Friday, 16 May 2025
Region

กาฬสินธุ์ – ชาวบ้านพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำพิธีไหว้ผีปู่ตา จุดบั้งไฟไล่โรคร้ายโควิด

ชาวบ้านในตำบลบัวบาน อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ร่วมกันประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์กราบไหว้เลี้ยงผีปู่ตา และบวงสรวงวิญญาณบรรพบุรุษ พร้อมจุดบั้งไฟเสี่ยงทายฟ้าฝน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนถึงฤดูทำนา และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขับไล่สิ่งชั่วร้าย ขอให้ชาวบ้านรอดพ้นจากวิกฤติโรคร้าย โดยเฉพาะโรคโควิด-19 ให้สูญหายไปจากโลกนี้

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่บริเวณดอนปู่ตาบ้านตูม หมู่ 4 และหมู่ 19 ต.บัวบาน อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นางละมุล ภักดีนอก ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 4 นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 19 และนายบรรเจิด สุธรรมมา พ่อขะจ้ำ หรือปราชญ์ชาวบ้าน นำชาวบ้านประกอบพิธีกราบไหว้เลี้ยงผีปู่ตา และบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษตามประเพณีวิถีชีวิตของคนอีสาน เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนถึงฤดูทำนา และขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายให้ชาวบ้านรอดพ้นจากวิกฤติโรคร้ายต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคโควิด-19  โดยทุกคนที่เข้าร่วมพิธีต้องสวมหน้ากากอนามัย ขณะที่ อสม. ได้ตั้งจุดคัดกรอง และล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันโรคติดเชื้อโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

นางละมุล ภักดีนอก ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 4 กล่าวว่า การประกอบพิธีเลี้ยงผีปู่ตา หรือปู่หอเหนือ และบวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รุกขเทวา ที่สถิตอยู่ ณ บริเวณดอนปู่ตาก็เพื่อขอให้ปกปักรักษาสรรพชีวิต และพืชพันธุ์ธัญญาหาร ให้อุดมสมบูรณ์ ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน ถือเป็นการสืบสานประเพณีวิถีชีวิตของชาวอีสาน ที่มีการสืบทอดให้อยู่คู่ชุมชนมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งในส่วนของชาวบ้านตูม ก็ได้ปฏิบัติสืบเนื่องมาเป็นประจำทุกปี โดยชาวบ้านที่มาร่วมพิธี จะนำใบมะพร้าวมาทำเป็นสัญลักษณ์ แทนทรัพย์สินสิ่งของ เช่น บ้านเลขที่ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ โฉนดที่ดิน โดยเขียนเลขที่บ้าน ทะเบียนรถ เลขที่โฉนด นส 3 ก. มาสักการบูชาที่ศาลปู่ตา จากนั้นวางไว้ในบริเวณพิธี เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อให้ผีปู่ตา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองรักษา

ด้านนายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่ 19 กล่าวว่า พิธีเลี้ยงผีปู่ตา หรือปู่หอเหนือ บวงสรวงดวงวิญญาณบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านตูมร่วมกันจัดขึ้นดังกล่าว ถือเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีก่อนแยกย้ายกันลงมือทำนา ทั้งนี้หลังจากร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวง ด้วยไก่ต้ม เหล้าขาว และเครื่องบวงสรวงต่างๆแล้ว ชาวบ้านก็จะร่วมกันแห่บั้งไฟไปรอบๆศาลปู่ตา 3 รอบ จากนั้นทำการจุดบั้งไฟเสี่ยงทายฟ้าฝน

นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) กล่าวอีกว่า เนื่องจากในช่วงนี้เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งอำเภอยางตลาดมีผู้ติดเชื้อมากที่สุดใน จ.กาฬสินธุ์มาถึง 34 ราย จากจำนวนสะสมทั้งจังหวัด 94 ราย ถึงแม้ผู้ติดเชื้อจะหายดีแล้ว แต่โรคนี้ยังมีการแพร่ระบาดอยู่ในหลายภูมิภาค และอาจจะแฝงตัวอยู่ในพื้นที่ ดังนั้นในการประกอบพิธีเลี้ยงผีปู่ตาในครั้งนี้ นอกจากชาวบ้านได้ขอพรให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายแล้วยังจุดบั้งไฟขับไล่โรคโควิด-19 ที่กำลังแพร่ระบาดทำให้มีผู้ได้รับเชื้อเจ็บป่วย  และเสียชีวิตให้หนีหายไป

อย่างไรก็ตามสำหรับจากการจุดบั้งไฟขับไล่โควิด-19 และเสี่ยงทายฟ้าฝนครั้งนี้ พ่อขะจ้ำหรือปราชญ์ชาวบ้านทำนายจากการที่บั้งไฟพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าว่า ฝนฟ้าจะดี มีตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารจะอุดมสมบูรณ์ และอาจจะเกิดภาวะอุทกภัย น้ำป่าไหลหลาก ซึ่งชาวบ้านจะได้อธิษฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง รวมทั้งขับไล่โรคติดเชื้อโควิด-19 สูญหายไปจากสังคมไทยอีกด้วย

(สัมภาษณ์ นายสเตรสฉัน (สะ-เตรด-ฉัน) ภูนาสูง ผู้ใหญ่บ้านตูม หมู่19)

