Thursday, 15 May 2025
PoliticsQUIZ

‘ราเมศ’ มั่นใจ รมต.พรรค สุจริตในการทำงาน เตรียมทีมรองรับ หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือพาดพิง เชื่อทุกคนมีผลงานประจักษ์ในการทำงานให้กับประชาชน ย้ำเรื่องผู้ว่าฯ กทม. อย่ากังวลยังไม่ถึงเวลา พรรคเดินเครื่องมาเป็นเวลานานแล้ว

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า

พรรคติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และได้มีการเตรียมทีมงานเพื่อรองรับ หากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรค หรือมีการพาดพิง ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าฝ่ายค้านจะยื่นไม่ไว้วางใจมีรัฐมนตรีคนใดบ้างที่อยู่ในโผของฝ่ายค้าน แต่ไม่ได้มีความกังวล เพราะเชื่อในการทำงานของรัฐมนตรีของพรรค ที่ยึดมั่นความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง และที่สำคัญทุกคนมีผลงานประจักษ์ในการทำงานให้กับประชาชน

นายราเมศกล่าวต่อว่า ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลตามกลไกของระบบประชาธิปไตย เป็นความสวยงามในระบบประชาธิปไตย ฝ่ายรัฐบาลก็ต้องชี้แจง จะผิดปกติหากฝ่ายค้านไม่ตรวจสอบใด ๆ เลย ข้อมูลในการตรวจสอบสำคัญที่สุด

ส่วนการเลือกตั้ง ผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ต้องเรียนว่า อย่ากังวลยังไม่ถึงเวลา โดยเฉพาะคนในพรรคมีอะไรก็ควรพูดในพรรคถามในพรรค จะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 28 มกราคม 2564 นี้ก็สามารถสอบถามพูดคุยกันได้ และที่ผ่านมาพรรคได้เดินเครื่องเรื่องผู้ว่าฯ กทม. มาเป็นเวลานานแล้ว

โดยเฉพาะการจัดเตรียมนโยบายที่ตอบสนองความต้องการของพี่น้องชาว กทม. รองหัวหน้าพรรคที่รับผิดชอบ กทม. ได้ทำงานอย่างเต็มรูปแบบมานานแล้ว เกือบทุกสัปดาห์จะมีการประชุมและลงพื้นที่กันโดยตลอด พรรคมีระบบการทำงาน นโยบายที่คิดทำเพื่อประโยชน์กับพี่น้อง กทม.

สำคัญที่สุด คนที่จะลงผู้ว่าในนามพรรคขณะนี้อาจจะอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลาก็ได้ ถ้าเปิดตัวคนแรกแล้วชนะเลยเช่นนั้นต้องรีบ แต่ถ้าไม่ใช่ก็ต้องย้อนกลับมาดูการทำงานจริง ๆ ของพรรค เป็นพรรคการเมืองเดียวที่ยังทำงานอยู่ในทุกพื้นที่ กทม. ไม่ใช่เห็นคนอื่นเปิดแล้วต้องรีบเปิดตัว เพื่อไทย ก้าวไกล พลังประชารัฐ หรือพรรคไหนที่เปิดตัวแล้ว

ขอย้ำว่าพรรคให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งในพื้นที่ กทม. ทั้งผู้ว่าฯ และ ส.ก. เราเป็นพรรคการเมืองแรกที่ยื่นแก้กฎหมาย เพื่อทวงคืน ส.ข.สมาชิกสภาเขต ให้กับประชาชน

‘รมว.คมนาคม’ สั่งด่วน!! ทางหลวงเร่งตรวจสอบ-ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุนั่งร้านทรุด ขณะเทคอนกรีตบริเวณโครงการก่อสร้าง ทล.290 วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมาด้านเหนือตอน 2 พร้อมกำชับมาตรการความปลอดภัยทุกโครงการก่อสร้าง

