Friday, 16 May 2025
Region

กาฬสินธุ์ - เขื่อนลำปาวน้ำลด ชาวบ้านนำสัตว์ไปเลี้ยงแทนทุ่งนา เพื่อเพียงพอหน้าแล้ง

ผลกระทบจากภาวะฝนทิ้งช่วง และสภาพอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้ระดับน้ำในเขื่อนลำปาวลดลงอย่างต่อเนื่อง จากสภาพที่เคยเป็นท้องน้ำเกิดสันดอน และกลายเป็นแปลงหญ้าเลี้ยงสัตว์บริเวณกว้าง ให้ชาวบ้านต้อนฝูงวัว ควาย เข้าไปเลี้ยง ขณะที่ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว ขอความร่วมมือประชาชนในช่วงหยุดการส่งน้ำ ช่วยกันบำรุงรักษาคูคลองละใช้น้ำอย่างประหยัด

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการติดตามสภาพอากาศในพื้นที่ จ.กาฬสินธุ์ ในช่วงเริ่มต้นเดือนแรกของฤดูฝน พบว่าเกิดภาวะฝนทิ้งช่วงและยังไม่ตกลงมาตามดูกาล ส่งผลให้สภาพอากาศร้อนจัด ปริมาณน้ำตามแหล่งน้ำทั่วไป โดยเฉพาะเขื่อนลำปาวเกิดการระเหยและลดระดับลงอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากไม่มีฝนตกลงมาเติมน้ำไหลลงเขื่อน ทำให้ปัจจุบันมีปริมาณน้ำเพียง 455 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 23 % จากความจุอ่าง 1,980 ล้านลูกบาศก์เมตร

ทั้งนี้ผลจากระดับน้ำในเขื่อนลำปาวลดลงดังกล่าว ทำให้บริเวณท้ายเขื่อนและริมฝั่ง รวมทั้งส่วนที่เคยเป็นผืนน้ำในฤดูฝน เกิดสันดอนและกลายเป็นทุ่งหญ้า ให้ชาวบ้านต้อนฝูงวัว ควาย ลงไปเลี้ยง บางส่วนชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงปลูกพืชเป็นอาชีพเสริมในฤดูแล้งอีกด้วย

ขณะที่นายฤาชัย จำปานิล ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาลำปาว กล่าวว่า ทางโครงการฯ ได้ทำการหยุดส่งน้ำตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2564 เป็นต้นมา ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรรมการบริการจัดการน้ำ และดำเนินการตามปฏิทินปฏิบัติ  เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้ในการอุปโภคบริโภค และการเกษตรกรรม โดยหลังจากหยุดส่งน้ำแล้วก็จะมีการซ่อมแซมคลองส่งน้ำและดูแลขุดลอกตะกอนดิน เพื่อเตรียมความพร้อมของคลองไว้สำหรับการส่งน้ำเพาะปลูกข้าวฤดูฝน ที่จะดำเนินการส่งน้ำในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2564

นายฤาชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของการบริหารจัดการน้ำในฤดูแล้งนี้ เพียงพอต่อการอุปโภคบริโภคแน่นอน อย่างไรก็ตาม อยากจะขอความร่วมมือพี่น้องประชาชน ได้ร่วมกันใช้อย่างอย่างประหยัด เนื่องจากฝนยังทิ้งช่วง ไม่ตกต้องตามฤดูกาล ทั้งนี้ ในส่วนของเกษตรกรผู้ใช้น้ำ เช่น ชาวนา ชาวประมง เลี้ยงกุ้ง เลี้ยงปลา ที่ใช้น้ำจากคลองสายเล็กหรือคลองไส้ไก่ ในช่วงที่ทางโครงการหยุดส่งน้ำดังกล่าว ก็ให้ช่วยกันซ่อมแซมคูคลอง เพื่อน้ำจะได้ไหลสะดวกในช่วงทำการระบายน้ำในโอกาสต่อไป ในขณะเดียวกันทางโครงการได้มอบหมายเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนรับผิดชอบ ออกสำรวจตรวจตราอย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่จะให้ผู้ใช้น้ำได้รับน้ำอย่างทั่วถึง


ภาพ/ข่าว ณัฐพงษ์  ประชากูล จ.กาฬสินธุ์

เชียงราย – UN ช่วยเหลือชาวบ้านไร้สถานะทางทะเบียน ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล พ้นภัยโควิด