แม่ฮ่องสอน - ฝ่ายความมั่นคง ยืนยันชัดไม่มีกองกำลังใด ๆ เดินทางเข้ามายังชายแดนแม่สามแลบ และไม่มีการสู้รบในพื้นที่ริมฝั่งลำน้ำสาละวินมา 12 วันแล้ว

ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่า จะมีบุคคลแปลกหน้า ที่คาดว่าจะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF กว่า 100 นาย เดินทางจาก อ.แม่สอด จ.ตาก เตรียมเข้ามาในพื้นที่ริมแม่น้ำสาละวิน รวมไปถึงการแชร์ข้อความแจ้งเตือนประชาชนในเพจเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีการ ระบุข้อความ ว่ามีรถขนกองกำลังดังกล่าว มาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก 5-6 คัน จนเป็นเหตุให้ราษฏรในพื้นที่แม่สามแลบเกิดความหวาดกลัวไม่อยากให้มีสงครามกันขึ้นอีก

ด้านฝ่ายความมั่นคง ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้พื้นที่ชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณริมแม่น้ำสาละวิน ไม่มีปฏิบัติการทางทหาร ไม่มีการสู้รบในฝั่งเมียนมา เงียบสงบมาเป็นระยะเวลา 12 วัน สถานการณ์เข้าสู่ภาะวะปกติ จึงขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า กระแสข่าวที่บอกว่าจะมีบุคคลแปลกหน้าหรือกองกำลังพิทักษ์ชายแดนเดินทางมานั้น เป็นข่าวเท็จ ส่วนกรณีมี รถทหารที่เดินทางเข้าออกพื้นที่บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย  จ.แม่ฮ่องสอน ในช่วงนี้เป็นเพียงการสับเปลี่ยนกำลังของทหารในพื้นที่เท่านั้น และฝ่ายทหารยืนยันว่า เรามีจุดยืน เป็นกลางไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีหน้าที่ทำให้ประชาชนปลอดภัย และรักษาอธิปไตย


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

นครพนม - นรข.นครพนม บูรณาการหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ ยึดกัญชา 188 กก. วางทิ้งริมฝั่งแม่น้ำโขง

วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ที่สโมสรทหารสัญญาบัตร หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นครพนม น.อ.ฤทธิ์ นาทวงษ์ ผบ.นรข.เขตนครพนม พร้อมด้วย พ.อ.วิทธิพงศ์ อรรคคำ รอง ผบ.บก.ควบคุมที่ 1 กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี พ.ต.อ.จตุรงค์ มหิทธิโชติ ผกก.สส.ภ.จว.นครพนม พ.ต.ท.อัศรายุทธ ทองลอง สว.ส.รน.กก.10 บก.รน. ตำรวจน้ำนครพนม นายประพันธ์ศักดิ์ บุตรรัตต์ ปลัดอำเภอหัวหน้ากลุ่มงานบริหารปกครอง และนายจักรพงศ์ เที่ยงภักดิ์ ปลัดอำเภองานป้องกัน ตลอดจนเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันแถลงข่าวการตรวจยึดกัญชาจำนวน 188 แท่ง/กิโลกรัม ภายหลังชาวบ้านแจ้งว่าจะมีขบวนการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาในพื้นที่

จากเมื่อวันที่ 10  พฤษภาคม 2564 นรข.เขตนครพนม ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าจะมีการลักลอบลำเลียงและซุกซ่อนยาเสพติดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงด้านตอนท้ายเมืองลงไปในตำบลท่าค้อ อำเภอเมืองนครพนม จึงได้มีการรายงานผู้บังคับบัญชาและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผน โดย น.ท.วรภัทร แสงสุวรรณ หัวหน้า สน.เรือเขตนครพนม ได้นำกำลังพลร่วมกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองนครพนมลาดตระเวนและซุ่มตรวจการณ์ ทั้งทางบกและทางน้ำ ซึ่งใช้อยู่ 2 วัน กระทั่งเช้าวันนี้ เวลาประมาณ 5.45 น. ในขณะที่ชุดลาดตระเวนทางบกเดินลาดตระเวนริมฝั่งแม่น้ำโขงก็ได้ตรวจพบวัตถุต้องสงสัยเป็นกระสอบสีดำ จำนวน 4 กระสอบวางอยู่ใกล้กับสวนสมุนไพรบ้านท่าค้อ จึงได้มีการส่งสัญญาณและวางกำลังซุ่มอยู่บริเวณดังกล่าวจนเวลาผ่านไป 4 ชั่วโมงก็ไม่มีผู้ใดเข้ามาในพื้นที่ที่มีวัตถุต้องสงสัยวางเจ้าหน้าที่จึงได้ตัดสินใจเข้าทำการตรวจสอบ

ขณะเดียวกันชุดลาดตระเวนทางน้ำก็ได้ตรวจพบกระสอบสีดำลอยอยู่ในน้ำในบริเวณใกล้เคียงกันอีก 1 กระสอบ เจ้าหน้าที่จึงได้นำของกลางทั้งหมดมารวมกัน ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าวัตถุภายในกระสอบเป็นยาเสพติดให้โทษ ประเภท 5 (กัญชา) จำนวน 188  แท่ง/กิโลกรัม จึงได้ร่วมกันทำบันทึกตรวจยึดไว้เป็นหลักฐานพร้อมนำของกลางทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครพนม เพื่อติดตามสืบสวนสอบสวนหาขบวนการผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัส ผสข.นครพนม