จากกรณีเกิดอุบัติเหตุบริเวณพื้นที่โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 290 วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ด้านเหนือ ตอน 2 ตัดกับทางหลวงหมายเลข 205 ตอน โคกสวาย - แขวงทางหลวงนครราชสีมาที่ 1 ที่ กม.217+500 โดยเกิดเหตุนั่งร้านทรุดตัวขณะกำลังดำเนินการเทคอนกรีตโครงสร้างพื้นส่วนบนของสะพานยกระดับคู่ขนานกับทางสายหลัก ส่วนที่ข้าม ทล.205 มุ่งหน้าโนนไทย ช่วงพื้นสะพานระหว่างคาน RA5-RA6 (1 ช่วง)

กรมทางหลวง โดยสำนักงานทางหลวงที่ 10 (นครราชสีมา) และสำนักก่อสร้างทางที่ 2 ได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบหาสาเหตุ โดยสภาพทางจุดตัดทางหลวงหมายเลข 205 และทางหลวงวงแหวนหมายเลข 290 ขนาด 4 ช่องจราจร ผิวจราจรไม่มีหลุมบ่อ มีไฟฟ้าแสงสว่าง และการจราจรสามารถผ่านได้ปกติ เนื่องจากจุดโครงสร้างทรุดตัวไม่ได้อยู่ในช่องทางจราจรทางหลวงหมายเลข 205

และจากการตรวจสอบไม่มีทรัพย์สินของราชการเสียหาย ซึ่งมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 9 คน แบ่งเป็น ผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 4 คน เป็นชาวกัมพูชา 7 คน พม่า 1 คน และคนไทย 1 คน ผู้บาดเจ็บขณะนี้ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และไม่มีผู้เสียชีวิต

สำหรับโครงการฯ 290 ตอน วงแหวนรอบเมืองนครราชสีมา ด้านเหนือ ตอน 2 มีกิจการร่วมค้า สี่แสง – โชคชัยเป็นผู้รับจ้าง เริ่มต้นสัญญาวันที่ 23 มกราคม 2561 ค่างานก่อสร้าง 1,400,998,295 บาท

ทั้งนี้ สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน สำหรับแนวทางในการดำเนินการแก้ไข ทางโครงการฯ ได้ให้ทางผู้รับจ้างดำเนินการรื้อถอนโครงสร้างนั่งร้าน และเศษวัสดุออกจากจุดเกิดเหตุโดยเร่งด่วน และให้เยียวยาผู้ที่ได้รับการบาดเจ็บ พร้อมทั้งได้ประชุมวิเคราะห์สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุในครั้งนี้

สำหรับในส่วนของแรงงานชาวกัมพูชา และแรงงานชาวพม่า เป็นแรงงานที่เข้ามาทำงานกับทางโครงการฯ อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และได้อยู่ในโครงการมาตั้งแต่ปี 2561 ไม่ได้มีการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด อีกทั้งในช่วงที่เกิดสถานการณ์โควิด-19 ทางโครงการยังไม่มีการรับแรงงานต่างด้าวมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด

พร้อมกันนี้ได้แจ้งให้ทราบบัญชาจากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กำชับมาตรการความปลอดภัยระหว่างก่อสร้าง และเข็มงวดเต็มที่ ในทุกโครงการก่อสร้าง และให้ความช่วยเหลือดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่

‘ศรีสุวรรณ’ เตรียมบุกทำเนียบรัฐบาล ทวงถาม ‘บิ๊กป้อม’ ส่ง ส.ส.-หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ไปตีกินโครงการเจาะบ่อบาดาลพลังงานแสงอาทิตย์หรือไม่ หลังพบเรียกรับค่าคอมมิสชัน 30% ของมูลค่าโครงการไปแล้ว แต่กลับไม่ได้งานแต่อย่างใด

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯได้รับการร้องเรียนจากผู้รับเหมาหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน ว่า มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลพรรคหนึ่ง ส่งทีมงานไปเจรจาชักชวนให้ร่วมรับงานเหมาขุดเจาะบ่อบาดาลในโครงการประปาบาดาลด้วยระบบพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อการเกษตรในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ และโครงการสนับสนุนสร้างบ่อบาดาลประปาโซล่าเชลล์พลังงานแสงอาทิตย์ ในราคาบ่อละ 500,000 บาท โดยอ้างว่าสามารถดึงโครงการดังกล่าวมาให้ทำได้ เพราะใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ดูแลโครงการดังกล่าว