ที่บ้าน เฮโก  ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย นายไกรทอง เหง้าน้อย  ผู้จัดการโครงการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด19 โดยมูลนิธิพัฒนาชุมชน และเขตภูเขา(พชภ.)  นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา ที่ปรึกษาโครงการฯ  ได้ลงพื้นที่ติดตามโครงการ เสริมสร้างศักยภาพกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด19  โดยกลุ่มชาวบ้านดังกล่าวเป็นผู้ที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนทำให้ไม่ได้รับสิทธิ์ในการเยี่ยวจากผลกระทบของไวรัสโควิด -19 ของรัฐบาลไทย

โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ผ่าน UNDP โดยมีการแบ่งจัดสรรไปตามชุมชนต่างๆทั่วประเทศ 24 แห่ง โดยจะเน้นไปที่หมู่บ้านที่มีผู้ไร้สถานะทางทะเบียน ที่ไม่เข้าข่ายรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในช่วงโควิด -19 ระบาด โดยโครงการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้ลงพื้นที่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ก.พ.64  เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความมั่นทางอาหารด้วยระบบนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ชุมชนบนพื้นที่สูง

นายไกรทอง เหง้าน้อย  กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ด้วยมีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศพม่า ประเทศลาว และมีการเข้ามาของคนจีนในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบไว้หลายระดับ แต่กลุ่มคนชายขอบ กลุ่มคนที่ไร้สัญชาติ คนเหล่านี้ไม่ได้รับการเยียวยา จากหน่วยงานภาครัฐ ทั้งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงรอบด้าน เพียงเพราะไม่มีบัตรแสดงสถานะบุคคลที่เป็นคนไทย จากข้อมูลจำนวนประชากรคนไร้รัฐไร้สัญชาติ ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการปกครองปี 2562 พบว่าในจังหวัดเชียงราย มีจำนวน 96,960 คน โดยแยกออกเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 10% กลุ่มเด็กเยาวชนอายุ18 ปี คิดเป็น18% อายุ18-60 ปี คิดเป็น71% แบ่งเป็นผู้หญิง 54% ผู้ชาย46% จึงเป็นกลุ่มคนที่มีความเปราะบางเป็นอย่างมากต่อสถานการณ์โควิด19 ระบาด มีความจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาและเสริมศักยภาพให้สามารถปรับตัวอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์โควิดในระยะยาว

 "โครงการพัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมให้เกิดการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิต ของครอบครัวผู้ไร้สัญชาติใน 4 ชุมชนหลักเพื่อเป็นต้นแบบ เพื่อให้กลุ่มผู้ไร้สัญชาติสามารถปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว ให้สามารถพึ่งตนเองได้ โดยมีแหล่งผลิตอาหารไว้บริโภคในครัวเรือน และช่องทางที่สามารถสร้างรายได้ โดยโครงการดังกล่าวเป็น 1 ใน 24 โครงการระยะสั้น ภายใต้โครงการ “การเสริมสร้างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสังคม ความมั่นคงของมนุษย์และการฟื้นคืนสู่สภาพปกติในประเทศไทยในบริบทของการระบาดใหญ่ของ COVID-19″ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังและปกป้องความคืบหน้าเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(UNDP) ประจำประเทศไทยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลญี่ปุ่น" นายไกรทอง กล่าว

โดยโครงการดังกล่าว ได้ดำเนินการใน 4 หมู่บ้าน ชุมชนชาติพันธุ์  ธุ์ลาหู่ ลีซู อาข่า ได้แก่บ้านป่าคาสุขใจ บ้านพนาสวรรค์ บ้านจะบูสี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง และบ้านเฮโก ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย  โดยได้มอบปัจจัยการผลิตที่เป็นความต้องการของชุมชนและเหมาะสมกับการทำเกษตรบนพื้นที่สูงที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และแหล่งน้ำ เช่นการเลี้ยงไก่กระดูกดำ การเลี้ยงหมูดำ หมูหลุม  และการปลูกพืชผักอาหาร รวมทั้งการปลูกผลไม้ยืนต้น ให้สามารถสร้างแหล่งอาหารในครัวเรือนได้และเป็นแนวทางสร้างรายได้ในระยะยาวได้

