Thursday, 15 May 2025
PoliticsQUIZ

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (22 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 309 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,104 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 71 ราย รักษาหายเพิ่ม 382 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 10,224 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,809 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 309 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากเลบานอน 1 ราย ,สหราชอาณาจักร 2 ราย ,เอสโตเนีย 1 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ,อิตาลี 2 ราย ,ซูดาน 2 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,ศรีลังกา 1 ราย ,เยอรมนี 1 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 80 ราย

ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 217 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 456 ราย รักษาหายแล้ว 399 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.52 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.73 แสน เสียชีวิต 27,203 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.73 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.3 แสน ราย เสียชีวิต 642 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.36 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.2 ราย เสียชีวิต 3,013 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.08 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.67 แสน ราย เสียชีวิต 10,116 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,235 ราย รักษาหายแล้ว 58,959 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,546 ราย รักษาหายแล้ว1,411 ราย เสียชีวิต 35 ราย

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานไทยภักดี และรักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์อธิบายข้อเท็จจริงๆ เกี่ยวกับหลักการจัดหาและใช้งานวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยถึง นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าว่า...

"วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายประเทศจัดหาวัคซีนได้มากกว่าจำนวนประชากร โดยบางประเทศได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ขณะที่ประเทศไทยเราแค่ 21.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น"

นี่คือข้อความที่นายธนาธรแถลง เรื่องวัคซีนโควิด และถือว่าบิดเบือนจากความเป็นจริง อาจจะไม่เข้าใจเรื่องทางการแพทย์ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่เห็นคนอื่นทำในสิ่งที่ดีกว่าตนเองไม่ได้ ต้องพยายามนำเสนอว่าตนเองนั้น มีอะไรที่เหนือกว่า

ถ้าจำกันได้ ตั้งแต่เริ่มเป็นนักการเมือง เขาให้แสดงความโปร่งใส แต่ตนเองใช้ไบลด์ทรัสต์ เขาจะทำรถไฟความเร็วสูง แต่ตนเองจะทำไฮเปอร์ลูป เขาแจก 5,000 บาท แต่ตนเอง 3,500 บาทถ้วนหน้าโดยไม่พิสูจน์ความจน มาถึงเรื่องวัคซีนโควิด ก็พยายามสื่อสารว่า มีบางประเทศจัดหาได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของประชากร เพื่อมาเกทับประเทศไทย

ตัวเลขตัวเลข 200-300% ที่นายธนาธรเสนอ ก็แสดงให้เห็นว่ารับรู้ไม่จริงและบิดเบือน ด้วยหลักการฉีดวัคซีน ในเชิงวิชาการของโรคระบาด ไม่มีใครฉีด 100% ของประชากร เขาฉีดประมาณ 60-80% ของประชากร เพราะจะ 'เกิดภูมิคุ้มกันหมู่' ตามมา การที่บอกว่าบางประเทศจัดหา 200-300% ของประชากร จึงพูดแบบมั่วๆ

ที่สำคัญคุณควรต้องศึกษาด้วยว่า ขณะนี้วัคซีนโควิด ยังไม่มีการทดลองในเด็ก จึงยังไม่มีประเทศไหนในโลกนี้ฉีดในเด็ก แม้แต่ไฟเซอร์ เพิ่งจะเริ่มงานวิจัยไม่นาน ที่จะทดลองฉีดในเด็กอายุ 12 ปี และวิจัยในเด็กอายุ 15-16 ปี ในปัจจุบันเขาจึงห้ามฉีดในเด็กอายุ ต่ำกว่า 16 ปี

ที่สำคัญถ้าคุณไม่อคติจนเกินไป ได้พูดกับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประเทศเรามีประชากรประมาณ 66 ล้านคน ถ้าตัดเด็กอายุ 16 ปีลงมา จะเหลือประมาณ 55 ล้านคน หลักการฉีดวัคซีน และให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คิดที่ 60% เท่ากับว่าเราจะฉีด 33 ล้านคน ขณะนี้เราสั่งวัคซีนแล้ว ของแอสตร้า เซเนก้า 26 ล้านโด๊ส ของซิโนแวค 2 ล้านโด๊ส

ที่สำคัญการฉีดให้คนหลายสิบล้านคน ไม่ใช่ใช้เวลาแค่เดือนสองเดือน แต่ต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่านั้นมาก ส่วนเข็มที่สองห่างจากเข็มแรกประมาณเกือบหนึ่งเดือน ดังนั้น ในทางวิชาการ จึงไม่ใช่เลวร้ายอย่างที่นายธนาธรนำเสนอ ให้ประชาชนเข้าใจผิด

ที่สำคัญวัคซีนนั้นเป็นตัวเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย แต่ก็ยังอาจป่วยได้ แต่ไม่รุนแรง เมื่อเทียบสัดส่วนประชากรที่ป่วยกับจำนวนประชากร ในวงการแพทย์ถือว่า การที่ประชาชนไทยระมัดระวังตัวเอง การวางแผนเรื่องการฉีดวัคซีนนี้ จึงยังไม่เป็นปัญหา

ถ้านายธนาธรจะลดความอคติ ชิงชัง หาความรู้ทางวิชาการเพิ่มอีกสักหน่อยจะดีกว่านี้ ไม่ใช่เมื่อเจอความจริง ก็จะหันเหด้วยการจะดูเอกสารสัญญา

