Tuesday, 7 May 2024
Region

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย ไล่ล่าข้ามประเทศ ติดตามผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับประวัติสุดแสบ 4 ราย จากประเทศเมียนมา

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5,พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5,พ.ต.อ.ยศภณ จรรยาสถิต รอง ผบก.อก.สตม.,  พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.ณัฐวุฒิ แสงเดือน ผกก.ตม.จว.เชียงราย ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 ได้รับการประสานจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดว่ามีผู้ต้องหาสำคัญหลายราย หลบหนีหมายจับคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มาหลบซ่อนตัวอยู่ใน เมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จึงได้ประสานงานหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และคณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นไทย – เมียนมา (แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก)

ในการสืบสวนจับกุม โดยนำตำหนิรูปพรรณและข้อมูลประสานการปฏิบัติในการติดตามตัวผู้ต้องหาดังกล่าว ต่อมาได้รับแจ้งจากตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ได้จับกุมตัวคนไทย 4 ราย ได้แก่

1.) นายกฤษณะ อายุ 28 ปี

2.) นายอธิปไตย อายุ 38 ปี

3.) นายยุทธนา  อายุ 35 ปี

4.) นายปราการ  อายุ 34 ปี

ในความผิดฐานยาเสพติดและหลบหนีเข้าเมือง โดยได้ดำเนินคดีจนถึงที่สุดเรียบร้อยแล้ว

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ประสานรับมอบตัวผู้ต้องหา ณ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จากนั้นได้ทำการตรวจสอบข้อมูลบุคคลในระบบทะเบียนราษฎร์ ระบบสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(POLIS) และระบบสารสนเทศสถานีตํารวจ(CRIMES) พบว่ามีข้อมูลยืนยันว่าเป็นบุคคลตามหมายจับตามที่ได้ประสานไว้ ดังนี้

1.) นายกฤษณะ  อายุ 28 ปี เป็นบุคคลที่มีหมายจับศาลจังหวัดพิจิตร ที่ จ 146/2559 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2559 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“ลักทรัพย์นายจ้าง หรือรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11),357”

2.) นายอธิปไตย อายุ 38 ปี เป็นบุคคลที่มีหมายจับศาลจังหวัดพะเยา ที่ จ. 182/2553 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2553 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่” และ หมายจับศาลจังหวัดพัทยา ที่ 308/2552 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)โดยไม่ได้รับอนุญาต”

3.) นายยุทธนา อายุ 35 ปี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่ 79/2563 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ยักยอกทรัพย์” และ หมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 115/2563 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“พยายามในข้อหาฆ่าผู้อื่น”

4.) นายปราการ อายุ 34 ปี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 228/2560  ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน ไฮโตรคลอไรด์)มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมขึ้นไปโดยผิดกฎหมายฯ” และ หมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 310/2560 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายจึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สาย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ผู้ต้องหาทั้ง 4 รายเป็นเครือข่ายยาเสพติดที่หลบหนีในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยเฉพาะนาย กฤษณะ เป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดมันทุกเม็ด

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด  กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

ตม.จว.ตาก ไล่หนุ่มใหญ่ขนคนจีน ซิ่งกระบะหนีชนรถตำรวจยับ จับอีกนายจ้างชาวไทยแอบซุกเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองไว้ใช้แรงงานพร้อมบุตร 16 ชีวิต

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5 , พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5 , พ.ต.อ.ยศภณ จรรยาสถิต รอง ผบก.อก.สตม., พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 , พ.ต.อ.สัมพันธ์ เหลืองสัจจกุล ผกก.ตม.จว.ตาก และ พ.ต.ท.สุชาติ เพ็ญภู่ รอง ผกก.ตม.จว.ตาก ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

1.) เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ตรวจสอบพบนายพิทยาการฯ  ขับรถกระบะยี่ห้อมิตซูบิชิ ไทตั้น สีดำ ทะเบียน เชียงใหม่ ขับขี่มาด้วยความเร็วสูง เจ้าหน้าจึงได้แสดงตัวขอทำการตรวจสอบ แต่นายพิทยาการฯ ได้ขับรถหลบหนีและเฉี่ยวชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผู้ขับขี่ได้หยุดรถและวิ่งหนี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถไล่ติดตามจับกุมได้ และตรวจสอบภายในรถพบคนต่างด้าวสัญชาติจีน หลบหนีเข้าเมือง จำนวน 5 ราย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงจับกุมตัว นำส่ง สภ.แม่ท้อ เพื่อดำเนินคดี

โดยกล่าวหา นายพิทยาการฯ ว่า “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใดๆ ให้คนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย พ้นจากการจับกุม” และ “ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติตามหน้าที่และขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน” และกล่าวหาคนต่างด้าวสัญชาติจีน จำนวน 5 ราย ว่า “เป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