ด้วยความเชื่อถือในชื่อเสียงของพล.อ.ประวิตร ผู้รับเหมาต่างๆ จึงได้ร่วมพูดคุยตกลงรับข้อเสนอของทีมงานของ ส.ส.หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลคนดังกล่าวที่ที่ทำการพรรคฯ จ.อำนาจเจริญว่าจะนำงานดังกล่าวมาให้ดำเนินการอย่างน้อย 70 บ่อ แต่มีข้อตกลงว่า เมื่อทำสัญญาว่าจ้างแล้วจะต้องจ่ายค่าคอมมิสชันเป็นเงินสดให้ 30% ของมูลค่างานในโครงการฯ โดยมีการเรียกรับเงินล่วงหน้าไปก่อนจำนวน 450,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2563 และมีการขอให้โอนเพิ่มเติมอีก 3 งวดรวม 50,000 บาท ซึ่งการโอนเงินดังกล่าวจะเข้าบัญชีธนาคารของทีมงาน ส.ส.หัวหน้าพรรคดังกล่าวโดยตรง

หลังจากนั้น ผู้รับเหมาได้พยายามติดตาม สอบถามถึงงานที่จะต้องดำเนินการ ก็ได้รับการบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด โดยอ้างว่าต้องรอให้หัวหน้าพรรคฯประสานกับพล.อ.ประวิตรในรายละเอียดกันเสียก่อน ส่วนเงินที่รับมาและที่โอนมาให้ได้ส่งต่อไปยังหัวหน้าพรรคฯทั้งหมดเพื่อนำไปเคลียร์กับผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว กระทั้งบัดนี้การดำเนินงานดังกล่าวก็ยังไม่มีคำตอบแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าถูกนักการเมือง และคนของนักการเมืองหลอกลวง ต้มตุ๋นเสียแล้ว จึงนำความมาร้องเรียนต่อสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เพื่อประสานงานเรียกร้องขอความเป็นธรรม และดำเนินการทางกฎหมายให้

ด้วยเหตุดังกล่าว สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจะนำความดังกล่าว ไปสอบถาม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีว่าได้มอบหมายให้หัวหน้าพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลรายดังกล่าวไปวิ่งเต้นเจรจาชักชวนให้ผู้รับเหมาในแต่ละจังหวัดมารับงานโครงการดังกล่าวแบบลับ ๆ หรือไม่ หากใช่ มีการเปิดประมูลกันตามกฎหมายหรือไม่ หากไม่ใช่จะได้ดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายต่อหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลดังกล่าว พร้อมทีมงานทุกคนอย่างไร โดยจะเดินทางไปยื่นคำร้องสอบถามในวันจันทร์ที่ 25 ม.ค.64 เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนฯ ทำเนียบรัฐบาล

'อนุทิน' เมินเปิดเผยสัญญาแอสตร้าเซนเนกา กับ สยามไบโอไซเอนซ์ เพราะเป็นเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชน นอกเหนืออำนาจรัฐ อัด ข้อมูล 'ธนาธร' บิดเบือน ไร้ความจริง พร้อมยืนยันไม่หวั่นถูกซักฟอกปมโควิด เชื่อเป็นโอกาสดีได้ชี้แจง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงข้อกล่าวหาการจัดซื้อวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 โดยยืนยัน การดำเนินการไม่ได้ล่าช้ากว่าประเทศอื่น แต่ต้องยึดหลักความปลอดภัย และคุณภาพของวัคซีน ซึ่งการจัดซื้อมีขั้นตอน ไม่ใช่สั่งซื้อแล้วจะได้ของทันที อีกทั้งการจัดซื้อวัคซีนยังติดเงื่อนไขของพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดซื้อจัดจ้าง ที่การจ่ายเงินซื้อจะต้องมีสินค้าอยู่จริงซึ่งแตกต่างกับบางประเทศที่ยอมเสี่ยงจ่ายเงินไปก่อน โดยยังไม่ทราบว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ เพราะหากเกิดความเสียหายเงินที่จ่ายไปก็จะสูญเปล่า