ช่วงนี้นายธนาธรน่าจะทำตามผลโพลที่ประชาชนต้องการนั่นคือ ประชาชนร้อยละ 96.6 แนะนำให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาเคลียร์ปมที่ประชาชนเคลือบแคลงสงสัย เช่น การบุกรุกป่าของมารดาของนายธนาธรฯ ภาษีเรือยอร์ช การปลดพนักงาน แรงงานของบริษัทฯ เงินบริจาคช่วยเหยื่อโควิดที่แจกไม่หมดนำไปใช้จ่ายอย่างอื่น น่าจะดูดีกว่า

‘บิ๊กตู่’ หารือทางโทรศัพท์ ‘นายกฯ ลาว’ แสดงความยินดีในโอกาสได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว เห็นชอบร่วมกันจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน

พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม หารือทางโทรศัพท์กับนายทองลุน สีสุลิด (H.E. Mr. Thongloun Sisoulith) นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีทองลุน ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่ คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว

นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีกับการประชุมใหญ่ผู้แทนทั่วประเทศ ครั้งที่ 11 ของพรรคประชาชนปฏิวัติลาวที่สำเร็จลุล่วงด้วยดี พร้อมกล่าวว่า ขอแสดงความยินดีกับท่านทองลุนที่ได้รับเลือกเป็นเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่ได้รับจากสมาชิกพรรคประชาชนปฏิวัติลาว เป็นเสียงสะท้อนที่สำคัญอันเป็นผลจากความสำเร็จในการบริหารประเทศของท่านตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และเชื่อมั่นว่าท่านจะนำพาสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวให้มีความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

ด้านนายกรัฐมนตรีลาว กล่าวขอบคุณที่นายกรัฐมนตรีไทยแสดงความยินดี พร้อมกล่าวว่า ไทย-ลาวนับเป็นมิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา ยืนยันจะสานต่อความสัมพันธ์ไทย-ลาวด้วยความมุ่งมั่น ต่อไป ในช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่กันเป็นไปได้ยาก แต่มีความปรารถนาดีต่อกันเสมอ

นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างไทยและลาวมาตลอด ว่า เป็นมิตรประเทศที่มีความใกล้ชิด แน่นแฟ้น มายาวนาน ซึ่งทั้งสองฝ่ายได้เห็นชอบร่วมกันที่จะจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในโอกาสครบรอบ 70 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ในรูปแบบที่สามารถดำเนินการได้ในปี 2564 นี้ และมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่ายพิจารณากิจกรรมเฉลิมฉลองฯ เพื่อให้เป็นที่รับรู้ของสาธารณชนผ่านช่องทางต่างๆ

ในโอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายพร้อมให้ความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในการดูแลการเดินทางข้ามแดนระหว่างไทย-ลาวเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ด้วย

นพ.ทวีศิลป์ โพสต์แจงผลการตรวจหาโควิด-19 หลังมีส่วนเกี่ยวข้องกับทีมงานผู้ประกาศข่าวช่อง NBT ที่ติดโควิด-19 โดยล่าสุด ยืนยันแล้วว่า ผลตรวจไม่พบเชื้อแต่อย่างใด

เป็นข่าวให้ได้ติดตามกันตลอดในวันนี้ สำหรับกรณี นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. ได้ออกมาแถลงว่า มีผู้ประกาศข่าวชายของสถานีโทรทัศน์ NBT ติดเชื้อโควิด-19 หนึ่งราย ซึ่งก็เป็นผู้ที่มาช่วยงานตนเองในตอนเช้าที่ทำเนียบรัฐบาล เป็นเหตุให้เจ้าตัวกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มเสี่ยง และต้องปฏิบัติตามขั้นตอนเพื่อความปลอดภัย ทั้งการไปตรวจหาเชื้อ และการกักตัวเอง

"ผมเองในฐานะผู้สัมผัสกับผู้เสี่ยงสูง ในความหมายของทางด้านนี้คือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่อย่างไรก็ตามผมก็จะทำตัวเองที่จะขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ก็จะไปตรวจตัวเอง แล้วบ่ายนี้ก็จะกักตัวเอง qurantine ไปก่อน ซึ่งถ้าผลของน้อง ๆ ออกมาแล้ว ซึ่งถ้าเขาไม่ไปติดเชื้อคงจะได้พิจารณาอีกทีว่า จะดูแลตัวเองอย่างไรต่อไป นี่คือสิ่งที่ใกล้ตัวเราอย่างมาก" นพ.ทวีศิลป์กล่าว

ล่าสุดเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมา ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ นพ.ทวีศิลป์ ก็ได้ขึ้นโพสต์สร้างความเบาใจให้กับผู้ที่ติดตามข่าวว่า ผลการตรวจออกมาแล้ว #ไม่พบเชื้อ

ทั้งนี้ต้องติดตามในรายละเอียดต่อไปว่า ผลการตรวจหาเชื้อของผู้ที่เข้าข่ายคนอื่น ๆ จะออกมาเป็นเช่นไร และโฆษก ศบค. จะต้องกักตัวเองต่อไปหรือไม่