2.) เจ้าหน้าที่ ตม.จว.ตาก พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ตชด.346 ได้ออกตรวจพื้นที่รับผิดชอบ เมื่อมาถึงบริเวณถนนหน้าสะพานมิตรภาพไทย – เมียนมา แห่งที่ 1 หมู่ 2 บ้านริมเมย ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จว.ตาก พบคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 10 ราย พร้อมบุตรผู้ติดตามอีก จำนวน 6 ราย รวมทั้งสิ้น 16 ราย จึงทำการจับกุมตัว จากการซักถามคนต่างด้าวดังกล่าวให้การสอดคล้องกันว่าได้ลักลอบหลบหนีเข้ามารับจ้างทำงานกับพ่อเลี้ยงชื่อ “เสาร์” ต่อมาแรงงานชาวเมียนมาอยากกลับบ้านที่เมียนมา เมื่อเวลา 07.00 น. ของวันเดียวกัน พ่อเลี้ยงเสาร์จึงมาพวกตนขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อสีเขียว มาส่งบริเวณที่เกิดเหตุ

เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ทำการสืบสวนติดตามอย่างต่อเนื่องจนพบ นายอินเสาร์ฯ พร้อมรถที่ใช้ขนแรงงานต่างด้าวดังกล่าว ที่บริเวณบ้านแม่จะเรา ม.6 อ.แม่ระมาด จว.ตาก จึงได้เชิญตัวมาที่ ตม.จว.ตาก ซึ่งคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาดังกล่าวได้ชี้ยืนยันว่าเป็นพ่อเลี้ยงเสาร์จริง  เจ้าหน้าที่จึงได้จับกุมตัว นำส่ง สภ.แม่สอด เพื่อดำเนินคดี

โดยกล่าวหา นายอินเสาร์ฯ ว่า “ให้เข้าพักอาศัย ซ่อนเร้นหรือช่วยด้วยประการใดๆ เพื่อให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุม” และ “ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดตากที่ 724/2564 เรื่อง มาตรการป้องกันควบคุมโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เฉพาะพื้นที่อำเภอแม่สอด และกล่าวหาคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 10 ราย ในข้อหา “เป็นคนต่างด้าวหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต”

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำ

ความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างสูง

เชียงราย ซ้อมรับมือชาวเมียนมา ทะลักข้ามแดนจากสถานการณ์การเมือง

วันที่ 19 มี.ค.64 เจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง นำโดย พันเอก สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3  นายประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอแม่สาย ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนราชการ หน่วยงาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครกิจการพลเรือน ในพื้นที่ อ.แม่สาย อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้จัดการฝึกซ้อมแผน และ การฝึกเฉพาะหน้าที่ ตามแผนการฝึกอพยพพลเรือน ปี 2564 เพื่อรองรับสถานการณ์การข้ามพรมแดนของประชาชนจากประเทศเมียนมา จากสถานการณ์การเมือง

โดยมีการแบ่งหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายเพื่อรับมือกับกลุ่มคนที่อาจจะทะลักเข้ามาจากชายแดนประเทศเมียนมา จำนวนมาก โดยจะต้องมีการคัดกรองโรค ในอันดับแรก เพื่อป้องการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด - 19 และการคัดแยกผู้คนตามกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีทั้ง ประชาชนชาวเมียนมา ประชาชนชาวไทย นักการเมืองชาวเมียนมา และบุคคลสำคัญ ซึ่งจะต้องซักซ้อมในการลำเลียงบุคคลต่าง ๆ ไปยงสถานที่ที่รองรับของแต่ละกลุ่ม

การฝึกซ้อมครั้งนี้เป็นแผนการฝึกซ้อมประจำปี ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมา ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากเกิดความรุนแรงและมีประชาชนอพยพเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย จะได้มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ และเจ้าหน้าที่แต่ละฝ่าย สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นไปตามแผนที่ซักซ้อมเอาไว้


ภาพ/ข่าว : ณัฐวัตร ลาพิงค์

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ สำหรับภาคใต้

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์  จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพาย ประจำปี 2563  สำหรับภาคใต้

โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธี ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์  ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวรายงานการจัดพิธี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิวัติ แก้วประดับ อธิการบดีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ร่วมเป็นเกียรติ ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ ๖๐ ปี  มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้จัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยแบ่งเป็น 4 ภูมิภาค คือ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้  จำนวน 2,367 ราย ตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย เนื่องในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 28 กรกฎาคม 2563 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆจัดพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในสถานที่ที่เหมาะสม

สำหรับภาคใต้ มีผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นสายสะพาย จำนวน 150 ราย ประกอบด้วย ราชบัณฑิตและกรรมการ ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และบุคลากรในสังกัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประกอบด้วย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.) จำนวน 4 ราย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) จำนวน 28 ราย 

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) จำนวน 21 ราย

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) จำนวน 97 ราย

โดยมีผู้เข้ารับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลา มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช มหาวิทยาลัยราชภัฎภูเก็ต มหาวิทยาลัยราชภัฎสุราษฎร์ธานี มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย และมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์

สถานีตำรวจภูธรเมืองกระบี่ ส่งมอบประติมากรรมสึนามิ “กอดฉันให้แน่น” ผลงานของหลุยส์ บูร์ชัวร์ ศิลปินชื่อก้องโลก

ประติมากรรมสึนามิ “กอดฉันให้แน่น”  ผลงานของหลุยส์ บูร์ชัวร์ ศิลปินชื่อก้องโลก สถานีตำรวจภูธรเมืองกระบี่ ส่งมอบให้อุทยานหมู่เกาะพีพี  หลังเก็บรักษาไว้นานกว่า10 ปี  ขณะที่อุทยานหารือกับจังหวัดเตรียมจัดหาสถานที่ติดตั้งที่ปลอดภัย  เผยมีมูลค่ากว่า 100ล้าน