กรุงเทพฯ - มูลนิธิมาดามแป้ง หนุนสร้างซุ้มพ่นฆ่าเชื้อโควิด ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงสีแดงคลองเตย-บ่อนไก่

มูลนิธิมาดามแป้ง หนุนสร้างซุ้มพ่นฆ่าเชื้อโควิด ในชุมชนพื้นที่เสี่ยงสีแดงคลองเตย-บ่อนไก่ 

ทีมอาสากล้าใหม่ มูลนิธิมาดามแป้ง ลงพื้นที่คลองเตยและบ่อนไก่พัฒนา สร้างซุ้มพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ในจุดเสี่ยงของแต่ละชุมชน

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กระจายไปหลายพื้นที่และทวีความรุนแรงขึ้นในเขตพื้นที่สีแดงของกรุงเทพมหานคร อย่างเขตคลองเตยและเขตปทุมวัน นอกจากให้ความช่วยเหลือด้านอาหารจากครัวมาดาม กล่องน้ำใจแก่ผู้กักตัว การออกฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อในพื้นที่ติดเชื้อต่อเนื่องทุกวันแล้ว ในช่วง 3 วันที่ผ่านมา มูลนิธิมาดามแป้ง ขอเสริมความมั่นใจให้ชาวบ้านที่ต้องดำเนินชีวิตประจำวันนอกบ้าน ท่ามกลางสถานการณ์ความเสี่ยง ด้วยการมอบหมายให้อาสาที่มีฝีมืองานช่าง ลงพื้นที่สร้างซุ้มพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อจุดเข้า-ออก และจุดผ่านสำคัญภายในชุมชน

ด้านมาดามแป้ง นวลพรรณ ล่ำซำ ประธานกรรมการมูลนิธิมาดามแป้ง และ ซีอีโอ บมจ.เมืองไทยประกันภัย กล่าวว่า "เราอยากทำงานแบบบูรณาการตามสถานการณ์ ต้องทำแบบรอบด้านมันถึงจะสำเร็จ เพราะชาวบ้านยังต้องออกมาทำมาหากินเลี้ยงปากท้อง สัญจรผ่านพื้นที่สาธารณะ ดังนั้น อะไรที่จะช่วยบรรเทาปัญหา คลายความวิตกกังวลลงได้ เราก็ส่งทีมอาสาไปทำทันที ซึ่งขณะนี้ติดตั้งซุ้มนี้ครบทุกจุดตามเป้าหมายแล้ว ก็ช่วยให้ทุกคนมั่นใจขึ้นเวลาออกมาทำงานนอกบ้าน"

สำหรับชุมชนที่มูลนิธิได้ติดตั้งซุ้มดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว อาทิ ชุมชนพัฒนาใหม่, ชุมชน 70 ไร่, ชุมชนล็อค 4-5-6, ชุมชนล็อค 1-2-3, ชุมชนวัดคลองเตยใน, ชุมชนร่มเกล้า, ชุมชนโรงหมู, ชุมชนบ่อนไก่พัฒนา, ชุมชนเคหะบ่อนไก่ เป็นต้น โดยซุ้มดังกล่าวจะพ่นน้ำฆ่าเชื้อที่ได้รับมาตรฐานจากกรมอนามัย ที่สามารถสัมผัสกับผิวหนังมนุษย์ได้ มีลักษณะการฉีดพ่นแบบละอองฝอยทำให้น้ำยามีประสิทธิภาพสูงขึ้น 

ทั้งนี้ มูลนิธิมาดามแป้งยังมีแผนดำเนินตั้งซุ้มพ่นฆ่าเชื้อในอีกหลายจุดนอกเหนือจากภายในชุมชน อาทิ จุดตรวจคัดกรองประชาชนที่มีความเสี่ยง และจุดบริการฉีดวัคซีนที่กำลังอยู่ในขั้นตอนการจัดตั้งอีกด้วย  ประชาชนที่สนใจร่วมบริจาคสมทบทุนได้ที่บัญชี 092-2-61340-0 ธนาคารกสิกรไทย ชื่อบัญชี มูลนิธิมาดามแป้ง เพื่อโครงการสร้างสังคมแห่งการให้

กาฬสินธุ์ – สยบดราม่า “จนทิพย์” น้องโวลต์ เด็กเก่งสอบติดแพทย์ ชี้แจงว่าจนจริง สิ่งของที่มีมาจากการทำงานเก็บเงินซื้อ

เปิดใจ “น้องโวลต์” นักเรียนเก่งสอบติดแพทยศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม หลังเจอกระแสดราม่า “จนทิพย์” ระบุสิ่งของเครื่องใช้ที่เห็นทุกอย่างได้มาจากการทำงานตั้งแต่เรียนม.3เก็บเงินซื้อ เพื่อใช้ในการศึกษา พร้อมชี้แจงและขอบคุณผู้ใจบุญ ขณะที่นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ลงพื้นที่ให้กำลังใจ พ่อปลูกผักขายจนจริง พร้อมตั้งคณะกรรมการและที่ปรึกษาดูแลบัญชีเบิกจ่ายค่าเล่าเรียน 