‘โฆษกพรรคก้าวไกล’ จี้ ‘สุพัฒนพงษ์’ รีบแจงรายละเอียดเยียวยาให้ชัด หวั่นตกหล่น ล่าช้า ซ้ำรอยรอบแรก

นาย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึง กรณีที่ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า แม้ไม่มีสมาร์ทโฟนก็สามารถ ใช้สิทธิในโครงการ ‘เราชนะ’ ได้ หลังจากมีคนจำนวนมากเป็นห่วงว่า ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟนจะไม่สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิในโครงการ

โดยยืนยันว่า ตอนที่ทำแผนกัน ทีมงานคิดละเอียดทุกเรื่องเพื่อไม่ให้คนที่ควรจะได้รับการช่วยเหลือตกหล่นไปและได้วางรูปแบบไว้แล้วสำหรับกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ตนจึงอยากขอให้ชี้แจงรายละเอียดให้ชัดๆว่าหากไม่มีมือถือสมาร์ทโฟนจะให้ทำอย่างไร ซึ่งที่จริงเรื่องแบบนี้ไม่ควรต้องชี้อแจงกันหลายครั้ง หรือให้ประชาชนต้องเสียเวลามาคอยตามการชี้แจงกันรายวันหรือเมื่อกระแสสังคมวิพากษณ์วิจารณ์แค่ออกมาบอกว่าคิดไว้แล้วแบบนี้ก็ไม่พอ สิ่งที่คิดคืออะไร ประชาชนต้องทำอย่างไรบ้างต้องออกมาทันทีเพราะเขารอคอยคำตอบอยู่

นอกจากนี้ นายณัฐชา ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า มาตราการเยียวยาที่ผ่านมาของรัฐบาล ยังต้องให้ยืนยันตนผ่านแอพพลิเคชั่นมาตลอด ทั้งที่รัฐบาลก็มีข้อมูลของประชาชนที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากการเยียวยารอบก่อน เหตุใดไม่ทำการโยกข้อมูลส่วนนี้มาใช้ ทำไมต้องให้ประชาชนยุ่งยากทำซ้ำทำซาก หากมีความจริงใจจะเยียวยาจริงๆควรทำกระบวนการให้ง่ายและรวดเร็วไม่ใช่สร้างความสับสนเหมือนต้องลุ้นเสี่ยงโชคกันตลอดเวลา

ส่วนกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีชี้แจงเหตุผลในการไม่จ่ายเงินเยียวยาเป็นเงินสดว่าเพื่อลดการสัมผัสธนบัตรในช่วงสถานการณ์เสี่ยงนั้น การที่ท่านรองนายกรัฐมนตรีตระหนักถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนเป็นเรื่องที่ดีและน่าชื่นม แต่คงไม่ใช่เหตุผลหลักในเวลานี้ การเยียวยาที่ตรงจุดคือการดูแลประชาชนให้สะดวกนำไปใช้จ่ายหรือลดภาระหนี้สินของเขาได้ง่าย ทั้งยังมีวิธีการที่ง่ายกว่าการใช้จ่ายผ่านแอพพลิเคชั่นก็คือการจ่ายผ่านระบบพร้อมเพย์

เนื่องจากประชาชนทุกคนมีเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักอยู่แล้ว สามารถลงทะเบียนแล้วรับเงินเยียวยาผ่านระบบนี้ได้เลย โดยสามารถทำได้เองผ่านตู้กดเงินสด หรือถ้าใครไม่สามารถทำหน้าตู้ได้ก็สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือจากธนาคารได้ แต่ถ้าเป็นการจ่ายผ่านแอพพลิเคชั่น หากเขาทำไม่เป็นก็จะไม่มีระบบสนับสนุนความช่วยเหลือเหมือนธนาคาร

“การจ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชั่นไม่เพียงแต่กีดกันประชาชนให้เข้าไม่ถึงการเยียวยาแล้ว ในอีกมุมหนึ่งยังเอื้อให้มีการทุจริตเงินได้ด้วย สมมติเช่นเขาต้องเอาเงินสดไปจ่ายค่าเช่าบ้าน แล้วจ่ายผ่านแอพไม่ได้จะทำอย่างไร ก็ต้องไปพึ่งธุรกิจรับลงทะเบียนซึ่งก็ไม่รู้ว่าท่านรู้ไหมว่ามันมีอยู่ ผู้เดือดร้อนยอมรับเงินสดมาแต่ก็แลกกับการถูกหักเงินไปส่วนหนึ่งทั้งที่เขาลำบากอยู่แล้ว รัฐบาลต้องไม่ไปทำตัวเป็นพ่อรู้ดีว่าเขาจะนำเงินไปใช้ทำอะไร

ถ้าจ่ายแล้วกำหนดเงื่อนไขได้ว่าไม่ให้นำเงินไปซื้อเหล้าหรือไม่ให้นำเงินไปใช้ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ถามหน่อยว่าเวลาประชาชนเสียภาษีจะกำหนดไม่ให้ท่านเอาเงินไปซื้อเรือเหาะ ซื้อเรือดำน้ำจีนได้ไหม ผมหวังมาตลอดว่ารัฐบาลจะมีบทเรียนและเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ล้มเหลวจากการออกมาตราการเยียวยาแก่ประชาชนรอบก่อนที่มีความล่าช้าและไม่ทั่วถึง แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนพวกท่านก็ไม่ได้เรียนรู้และแก้ไขอะไรเลย ผู้ที่รับผลกรรมกับความไร้ศักยภาพของรัฐบาลก็หนีไม่พ้นประชาชน” นายณัฐชา กล่าว

แม้เสียงจะแผ่วเบาลง แต่อุดมการณ์ยังคงเดิม การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ยกสุดท้ายในชีวิต จาก 'ม็อบรุ่นพี่' ผู้ต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน และเมื่อถึงวันเผด็จศึก ต้องไม่มีคำว่า...ถอย!!

นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ ‘ตู่ ศรัทธาธรรม’ เปิดใจกับ The States Times ถึงบทบาทการเมืองในช่วงหลังที่อาจจะดูเงียบไป แต่ทิศทางบนเส้นทางการเมืองไทยของเขายังคงตื่นอยู่ตลอดว่า...

“ที่หายๆ ไป โดยเฉพาะกับช่วงที่มีการชุมนุมของม็อบคณะราษฎร์ ไม่ได้แสดงว่ายุติบทบาทการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ผมยังเหมือนเดิม เพียงแต่ถ้าให้เปรียบเหมือนกับนักร้อง ก็คือนักร้องที่ยังร้องเนื้อเดิมได้ แค่คีย์เสียงมันเบาลง คมน้อยลงตามวัยและยุคสมัย ฉะนั้นช่วงเวลานี้ คือ การให้เกียรติกับน้องๆ ที่ปลุกปั้นยุคแห่งการต่อสู้ด้วยตัวของพวกเขาเอง”

อย่างไรก็ตาม จตุพร ก็ยังไม่หยุดการต่อสู้เพื่อ ‘ประชาธิปไตย’ เพียงแต่หากจะต้องออกมาอีกครั้ง ก็ต้องออกมาแบบ ‘ครั้งเดียว’ แล้วต้องเป็นครั้งเดียวที่มีคุณค่า สมกับเป็นการสู้ที่ตั้งใจว่าจะเป็น ‘ครั้งสุดท้าย’

“ตั้งแต่วัยเด็ก จนหนุ่ม และบัดนี้ ผมงัดกับรัฐบาลหลายยุค มองเห็นและเข้าใจเกมการเมืองแบบเด่นชัด ชีวิตเจอถูกถอนประกันง่าย แล้วก็ถูกจับไปขังง่ายพอๆ กัน ผมจึงอยากใช้ครั้งเดียวต่อจากนี้ให้คุ้มค่าที่สุด คนบอกผมไม่ขยับ นั่นเพราะผมต้องเลือกเวลาที่ดีที่สุด และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ

“แน่นอนว่าช่วงเวลาที่จะออกมาต่อสู้อีกครั้ง คือ วันที่รัฐบาลตัดสินใจฆ่าประชาชน และใช้มาตรการปราบปรามหนัก วันนั้นก็จะถึงคิวผมที่จะก้าวออกมา เหมือนกับช่วงสมัยพฤษภาทมิฬปี 35 และ ช่วงเมษายนปี 53 ผมจะออกมาสู้ร่วมกับประชาชนผู้รักประชาธิปไตย”

นายจตุพร เล่าต่ออีกว่า วันนั้นอาจจะมาถึงในไม่ช้า เพราะเส้นทางของรัฐบาลในตอนนี้เริ่มตีบตัน และมองว่าอีกไม่นานรัฐบาลจะต้องพังด้วยปัญหาร่วมของประชาชน นั่นก็คือ ‘ปัญหาปากท้อง’

“อย่าลืมว่าเรื่องเดียวกันที่จะกำหนดประชาชนให้ประชาชนทุกคนพร้อมใจกันออกสู้ คือ เรื่องปากท้อง ตอนนี้เราเจอโรคระบาดโหยหิวในชีวิตมนุษย์ และกำลังระบาดไปสู่ความหิวโหยของมนุษย์

“ความหิวของมนุษย์จะทำให้คนโกรธ และรัฐจะเอาไม่อยู่ ยิ่งรัฐไม่ซึมซับบทเรียนจากรอบแรก ทั้งสนามมวยในรอบแรก และตอนนี้ก็มาจากบ่อนระยอง รวมถึงแรงงานพม่าเล็ดลอดเข้ามา จนระบาดกันทั้งแผ่นดิน มันเหมือนกับคนที่เจ็บแล้วไม่จำ เป็นความบกพร่องของรัฐ ที่ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจรุนแรง คนกลัวอดตายมากกว่ากลัวโรคภัย แล้วถ้ารัฐยังบริหารประเทศแบบนี้ต่อไป เดี๋ยวก็จะพัง”

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร ก็ได้แนะนำรัฐบาลว่า ทุกวันนี้การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เป็นเรื่องของคนยุคใหม่ รัฐบาลควรจะต้องเปิดใจรับฟังเสียงของคนยุคนี้ ที่จะก้าวขึ้นมาแทนคนยุคเก่า