วันที่ 19 มี.ค.2564 ที่สถานีตำรวจภูธร เมืองกระบี่   พ.ต.อ.ณรงค์  ลักษณะวิมล  ผกก.สภ.เมืองกระบี่  ได้ทำการส่งมอบ ประติมากรรมสึนามิ   “กอดฉันให้แน่น” ( Hold me close ) จำนวน 2 ชิ้น  ให้แก่นายประยูร  พงศ์พันธ์  หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี  จ.กระบี่  เพื่อนำไปเก็บรักษาในที่ปลอดภัย ก่อนที่จะนำไปติดตั้งในสถานที่ใหม่  โดยมีนายสมภพ   บัวสกุล  สรรพากรพื้นที่อำเภอเมืองกระบี่  เป็นพยานในการรับมอบ  

หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี  กล่าวว่า ประติมากรรมสึนามิ กอดฉันให้แน่น ถูกนำมาเก็บรักษาไว้ที่ สภ.เมืองกระบี่ มาประมาณ 10 ปี  ปัจจุบันอาคารสภ.เมืองกระบี่ มีสภาพเก่าจะต้องมีการรื้อถอน เพื่อก่อสร้างใหม่ทำให้ไม่มีที่เก็บ  ทางสภ.เมืองกระบี่ จึงได้แจ้งให้หน.อุทยานฯหมู่เกาะพีพี ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการเก็บรักษาประติมากรรมสึนามิ มารับไปเก็บรักษาดูแล  ซึ่งได้เดิมทีทางนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผวจ.ได้ประสานสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกระบี่นำเก็บรักษาในเซฟ แต่ตู้มีขนาดเล็กไม่สามารถเก็บประติมากรรมฯได้ ทางอุทยานฯจึงต้องมารับไปเก็บรักษาเอง ทั้งนี้ประติมากรรม กอดฉันให้แน่น  ที่ชิ้นงานศิลปะที่ทรงคุณค่า มีเพียง1 เดียวในโลก มีมูลค่าไม่ต่ำกว่ากว่า 100 ล้านบาท

สำหรับประติมากรรมสึนามิ กอดฉันให้แน่น  เป็นผลงานของ “หลุยส์ บูร์ชัวส์” (Louise Bourgeois) ประติมากรหญิงชื่อดังระดับโลกเชื้อสายฝรั่งเศส ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 31 พ.ค.2553 ด้วยวัย 98 ปี  ได้สร้างขึ้นหลังจากเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์ สึนามิ ถล่มชายฝั่งอันดามัน เมื่อปลายปี 2547  และถูกนำไปติดตั้งไว้ที่บริเวณสวนสน หาดนพรัตน์ธารา ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-.หมู่เกาะพีพี  เพื่อเป็นอนุสรณ์สถาน ให้แก่ประชาชน และนักท่องเที่ยวหลังได้รำลึกถึงเหตุการณ์สึนามิ

ต่อมามีผู้พบเห็น ประติมากรรมทั้งสองชิ้น ถูกนำแสดงอยู่ที่ชั้น 9 หอศิลป์ กรุงเทพฯ ในนิทรรศการสันติภาพ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 22 มิถุนายน - 22 สิงหาคม 2553 โดยกระทรวงวัฒนธรรม  ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงควาไม่เหมาะสม  ชาวจังหวัดกระบี่เรียกร้องให้นำกลับมาไว้ที่เดิม  ก่อนที่นำไปจัดเก็บไว้ที่ สภ.เมืองกระบี่ หลังศิลปินเจ้าของผลงานเสียชีวิต ส่งผลให้ผลงานศิลปะของเธอที่มีคุณค่า หายาก และเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก....


ภาพ/ข่าว : ณัฏฐพงษ์ ศรีปล้อง

บรรยากาศสุดฟินที่เพชรบูรณ์ กับสีสัน ช้อปเพลิน เดิน กิน ที่ถิ่นท้ายดง “TAIDONG WALKING STREET”

นายนาวิน สังฆมาตร นายอำเภอวังโป่ง เป็นประธานเปิด “TAIDONG WALKING STREET”( ถนนคนเดินท้ายดง ) ช้อปเพลิน เดิน กิน ที่ถิ่นท้ายดง ซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งในแนวคิดในการพัฒนาชุมชน ให้เป็นที่รู้จักและการกำหนดให้แหล่งเรียนรู้ของตำบล เป็นแหล่งตลาดใหม่

โดยองค์การบริหารส่วนตำบลท้ายดง ให้ความสำคัญของเด็กและเยาวชนพร้อมด้วยผู้สูงอายุในสังคมปัจจุบัน โดยการพยายามหาแนวทางในการขับเคลื่อนกลุ่มของสภาเด็กเยาวชนตำบลท้ายดง และโรงเรียนสร้างสุขผู้สูงวัยตำบลท้ายดง จึงจัดกิจกรรม “TAIDONG WALKING STREET”( ถนนคนเดินท้ายดง ) ช้อปเพลิน เดิน กิน ที่ถิ่นท้ายดง โดยมีนางสาวฉัตรนภา เมืองแป้น นายก อบต.ท้ายดง เป็นผู้กล่าวรายงาน  เพื่อเป็นการผลักดันยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวของตำบลท้ายดง และสนับสนุนการแสดงกิจกรรม สืบทอดศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นและการแสดงของกลุ่มเด็กและเยาวชน ผู้สูงอายุ ภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชน

นอกจากนี้ ภายในกิจกรรม ก็ได้มีอีกหนึ่งสีสันและไฮไลท์เด็ด ให้ผู้ร่วมงานและนักท่องเที่ยวได้รับชม โดยมีการแสดงของสภาเด็กและเยาวชนตำบลท้ายดง ที่ออกมาโชว์สเต๊ปการเต้นเข้าจังหวะ ด้วยท่วงท่าที่หลากหลาย น่ารัก สมวัย สร้างความสนุกสนาน และตามด้วยการแสดงที่อ่อนช้อย ของโรงเรียนสร้างสุขผู้สูงวัยตำบลท้ายดง ที่ต่างพร้อมใจกันแต่งกายด้วยผ้าซิ่น สวมใส่เสื้อสีชมพู มีผ้าขาวม้าพาดไหล่ สะพายกระติ๊บข้าวเหนียว ออกมาโชว์ในชุด เซิ้งกระติ๊บอย่างพร้อมเพียง งดงาม

และนอกจากนั้น ยังมีร้านขายอาหาร ร้านขายของฝาก ของที่ระลึก ร้านนวดเพื่อสุขภาพ ร้านเสริมความงาม รวมทั้งกิจกรรมกีฬาและสันทนาการต่างๆ มาคอยให้บริการอย่างครบครัว และที่จะขาดไม่ได้เลยทีเดียว เมื่อใครได้มาถึงที่นี่แล้ว จะต้องมาร่วมเช็คอิน ถ่ายรูปกับมุมเซลฟี่ต่างๆ ที่ทางถนนคนเดินท้ายดง ได้จัดแต่งไว้ให้อย่างหลากหลาย โดยจะเปิดให้บริการ ในทุกวันพฤหัสบดี เริ่มตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป จนถึงช่วงเวลา 19.00 น.


ภาพ/ข่าว : เดชา มลามาตย์ และ ยุทธ ศรีทองสุข

เปิดศูนย์ท่องเที่ยวภูพระบาทบ้านติ้ว อุดรธานี พร้อมเตรียมยกระดับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก

วันที่ 19 มีนาคม 2564 เวลา 14.30 น. ที่อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท บ้านติ้ว ต.เมืองพาน อ.บ้านผือ  จ.อุดรธานี นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผช.รมว.วัฒนธรรม เป็นประธานเปิด “ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” เพื่อยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวมาตรฐานระดับสากล เตรียมความพร้อมในการนำเสนอขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม , นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร นายวันชัย จันทร์พร รอง ผวจ.อุดรธานี ร่วมพิธี 

อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติภูหินจอมธาตุ-ภูพระบาท (เตรียมการ) พื้นที่ 3,430 ไร่ พบหลักฐานทางโบราณคดีและโบราณสถาน กระจายอยู่ทั่วบริเวณ และเกิดขึ้นในหลายยุคหลายสมัย ตั้งแต่ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์ 54 จุด มากที่สุดในประเทศไทย , เพิงผาหินขนาดใหญ่ , วัดที่สร้างขึ้นในสมัยลานช้างกว่า 70 แห่ง รวมทั้งรอยพระพุทธบาท 3 รอย ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับตำนานพระธาตุพนม สมเด็จพระขนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราขสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด “อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2535

นายมนตรี ธนภัทรพรชัย หัวหน้าอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท นำ นายปรเมศวร์ฯ ผช.รมว.วัฒนธรรม พร้อมคณะ เข้าชมนิทรรศการภายในอาคารศูนย์ฯ เป็นอาคารภายนอกโปร่งแสง จัดแสดงเนื้อหาพัฒนาการด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเชื่อ และศาสนา ของผู้คนในพื้นที่ภูพระบาท และใกล้เคียง รวมทั้งมีห้องให้บริการสืบค้นข้อมูลสารสนเทศ โดยห้องจัดแสดงแบ่งออกเป็น 6 ส่วน  คือ ธรรมชาติบนภูพระบาท , ธรณีวิทยาแห่งเทือกเขาภูพาน , ภูพระบาทภูเขาศักดิ์สิทธิ์ , ห้องโบราณคดีผ่านสื่อผสมผสาน , ห้องอริยสงฆ์ภูพระบาท และ ห้องชาติพรรณไทยพวน   

จากนั้นคณะ ขึ้นรถไฟฟ้าบริการท่องเที่ยว เข้าชมกลุ่มโบราณสถาน และสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แบบประเพณีอีสาน ด้วย “ขันหมากเบ็ง” ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์ที่อยู่ในยุคต่างกัน ได้ดัดแปลงเพิงผาหินทราย ลายล้อมด้วยใบเสมาขนาดต่าง ๆ ให้เป็นศาสนสถานประดิษฐานพระพุทธรูป เป็นกลุ่มกระจายอยู่ทั่วภูพระบาท โดยเริ่มต้นที่ หอนางอุสา ก่อนเดินเท้าชมพื้นที่โดยรอบ อาทิ หีบศพพ่อตา , หีบศพเท้าบารส , หีบศพนางอุสา และถ้ำพระ ตลอดเส้นทางเดินถูกปรับแต่งให้เดินได้สะดวก พร้อมป้ายอธิบายความเป็นมา รวมทั้งป้ายชื่อต้นไม้ตลอดทาง