จากกรณีที่มีการนำเสนอข่าวและโลกออนไลน์เผยแพร่เรื่องราวของนางสาวณัฐวดี เหล่าบุบผา หรือน้องโวลต์ อายุ 18 ปี นักเรียนโรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 9 บ้านหามแห ต.โพนทอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ที่สอบติดแพทย์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม แต่ฐานะทางบ้านยากจน พ่อปลูกพืชผักขาย โดยมีการเปิดรับบริจาค กระทั่งนายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ไปตรวจสอบ พบมีผู้ใจบุญบริจาครวมจำนวนเงินกว่า 2,700,000 บาท และได้ปิดรับบริจาคไปแล้ว เนื่องจากเพียงพอสำหรับการเรียนแพทย์แล้วนั้น

ทั้งนี้ต่อมาเรื่องดังกล่าวกลับกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เนื่องจากในโลกออน์ไลน์มีการจับโป๊ะภาพจากคลิปวีดีโอต่าง ๆ ของน้องโวลต์ที่ออกมาก่อนหน้านี้ โดยมีชาวเน็ตจับผิดเห็นไอแพดโปร ซึ่งมีราคากว่า 25,000 บาท นอกจากนี้ยังมีแอปเปิ้ล เพนซิล ขวดน้ำหอมดิออร์ยี่ห้อหรู รถยนต์ อินเตอร์เน็ตไวไฟ การจัดฟัน มีการตั้งข้อสงสัยว่าจนจริงหรือไม่ กระทั่งมีข้อความ “จนทิพย์” เป็นอันดับ 1 ในทวิตเตอร์ มีการพูดคุยกันมากว่า 2 แสนครั้ง รวมทั้งโลกออนไลน์มีการพูดคุยกันจำนวนมาก

ล่าสุดเมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 13 พฤษภาคม 2564 นายสมเจตน์ เต็งมงคล นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ พร้อมด้วย พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบและให้เข้าเยี่ยมครอบครัวนางสาวณัฐวดี เหล่าบุบผา หรือน้องโวลต์ อายุ 18 ปี ที่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 9 บ้านหามแห ต.โพนทอง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์อีกครั้ง หลังมีกระแสดราม่า โดยพบครอบครัวน้องโวลต์อาศัยอยู่บ้านพัก ลักษณะเพิงหมาแหงนมุงสังกะสี ปลูกสร้างอยู่กลางสวนท้ายหมู่บ้านเหมือนเดิม โดยน้องโวลต์ พร้อมด้วยนายธนวุฒิ เหล่าบุบผา อายุ 53 ปี พ่อน้องโวลต์ และครอบครัว รอให้ข้อมูล

นางสาวณัฐวดี เหล่าบุบผา หรือน้องโวลต์ อายุ 18 ปี กล่าวว่า ก่อนอื่นต้องขอกราบขอบพระคุณผู้ใจบุญที่ช่วยกันบริจาคเงินให้กับตนทุกท่าน ไม่คาดคิดว่าจะมีผู้ใจบุญบริจาคเงินจำนวนมากขนาดนี้ ซึ่งยืนยันว่าตนจะนำไปเป็นทุนการศึกษาในการเรียนแพทย์ เพราะอยากเป็นหมอมารักษาคน และจะทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด

นางสาวณัฐวดี กล่าวต่อว่า ส่วนกรณีมีกระแสดราม่าจนทิพย์ บอกว่าครอบครัวของตนไม่จนจริงนั้น ที่จริงแล้วไม่อยากพูด แต่เมื่อมีกระแสมีก็พร้อมที่จะชี้แจงทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการจัดฟัน ตนทำงานพาดไทม์หลังเลิกเรียนหารายได้พิเศษมาตั้งแต่ ม.3 ซึ่งตอนนั้นฟันมีปัญหาได้ไปพบแพทย์แนะนำให้จัดฟันและรักษาไปด้วยเริ่มทำตอนม.4 ตอนนั้นพอมีเงินเก็บจากการทำงานจึงตัดสินใจรักษา เรื่องที่ 2 ไอแพด ตนทำงานเก็บพาดไทม์เช่นกัน พยายามเก็บหอมรอมริบประมาณ 1 ปีเศษ จึงซื้อมาใช้เพื่อค้นคว้าข้อมูลในการเรียน ส่วนอินเตอร์เน็ตไวไฟก็เป็นของพี่ชายที่ติดตั้งไว้ทำงานมีค่ารายเดือน 600 บาท พี่ชายเป็นคนชำระ

 นางสาวณัฐวดี กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีน้ำหอมนั้นตนซื้อมาในอินเตอร์เน็ตมือสอง ราคา 300 บาท มีน้ำหอมเหลือก้นขวด เอามาตั้งไว้เฉย ๆ ไม่ได้ใช้ ส่วนรถยนต์นั้นไม่ใช้ของครอบตน เป็นรถยนต์ของน้า ซื้อให้ลูกสะใภ้ใช้ ซึ่งหลังเกิดกระแสครั้งนี้ตนก็รู้สึกเสียใจ เพาะสิ่งที่ตนพูดไปนั้นเป็นความจริง ครอบครัวยากจนจริง ๆ ตนต้องทำงานหาเงินเรียนมาตั้งแต่ ม.3 ไม่อยากขอเงินพ่อ แม่อย่างเดียว และอยากให้ครอบครัวดีขึ้น กระทั่งมีความสนใจอยากเรียนแพทย์และอยากเป็นหมอ อย่างไรก็ตามขณะนี้ตนก็ได้ปิดบัญชีแล้ว และยืนยันว่าจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด

ด้านนายสมเจตน์ เต็งมงคล นายอำเภอเมืองกาฬสินธุ์ กล่าวว่า  จากการตรวจสอบล่าสุดสอบครอบครัวนี้ค่อนข้างยากจน พ่อปลูกผักขาย ส่วนแม่ไม่มีอาชีพ ขณะที่น้องโวลต์นั้นก็เป็นเด็กเรียนเก่งขยัน อย่างไรก็ตามล่าสุดพบว่ามีผู้บริจาคเข้ามา รวมจำนวน 3,795,000 บาท ซึ่งขณะนี้ได้ปิดรับจาคและปิดบัญชีแล้ว โดยเบื้องต้นได้ให้น้องไปทำแผนค่าใช้จ่ายเรียนแพทย์ 6 ปีมาว่า มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ และจะตั้งเป็นคณะกรรมการและที่ปรึกษาในการเบิกไปใช้จ่าย ส่วนที่เหลือก็จะเก็บไว้แยกบัญชีออกมาเป็นทุนไว้เรียนต่อแพทย์เฉพาะทางต่อไป เพื่อให้เงินบริจาคเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้ใจบุญและความตั้งใจของน้องโวลต์

ขอนแก่น - พร้อมใจส่งกำลังใจให้ทัพนักกีฬาไทยสู้ศึกโอลิมปิก ด้วยการร่วมวิ่งธงชาติไทย รวมใจสู่ชัยชนะ เส้นทางขอนแก่น-นครราชสีมา

เมื่อเวลา 07.00 น.วันที่ 13 พ.ค. 64 ที่ สนามกีฬาจังหวัดขอนแก่น อ.เมือง จ.ขอนแก่น นายสมศักดิ์ จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น  นำประชาชนชาวขอนแก่น   ร่วมกิจกรรมวิ่งธงชาติไทย รวมใจสู่ชัยชนะ  ซึ่งการกีฬาแห่งประเทศไทย หรือ กกท. ร่วมกับภาครัฐ และภาคเอกชน ได้กำหนดจัดกิจกรรม ระหว่างวันที่ 28 .ค. - 27 พ.ค.  ซึ่งเป็นการวิ่งระยะไกล ผ่าน 35 จังหวัด 61 วัน ทั่วทุกภูมิภาค รวมระยะทาง 4,606 กิโลเมตร โดยมีประชาชนชาวขอนแก่นให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมจำนวนมาก ท่ามกลางมาตรการควบคุมและป้องกันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด

โดยที่ ผวจ.ขอนแก่น ได้เชิญธงชาติไทย จากแท่นพำนักจุดปล่อยด้านหน้าสนามกีฬากลาง จ.ขอนแก่น และนำวิ่งธงชาติไทย จากจุดปล่อยตัวประจำวัน ไปตาม ถ.เหล่านาดี เพื่อส่งต่อให้กับคณะนักวิ่งที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยศิลปิน  ดารา นักแสดง  คณะผู้บริหาร จากหน่วยงานราชการ และเอกชนรวมไปถึงประชาชนผู้ที่สนใจ ได้มีส่วนร่วมในการวิ่งส่งต่อธงชาติไทย คนละ 1 กิโลเมตร

นายสมศักดิ์  จังตระกุล ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า กิจกรรม "FLAG OF NATION" วิ่งธงชาติไทย รวมใจสู่ชัยชนะ ซึ่งเมื่อวานที่ผ่านมา คณะนักวิ่งได้วิ่งเข้าเขต จ.ขอนแก่น ผ่านทาง จ.เพชรบูรณ์และในวันนี้ขอนแก่นเป็นจุดปล่อยตัวเพื่อส่งต่อให้กับ จ.นครราชสีมา ตามแผนงานที่คณะทำงานได้กำหนดไว้ เพื่อส่งต่อกำลังใจไปถึงนักกีฬาทีมชาติไทย ที่จะเข้าแข่งขันโอลิมปิก 2020 ผ่านการวิ่งคนละ 1 กิโลเมตร ต่อเนื่อง 61 วัน 35 จังหวัด ระยะทาง 4,606 กิโลเมตร หรือเทียบเท่าระยะทางกรุงเทพฯ ไปยังกรุงโตเกียว

" กิจกรรมดังกล่าว เริ่มมาตั้งแต่ วันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา และวันนี้อยู่ในความรับผิดชอบของ จ.ขอนแก่น ซึ่งชาวขอนแก่นทุกคนพร้อมใจที่จะส่งกำลังใจให้กับทัพนักกีฬาไทยผ่านการจัดกิจกรรมดังกล่าว ดูได้จากจำนวนนักวิ่งที่สมัครร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรม รวมไปถึงการรอให้การต้อนรับในจุดแวะพักต่างๆ ที่ทุกคนต่างร่วมด้วยช่วยกันเพื่อให้ทัพนักกีฬาไทยประสบความสำเร็จในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก Road To Tokyo 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ที่กำลังจะมาถึง"

