลุ่มคนในพื้นที่ จ.กระบี่ และ จ.ภูเก็ต มาจัดกิจกรรมขับรถเข้าไปในภายในถ้ำดังกล่าว ซึ่งถ้ำโต๊ะหลวง เป็นหนึ่งในโบราณสถานตามประกาศของกรมศิลปากร เรื่องรายชื่อโบราณสถานใน จ.กระบี่ ตามมาตรา 4 วรรค 1 แห่ง พ.ร.บ.โบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พ.ศ.2504 โดยถ้ำโต๊ะหลวง จัดอยู่ในลำดับที่ 35 ของโบราณสถาน ใน อ.อ่าวลึก  เป็นแหล่งค้นพบภาพเขียนสีโบราณ หรือเรียกอีกชื่อว่า เขาป่าหมาก ถูกประกาศไว้เมื่อวันที่ 16 ก.ย.2559 โดยนายอนันต์ ชูโชติ อธิบดีกรมศิลปากร ในขณะนั้น

นายนิวัฒน์กล่าวอีกว่า การที่นำรถจักรยานยนต์เข้าไปขับขี่ หรือทดสอบรถ   ถือเป็นความไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง   เพราะอาจจะสร้างความเสียหายแก่โบราณสถานได้ ควรจะมีจิตสำนึกให้มากว่านี้ จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และดำเนินการทางกฎหมาย เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง  ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เป็นแหล่งโบราณคดี แต่การที่เอารถเข้าไปขับขี่ในถ้ำนั้น เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะปัจจุบันมีพ.ร.บ.ถ้ำด้วย ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก....

ภาพ/ข่าว ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง รายงาน

ม.สงขลานครินทร์ ร่วมกับ ปปท.เขต 9 เสริมสร้างธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริตในภาครัฐ

มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมกับ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐเขต 9 (สำนักงาน ปปท.เขต 9) จัดโครงการเสริมสร้างธรรมาภิบาลต่อต้านการทุจริตในภาครัฐ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ 2564 เพื่อเตรียมพร้อมการรองรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจำปี 2564 โดยมี ผศ. ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นประธานเปิดงาน

นางประไพพรรณ รัตนะ ผู้อำนวยการกลุ่มงานป้องกันการทุจริตในภาครัฐ เขต 9 กล่าวรายงาน พันตำรวจเอกกษิดิศ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงาน ปปท. เขต 9 เป็นวิทยากร ให้ความรู้เกี่ยวกับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment ) (ITA) และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต รวมทั้งการบริหารความเสี่ยงการทุจริต และมีคณะผู้บริหาร และบุคลากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จำนวน 100 คน เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมสยามออเรียนทัล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 64

ผศ. ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กล่าวว่า ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นในหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบในวงกว้าง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อส่วนรวมของประเทศ ทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณในการพัฒนาประเทศแต่ละปีเป็นจำนวนมาก เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองในทุกมิติ และส่งผลให้คะแนนระดับดัชนีการรับรู้การทุจริต (CPI) ของประเทศอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ติดต่อกันหลายปี รัฐบาลจึงมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการทุจริตในระดับประเทศอย่างต่อเนื่องในทุกระดับ

ตั้งแต่การพัฒนากลไก มาตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มีความเข้มแข็ง กำหนดเครื่องมือ กลไก และเป้าหมาย แนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยให้หน่วยงานภาครัฐดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะที่ 3 ซึ่งมุ่งเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนในสังคมตื่นตัวและเข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตตามบทบาทและหน้าที่ ตลอดจนมีการพัฒนาจิตสำนึกค่านิยมและจรรยาบรรณของเจ้าหน้าที่ในภาครัฐ

การอบรมในครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่เจ้าหน้าที่รัฐ กลุ่มผู้บริหารมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ จะได้ทราบถึงรูปแบบและวิธีการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นไปตามหลักธรรมมาภิบาล การพัฒนากระบวนงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว โปร่งใส และเป็นธรรม ตามหลักมาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับของสาธารณชน ตามหลักพื้นฐานการเป็นธรรมรัฐ (Good Governance) เพื่อพัฒนาก้าวไปสู่การปราศจากทุจริตคอรัปชั่น และการเสริมสร้างเครือข่ายภาครัฐทั้งในระดับองค์กรและตัวบุคคลให้เป็นกลไกเฝ้าระวัง ป้องกันและปราบปรามการทุจริต ในการต่อต้านการุจริตทุกรูปบบ รวมถึงมีการประสานความร่วมมือและการปฏิบัติงานตามพระราชบัญญัติมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ พ.ศ. 2551 ต่อไป

ด้าน นางประไพพรรณ รัตนะ ผู้อำนวยการกลุ่มงานป้องกันการทุจริตในภาครัฐ เขต 9 กล่าวว่า การอบรมในครั้งนี้จัดขึ้นตามยุทธศาสตร์ชาติระยะเวลา 20 ปี ยุทธศาสตร์ที่ 6 ด้านการปรับความสมดุลและพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐยุทธศาสตร์ชาติที่ว่าด้วยการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตระยะที่ 3 พ.ศ.2560-2564 เพื่อสร้างวัฒนธรรมการต่อต้านการทุจริต ยกระดับธรรมมาภิบาลในการบริหารจัดการทุกภาคส่วน และปฎิรูปกระบวนการป้องกันและปราบปรามการทุจริตทั้งระบบให้มีมาตรฐานเท่าสากล โดยมีความสอดคล้องกับแผนปฎิบัติในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ สำนักงาน ป.ป.ท. ยุทธศาสตร์ที่ 2 ขับเคลื่อนการทำงานที่มีธรรมมาภิบาลในหน่วยงานภาครัฐ และยุทธศาสตร์ที่ 3 การบูรณาการที่มีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการต่อต้านการทุจริต

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ สร้างค่านิยมและปลูกจิตสำนึกของเจ้าหน้าที่รัฐ ตลอดจนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องให้มีการปฏิบัติงานเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อนำบริการของรัฐที่มีคุณภาพไปสู่ประชาชนผู้รับบริการ ทำให้การบริการราชการมีความถูกต้อง โปร่งใส เป็นที่ยอมรับของสาธารณชน และบทบาทภารกิจของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ซึ่งถือเป็นหน่วยงานที่เป็นกลไกที่สำคัญของฝ่ายบริหารที่มีภารกิจหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตลอดจนการร่วมเป็นเครือข่ายภาครัฐในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และปราบปรามการทุจริตในทุกรูปแบบ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top