นายประทีป เพ็งตะโก อธิบดีกรมศิลปากร เปิดเผยว่า กรมศิลปากร ได้จัดสรรงบประมาณ 15.34 ล้านบาท จากงบยุทศาสตร์ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว กีฬา และวัฒนธรรม พัฒนาและปรับปรุงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเดิม เพื่อเพิ่มศักยภาพอาคารปฏิบัติการ และอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มารับบริการ ยกระดับเป็นแหล่งท่องเที่ยวมาตรฐานสากล เตรียมความพร้อมเสนอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก   

“นอกจากนี้ยังบริการให้ข้อมูลด้วยเทคโนโลยี ที่ผสมโลกของความเป็นจริงกับโลกเสมือน หรือ AR สำหรับเด็ก เยาวชน ผู้สูงวัย และคนพิการ ทั้งนี้เนื้อหาที่จัดแสดง เหมาะสำหรับผู้มารับริการหลายช่วงอายุ  ที่มีความสนใจในพัฒนาการด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิต ความเชื่อ และศาสนาของคนในพื้นที่ภูพระบาท และบริเวณใกล้เคียง โดยได้รับความอนุเคราะห์ข้อมูล และวัตถุจัดแสดงจากชาวไทยพวนบ้านผือ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ในพื้นที่ ”

นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผช.รมว.วัฒนธรรม กล่าวว่า อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท เป็นแหล่งมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ และภูมิทัศน์ศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนในลุ่มน้ำโขงและอุดรธานี ที่มีความพร้อมและศักยภาพ สำหรับการเสนอชื่อขึ้นเป็นมรดกโลกแห่งใหม่ โดยกรมศิลปากรจะเสริมสร้างศักยภาพ ให้มีความพร้อมในทุกด้าน เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาขึ้นทะเบียน นอกจากจะได้อนุรักษ์โบราณสถานอย่างเหมาะสมแล้ว ยังได้ปรับปรุงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ยกระดับให้ได้มาตรฐานระดับสากล หวังว่าวันนี้จะเป็นก้าวแรกของศูนย์ฯ ที่จะนำไปสู่การพัฒนาในด้านอื่น ๆ ต่อไป 

สำหรับ“อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท” เคยได้ขึ้นบัญชีชั่วคราวรับการประเมินเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2547 ศูนย์มรดกโลกได้รับเอกสารฉบับสมบูรณ์ วันที่ 30 มกราคม 2558 , ผู้เชี่ยวชาญ ICOMOS ลงพื้นที่วันที่ 17-24 กันยายน 2558 ,  ต่อมาประเทศไทยต้องส่งข้อมูลเพิ่มเติมตามคำขอวันที่ 2 พฤศจิกายน 2558 , ICOMOS ส่งรายงานการประเมินฉบับสมบูรณ์วันที่ 11 มีนาคม 2559 เพื่อให้เสนอต่อที่ประชุมใหญ่ยูเนสโก ที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ระหว่างวันที่ 10-20 กรกฎาคม 2559 แต่ประเทศไทยถอนตัว เพราะเชื่อว่าเอกสารไม่สมบูรณ์ ต่อมาวันที่ 9 เมษายน 2562 ครม.ตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนนำเสนออีกครั้ง โดยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่าง การจัดทำข้อมูลเพิ่มเติม


ภาพ/ข่าว : นายกฤษดา จันทร์ดวง (ผู้สื่อข่าว)

เริ่มแล้ว "งานกระบี่นาคาเฟส" สัมผัสสายลมเสียงเพลงอิ่มอร่อยอาหารซีฟู๊ดหาดคลองม่วง บรรยากาศคึกคัก คาดเงินสะพัด 10 ล้าน

เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564 เวลา 19.30 นาฬิกา นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และนายสมชาย หาญภักดีปฏิมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ร่วมเปิดการจัดงานกระบี่นาคาเฟส 2021 ครั้งที่ 7 ชวนชม เชียร์ ชิม ช๊อป ชิว กับบรรยากาศชายทะเล ภายใต้วิถีนิวนอมอลและมาตรฐานเอสเฮชเอ

โดยสร้างความสุขในบรรยากาศทะเล เสียงดนตรี หาดทราย สายลม ชมทะเล ฟังเสียงคลื่น รื่นเริงเสียงดนตรี ชิวๆรายล้อมรอบกายด้วยอ้อมกอดแห่งขุนเขาและทะเลอันดามัน วันที่ 19 – 21 มีนาคม 2564 เวลา 17.00 – 24.00 นาฬิกา ที่ชายหาดคลองม่วง ตำบลหนองทะเล อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับจังหวัดกระบี่ องค์การบริหารส่วนจังหวัดกระบี่ และองค์การบริหารส่วนตำบลหนองทะเล ตลอดจนภาคีเครือข่ายธุรกิจการท่องเที่ยวจัดขึ้น