นายอาหลู งัวยา ผู้นำหมู่บ้านเฮโกซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู กล่าวว่า ชุมชนได้รับการสนับสนุนจากโครงการฯ ในเรื่องการเลี้ยงหมู เพื่อใช้เป็นอาหารในครอบครัว และเพื่อจำหน่ายได้ โดยในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 สมาชิกในชุมชนยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐตามมาตการต่างๆที่ออกมาเท่าที่ควร เพราะบางส่วนไม่มีบัตรประชาชน บางส่วนไม่มีโทรศัพท์และบางส่วนทำไม่เป็น  การที่ พชภ.และ UNDP เข้ามาสนับสนุนให้ชาวบ้านเลี้ยงหมูจึงเป็นเรื่องที่ดีมาก  การเลี้ยงหมูจะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากอาหารหลักที่ใช้เลี้ยงหมูคือต้นกล้วย ที่ผ่านมาชาวบ้านบางส่วนได้ปลูกข้าวโพดและใช้สารเคมีทำให้กลายเป็นภูเขาหัวโล้น แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกต้นกล้วยแทนทำให้ผืนดินเกิดความชุ่มชื้นเพราะต้นกล้วยสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดี ทำให้พืชอื่นๆเจริญเติบโตด้วยโดยเฉพาะไม้ผลต่างๆ ทั้งมะม่วง อาโวคาโด ลิ้นจี่ ทุเรียน โดยหมู่บ้านเฮโกเป็นแหล่งต้นน้ำ การส่งเสริมการเลี้ยงหมูจึงเป็นการส่งเสริมให้ฟื้นฟูต้นไม้ใหญ่ในแหล่งต้นน้ำด้วย


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์ / เชียงราย

เชียงใหม่ - เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรม Live พาชมความน่ารักของ “เมียร์แคท”

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เชิญชมความน่ารักของ “เมียร์แคท” หนึ่งในสัตว์ป่าของทวีปแอฟริกา ผ่านกิจกรรม Live ในช่องทาง Facebook : เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safari พร้อมลุ้นรับรางวัลสุด Exclusive  หนึ่งในสัตว์ป่าของทวีปแอฟริกา พร้อมแจ้งขยายการปิดให้บริการ เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด COVID – 19 อย่างต่อเนื่อง

นายเบญจพล นาคประเสริฐ กรรมการบริหารพัฒนาพิงนคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร กล่าวว่า แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อของจังหวัดเชียงใหม่จะเริ่มไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังคงดำเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด รวมทั้งการปิดให้บริการสวนสัตว์ออกไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลให้เชียงใหม่ไนท์ซาฟารียังคงต้องขยายระยะเวลาในการปิดให้บริการชั่วคราวออกไป รวมทั้งดำเนินการตามมาตราการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในองค์กร โดยมีการปฏิบัติงาน Work from home, การคัดกรองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน, การสวมใส่หน้ากากอนามัยในการเข้าพื้นที่  และการทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกวัน รวมทั้งการดูแลสวัสดิภาพของสัตว์ทุกชนิด เช่นเดิม  

และในส่วนของการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว แม้ว่าจะไม่สามารถเปิดให้บริการได้  แต่ก็ได้เพิ่มช่องทางการให้บริการในหลากหลายช่องทางออนไลน์ เพื่อเป็นการสร้างความผ่อนคลายให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ยังคงมีความต้องการออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง แต่สถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวย ซึ่งนอกจากการเพิ่มช่องทางเผยแพร่คลิปความน่ารักของสมาชิกสัตว์ในเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีผ่าน Tiktok แล้ว ยังเพิ่มกิจกรรมการ Live ผ่านช่องทาง Facebook เป็นประจำทุกสัปดาห์ พร้อมลุ้นรับของที่ระลึกจากเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีให้ได้หายคิดถึงกันด้วย โดยในสัปดาห์นี้จะพาเยี่ยมชมครอบครัว “เมียร์แคท” ที่จะมาสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่ได้รับชม กับกิจกรรมพักผ่อนในช่วงการปิดให้บริการอีกด้วย

“เมียร์แคท” (Meerkat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พบมากในทะเลทรายคาลาฮารีทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา มีขนาดลำตัวเล็ก และหนักประมาณ 1 กิโลกรัมเท่านั้น มีจมูกยื่นยาวเพื่อประโยชน์ในการดมกลิ่น รอบขอบตาเป็นวงแหวนสีดำ มีขนสีน้ำตาลทองสลับดำขวางลำตัว หางยาวและส่วนปลายมีสีดำ มีกรงเล็บที่แหลมคมเพื่อใช้ในการขุดดิน ชอบกินแมลงปีกแข็งและหนอนผีเสื้อ รวมทั้งสัตว์มีกระดูกสันหลังเล็ก ๆ “เมียร์แคท” เป็นสัตว์ที่อยู่ไม่ค่อยนิ่ง เดินไปเดินมาตลอด ชอบยืนสองขาชะเง้อคอ เพื่อตรวจดูและคอยเตือนภัยจากผู้ล่าในหลายรูปแบบให้ครอบครัว และที่สำคัญ “เมียร์แคท” ถือว่าเป็นหนึ่งในสัตว์โลกที่แสดงให้เห็นถึงความสามัคคี เพราะไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าว ทะเลาะเบาะแว้ง หรือกัดกันเลยแม้แต่น้อย