ส่วนกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เรียกร้องให้เปิดสัญญาการจัดซื้อวัคซีน ที่ทำกับบริษัท แอสตร้าเซนเนกา จำกัด กับ สยามไบโอไซเอนซ์ นั้น เห็นว่า ไม่สามารถทำได้เนื่องจากคู่สัญญาเป็นเอกชนทั้งคู่ และอยู่เหนือการควบคุมของรัฐ ยืนยันไม่ใช่วัคซีนผูกขาด เพราะมีการเจรจาซื้อหลายบริษัท ซึ่งเรื่องวัคซีนคนที่รู้ดีที่สุดคือหมอและ คณะกรรมการวิชาการที่ตั้งขึ้นมาศึกษาการใช้วัคซีนโดยเฉพาะ รัฐมนตรีมีหน้าที่เห็นชอบตามที่คณะกรรมการวิชาการเสนอเรื่องมา ซึ่งข้อมูลที่นายธนาธรนำมาเปิดเผยปราศจากข้อเท็จจริง

นายอนุทิน ยังเปิดเผยถึงกรณีที่ไม่มีบริษัทผลิตวัคซีนอื่นมาขอจดทะเบียนกับองค์การอาหารและยา (อย.) ไทย ว่า เราไม่ได้ปิดกั้นแต่ การจดทะเบียนช่วงนี้การใช้ตามสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ อียูเอ ไม่ใช่การจดทะเบียนเพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ พร้อมย้ำถึงนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการให้ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่เพียงกลุ่มเสี่ยงเท่านั้น

พร้อมกันนี้ นายอนุทิน ยังได้กล่าวถึงกระแสข่าวมีชื่อถูกยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ยืนยันไม่รู้สึกกังวลใจ เพราะเป็นเรื่องปกติที่สถานการณ์โควิด - 19 จะต้องมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเข้าไปอยู่ในโผรายชื่อที่จะถูกอภิปราย แต่เห็นว่าเป็นเรื่องดีที่จะได้มีโอกาสชี้แจง และบางประเด็นอาจช่วยเสริมคำชี้แจงของรัฐบาลได้ด้วย

ส่วนแนวทางการโหวตของพรรคภูมิใจไทย หากฝ่ายค้านหยิบยกประเด็นโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวขึ้นมาอภิปราย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งแนวทางของพรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับการต่อสัญญาสัมปทาน30 ปี ซึ่งตรงกันกับฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ระบุว่า โครงการนี้ ยังไม่ได้ถูกผลักดันเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) จึงยังไม่มีการดำเนินการใดๆเกิดขึ้น จึงมองว่าไม่ใช่ประเด็นที่จะนำมาสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

 

‘แรมโบ้’ ซัดกลับ ‘โฆษกเพื่อไทย’ กรณีวิจารณ์ ‘บิ๊กตู่’ บริหารประเทศ 7 ปี สู้ ประธานาธิบดีไบเดน ทำวันเดียวไม่ได้ ชี้วิจารณ์ไม่ดูวีรกรรม ‘ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์’ ที่ได้ชื่อว่าเป็นนายกฯ โคตรโกง สร้างความเสียหายให้ประเทศมูลค่าหลายล้านล้านบาท

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ ดร.อรุณี กายานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย วิจารณ์การทำงานของนายกรัฐมนตรี 7ปี สู้ โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ทำวันเดียวไม่ได้ ว่า อยากให้พรรคเพื่อไทย ย้อนกลับไปว่า นับตั้งแต่ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี ทำอะไรบ้าง

"อย่าว่าแต่แค่คำสั่งที่มิชอบที่ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ เคยทำเอาไว้เลย พล.อ.ประยุทธ์ มาล้างโครงการโคตรโกงที่รัฐบาล 2 พี่น้องเคยทำเอาไว้มากมาย และยังมีผลงานโปรเจคในรัฐบาลนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย  แต่ไม่เคยมีข่าวทุจริตเรื่องการเรียกเก็บสินบนใต้โต๊ะเหมือนในสมัยรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย เหมือนในอดีตยุคของทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ที่ปล่อยให้ เจ้ ด.เข้ามาสั่งการทุกเรื่อง"