“ผมอยากให้รัฐบาลมองเด็กๆ เป็น ‘อนาคตของชาติ อย่ามองเด็กเป็นศัตรู’ เพราะยุคนี้คือยุคของเขา ผมยอมรับว่าการเลือกวิถีทางของยุคหนึ่งอาจถูก แต่ก้าวข้ามไปอีกยุคหนึ่งอาจไม่ถูก ยุคแต่ละยุคมีพัฒนาการเป็นของใหม่ อย่าง ‘แฟลชม็อบ’ ในยุคนี้ตามมุมมองของผม เป็นความงดงามทางประชาธิปไตย ผมเห็นการเคลื่อนไหวและสนใจของนักศึกษายุคนี้มากกว่าตอน ตุลา 2516 และยุคพฤษภา 35 หรือยุค นปช.53

“ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ใช่แค่นักศึกษา แต่รวมไปถึงเด็กนักเรียนรุ่นลดหลั่นลงไปที่ออกมาร่วมแสดงออกทางการเมือง เหตุเพราะโลกมันแคบลงจากโซเชียลมีเดียที่ช่วยให้ทุกคนหาข้อมูลได้ ผู้คนได้ฟังปราศรัยพร้อมๆ กัน ไม่ต้องรอฟังสื่อกระแสหลักที่มีข้อจำกัดในการรายงานข่าว เทคโนโลยีทำให้ทุกคนเป็นสื่อกันได้หมด การรับรู้จึงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าพันเท่า ทั้งฝ่ายม็อบ และฝ่ายรัฐ

“ดังนั้นการออกมาต่อสู้หรือเรียกร้องของคนรุ่นนี้ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องฟัง และร่วมพูดคุยกัน เพราะประเทศใดไม่มีคนหนุ่มสาว ขึ้นมาลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ประเทศนั้นจะหาอนาคตไม่ได้ รัฐต้องใช้หูมากกว่าใช้อำนาจ ต้องรับฟังมากกว่าการใช้กฎหมาย หากใช้แค่อำนาจ หรือมองพวกเขาเป็นศัตรู บทสรุปจะจบไม่สวย

“บางเรื่องที่คุยกันได้ ก็คุยเรื่องนั้นก่อน เชื่อเหอะว่าคนเรามันไม่ได้คิดต่างกันได้ทุกเรื่องหรอก แต่จงไล่ความสำคัญไปจนเจอเรื่องที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องมุ่งไปในทางเดียวกัน นั่นคือ ผลประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่คุยเรื่องของตัวเอง แต่อย่าให้ ‘ความแตกต่าง’ หรือความคิดเสนอต่าง กลายเป็นศัตรู อย่างผมเองชอบที่จะเห็นแตกต่าง บางทีก็พูดไม่เข้าหูคนบ้าง แต่เหล่านี้คือความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย

“ผมอยากให้รัฐบาลมองพวกเขาเป็นลูกเป็นหลาน ลองฟังสิ่งที่ไม่คุ้นเคยบ้าง แต่ทุกวันนี้เหมือนรัฐบาลจะไม่ฟังปัญหาของพวกเขา พอไม่ฟังก็แก้ด้วยอำนาจ เข้าจัดการ ซึ่งหากจัดการได้คนหนึ่งคน สิ่งที่ตามมา คือ อีกคนก็จะลุกขึ้นมาสู้ต่อ แล้วนั่นจะทำให้กลุ่มคนรุ่นพ่อแม่ของพวกเขา ก็อาจจะออกมาอีกที การปราบปรามประชาชนเด็ก คือ การปลุกพ่อแม่ มันจะไม่มีวันจบ”

นายจตุพร ยังทิ้งท้ายอีกว่า “ข้อเรียกร้องบางเรื่องอาจจะไม่จบในรุ่นของผู้เรียกร้อง แต่อาจจะไปจบหรือสำเร็จกับอีกรุ่นหนึ่ง ซึ่งเป็นภารกิจของนักต่อสู้ และภารกิจทางประวัติศาสตร์ ดังนั้นปัญหาของชาติที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ ผมเชื่อว่ามันไม่มีวันจบง่ายๆ จะมีแต่ปัญหาใหม่ๆ ขึ้นมาอีก พูดง่ายๆ คือ โลกไม่มีวันจบ ทุกอย่างเป็นวงล้อ การต่อสู้จึงเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับรัฐบาล ไม่มีทางที่จะจัดการปัญหาทุกอย่างได้จบในรัฐบาลเดียว เพราะไม่งั้นก็ไม่จำเป็นต้องมีรัฐบาลอีกต่อไป จงรับฟังทุกฝ่าย”

เลขาธิการ อย. เผยคืบหน้ารับขึ้นทะเบียนวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของแอสตราเซเนกาจากประเทศอิตาลีแล้ว ใช้ฉีดภาวะฉุกเฉิน 5 หมื่นโดส เข้าไทย ก.พ.นี้

นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 มกราคม ที่ผ่านมา ได้มีการลงนามขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด -19 ของแอสตราเซเนกาที่ผลิตในประเทศอิตาลี แล้ว หลังจากทางบริษัทฯ ส่งเอกสารเกือบ 10,000 หน้า มาขอขึ้นทะเบียนในไทย เพื่อใช้ฉีดภาวะฉุกเฉิน ตั้งแต่ 22 ธันวาคม 2563