ทั้งนี้ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมชมความน่ารักของครอบครัว “เมียร์แคท” หนึ่งในสัตว์ป่าของทวีปแอฟริกา ทั้ง 19 ตัว ผ่านการ Live ในช่องทาง Facebook : เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safai พร้อมลุ้มรับหน้ากากอนามัยสุด Exclusive  จากเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ในวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม นี้ เวลา 15.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE@ : Nightsafari และ Facebook : เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safari


ภาพ/ข่าว  นภาพร / เชียงใหม่

ปทุมธานี - ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานีรับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 25,000 ชิ้น

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เวลา 11.30 น. ณ ห้องรับรอง ชั้น 4 ตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี อำเภอเมืองจังหวัดปทุมธานี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ชยุต มารยาทตร์ ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี พ.ต.อ.นิรุธ

ประสิทธิเมตต์ รอง ผบก.ฯ ร่วมกันเป็นตัวแทนรับมอบหน้ากากอนามัย จำนวน 25,000 ชิ้น จากนายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค และคณะผู้แทน นศ. หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข (4ส) รุ่นที่ 11 สถาบันพระปกเกล้า ให้กับข้าราชการตำรวจ ภ.จว. ปทุมธานี และประชาชนทั่วไป เพื่อใช้ในการป้องกันการติดต่อเชื้อไวรัสโควิด-19 


ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ/รายงาน

ขอนแก่น - โรงแรมขอนแก่นโอด โควิดระบาดระลอก 3 ใครจะยื้อไหว เปิดให้บริการก็ไม่มีคนมาพัก ประกาศขายก็คงไม่มีใครมาซื้อ วอนรัฐกำหนดมาตรการชัดเจนช่วยเหลือผู้ประกอบการ “ชาติชาย” ระบุ เงินกองทุนประกันสังคมควรงัดออกมาใช้ได้แล้ว

เมื่อเวลา 11.00 น.วันที่ 12 พ.ค.2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่ 3 ที่กำลังเกิดขึ้นส่งผลให้บรรยากาศการท่องเที่ยวและการใช้บริการของสถานประกอบการต่างๆเป็นไปอย่างเงียบเหงา อันมีผลมาจากการประกาศขอความร่วมมือจากรัฐบาลในการให้บริการในเวลาที่จำกัด และงดการเดินทางในระยะนี้ ทำให้ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารหลายแห่งต้องปิดตัว ขณะที่โรงแรมที่ยังคงเปิดให้บริการก็ไม่มีผู้เข้าพัก เนื่องจากการเดินทางข้ามจังหวัดหรือการท่องเที่ยวในระยะนี้ไม่มีเกิดขึ้น รวมไปถึงการจัดการประชุมสัมมนาต่าง ๆ ได้ลดจำนวนลง

นายชาติชาย  โฆษะวิสุทธิ์ นายกสมาคมโรงแรมภาคอีสาน กล่าวว่า ยอมรับว่าการระบาดในระลอกที่ 3 เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันและก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน ซึ่งในการระบาดระลอกที่ 2 ถ้าจำได้เกิดขึ้นช่วงใกล้ช่วงปีใหม่ ขณะที่ระลอกที่ 3 เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ ในมุมของผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และบริการ ในช่วงเทศกาลเป็นช่วงที่ทุกคนต้องเตรียมสรรพกำลังรองรับนักท่องเที่ยวและการเดินทาง ภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยด้านสาธารณสุขอย่างเข้มงวด แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแบบเร่งด่วน ทุกอย่างต้องหยุดชะงัก ต้นทุนในด้านต่างๆ การจ้างงาน ที่มีอยู่ก็เป็นต้นทุนที่ต้องแบกรับ อย่างที่โรงแรมโฆษะ มวยกำลังจะขึ้นชก ก็ถูกน็อคตั้งแต่ยังไม่ชก ซึ่งก็เข้าใจในสถานการณ์ดังนั้นวันนี้สิ่งที่ทุกคนร่วมมือกันเพื่อฟันฝ่าวิกฤติเหตุการณ์นั้นเป็นไปได้อย่างราบรื่น แต่ผู้ประกอบการจะต้องแบกรับภาระด้านค่าใช้จ่ายที่ยังคงไม่มีความชัดเจนของหน่วยงานใดที่จะเข้ามาให้การช่วยเหลือ แม้รัฐบาลจะกำหนดการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งในโครงการเราชนะ หรือ ตามมาตร 33 มาแล้วก็ตาม