“พล.อ.ประยุทธ์ต้องใช้ความสามารถหาเงินใช้หนี้แทนหลายโครงการ อาทิ โครงการจำนำข้าว ที่ต้องหาเงินมาช่วยชาวนาหลังจากเจ๊ ด. หอบเงินแสนล้านหนีไปสมทบพี่ชาย น้องสาวในต่างประเทศ ไปเสวยสุขกันที่นั่น ปล่อยให้ลิ่วล้อติดคุกติดตะราง กันจนทุกวันนี้ คนไทยไม่มีวันลืมได้ลง และเจ็บปวดหัวใจที่สุด"

นายสุภรณ์ ยังกล่าวอีกว่า "ยังไม่หมดเท่านี้ โครงการโคตรโกงที่ศาลตัดสินแล้ว คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากมายมหาศาล โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังจะมีหน้ามาพูดอีกว่า รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 7 ปีไม่มีผลงาน และไม่ได้ทำอะไร หัดใช้สมองไตร่ตรองดูหน่อย ถ้าทำดีไม่โกง จะหนีหัวซุกหัวซุนไปทำไม แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธิ์ ใครทำไม่ดีพระสยามเทวาธิราชจะลงโทษ จะไม่มีแผ่นดินอยู่ จะถูกคนไทยตราหน้าว่าทรราชย์ หากพรรคเพื่อไทยยังสนับสนุนทรราชย์ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นสมุนของทรราชย์ เช่นเดียวกัน"

“ถ้าคิดจะเอาการแก้ปัญหาโควิด-19 มาโจมตีพล.อ.ประยุทธ์ ขอบอกเลยว่าคิดผิด เพราะทั้งโลกเขายกย่อง องค์การอนามัยโลก ก็ยกย่องประเทศไทย ในการเอาชนะโควิด ฉะนั้นพรรคเพื่อไทย กรุณาตรวจสอบข่าวด้วยอย่าพูดพล่อยๆ พูดมั่วๆ “

 "โฆษกพรรคเพื่อไทย ยังอ่อนหัดพรรษาทางการเมือง จะพูดจาอะไรระวังเข้าตัว พรรคจะเสียหาย เอาสมองส่วนไหนมามาคิด หน้าก็ดูสวยดี แต่สมองกลับบูดเบี้ยวตรงกันข้ามกับใบหน้ามาก เอาอะไรมาพูด ประธานาธิบดีโจไบเดนเพิ่งเข้ามา 1 วันจะมีผลงานมากกว่าได้อย่างไร เป็นคำพูดเปรียบเปรยที่ทุเรศไร้สาระมาก ๆ ความคิดต่ำกว่าเด็กอนุบาลเสียอีก"

"พล.อ.ประยุทธ์ทำงานมา7ปี ไม่เคยมีประวัติด่างพร้อย เรื่องการโกง หรือทุจริตคอร์รัปชัน เหมือนกับคู่อดีตนายกฯสองพี่น้องของพรรคเพื่อไทย ที่เป็นผู้นำเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ จากเงินภาษีของพี่น้องประชาชนคนไทย จนร่ำรวย สุดท้ายหอบเงินหนีไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ต่างประเทศ เห็นแก่ตัวเอาเปรียบคนไทยที่สุด อย่างนี้เรียกว่า มีผลงานขี้โกงใช่ไหม ทำไมโฆษกสมองเด็กอนุบาลเช่นน.ส.อรุณี ไม่นำมาเปิดเผยให้ประชาชนทราบบ้าง" นายสุภรณ์ กล่าว

 

‘บิ๊กตู่’ ขอบคุณและเป็นกำลังให้ บุคลากรการแพทย์-ทุกภาคส่วน ที่เสียสละ ทุ่มเททำงานอย่างหนัก ร่วมยับยั้งการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณและเป็นกำลังให้คณะแพทย์ เจ้าหน้าที่ บุคลากรสาธารณสุข ฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ ตลอดจนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเกิดกรณีพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จำนวนมาก ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 19 ธ.ค.2563 ซึ่งหลายภาคส่วนได้เสียสละทำงานอย่างไม่มีวันหยุด เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้โดยเร็ว