โดยทางอย. ใช้เวลาเกือบ 1 เดือน ในการพิจารณาถึงเรื่อง ประสิทธิภาพ คุณภาพ และ ความปลอดภัยเป็นสำคัญ โดยวัคซีนดังกล่าวจะถึงไทยในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จำนวน 50,000 โดส ทั้งนี้สำหรับใบอนุญาตการนำเข้า และ ทะเบียนวัคซีนนี้ มีระยะเวลา 1 ปี โดยเมื่อวัคซีนถึงไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะดำเนินการสุ่มตรวจวัคซีนว่ามีคุณภาพตามที่บริษัทกำหนดไว้หรือไม่ ก่อนนำไปใช้ฉีดให้กับประชาชน จากนั้นทางบริษัท จะทยอยส่งวัคซีนที่เหลืออีก 150,000 โดส ตามมาภายใน ในเดือนมีนาคมและเมษายนต่อไป

“สำหรับการผลิตวัคซีนโควิด ของแอสตราเซเนกา ในไทยที่ร่วมกับ สยามไบโอไซเอนซ์นั้น ก็จะมีการขึ้นทะเบียนสถานที่ผลิตในไทย ซึ่งจะมีผลให้สามารถใช้ได้ในประเทศไทยทันที ในเดือนพ.ค.2564” นพ.ไพศาล กล่าว

ขณะเดียวกัน ใน blockdit ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายละเอียดสำคัญที่น่าสนใจของวัคซีนตัวนี้ว่า

1.) สามารถเก็บที่อุณหภูมิตู้เย็นธรรมดา 2-8 องศาเซลเซียส จึงสะดวกในการขนส่งและนำวัคซีนไปฉีดตามสถานพยาบาลต่างๆโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อน เช่น ประเทศไทย

2.) ราคาไม่แพง เพราะทางบริษัทประกาศว่าจะไม่นำวัคซีนตัวนี้มามีเป้าหมายหลักในการทำธุรกิจ จึงทำให้มีราคาของวัคซีนค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับวัคซีนตัวอื่นๆ

3.) บริษัทยอมให้ประเทศที่มีความพร้อม นำเทคโนโลยีของตนเอง ไปผลิตวัคซีนเองได้ โดยคิดค่าใช้จ่ายถูกกว่าซื้อวัคซีนสำเร็จรูปไปใช้

4.) ประสิทธิภาพของวัคซีนไม่ได้สูงมากเท่ากับวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเอ(mRNA) แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงเกินกว่าที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ (62-90% เทียบกับ 94-95%)

คาดว่าจะมีบริษัทต่างๆ ทยอยนำวัคซีนของตนเองซึ่งขึ้นทะเบียนแล้วในต่างประเทศ มาจดทะเบียนในประเทศไทยต่อไป ซึ่งรวมถึงบริษัท Sinovac ของประเทศจีน บริษัท Pfizer และ Moderna ของสหรัฐอเมริกา

ทำให้ประเทศไทยเรามีทางเลือกมากขึ้น ที่จะพิจารณาการฉีดวัคซีนได้มากกว่าหนึ่งตัว

ในส่วนวัคซีนของบริษัท AstraZeneca มีแผนที่จะนำเข้ามาในเดือนกุมภาพันธ์นี้ 50,000 เข็ม และจะนำเข้ามาอีกในเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ อีก 150,000 เข็ม

โดยวัคซีนล็อตนี้ เป็นวัคซีนที่ผลิตขึ้นในประเทศอิตาลี

ในส่วนที่ประเทศไทยจะผลิตวัคซีนเอง โดยใช้เทคโนโลยีของบริษัท AstraZeneca จะเริ่มนำมาฉีดได้จริงในเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป จำนวนรวมทั้งสิ้น 26 ล้านเข็มต่อเนื่องกันไปจนถึงสิ้นปี


Reference

https://mgronline.com/uptodate/detail/9640000006349

https://www.nytimes.com/interactive/2020/science/coronavirus-vaccine-tracker.html

https://tna.mcot.net/latest-news-619927

https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2529319

ที่มา : blockdit ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย

ส.ส.ราชบุรี ‘กุลวลี นพอมรบดี’ ขอ ดีอีเอส-กฟภ.เร่งจัดระเบียบสายไฟฟ้าและสายสื่อสาร ใน อ.เมืองราชบุรี ลงดิน เพื่อสร้างทัศนียภาพและป้องกันอันตราย พร้อมจี้กรมชล - การประปา ดูแลปัญหาคูคลองและน้ำขาดแคลน

น.ส.กุลวลี นพอมรบดี ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรว่า สืบเนื่องจากได้รับการร้องเรียนจากพี่น้องกลุ่มเกษตกรผู้ปลูกข้าวในพื้นที่ หมู่ 4 และ หมู่ 5 ต.เจดีย์หัก อ.เมือง ราชบุรี ถึงสภาพคูส่งน้ำสายใหญ่ 21 ที่สร้างมาเกือบ 30 ปี ปัจจุบันมีสภาพทรุดโทรม แผ่นคอนกรีตแตกร้าว มีตะกอนดินทับถมทำให้คูตื้นเขิน ส่งผลทำให้น้ำไปไม่ถึงปลายคลอง และอาคารบังคับน้ำชำรุดเสียหาย ไม่สามารถเปิด - ปิดได้