ผวจ.ขอนแก่น กล่าวต่ออีกว่า การวิ่งครั้งนี้ขอนแก่น จัดอยู่ในลำดับที่ 27 จากจำนวนทั้งสิ้น 35 จังหวัด โดยขบวนธงชาติไทย ที่ออกวิ่งวันนี้นับเป็นกิโลเมตรที่ 1 ของจังหวัด นับรวมการจัดกิจกรรมเมือเข้าเขตตัวเมืองขอนแก่นอยู่ที่  3,544 กม. ของการจัดกิจกรรม  โดยในการวิ่งนั้นจะใช้เส้นทางขอนแก่น-บ้านแฮด-บ้านไผ่ สิ้นสุดที่ อ.พล จากนั้นจะส่งต่อให้กับ จ.นครราขสีมา ได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่กำหนดไว้

 

ปทุมธานี - ฮือฮา ผู้ว่าฯปทุมธานี จับมือ นายแพทย์ สสจ.หักเงินเดือน "คนละครึ่งเดือน" ประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 คุ้มครองสูงสุด1,000,000 บาท"

วันที่ 12 พ.ค. 64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วย นายแพทย์สุรินทร์ สืบซึ้ง นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปทุมธานี นายนิติชัย วิริยานนท์ นายอำเภอคลองหลวง  ได้ตรวจเยี่ยมสถานที่ในการดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ให้แก่ประชาชนที่ลงทะเบียนเอาไว้ในวันที่ 7 มิถุนายนที่จะถึงนี้ โดยยิมเนเซียม 4 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แห่งนี้ สามารถรองรับผู้ที่จะเข้ามาใช้บริการฉีดวัคซีนได้ประมาณ 3,000 คน

ผู้สื่อข่าวได้สอบถามนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี กรณีในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ แอพพลิเคชั่นไลน์ กันอย่างกว้างขวาง สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในขณะนี้ โดยมีข้อความการแชร์ใจความว่า“ประกันแพ้วัคซีนโควิด-19 คุ้มครองสูงสุด1,000,000 บาท" ผู้ว่าฯปทุม จับมือ นายแพทย์ สสจ.หักเงินเดือน "คนละครึ่งเดือน" ซื้อประกันคุ้มครองสร้างความมั่นใจ

คนอายุ 60 ปี ขึ้นไป และเป็น 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง ที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

โทรมา สายด่วนชาวปทุม 02-5815658/065-9505772 , Line : สายด่วนโควิด-19 ชาวปทุม หรือ ID : @718myvcs

นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ยังกล่าวถึงกรณีดังกล่าวอีกว่าได้มีการประชุมกันในเรื่องนี้โดยเป้าที่เราต้องการคือคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งมีโรค 7 โรคด้วยกัน ปรากฎว่าที่เราสำรวจมีด้วยกัน 3 แสนกว่าคน ซึ่งมาลงทะเบียนเพียงสามหมื่นกว่าคน ดังนั้นจึงได้วางรูปแบบใหม่คือหากการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชันไลน์ไม่สะดวกก็ให้ อสม.และ รพ.สต.รับลงทะเบียนให้ด้วยและเราก็มาจัดคิวการฉีดวัคซีน

ซึ่งหลายคนบอกว่าไม่มั่นใจกลัวผลข้างเคียง ซึ่งทางนายแพทย์สาธารณสุขกับทางทีมหมอจึงได้เสนอว่าถ้าเราสามารถซื้อประกันให้ได้เพื่อความมั่นใจเราก็น่ารองดู ซึ่งทางตนเองกับ สสจ.ปทุมธานี จึงได้ช่วยกันออกเงินเดือนคนละครึ่งเดือนก่อนเพื่อซื้อประกันให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่มีโรค 7 โรคและมีรายได้ไม่สูงมากนักหรือคนที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐก็จะทำให้ประชาชนมั่นใจมากขึ้นเพราะประกันนี้คุ้มครองมากสุดถึง 1,000,000 บาทซึ่งมี 2 กรณีด้วยคือเสียชีวิตได้ 1,000,000 บาทกับหากเจ็บป่วยจะชดเชยรายได้วันละ 1,000 บาทเพื่อให้ประชาชนได้มั่นใจ โดยเมื่อช่วงเช้านี้ ทางจังหวัดได้มีการดำเนินทันทีพบมีผู้สนใจเป็นจำนวนมาก โดยประชาชนต้องนำบัตรประชาชน ใบรับรองว่าป่วยทั้ง 7 โรค และ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เราถึงทำประกันให้เพื่อความมั่นใจของประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปและมาฉีดวัคซีนกันให้มากที่สุดเพื่อให้ปทุมธานีปลอดภัย