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ขอเป็นกำลังใจทุกภาคส่วนได้ทำหน้าที่ต่อไป จนกว่าจะควบสถานการณ์ได้ทั้งหมดและการติดเชื้ออยู่ในเกณฑ์ต่ำ ซึ่งปัจจุบันสามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้วในหลายจังหวัด ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการทุ่มเททำงานอย่างหนักของทุกองคาพยพ และความร่วมมือของประชาชน โดยนายกรัฐมนตรี ยังฝากให้ทุกคนทำงานด้วยความระวัดระวัง อย่าประมาท เน้นความปลอดภัยทั้งตนเองและส่วนรวม รัฐบาลพร้อมสนับสนุนปัจจัยด้านต่างๆอย่างเต็มที่ เพื่อความปลอดภัยของประชาชน

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รัฐบาลยังต้องขอความร่วมมือประชาชน ช่วยกันลดความเสี่ยงการติดโควิด-19 ไม่ว่าจะเป็น การงดการเดินทางโดยไม่จำเป็น งดเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง งดการรวมกลุ่ม สวมใส่หน้ากากอนามัยเมื่อออกจากบ้าน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ำเสมอ ติดตั้งแอปพลิเคชันหมอชนะ ฯลฯ และขอบคุณประชาชนที่ให้ความมือเป็นอย่างดีเสมอมา โดยหลังจากนี้ จะมีการผ่อนปรนมาตรการต่างๆตามลำดับ แต่ต้องไม่ประมาท การ์ดไม่ตก

 

 

‘ธนกร’ มั่นใจ ‘บิ๊กตู่’ รับมืออภิปรายไม่ไว้วางใจได้สบาย ติงฝ่ายค้าน อาจไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เพราะประชาชนกำลังเดือดร้อนจากโควิด-19 เชื่อชาวบ้านสนใจให้รัฐช่วยแก้ปัญหาปากท้องมากกว่า พร้อมดักคออย่าฉายหนังม้วนเก่า

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการยื่นอภิปรายไม่วางใจของพรรคร่วมฝ่ายค้านนั้น รัฐบาลไม่ได้วิตกกังวลอะไร เพราะที่ผ่านมามั่นใจว่ารัฐบาลบริหารงานด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความตั้งใจที่จะทำงานให้กับประเทศด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีผลงานเป็นที่ประจักษ์มากมาย เป็นรูปธรรมชัดเจนประชาชนจับต้องได้

การที่พรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นอภิปรายในครั้งนี้ส่วนตัวมองว่าอาจจะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมนัก เนื่องจากขณะนี้ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤตโควิด ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในหลายๆ ด้าน รัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างเต็มที่เพื่อให้ประเทศผ่านวิกฤติในครั้งนี้

นายธนกร กล่าวอีกว่า การใช้เวทีสภาฯ ตรวจสอบรัฐบาลเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งตนเห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่จะเป็นเวลาที่เหมาะสมหรือไม่ประชาชนก็เฝ้ามองอยู่ เพราะเท่าที่ตนทราบการอภิปรายในครั้งนี้ไม่ได้มีข้อมูลใหม่อะไร เท่าที่โหมโรงมาก็เป็นเรื่องเก่า เกรงว่าประชาชนจะเบื่อหน่าย ยิ่งถ้าเอาเรื่องความล้มเหลวของการบริหารโควิด-19มาอภิปรายก็คงไม่ใช่ เพราะรัฐบาลบริหารจัดการได้ดีจนทั่วโลกชื่นชม

ส่วนการระบาดระลอกใหม่ พล.อ.ประยุทธ์ก็บริหารจัดการจนสถานการณ์ผ่อนคลายลงเรื่อย ๆ และประชาชนชื่นชมที่ไม่ได้ล็อกดาวน์ อย่างน้อยก็สามารถผ่อนคลายความเดือดร้อนไปได้บ้าง เศรษฐกิจก็ไม่ได้แย่มาก อย่างไรก็ตาม เห็นพรรคร่วมฝ่ายค้านจุดพลุว่าดุเดือดเลือดพล่าน แต่คงเหมือนฉายหนังเก่า ประชาชนเดาได้ว่าตอนจบไม่มีอะไรใหม่ ระวังพระเอกตายตอนจบ