งานดังกล่าว เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวจังหวัดกระบี่ ที่ได้พัฒนากิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงดนตรีผสมผสานกับความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ ให้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจ มีประสบการณ์ใหม่ที่เหมาะกับพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน เพื่อเป็นการกระตุ้นการเดินทางและเพิ่มการใช้จ่าย ในการสร้างงานสร้างรายได้สู่จังหวัดกระบี่  และช่วยฟื้นฟูอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด 19 คลี่คลายลง

ให้ชาวกระบี่และนักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสสายลมเสียงเพลงแห่งท้องทะเล ฟังบทเพราะๆสนุกสนานกับบรรยากาศยามเย็นพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า และค่ำคืนแห่งดวงดาวเคล้าคลอไปกับเสียงเกลียวคลื่น พร้อมอิ่มอหร่อยกับสุดยอดเมนูซีฟู๊ดอาหารจากโรงแรมระดับ 4 – 5 ดาวที่มาร่วมออกบูธ  ทั้งบูธสินค้าโอท๊อป และอาหารพื้นบ้านจากทะเล สด ๆ รวมถึงสินค้าชุมชนที่ขึ้นชื่อของจังหวัดกระบี่ ที่ปลอดโฟมช่วยลดปริมาณขยะ รักษาสิ่งแวดล้อมและลดมลพิษทางอากาศ

ส่วนกิจกรรมภาคกลางวัน การเล่นกีฬาทางน้ำเพ็ตเดิ้ลบอร์ด การสอนวิธีเล่นเซิฟบอร์ด  การออกร้านของผู้ประกอบการโรงแรมและร้านค้าชุมชน ส่วนภาคกลางคืนพบกับมินิคอนเสิร์ตและสุดยอดศิลปินนักร้องคุณภาพตลอดทั้ง 3 คืน เช่นวงดนตรีจากวงฉ่อย วงดิอันดามัน ดีเจสเตย์โกล การแสดงกระบองไฟ มินิคอนเสิร์ตป๊อป ปองกูล อะตอม ชนะกันต์ อินดิโก้ วัชราวลี ลิปตา เบน ชลาทิศและมาเรียมบีไฟว์  ส้ม มารี เดอะทอย และมินิคอนเสิร์ตบอยพีชเมคเกอร์

ซึ่งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานจังหวัดกระบี่ คาดว่ามีนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าร่วมงาน 3 วัน 20,000 คน เป็นนักท่องเที่ยวไทย 15,000 คน และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 500 คน สามารถสร้างรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท....


ภาพ/ข่าว : ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง

รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เนื่องในวันน้ำโลก 22 มี.ค. 64 ขอให้ประชาชนทุกพื้นที่ใช้น้ำอย่างมีคุณค่า เลี่ยงปัญหาภัยแล้ง เพื่ออนาคตมีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์

เมื่อวันที่ 19 มี.ค. 64  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่โครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม พร้อมระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์กุดเมืองฮาม ต.กุดเมืองฮาม อ.ยางชุมน้อย จ.ศรีสะเกษ นายวราวุธ   ศิลปะอาชา  รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย นายจตุพร บุรุษพัฒน์  ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม  นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ คณะผู้บริหารระดับสูง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้เดินทางมาตรวจราชการโครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์

ซึ่งกรมทรัพยากรน้ำ โดยสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 5  ได้รับงบประมาณตามแผนปี พ.ศ. 2560 ดำเนินโครงการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม โดยการขุดลอกพื้นที่ความยาวรวม 3,921.38  เมตร เพื่อเป็นแก้มลิงไว้กักเก็บน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำต้นทุนให้ประชาชนในพื้นที่ได้ใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ ในการบรรเทาความเดือดร้อนด้านการอุปโภค-บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร โดยใช้งบประมาณ 23,900,000 บาท สำหรับประโยชน์ที่ประชาชนได้รับคือมีปริมาณความจุเก็บกักน้ำเพิ่มจำนวน 6,648,792 ลบ.ม. พื้นที่การเกษตรได้รับประโยชน์ 800 ไร่  ครัวเรือนได้ประโยชน์ 200 ครัวเรือน โดยมีนายวิชัย    ตั้งคำเจริญ รอง ผวจ.ศรีสะเกษ และนายสุพร  ธีรโรจน์ชาลี  นายอำเภอยางชุมน้อย  พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน ประชาชนชาวบ้านกุดเมืองฮาม มาให้การต้อนรับ

นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า โครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์นี้เป็นการดำเนินการเพื่อเพิ่มศักยภาพให้สามารถนำน้ำจากแหล่งน้ำดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ได้ และเป็นการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมีลักษณะโครงการดังนี้ ติดตั้งถังไฟเบอร์กลาส ขนาดความจุ 100,000ลิตร จำนวน 3 ถัง แผงเซลล์แสงอาทิตย์พร้อมโครงสร้าง ขนาดแผงละ 330 วัตต์ จำนวน 96  แผงชุดเครื่องสูบน้ำ สามารถสูบน้ำได้ 60 ลบ.ม/ชม ระบบกระจายน้ำด้วยท่อ HDPE ความยาว 2,430  เมตร งบประมาณ 16,998,100  บาท  ผลงานก่อสร้างปัจจุบันร้อยละ 55.09 เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์จากการทำเกษตร จำนวน 1,225 ไร่ ครัวเรือนได้รับประโยชน์ 418  ครัวเรือน และยังเป็นการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่จากการเพาะปลูกพืชใช้น้ำน้อย เช่น พริก และหอมแดง เป็นต้น