พร้อมกันนี้ นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี ยังได้กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ว่า "เราทำงานเรื่องโควิดมีด้วยกัน 4 เรื่องคือ เรื่องที่ 1.คือการป้องกันซึ่งประชาชนและหน่วยงานราชการให้ความร่วมมือกันอย่างดี เรื่องที่ 2 คือ การค้นหาโดยจัดเจ้าหน้าที่ออกค้นหาผู้ติดเชื้อทั้งตลาด สนามกีฬา โรงงานต่างๆซึ่งยิ่งค้นหามากก็จะทำให้ประชาชนปลอดภัยมากยิ่งขึ้นหากใครป่วยก็จะดำเนินการรักษาอาการ เรื่องที่ 3.คือการรักษานั้นได้ทำงานกับทุกภาคส่วนทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทั้งราชการและเอกชนช่วยกันเป็นอย่างดี และเรื่องที่ 4.คือการส่งกลับซึ่งหากส่งกลับแล้วเข้าบ้านไม่ได้เราก็มีสถานที่ที่พักได้เช่นในจวนผู้ว่าราชการจังหวัด บ้านพักผู้ว่าราชการจังหวัดและสถานที่ต่าง ๆ ที่เราได้เตรียมเอาไว้แล้ว

สำหรับพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดอย่างหนักนั้นทาง เราพยายามค้นหาผู้ติดเชื้อให้มากที่สุดโดย สคร.4 จังหวัดสระบุรี และ ทางกระทรวงสาธารณสุข ก็มาช่วยเราค้นหาซึ่งทางเราจะพยายามทำให้ได้วันละ 4,000 คนเพื่อที่จะนำผู้ป่วยมารักษาให้เร็วที่สุดโดยตนเองต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่อนุเคราะห์เรื่องโรงพยาบาลสนาม และ อาหาร ซึ่งความร่วมแรงร่วมใจของพี่น้องปทุมธานีจะสามารถผ่านเรื่องราวนี้ไปได้อย่างแน่นอน


ภาพ/ข่าว  สมเกียรติ ทรัพย์เฉลิม / รายงาน

นครนายก - มอบถุงยังชีพพระราชทาน ให้ประชาชนที่ประสบวาตภัย ในอำเภอบ้านนา

จังหวัดนครนายก จัดพิธีมอบถุงยังชีพพระราชทาน ให้กับประชาชนที่ประสบวาตภัย จำนวน 207 รายในพื้นที่อำเภอบ้านนา โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่เป็นตัวแทนรับมอบ เพื่อนำส่งมอบให้กับผู้ประสบวาตภัย 

ที่หอประชุมอำเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก นางวจิราพร อมาตยกุล นายอำเภอบ้านนา ได้เป็นประธานในพิธีถวายเครื่องราชสักการะหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นประธานในพิธีมอบถุงยังชีพพระราชทานของมูลนิธิราชประชาราชนุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ แก่ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน เพื่อมอบให้กับผู้ประสบวาตภัย จำนวน 207 ชุดพร้อมน้ำดื่ม ใน 6 ตำบลให้กับครอบครัวผู้ประสบวาตภัย ทั้งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจและบรรเทาความเดือดร้อนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5,6,7 พฤษภาคม 2564


ภาพ/ข่าว  สมบัติ เนินใหม่ / รัชชานนท์ เนินใหม่ ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก

อยุธยา - ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม มอบหน้ากากอนามัย พร้อมเชิญชวนพี่น้องร่วมฉีดวัคซีนโควิด-19 ยิ่งเร็วเท่าไหร่ ยิ่งฟื้นบ้านเมืองได้เร็วเท่านั้น

วันนี้ (13 พฤษภาคม 2564) เมื่อเวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้การต้อนรับ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม เดินทางมาเป็นประธานในพิธีมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 10,000 ชิ้น พร้อมด้วย ปลัดกระทรวง พม. รองปลัดกระทรวง พม. ผู้ตรวจราชการกระทรวง พม. อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ร่วมพิธีมอบหน้ากากอนามัยให้แก่พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อจัดสรรไปยังอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) นำไปกระจายต่อยังประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มคนเปราะบางที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด - 19 โดยมี นางสาวนฤมล พงษ์สุภาพ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พระนครศรีอยุธยา นางกันตา ดีเติม ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ หัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมต้อนรับและรับมอบหน้ากากอนามัย

โดย นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และประธานมูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม กล่าวว่า ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) อย่างกว้างขวางทั่วโลกในปัจจุบัน หนึ่งในมาตรการที่ได้ผลในการชะลอการแพร่ระบาด คือ การสวมใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการได้รับเชื้อและลดการแพร่กระจายเชื้อดังกล่าว มูลนิธิเพื่อการศึกษาและสังคม จึงเห็นถึงความสำคัญในการส่งมอบหน้ากากอนามัยให้แก่ประชาชนที่ขาดแคลน และกลุ่มเปราะบาง เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนสวมหน้ากากอนามัยอย่างจริงจัง เป็นการลดการแพร่ระบาดของการติดเชื้อ ในระหว่างรอการฉีดวัคซีนเพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครือข่ายการทำงานของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในพื้นที่ เป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยกระจายหน้ากากอนามัยไปยังพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