ทั้งนี้ ตนมั่นใจว่าพล.อ.ประยุทธ์สามารถชี้แจงได้ทุกเรื่องเพราะรัฐบาลไม่ได้ทำอะไรผิด บริหารงานโดยใช้หลักธรรมาภิบาล จึงไม่กลัวการตรวจสอบ แต่ไม่อยากให้ฝ่ายค้านใช้วาทกรรมหรือข้อมูลเท็จโจมตีรัฐบาล เพราะประชาชนไม่ได้ประโยชน์ อยากให้อภิปรายอย่างสร้างสรรค์

‘เพื่อไทย’ อัดกลับ ‘แรมโบ้’ ชี้ ‘บิ๊กตู่’ คนเดียวก่อหนี้มากกว่า 28 นายกฯในอดีต ซัดเลิกโทษรัฐบาลอื่น กลบเกลื่อนผลงานไร้ประสิทธิภาพตลอด 7 ปีที่ผ่านมา  

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาพาดพิง รัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สร้างหนี้ให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาตามใช้ว่า ความจริงประเด็นที่ถกแถลงกัน คือ พล.อ.ประยุทธ์อยู่ 7 ปีไร้ประสิทธิภาพ สู้โจ ไบเดนที่ทำงาน 1 วันไม่ได้นั้นจริงหรือไม่ ก็เป็นสิทธิที่แต่ละฝ่ายจะให้ความเห็นที่แตกต่างกันกับประชาชนได้ แต่ไม่เห็นประโยชน์ที่เครือข่ายระบอบประยุทธ์ จ้องแต่จะโยนความไร้ประสิทธิภาพทั้งหมดใน 7 ปีของระบอบประยุทธ์ ว่า เป็นเพราะ 2 อดีตนายกฯ อยู่ร่ำไป พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะใช้งบประมาณแผ่นดินครบ 20,824,000 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2564 นับจากวันที่ยึดอำนาจและเข้าบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2557 และได้จัดทำงบประมาณแผ่นดินมา 7 ปี แต่น่าแปลกใจที่เงินจำนวนมหาศาลนั้นขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้น้อยมาก เพียง 3 ล้านล้านบาทเท่านั้น

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์คนเดียวก่อหนี้มากกว่า 28 นายกฯ และอาจต้องใช้เวลายาวนานถึง 70 ปี จึงชำระหนี้ที่รัฐบาลประยุทธ์ก่อไว้ในช่วง 7 ปีคืนได้หมด เวลา 7 ปีนานเกินกว่าที่พล.อ.ประยุทธ์ จะหันหลังกลับไปโทษรัฐบาลใดได้ เครือข่ายระบอบประยุทธ์จะอธิบายว่าไม่ไร้ประสิทธิภาพอย่างไร ก็สื่อสารกับประชาชนไป แต่การโยนความล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพทุกเรื่องว่าเป็นเพราะรัฐบาลเก่า ที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการบริหารราชการแผ่นดินมา 7 ปี ฟังไม่ได้ ถือเป็นการอธิบายเกินจากกรอบของเรื่องไปมาก

“นายสุภรณ์มักใช้วิธีด่านายเก่า เพื่อเอาใจนายใหม่ ให้ตัวเองได้ดิบได้ดี มีความมั่นคงในหน้าที่การงาน แต่ขอให้รับรู้ว่าเป็นพฤติกรรมที่คนไทยรับไม่ได้ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ใช้ผ้าขี้ริ้วสกปรกมาถูพื้น จะหวังให้พื้นสะอาดได้อย่างไร อย่าขจัดคราบสกปรก ด้วยสิ่งปฏิกูล มีข้อเท็จจริงอะไรก็สื่อสารกับประชาชนไป แต่การใช้คนต้นทุนติดลบมาอยู่ใกล้ตัว คอยแก้ต่างให้ มีแต่จะทำให้ตัวพล.อ.ประยุทธ์มอมแมมไปด้วย" นายอนุสรณ์ กล่าว