“เม็ดเงินที่รัฐจัดสรรในการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ สามารถที่จะกระตุ้นภาพรวมทางเศรษฐกิจได้ในระดับหนึ่ง แต่มาวันนี้เกิดการระบาดระลอกที่ 3 ยอมรับว่ากลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมนั้นมืดสนิท เพราะแม้เปิดให้บริการแต่ก็ไม่มีคนเข้าพัก ร้านอาหารหากเปิดคนก็มาใช้บริการน้อยมาก และต้องใช้บริการในช่วงเวลาที่จำกัด ทุกคนต่างต้องปรับกลยุทธิ์ในด้านต่างๆเพื่อความอยู่รอด โรงแรมหลายแห่งปลดพนักงานบางส่วน บางแห่ง ทำงานคนละ 15 วัน บางแห่งจ่ายเงินเดือนในอัตราร้อยละ 70 ตามแนวทางที่ใครจะทำได้และไม่ขัดต่อกฎหมาย และหากจะประกาศปล่อยขาย ตามที่เจ้าของกิจการได้พูดคุยกันหลายแห่งก็ไม่มีใครที่จะมาซื้อในระยะนี้จากสภาพเหตุการณ์ที่ทุกคนก็ทราบดีว่าเป็นอย่างไร”

นายชาติชาย กล่าวต่ออีกว่า กระทรวงแรงงานต้องออกมามีบทบาทและแสดงความชัดเจนในการช่วยเหลือให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกับเงินกองทุนประกันสังคม ที่นายจ้า ได้มีการส่งสมทบทุกเดือน ที่ต้องออกมาเป้นโยบายหรือข้อกำหนดให้กับสถานประกอบการต่างๆได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนดังกล่าว เนื่องจากการจะเข้าถึงสถาบันการเงินตามนโยบายที่รัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย กำหนดนั้นผู้ประกอบการบางคนก็ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากมีภาวะเงินกู้ในสัดส่วนที่มากอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อวันนี้สถานประกอบการไม่สามารถเปิดได้ หรือเปิดก็ไม่มีรายได้เข้ามา แต่ยังคงต้องแบกรับภาวะต้นทุน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าใช้จ่ายด้านต่างๆเพื่อคงสภาพของกิจการ รวมไปถึงค่าจ้างพักงานที่ต้องจ้าง จึงอยากให้รัฐบาลได้พิจารณาเงินกองทุนประกันสังคม ที่นายจ้างส่งจ่ายทุกเดือนได้กลับคืนมาให้กับนายจ้างบ้างในเงื่อนไขและระเบียบที่รัฐกำหนดไว้

อยุธยา - สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานอุปกรณ์ทางการแพทย์แก่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วันที่ 12 พฤษภาคม 2564 เวลา 19.45 น. นายแพทย์โชคชัย  ลีโทชวลิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา คณะผู้บริหาร ข้าราชการ ประกอบพิธีรับมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์พระราชทานจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี  ประธานในพิธีถวายความเคารพเปิดกรวยกระทงดอกไม้ธูปเทียนแพถวายราชสักการะพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี  

ตามที่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเครื่องให้อากาศผสมออกซิเจนอัตราการไหลสูงจำนวน 5 เครื่อง  ผ่านทางกองทุนชัยพัฒนาสู้ภัย covid-19 (และโรคระบาดต่าง ๆ )มูลนิธิชัยพัฒนาให้กับโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยานำไปใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID) ทำให้มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นจำนวนมากและเครื่องให้ออกซิเจนด้วยอัตราการไหลอากาศสูง (high flow oxygen therapy) เป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นและสำคัญในการช่วยชีวิตผู้ป่วยภาวะหายใจล้มเหลวหรือมีภาวะพร่องออกซิเจน จำนวน 5 เครื่อง โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยารู้สึกซาบซึ้ง และสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นจนหาที่สุดไม่ได้

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ขอพระบรมราชานุญาตถวายพระพรชัยมงคลด้วยความจงรักภักดี  ขออัญเชิญพลานุภาพแห่งพระศรีรัตนตรัย  พระบารมีแห่งพระสยามเทวาธิราช ตลอดจนพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกพระองค์ ได้โปรดดลบันดาลอภิบาล และประทานพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเกษมสำราญ พระราชหฤทัยชื่นบาน มีพระชนมายุยิ่งยืนนาน

พระเกียรติคุณขจรขจายแผ่ไพศาล  สถิตเป็นมิ่งขวัญร่มเกล้า  แก่พสกนิกรชาวไทยตราบกาลนิรันดร์ สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้


ภาพ-ข่าว ศูนย์ข่าวสารประชาสัมพันธ์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา / สุจินดา อุ่นขาว รายงานจากอยุธยา

ชลบุรี - รมว.สุชาติ มอบ ผู้ช่วยฯ ลุยพัทยา ตรวจเยี่ยมการตรวจโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ จ.ชลบุรี ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจการตรวจโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการ

วันที่ 12 พ.ค.64 เวลา 08.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กำลังใจลูกจ้างที่เข้ารับการตรวจโควิด-19 เชิงรุกเพื่อผู้ประกันตนในสถานประกอบการในพื้นที่ จ.ชลบุรี โดยมี นายสมชัย รัตนโอภาส ประธานบริหารโรงแรมในเครือเอวันกรุ๊ป และโรงแรมมิตร์บีช ตลอดจนคณะผู้บริหารเมืองพัทยา และคณะผู้บริหารโรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา ร่วมให้การต้อนรับ ณ โรงแรมเอ วัน เดอะรอยัลครูซ พัทยา จ.ชลบุรี พร้อมนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงานได้บรรยายสรุปเกี่ยวกับระบบการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการ

นายสุรชัย กล่าวว่า ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสภาพปัญหาในปัจจุบันได้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง และมีอัตราการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้มีดำริกำชับให้กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพิ่มจุดตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกแก่แรงงานในสถานประกอบการเพื่อเร่งควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม เช่น นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง สมุทรสาคร และพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น

ในวันนี้ ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน มอบหมายให้ผมลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เพื่อมาตรวจเยี่ยมให้กำลังใจลูกจ้างและเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบการแก่ลูกจ้าง พร้อมทั้งให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์ผู้ปฏิบัติงาน รวมทั้งตัวแทนจาก 6 บริษัทผู้ประกันตน ม.33 ที่เข้ารับการตรวจจำนวนทั้งหมด 346 ราย ประกอบด้วย บริษัท เอ-วัน พัทยา จำกัด จำนวน 28 ราย บริษัท เอ-วัน พัทยา จำกัด สาขาโรงแรมมิตร์บีช จำนวน 27 ราย บริษัท วั่นอี้ จำกัด จำนวน 56 ราย บริษัท วั่นอี้ จำกัด สาขาเอ-วัน พัทยาบีช รีสอร์ท จำนวน 2 ราย บริษัท สี่หุ่น จำกัด จำนวน 38 ราย และบริษัท วันทมิตร จำกัด จำนวน 95 ราย

สงขลา - เทศบาลนครสงขลา จับมือสาธารณสุขจังหวัดสงขลา และโรงพยาบาลสงขลาเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเสี่ยง เร่งตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชน

ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสงขลากลุ่มเป้าหมายวันนี้เป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่นทุกสาขา บริเวณถนนทะเลหลวง 36 คน และแม่ค้าตลาดรถไฟ 280 คน รวม 316 คน

วันนี้  12 พ.ค.64 ที่บริเวณลาน 5 ไร่ตรงข้ามพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สงขลา เทศบาลนครสงขลา ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสงขลาและโรงพยาบาลสงขลาเปิดจุดคัดกรองกลุ่มเสี่ยงตรวจหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่เขตเทศบาลนครสงขลา  ในวันนี้ กลุ่มเป้าหมายเป็นพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น ทุกสาขาบริเวณถนนทะเลหลวง เขตเทศบาลนครสงขลา จำนวน 36 คน และแม่ค้าตลาดรถไฟ จำนวน 280 คนรวม 316 คน โดยตั้งจุด swab ที่บริเวณลาน 5 ไร่ตรงข้ามพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติจังหวัดสงขลา เขตเทศบาลนครสงขลา

โดยประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ทั้งพนักงานเซเว่นอีเลฟเว่น และแม่ค้าตลาดรถไฟก็เดินทางมาเพื่อทำการคัดกรอง บริเวณจุด swab อย่างต่อเนื่องมีการจัดระเบียบ ตรวจคัดกรองเข้มทั้งการวัดอุณหภูมิร่างกาย ใช้เจลแอลกอฮอล์ล้างมือและจัดระยะห่าง ในการคัดกรองเข้าไปบริเวณที่ทำการตรวจหาเชื้อ covid-19

ในวันนี้ กลุ่มเป้าหมายทุกคนให้ความร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี โดยตั้งใจเดินทางมาตรวจคัดกรองเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง ที่ต้องเผชิญสภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 รอบที่ 3 ในครั้งนี้ หลังจากเมื่อวานนี้ได้ทำการคัดกรองกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเป้าหมาย เป็นแม่ค้าตลาดทรัพย์สินพลาซ่าและพนักงานร้านลีวิวัฒน์และประชาชนถนนเทศบาล 1 รวม 220 คน ไปเรียบร้อยแล้ว