ประธานรัฐสภา กล่าวอีกว่า การฉีดวัคซีน ถือเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ผมฉีดแล้ว จะมีผลข้างเคียงบ้างเล็กน้อย เหมือนเราฉีดวัคซีนทั่วไปที่เราเคยฉีดกัน จึงขอถือโอกาสนี้มีส่วนร่วมเชิญชวนพี่น้องชาวพระนครศรีอยุธยา ถ้าท่านมีความพร้อมควรจะได้ไปฉีดวัคซีนกัน หากเราสามารถฝ่าวิกฤตนี้ไปได้ จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าประเทศเราไม่มีการขยายตัวของเชื้อรุนแรง และเราจะกลับสู่ภาวะปกติเร็วขึ้นกว่าที่คาดหมายไว้ ยิ่งเร็วเท่าไหร่ จะสามารถฟื้นบ้านเมืองได้เร็วเท่านั้น เพราะโรคมีส่วนเกี่ยวข้องกับทุกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเรื่องสุขภาพ แต่รวมถึงเศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ อีกด้วย

ด้าน นายภานุ แย้มศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ณ วันนี้มีผู้ป่วยสะสม จำนวน 507 ราย หายแล้ว 240 ราย รักษาอยู่ 263 ราย เสียชีวิตสะสม 4 ราย จากประชากรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทั้งสิ้น 822,955 คน โดยมีผู้สูงอายุ จำนวน 185,359 คน กลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว 7 กลุ่ม จำนวน 72,355 คน รวมเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่มีความจำเป็นต้องได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในลำดับแรก จำนวน 257,712 คน ขณะนี้มีการลงทะเบียนจองวัคซีนแล้ว 12,344 คน ซึ่งระหว่างที่รอการฉีดวัคซีนนี้ การสวมหน้ากากอนามัยจึงเป็นมาตรการที่สำคัญยิ่งของทุกคนที่จะช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อได้ ทั้งนี้ ยังได้มอบให้ อสม. อปท. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ไปเคาะประตูบ้านเพื่อสอบถามความต้องการฉีดวัคซีนและช่วยลงทะเบียนประชาชนเป้าหมายกลุ่ม 60 ปีขึ้นไป และผู้มีโรคเรื้อรัง 7 ประเภทที่ต้องการฉีด ในห้วงวันที่ 12 - 18 พ.ค.64 ให้รีบลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้มากที่สุด เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ในการหยุดเชื้อ เพื่อชาติ เพื่ออยุธยา เมื่อทราบจำนวนวัคซีนที่เหลือจากผู้ไม่ประสงค์จะลงทะเบียนฉีดแล้ว จะได้วางแผนเตรียมจัดสรรให้กลุ่มอื่นที่มีความจำเป็นและต้องการฉีดวัคซีนดังกล่าวต่อไป


ภาพ/ข่าว  สุจินดา อุ่นขาว รายงานจากอยุธยา

ชลบุรี - ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการและชมรมภริยากองเรือยุทธการ มอบของเยี่ยมบำรุงขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับกำลังพลและเจ้าหน้าที่ที่ฏิบัติงาน ในสถานที่เฝ้าระวังสังเกตอาการกองเรือยุทธการ

วันที่ 11 พ.ค.64 พล.ร.อ.สุทธินันท์  สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ และคุณสุนันท์  สมานรักษ์ ประธานชมรมภริยากองเรือยุทธการ พร้อมคณะ มอบของเยี่ยมบำรุงขวัญ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับกำลังพลกองเรือยุทธการ และเจ้าหน้าที่ที่ฏิบัติงาน ในสถานที่เฝ้าระวังสังเกตอาการกองเรือยุทธการ  ณ กองการฝึก กองเรือยุทธการ ในการนี้ได้ติดตามการดำเนินการเพื่อให้มีความพร้อมในการรับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เกิดขึ้นกับกำลังพลของกองเรือยุทธการ และประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงได้ตลอดเวลา

ทั้งนี้ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ มีดำริให้จัดตั้งสถานที่เฝ้าระวังสังเกตอาการกองเรือยุทธการเพื่อเป็นสถานที่รองรับกำลังพลกลุ่มเสี่ยงของกองเรือยุทธการ และประชาชนในพื้นที่บริเวณใกล้เคียง ภายใต้กรอบการพึ่งพาตนเอง ด้วยขีดความสามารถที่มี โดยการใช้บุคลากรทางการแพทย์ของกองเรือยุทธการ ร่วมกับแพทย์จากโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ปฏิบัติงานในการดูแลกำลังพล และครอบครัวของกองเรือยุทธการที่เข้าข่ายกลุ่มเสี่ยง จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตลอดจนประชาชนที่กองเรือยุทธการได้รับการประสานจากโรงพยาบาล หรือหน่วยงานในพื้นที่ใกล้เคียง เป็นการแบ่งเบาความแออัดของโรงพยาบาลภาครัฐบาล ซึ่งปัจจุบันได้จัดเตรียมพื้นที่ของกองการฝึก กองเรือยุทธการ ให้สามารถรองรับผู้ติดเชื้อ/กลุ่มเสี่ยง ได้ประมาณ 200 เตียง

กองเรือยุทธการ และชมรมภริยากองเรือยุทธการ ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการส่งกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ กำลังพล และบุคลากรทางการแพทย์ รวมพลังต่อสู้เพื่อฝ่าวิกฤตโควิด-19 ไปด้วยกัน ให้เป็นไปตามนโยบายที่ผู้บัญชาการทหารเรือเน้นย้ำอยู่เสมอ “พลังสามัคคี พลังราชนาวี”


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top