 

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (24 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 198 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 13,500 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 73 ราย รักษาหายเพิ่ม 119 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 10,567 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,860 ราย
ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 198 ราย เป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จาก เบลเยียม 1 ราย ,มาเลเซีย 1 ราย ,บาห์เรน 1 ราย, ฝรั่งเศส 2 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย
ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ คัดกรอง ณ ด่านฯ จากเมียนมา
ผู้ป่วยรายใหม่ จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการฯ จำนวน 118 ราย
ค้นหาผู้ติดเชื้อเชิงรุกในชุมชน 73 ราย
ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้
ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 175 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย
ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 458 ราย รักษาหายแล้ว 405 ราย  ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.77 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.91 แสน เสียชีวิต 27,664 ราย
ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต
ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.8 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.37 แสน ราย เสียชีวิต 667 ราย
ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.37 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.21 ราย เสียชีวิต 3,045 ราย
ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.12 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.68 แสน ราย เสียชีวิต 10,190 ราย
ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,260 ราย รักษาหายแล้ว 59,015 ราย เสียชีวิต 29 ราย
ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,548 ราย รักษาหายแล้ว1,411 ราย เสียชีวิต 35 ราย
 

ซูเปอร์โพล ชี้ ประชาชน 97% เห็นด้วย ‘พุทธิพงษ์’ แจ้งความเอาผิด ‘ธนาธร’ ม.112 ระบุเพื่อปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ พร้อมยับยั้งขบวนการสร้างข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบัน

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ นำเสนอผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112 กรณี ศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ โดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 1,807 ตัวอย่าง ดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 21 – 24 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา

เมื่อถามถึงความเห็นต่อ กรณีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แจ้งความดำเนินคดี นายธนาธรฯ และคนอื่นๆ ในขบวนการ ตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.4 เห็นด้วย ในขณะที่ร้อยละ 2.6 ไม่เห็นด้วย

นอกจากนี้ เมื่อสอบถามถึงการบังคับใช้กฎหมายตาม ม.112 เป็นเรื่องที่แต่ละคนต้องใช้สิทธิตามกฎหมายบ้านเมืองเพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชน ไม่ใช่เรื่องการเมือง พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 93.0 เห็นด้วยว่า เป็นเรื่องสิทธิของแต่ละคนตามกฎหมายบ้านเมืองเพื่อความสงบสุขของประเทศและประชาชนมากกว่า ไม่ใช่เรื่องการเมือง ในขณะที่เพียงร้อยละ 7.0 ไม่เห็นด้วย

ที่น่าสนใจคือ หลังจากที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ดำเนินการบังคับใช้กฎหมายตาม ม.112 พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.7 พอใจ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในขณะที่ร้อยละ 2.3 ไม่พอใจ นอกจากนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.4 สนับสนุนนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม จัดการกวาดให้เรียบ ขบวนการจาบจ้วง ล่วงละเมิดคุกคามในหลวงและทุกพระองค์ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่เพียงร้อยละ 1.6 ไม่สนับสนุน

ที่น่าเป็นห่วง คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 75.0 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ถึง มากที่สุดที่คนในชาติจะแตกแยกมากขึ้น ถ้าปล่อยให้มีการล่วงละเมิด จาบจ้วง คุกคามในหลวงและทุกพระองค์ ในสถาบันหลักของชาติ ในขณะที่ ร้อยละ 14.3 ระบุเป็นไปได้ปานกลาง และร้อยละ 10.7 ระบุเป็นไปได้ค่อนข้างน้อยถึงเป็นไปไม่ได้เลย

ผอ.ซูเปอร์โพล กล่าวว่า “กระทรวงดีอีเอส กับ ม.112” ในผลโพลครั้งนี้ ชี้ให้เห็นว่า กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.กระทรวงฯ กำลังทำตามความคาดหวังและการสนับสนุนของประชาชนในการออกมาปกป้องรักษาเสาหลักของชาติ เพื่อยับยั้งขบวนการที่ใช้ข้อมูลเท็จหวังทำลายสถาบันหลักของชาติหรือทำให้สั่นคลอนและสร้างความแตกแยกของคนในชาติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top