รวมถึงถนนลูกรังบริเวณคันคลอง เป็นหลุมเป็นบ่อ โดยที่ผ่านมาเคยเกิดอุบัติเหตุรถเกี่ยวข้าวตกลงไปในคันนา จึงขอฝากท่านประธานผ่านไปยังโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาท่ามะกา สำนักชลประทาน 13 กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้โปรดเข้าดำเนินการให้ด้วย

นอกจากนี้ยังได้รับการร้องเรียนจากพี่น้อง หมู่ 10 หมู่ 12 ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง ราชบุรี ถึงความเดือดร้อนในการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคที่สะอาด เพราะผู้คนเริ่มอาศัยหนาแน่นขึ้น ชุมชนโตขึ้น เนื่องจากระบบประปาหมู่บ้าน ปัจจุบันเป็นประปาน้ำดิบบาดาล ไม่สามารถใช้ดื่มได้ มีลักษณะเป็นสนิมและหินปูน

โดยเฉพาะเมื่อถึงฤดูแล้ง ปริมาณน้ำในบ่อบาดาลไม่เพียงพอต่อความต้องการของพี่น้อง จึงขอหารือท่านประธานผ่านไปยัง การประปาส่วนภูมิภาค กระทรวงมหาดไทย ได้โปรดเข้าดำเนินการขยายเขตจ่ายน้ำประปาภูมิภาคให้กับพี่น้องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนด้วย

น.ส.กุลวลี ยังขอให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส), กสทช.เขต16 และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคจังหวัดราชบุรี ช่วยประสานงานบูรณาการร่วมกัน ลงพื้นที่ในเขตอำเภอเมืองราชบุรี ทำการปรับปรุงจัดระเบียบสายสื่อสาร, สายเคเบิ้ล, สายไฟฟ้า ที่หย่อนยาน รกรุงรัง และพิจารณาจุดที่เหมาะสมในการนำสายต่าง ๆ เหล่านี้ลงท่อร้อยสายใต้ดิน พร้อมทั้งขอให้ทำการรื้อถอนสายเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้วออกจากเสาไฟฟ้า

โดยดิฉันขออนุญาติชี้แนะให้ท่านเริ่มทำในเขตเทศบาลเมืองราชบุรีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งชุมชนหนาแน่น เป็นที่ตั้งของส่วนราชการ ศาลากลาง สถานการศึกษา โรงพยาบาล ซึ่งนอกจากจะสร้างทัศนียภาพที่สวยงามแล้ว ยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายกับพี่น้องประชาชนอีกด้วย

กองทัพบก ส่งกำลังพลลงพื้นที่พ่นฆ่าเชื้อโควิด ทำความสะอาดโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมรับการเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 1 ก.พ. 64

ร.อ.หญิง กัญญ์ณณัฐ พรนิพัทธ์กุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า กองทัพบก โดยกองทัพภาคที่ 1, หน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศกองทัพบก และกรมวิทยาศาสตร์ทหารบก ได้ส่งกำลังพลชุดปฏิบัติการล้างสิ่งปนเปื้อน พร้อมอุปกรณ์การฉีดพ่นสารเคมีและยานพาหนะ เข้าทำความสะอาดโรงเรียนในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งอยู่ระหว่างปิดและปรับการเรียนเป็นรูปแบบออนไลน์ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการและมาตรการ ศบค.

โดยมีกำหนดเปิดเรียนตามปกติในวันที่ 1 ก.พ.64 ซึ่งชุดปฏิบัติการฯ ได้ดำเนินการครั้งแรก เมื่อวันที่ 20 ม.ค.64 ณ โรงเรียนสารวิทยา เขตจตุจักร และจะดำเนินการต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.64 เพื่อสนับสนุนการเตรียมความพร้อมของสถานศึกษาในด้านสถานที่ ปรับสภาวะแวดล้อมให้เอื้อต่อการเรียนการสอน ให้มีความสะอาด ปลอดภัย ลดการสะสมของเชื้อและควบคุมการแพร่ระบาดของโรค สร้างสุขอนามัยที่ดีให้กับนักเรียน ครูผู้สอนและประชาชน

ทั้งนี้ การดำเนินงานดังกล่าว เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ที่มีข้อห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 มอบให้หน่วยทหารทั่วประเทศเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน ดำเนินการตามมาตรการของรัฐบาลและสนับสนุนภาคส่วนต่างๆ ในการคลี่คลายสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง

โดยนำทรัพยากรที่มีอยู่ทั้งกำลังพลและยุทโธปกรณ์มาปรับใช้อย่างเหมาะสม อาทิ ภารกิจการสนับสนุนรัฐบาลจัดตั้งสถานกักกันโรคของรัฐ, การสกัดกั้นคัดกรองตามแนวชายแดน, การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชน, การแจกจ่ายหน้ากากอนามัยและเจลแอลกอฮอล์, บริการ Army Delivery จัดส่งอาหาร ตัดผมและซ่อมแซมเครื่องใช้ไฟฟ้าให้ที่บ้าน, การซื้อพืชผลจากเกษตรกรและสนับสนุนร้านค้าชุมชนเพื่อนำมาประกอบเลี้ยงให้กับกำลังพลภายในหน่วย รวมทั้งการสนับสนุนกำลังพลและอุปกรณ์ให้กับส่วนราชการแต่ละจังหวัดในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนาม ซึ่งกองทัพบกพร้อมปฏิบัติทุกภารกิจ ดูแลช่วยเหลือพี่น้องประชาชนข้ามผ่านวิกฤติ ห่างไกลจากโควิด-19 ไปด้วยกัน