นายภาดล ถาวรกฤชรัตน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ ยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 22 มี.ค. 64 ซึ่งเป็นวันน้ำโลก ตนเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีเพราะมีน้ำต้นทุนที่เรียกว่าน้ำฝนเพียงพอ แต่วันนี้เราคงต้องมาตระหนักในเรื่องของน้ำ จะต้องใช้น้ำทุกหยดอย่างมีคุณค่า และรักษาคุณภาพของลำน้ำที่เรามีอยู่นั้นให้มีคุณภาพสะอาดมีความใส  ซึ่งในวันนี้ทางรัฐบาลกำลังร่วมกันรณรงค์ทำอย่างไรที่จะให้น้ำเข้าถึงพี่น้องประชาชนมากที่สุด ในขณะเดียวกันพี่น้องประชาชนก็จะต้องร่วมไม้ร่วมมือกัน ในการเก็บน้ำฝนลงดิน ในการทำน้ำใต้ดิน ซึ่งตรงนี้จะเป็นประโยชน์กับคนไทยของเรา ขอฝากพี่น้องประชาชนชาวไทยในเรื่องนี้

นายวราวุธ ศิลปะอาชา  รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ตนมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาเห็นโครงการที่มีประโยชน์ และพี่น้องได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และมุ่งมั่นในการบริหารจัดการน้ำ อันเป็นสิ่งที่ทำให้ชุมชนของเราพัฒนาเจริญอย่างยั่งยืน โครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ เป็นโครงการที่กรมทรัพยากรน้ำดำเนินการต่อยอดจากโครงการอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งน้ำกุดเมืองฮาม ซึ่งแต่เดิมมีปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้ง และน้ำท่วมในฤดูน้ำหลาก จึงได้พัฒนาเป็นพื้นที่แก้มลิงเพื่อกักเก็บน้ำ ซึ่งสามารถลดผลกระทบจากภาวะน้ำแล้ง น้ำท่วมแต่ประชาชนในพื้นที่ยังไม่สามารถนำน้ำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างสะดวก จึงต่อยอดดำเนินโครงการก่อสร้างระบบกระจายน้ำด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อเพิ่มศักยภาพให้สามารถนำน้ำจากแหล่งน้ำมาใช้ประโยชน์ได้ 

รมว.กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยังกล่าวด้วยว่า ในวันที่ 22 มี.ค. 64  ซึ่งเป็นวันน้ำโลก ตนขอฝากถึงประชาชนชาวไทยทั่วประเทศว่า  น้ำทุกหยดนับวันจะมีค่ามากขึ้นและหายากมากขึ้น ทรัพยากรน้ำเป็นทรัพยากรที่มีความหมายต่อชีวิตมนุษย์มาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการอุปโภคบริโภค เพื่อการเกษตร การทำอุตสาหกรรม และแม้แต่การรักษาระบบนิเวศน์ ดังนั้น เมื่อเราใช้น้ำแล้ว การอนุรักษ์น้ำ การเพิ่มเติมน้ำเข้าไปในใต้ดิน หรือแม้แต่โครงการธนาคารน้ำใต้ดินเข้าไปเป็นสิ่งที่มีความสำคัญพอ ๆ กัน  ตนจึงขอฝากพี่น้องประชาชนทุกพื้นที่ว่า ขอให้ใช้น้ำอย่างประหยัดและใช้น้ำอย่างมีคุ้มค่า และให้ช่วยกันปลูกป่า เพื่อว่าในอนาคตเราจะได้มีระบบนิเวศน์ที่สมบูรณ์  จะได้ไม่ต้องเจอปัญหาภัยแล้งอย่างที่เราเคยเจอมาอย่างในอดีตที่ผ่านมา


ข่าว/ภาพ : บุญทัน ธุศรีวรรณ  ศรีสะเกษ

ผู้ว่าฯ ปู คืนสู่สาคร คนแห่ต้อนรับเนืองแน่น ด้านพ่อเมืองบอกรักและคิดถึงที่สุดสมุรสาคร อีก 1 เดือนพร้อมสู้ต่อ

เมื่อเวลาประมาณ 12.00 น. ของวันที่ 19 มีนาคม 2564  ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์  แพทย์ผู้ให้การดูแลฯ ได้เดินทางมาที่ศาลากลางจังหวัดสมุทรสาคร พร้อมกับ นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นางชุติพร วิจิตร์แสงศรี (ภริยา) นายกเหล่ากาชาดจังหวัดสมุทรสาคร และ นางสาววีราพร หรือ น้องน้ำหวาน วิจิตร์แสงศรี (บุตรสาว) เพื่อพบปะกับ นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร นายสุรศักดิ์ ผลยังส่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร หัวหน้าส่วนราชการ ภาครัฐ ภาคเอกชน และพี่น้องประชาชนที่มาร่วมกันต้อนรับอย่างเนืองแน่น