เนื่องจากยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ ในพื้นที่เทศบาลนครสงขลาที่พุ่งสูงขึ้น ทำให้เทศบาลนครสงขลาปฏิบัติการเชิงรุกตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงพร้อมเน้นย้ำให้ประชาชนปฏิบัติตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขและให้ความร่วมมือในการรับผิดชอบต่อสังคมอย่างเคร่งครัดอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

บุรีรัมย์ - พิธีเปิด “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” จังหวัดบุรีรัมย์

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย ทรงห่วงใยและทรงตระหนักถึงความเดือดร้อนของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้สภากาชาดไทย โดยสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ จัดตั้ง “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” ณ โดมสวนรมย์บุรี 200 ปี เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ ในระหว่างวันที่ 11 – 20 พฤษภาคม 2564 เพื่อประกอบอาหารปรุงสุกใหม่สำหรับนำไปมอบให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์

โดยในวันนี้ (12 พฤษภาคม 2564) เวลา 10.00 น. พลโท นายแพทย์อำนาจ บาลี ผู้อำนวยการสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สภากาชาดไทย เป็นประธานในพิธีเปิด “ครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย” มอบอาหารพระราชทาน จำนวน 3,500 ชุด ให้แก่นายอำเภอและผู้แทนชุมชน แบ่งเป็นอำเภอเมืองบุรีรัมย์ 1,500 ชุด และอำเภอคูเมือง 2,000 ชุด ณ โดมสวนรมย์บุรี 200 ปี เทศบาลเมืองบุรีรัมย์ อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมเดินทางไปเยี่ยมผู้ป่วยติดเตียง ผู้ยากไร้ และผู้พิการ ในพื้นที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ เพื่อมอบอาหารพระราชทาน น้ำดื่ม และชุดธารน้ำใจกู้ชีวิตฝ่าวิกฤติโควิด-19 ยังความปลาบปลื้มแก่ประชาชนที่ได้รับอาหารพระราชทานและต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น

อาหารปรุงสุกใหม่จากครัวพระราชทาน อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย จะแจกจ่ายไปยังประชาชนในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ โดยคำนึงถึงการบริหารจัดการครัวที่เน้นความสะอาด ถูกสุขลักษณะ ประกอบอาหารปรุงสดใหม่ สะอาด โดยเน้นให้ผู้ประกอบอาหารแต่งกายตามมาตรฐาน คือ สวมหมวกคลุมผม สวมผ้ากันเปื้อน สวมหน้ากากอนามัย และสวมถุงมือ รวมถึงการแจกจ่ายอาหารพระราชทานที่มีการจัดระเบียบการรักษาระยะห่างทางสังคม เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ผู้มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบริจาคเงิน 99 บาท ในโครงการ “พลังใจ 99 บาท ก้าวผ่านวิกฤต COVID-19” เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ต้องกักกันตน ผู้สูงวัยที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ และไร้ที่พึ่ง เพื่อลดความเสี่ยง ป้องกัน และเยียวยาในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ผ่านการดำเนินงานของสำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ สำนักงานบริหารกิจการเหล่ากาชาด สถานีกาชาด เหล่ากาชาดจังหวัด และกิ่งกาชาดอำเภอ ด้วยการสแกน QR CODE ผ่านแอปพลิเคชันธนาคารในระบบ E-DONATION หรือโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาสำนักสีลม ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย เพื่อภัยพิบัติ" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 001-1-34567-0 หรือธนาคารกรุงไทย สาขาสุรวงศ์ ชื่อบัญชี "สำนักงานจัดหารายได้ สภากาชาดไทย" ประเภทบัญชี “กระแสรายวัน” เลขที่ 023-6-06799-0 สอบถามเพิ่มเติมโทร.1664

กระบี่ – ฮือฮา ! อีกครั้ง เจ้าของร้านจำหน่ายอะไหล่ยนต์ชื่อดัง ผุดไอเดียร์ สุดบรรเจิด ให้รถฉุกเฉิน รพ.เปลี่ยนยางฟรี ไม่มีคิดเงิน

หลังจากที่สร้างความฉือฮา มาแล้ว ติดสติกเกอร์ชื่อร้าน ท้ายรถ ปะยางฟรีตลอดชีพ หวังช่วยแบ่งเบาค่าใช้จ่ายให้ รพ.ช่วงวิกฤติโควิด 19