‘รมว.แรงงาน’ เผย จ้างล่าม/ผู้ประสานงานด้านภาษา ปฏิบัติงานประจำศูนย์ประสานแรงงานประมง 20 จังหวัด สนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการสื่อสารให้แรงงานต่างด้าวเข้าใจ รับรู้ ขอรับคำปรึกษา รวมถึงการสัมภาษณ์เพื่อคัดกรอง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์มาโดยตลอด จนได้รับการปรับสถานะ จัดอันดับอยู่ในกลุ่มที่ 2(Tier 2) ติดต่อกันเป็นปีที่ 3 โดยปรับขึ้นจากเดิมในกลุ่ม Tier 2 Watch list เมื่อปี 2560

“กระทรวงแรงงาน ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล ในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในเวทีการค้าโลก ซึ่งส่งผลดีต่อการส่งออกสินค้าของประเทศไทย ด้วยการจัดระเบียบแรงงานต่างด้าวในกิจการประมงอย่างเป็นระบบ ลดปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ในรูปแบบแรงงานประมง เพื่อเข้าสู่ระบบการทำงานอย่างถูกต้อง ส่งเสริมให้มีสภาพการทำงานที่เหมาะสม แรงงานได้รับค่าจ้างและได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย รวมทั้งการสร้างมาตรฐานการทำงานให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ตลอดจนการบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของผู้ประกอบการในการขาดแคลนแรงงาน เพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ Tier 1 ให้ได้ในปี 2564” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

ด้านนายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน เปิดเผยว่า กรมการจัดหางาน มีเป้าหมายจ้างเจ้าหน้าที่ตำแหน่งล่าม/ผู้ประสานงานด้านภาษา จำนวน 20 คน เพื่อทำหน้าที่สื่อสารและปฏิบัติงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์ประสานแรงงานประมง มีระยะเวลาการจ้าง 9 เดือน แบ่งเป็น ล่าม(คนไทย) จำนวน 9 คน ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ประสานแรงงานประมงใน 9 จังหวัด ได้แก่ ระยอง ตราด สงขลา ระนอง สมุทรปราการ จันทบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช

และเป็นผู้ประสานงานด้านภาษา (คนต่างด้าว) จำนวน 11 คน ปฏิบัติงาน ณ ศูนย์ประสานแรงงานประมงใน 11 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสมุทรสาคร สตูล ฉะเชิงเทรา กระบี่ ตรัง นราธิวาส ชุมพร ชลบุรี สมุทรสงคราม พังงา และปัตตานี

นายสุชาติฯ กล่าวต่อไปว่า กรมการจัดหางานเป็นหน่วยงานหลักในการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย โดยคำนึงถึงความมั่นคงของชาติ โอกาสในการประกอบอาชีพและวิชาชีพของคนไทย ซึ่งในส่วนแรงงานประมงนั้น ประเทศไทยมีปัญหาขาดแคลนแรงงานเรื่อยมา เนื่องจากเป็นงานที่คนไทยไม่นิยมทำ เพราะไม่ต้องการทำงาน 3 ประเภท ที่เรียกว่างานกลุ่ม 3D ได้แก่ Difficult (งานลำบาก) Dirty (งานสกปรก) และ Dangerous (งานอันตราย) เช่น ก่อสร้าง เกษตร ปศุสัตว์ โรงสี โรงน้ำแข็ง เหมืองแร่ งานใต้น้ำ และงานประมง จึงจำเป็นต้องจ้างแรงงานต่างด้าวมาทดแทน

โดยกลุ่มแรงงานต่างด้าวดังกล่าว ส่วนใหญ่ใช้เฉพาะภาษาประจำท้องถิ่นของตนเอง เจ้าหน้าที่ประสานงานด้านภาษา /ล่ามเพื่อการสื่อสาร จึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ในการสื่อสารให้แรงงานต่างด้าวเข้าใจ รับรู้ ขอรับคำปรึกษา การแนะนำ อบรมชี้แจง การยื่นคำขอใบอนุญาตทำงาน การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และบริการของภาครัฐ รวมถึงการสัมภาษณ์เพื่อคัดกรอง ในกรณีผู้ที่อาจเข้าข่ายเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ ทั้งหมดนี้เพื่อให้คนต่างด้าวเข้าสู่ระบบการทำงานอย่างถูกต้อง มีค่าจ้าง มีสภาพการทำงานที่เหมาะสม และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่ผ่านมา (ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563) มีการออกใบอนุญาตทำงาน 34,914 คน อบรมนายจ้าง/ลูกจ้าง 3,810 คน ให้คำปรึกษา 85,108 คน รับแจ้งการทำงาน 26,201 คน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top