โดยเมื่อขบวนรถของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครมาถึง คนที่มาต้อนรับก็ปรบมือส่งเสียงดีใจ ที่ท่านเดินทางกลับมาที่สมุทรสาครด้วยใบหน้าที่สดใส มีรอยยิ้มและสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น แม้จะยังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ขณะที่ในส่วนของผู้ว่าราชการจังหวัดและครอบครัว ก็ได้โบกมือทักทายทุกคน พร้อมกับยกมือไหว้ขอบคุณที่ทุกคนรักและมารอต้อนรับ ก่อนที่จะเข้าห้องประชุมพันท้ายนรสิงห์ฯ เพื่อพบปะกับผู้แทนจากภาคส่วนต่าง ๆ ประมาณ 30 คน

สำหรับในห้องประชุมหลังจากที่ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล และ รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ ได้เล่าให้ฟังถึงอาการท่านผู้ว่าฯ และแนวทางการรักษา ตลอดจนกำลังใจที่มีส่วนสำคัญทำให้ท่านผู้ว่าฯ ฟื้นคืนร่างกายกลับมาได้โดยเร็วแล้วนั้น ทางนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้กล่าวถึงความรู้สึกตั้งแต่เริ่มแรกที่รู้ว่าติดเชื้อโควิด – 19 จนกระทั่งนอนอยู่ในโรงพยาบาลแบบไม่รู้สึกตัว 43 วัน และต้องพักรักษาอยู่ในโรงพยาบาลศิริราชทั้งหมด 82 วัน

ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ตนเองได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ผ่านการเล่าเรื่องจากแพทย์ผู้ให้การดูแลรักษามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเรื่องของโรงพยาบาลสนามที่ตนมุ่งหวังและเชื่อมั่นว่าจะเป็นแนวทางในการป้องกันแก้ไขสถานการณ์โควิดให้ลุล่วงไปได้อย่างแน่นอน จนกระทั่งเมื่อตนเองรู้สึกตัวและสามารถขยับร่างกายได้แล้วนั้น ก็ได้อ่านข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับโควิดที่สมุทรสาครมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้รับรู้ความเคลื่อนไหว ความมุ่งมั่นในการทำงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้น น้ำใจจากทุกภาคส่วนที่หลั่งไหลสู่สมุทราสคร และความรัก ความสามัคคีของคนสมุทรสาคร ตลอดจนกำลังใจที่ส่งต่อมาให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครอย่างล้นหลาม

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า สิ่งที่อยากจะบอกกับคนสมุทรสาครคือ “รักและคิดถึงสมุทรสาครมากที่สุด” แม้ตนเองจะไม่ใช่คนสมุทรสาคร แต่การที่ได้มาทำงานที่นี่กว่า 1 ปี ก็รักและคิดถึงที่นี่มากแม้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านก็เสมือนบ้านของตนเอง โดยสถานการณ์โควิด – 19 วันนี้ เป็นบททดสอบที่สำคัญยิ่ง ซึ่งคนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครจะต้องมีส่วนรับผิดชอบในการควบคุมสถานการณ์ ทั้งนี้ตนก็เชื่อว่าการระบาดครั้งนี้จะต้องมีจุดจบ สมุทรสาครจะต้องสามารถกลับขึ้นมายืนได้อีกครั้ง ด้วยความร่วมมือของคนสมุทรสาคร ที่จะทำให้เราสามารถต่อสู้ชนะโควิดได้ในเร็ววันนี้ ส่วนตัวนั้นขอเวลาอีกประมาณ 1 เดือนในการพักฟื้นร่างกายตามคำสั่งของแพทย์ หลังจากนั้นจะกลับมาทำงานรับใช้พี่น้องชาวสมุทรสาคร 

นายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ยังบอกทิ้งท้ายด้วยอารมณ์แห่งความสุขและเรียกรอยยิ้มด้วยว่า ถ้าวันที่หายเป็นปกติสุขภาพร่างกายแข็งแรงดีแล้ว คิดว่าจะลงพื้นที่ไหนเป็นจุดแรกนั้น คงตอบไม่ได้ เพราะทุกพื้นที่สำคัญเหมือนกันหมด หากจะระบุไปที่ใดที่หนึ่งกลัวจะทำให้พื้นที่อื่นเกิดความน้อยใจ เพราะการทำงานเลือกพื้นที่ไม่ได้ คงต้องดูความเหมาะสมหรือความจำเป็นในขณะนั้น อีกอย่างหนึ่งคือ บอกไม่ได้ตอนนี้ เพราะกลัวภริยาจะรู้ ห้ามไม่ให้ไปทำงาน

ทั้งนี้หลังจากที่ใช้เวลาในห้องประชุมประมาณ 1 ชั่วโมง เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ก็ได้มีการรับประทานอาหารร่วมกันเป็นมื้อแรกที่สมุทรสาคร โดยมีเมนูโปรดของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครคือ ข้าวผัดปู ต้มส้มปลากระบอก ปลาหมึกผัดกะปิ กุ้งซอสมะขาม ลอดช่องวัดเจษ และลำไยพวงทอง ส่วนการรับประทานอาหารนั้นก็จัดเป็นเซ็ตสำหรับแต่ละท่าน มีการเว้นระยะห่างตามมาตรการ New Normal


ภาพ/ข่าว  ชูชาต แดพยนต์ สมุทรสาคร


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top