วันที่ 12 พ.ค.64 หลังจากที่นายจักรพันธ์ วรรณประเสริฐ อ.47 ปี เจ้าของเจ้าของร้านประดับยนต์ ชื่อร้าน ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่เลขที่ 304 ม.6 ต.ปกาสัย อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ได้สร้างความฮือฮาให้แก่ลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการของร้าน ด้วยไอเดียร์สุดแปลกแหวกแนว มาแล้ว เมื่อเดือนที่ผ่านมา แปะสติกเกอร์ชื่อร้านท้ายรถ (ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์) ปะยางฟรีตลอดชีพ และล่าสุดทางเจ้าของร้านได้ผุดให้เดียร์ใหม่ อีกแล้ว โยได้ประกาศผ่านเฟสบุค ให้รถฉุกเฉิน ของ โรงพยาบาลในจังหวัดกระบี่ทุกโรง นำรถมาเปลี่ยนยงฟรี ไม่คิด พร้อมดูแลหลังการขายปะยางให้ฟรีตลอดชีพด้วย

ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปตรวจสอบที่ร้านดังกล่าว พบว่าทางร้านกำลังเปลี่ยนยางให้ รถฉุกเฉิน ของโรงพยาบาลอ่าวลึก จากการสอบถามนายอรัญ คชาวุธ อายุ 52 ปี พนักงานขับรถ โรงพยาบาลอ่าวลึก ทราบว่า วานนี้ 11 พ.ค.ทางหัวหน้าฝ่ายของ รพ.อ่าวลึก ได้โทรมาแจ้งให้ตนนำรถไปเปลี่ยนยางที่ร้านส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.เหนือคลอง โดยบอกว่าทางเจ้าของร้านยินดี เปลี่ยนยาง ให้รถฉุกของ รพ.ฟรี ทุกโรงที่อยู่ในจังหวัดกระบี่ ซึ่งตนเห็นว่ารถที่ตนขับอยู่ยางเริ่มสึกหรอ เพื่อความปลอดภัยจึงรีบนำรถมาเปลี่ยนยาง ซึ่งรถของตนได้เปลี่ยนยงเป็นคันแรก 

ด้านนายจักรพันธ์ (เจ้าของร้านฯ)เปิดเผยว่า ทางร้านเปิดให้บริการจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ ยางรถยนต์ ล้อแม็กซ์ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ และบริการตั้งศูนย์ถ่วงล้อ ซ่อมช่วงล่าง ยกสูง โหลดเตี้ย และประดับยนต์มากว่า 14 ปี มีลูกค้าทั้งขาประจำและขาจรเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง และในช่วงนี้ เป็นช่วงวิกฤติโควิด 19 ตนเห็นว่ารถฉุกเฉินของโรงพยาบาล แต่ละแห่ง ถูกนำออกมาวิ่งใช้งานรับส่งผู้ป่วยกันอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน ทำให้ยางรถสึกเร็วกว่าปกติ ตนจึงเกิดไอเดียร์ เปลี่ยนยางรถให้ฟรี ไม่คิดเงิน เฉพาะ รพ.ในจังหวัดกระบี่ พร้อมบริการหลังการขายฟรี ไม่ว่าจะเป็นตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ ทุก 1 หมื่น กม.

นายจักรพันธ์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา เกิดวิกฤติโควิด 19 ถึง 2 รอบ ทำให้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการกับทางร้าน มีจำนวนลดลง ตนก็เลยปิ้งไอเดียร์ ขึ้นมาว่ารถทุกคัน ที่มีสติกเกอร์ “ส่งเสริมออโต้ เซ็นเตอร์”ติดอยู่ที่รถ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่าหรือใหม่ หากว่ารถล้อรั่ว ซึม เข้ามาใช้บริการปะยาง ทางร้านก็จะปะให้ฟรี ไม่คิดเงิน ซึ่งเหมือนกับว่าทางร้านได้ช่วยดูแลสังคมอีกด้านหนึ่ง ในการลดค่าใช้จ่ายของลูกค้า และตอนนี้เกิดวิกฤติโควิด 19 ระบาดระลอก 3 ตนก็เลยอยากช่วยแบ่งเบาโรงพยาบาล ที่เห็นบุคลากรทุกคนทำงานกันอย่างหนัก คิดไอเดียร์ โดยการเปลี่ยนยางให้ฟรี ไม่คิดเงินแม้บาทเดียว     

นายจักรพันธ์ ยังกล่าวถึงผลกระทบในช่วงการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยว่า ทางร้านได้รับผลกระทบด้วย เนื่องจากการเข้าใช้บริการของลูกค้าลดน้อยลง แต่ทางร้านก็ได้มีการแก้ปัญหาด้วยการพูดคุยกับตัวแทนจำหน่ายขอส่วนลดพิเศษเพื่อมาช่วยสนับสนุนเป็นส่วนลดให้แก่ลูกค้า โดยพบว่าช่วงนี้ลูกค้าหายไปประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีข้อดี ทางร้านสามารถดูแลให้บริการลูกค้าหลังการขายได้อย่างเต็มที่


ภาพ/ข่าว  ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top