Thursday, 15 May 2025
PoliticsQUIZ

ดีแทค เข้าพบ กสทช. รายงานการให้บริการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งรอบเก็บตก ระบุ ระบบไอทีทำงานเต็มประสิทธิภาพ 100% ส่งOTP สำเร็จประมาณ 500,000 รายการ จากจำนวน 1.34 ล้านสิทธิ ในช่วงเวลา 9 นาที

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ระบบไอทีของดีแทคสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 100% เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในช่วงลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยมีอัตราเฉลี่ยในการส่ง OTP ให้ลูกค้าสำเร็จด้วยเวลาที่รวดเร็วและถูกต้องตามมาตรฐานของเรา”

ทั้งนี้ ดีแทคได้รายงานข้อมูลต่อ กสทช. ระบุว่าระบบของดีแทคสามารถส่ง OTP ประมาณ 500,000 รายการในการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งก่อนที่จะปิดให้ทำรายการในเวลาประมาณ 06.09 น. ตามที่โครงการแจ้งในเว็บไซต์ระบุสิทธิครบจำนวน โดยผู้ที่ลงทะเบียนจะได้รับการยืนยันสิทธิ์ตามขั้นตอนต่อไป สำหรับในครั้งนี้จะมีผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการคนละครึ่งจำนวน 1.34 ล้านสิทธิ

“ดีแทคได้เตรียมพร้อมล่วงหน้าอย่างเต็มที่ในการให้บริการ ซึ่งเป็นไปตามที่ กสทช ร้องขอ และที่สำคัญเราเตรียมพร้อเพื่อลูกค้าของเรา ดีแทคได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ในการทดสอบทั้งระบบไอทีและระบบโครงข่ายเพื่อรองรับโครงการคนละครึ่ง รวมถึงทดสอบความพร้อมเทคโนโลยีทั้งระบบกับพันธมิตรผู้ที่ให้บริการหลักที่เกี่ยวข้อง และจำลองการทดสอบในสถานการณ์จริงล่วงหน้าเพื่อความมั่นใจในการให้บริการอย่างเต็มที่” นายชารัด กล่าว

‘บิ๊กป้อม’ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จ่อถก กรรมการบริหารพรรค กำหนดท่าทีสู้ศึกสนามเลือกตั้ง ‘ผู้ว่าฯกทม.’ หลังถูกถามความชัดเจนหนุน ‘บิ๊กแป๊ะ’ สวมเสื้อลงชิงเก้าอี้หรือไม่ ชี้อาจยึดเกณฑ์เลือกตั้ง อบจ.ไม่ส่งลงแข่ง เลี่ยงขัดมาตรา 34

หลังจาก “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ประกาศชัดเตรียมตัวลงสู้ศึก เลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ที่คาดว่า จะมีขึ้นภายในปีนี้ อย่างเต็มตัว แต่สิ่งที่ยังไม่ชัดเจนก็คือ จะลงในนามอิสระ หรือ สังกัดพรรคการเมือง โดยตัวบิ๊กแป๊ะ มีความสัมพันธ์อันดีกับหลายพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ

ภายหลังมีความเคลื่อนไหวของบรรดาแคนดิเคตที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่า กทม.) ทั้ง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.คนปัจจุบัน , นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีตรมว.คมนาคม ที่ประกาศชัดเจนจะลงสมัครผู้ว่าฯกทม. ในนามอิสระ รวมถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีต ผบ.ตร.ที่ได้เปิดเพจเฟซบุ๊ก เปิดแฟนคลับติดตาม

ทั้งนี้ มีรายงานจากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ว่า พรรคพลังประชารัฐเริ่มมีความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยหลังเกิดกระแส พล.ต.อ.จักรทิพย์ บรรดาผู้สนับสนุนพรรคต่างสอบถามความชัดเจนถึงเรื่องนี้ไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค และแกนนำพรรค เพื่อเตรียมพร้อม

โดยแหล่งข่าวพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร เตรียมเรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) เร็วๆนี้ เพื่อหารือเรื่องดังกล่าว โดยมีแนวโน้มพรรคจะไม่ส่งใครสมัครลงสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในนามพรรค เช่นเดียวกับการเลือกตั้ง อบจ. เพื่อป้องกันเข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 34 แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ว่าด้วยการห้ามข้าราชการเมือง ส.ส. ส.ว.หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ช่วยผู้สมัครหาเสียง และจะมีมติพรรคออกมาเป็นทางการ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนต่อท่าทีของพรรค จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ จะลงในสมัครเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.แบบอิสระ


ที่มา : mgronline , เพจ FC ลุงป้อม ประวิตร

กทม. ปลดล็อก 13 กิจการ กลับมาเปิดให้บริการได้ มีผล 22 ม.ค. นี้ พร้อมยังสั่งปิด 13 กิจการต่อไป

ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร แถลง ผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กรุงเทพมหานคร(ศบค.กทม.) ว่า มติที่ประชุมศบค.กทม.มติมติ ผ่อนปรน 13 สถานที่ให้เปิดกิจการและสถานที่ ตามที่สั่งปิดไปก่อนหน้านี้จากสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้

1.) ตู้เกม โดยต้องทำความสะอาดจุดสัมผัสบ่อย ต้องสวมหน้ากาก

2.) ร้านเกม อินเทอร์เน็ต

3.) สถานดูแลผู้สูงอายุ ให้ลดเวลาทำกิจกรรม

4.) สนามแข่งขันทุกประเภท ยกเว้น สนามมวย สนามม้า แต่ทั้งนี้ห้ามมีผู้ชม

5.) ห้องจัดเลี้ยง สถานที่จัดเลี้ยง ไม่เกิน 300 จัดได้โดยไม่ต้องมีมาตรการ หากเกิน 300 ต้องยื่นขออนุญาตสำนักอนามัย กทม.

6.) สนามพระเครื่อง

7.) สถานเสริมความงาม สถานที่สัก เจาะผิวหนัง

8.) ฟิตเนส ไม่ให้มีเทรนเนอร์ ยกเว้นกิจกรรมอบไอน้ำ อบตัวแบบรวม

9.) สปา ร้านนวดแผนไทย ฝ่าเท้า ไม่รวมอาบ อบ นวด

10.) สถานที่ฝึกซ้อมมวย ค่ายมวย โรงยิม เปิดได้เฉพาะฝึกซ้อม

11.) โบว์ลิ่ง สเก็ต ห้ามมีผู้ชม ห้ามแข่ง

12.) สถาบันสอนลีลาศ

และ 13.) โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ แต่ห้ามมีแข่งขันและห้ามผู้ชม

ขณะที่สถานที่และกิจกรรมที่ยังต้องปิดยังไม่สามารถเปิดได้

คือ 1.) สถานบันเทิง

2.) สนามเด็กเล่น

3.) เครื่องเล่น

4.)สนามมวย

5.) โต๊ะสนุ๊ก

6.) สนามม้า

7.) สนามชนไก่

8.) สนามปลากัด

9.) สนามชนโค

10.) สถานรับเลี้ยงเด็ก

11.) สถานประกอบกิจการอาบน้ำ อาบ อบ นวด

12.) สถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก

13.) สวนสนุก

14.) สถาบันกวดวิชา

รองโฆษกรัฐบาล ประกาศแล้ว โครงการเราชนะ เริ่มลงทะเบียน 29 ม.ค. นี้ ใช้ซื้ออาหาร สินค้า และจ่ายค่าแท็กซี่ รถตู้ มอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ ตั้งแต่ 18 ก.พ. – 31 พ.ค. 64

รองโฆษกรัฐบาล ประกาศแล้ว โครงการเราชนะ เริ่มลงทะเบียน 29 ม.ค. นี้ ใช้ซื้ออาหาร สินค้า และจ่ายค่าแท็กซี่ รถตู้ มอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ ตั้งแต่ 18 ก.พ.–31 พ.ค.64

รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวประกาศเกี่ยวกับโครงการเราชนะ มีข้อความว่า

โครงการเราชนะ เริ่มลงทะเบียน 29 ม.ค.นี้

ใช้ซื้ออาหาร สินค้า และจ่ายค่าแท็กซี่ รถตู้ มอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ ตั้งแต่ 18 ก.พ.–31 พ.ค.64

ส่วนร้านค้า แท็กซี่ รถตู้ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่สนใจร่วมโครงการ ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 29 ม.ค. - 31 มี.ค.64 ทางเว็บไซต์เราชนะ

สอบถามเพิ่มเติม

ธนาคารกรุงไทย โทร.021111114


ที่มา: เฟซบุ๊ก รัชดา ธนาดิเรก -รองโฆษกรัฐบาล

‘ธนาธร’ ยันเป็นบทบาทตรวจสอบการทำงานรัฐบาล ชี้ชำแหละการเอื้อประโยชน์เอกชนไม่ใช่เพิ่งเริ่มทำ อัด ‘ประยุทธ์’ หยุดบิดเบือนความผิดพลาดด้วยการอ้างสถาบันกษัตริย์ มากลบเกลื่อนความไม่มีประสิทธิภาพของตนเอง

อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แถลงข่าวกรณีรัฐบาลแจ้งความดำเนินคดีตนเองจากการไลฟ์ในข้อกล่าวหาทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 โดยระบุว่า

เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าใจผิด ขอยืนยันว่าเราสนับสนุนให้รัฐบาลมีการเจรจาเรื่องวัคซีนกับบริษัทต่างๆ เพื่อให้ประชาชนได้มีใช้อย่างครอบคลุมและรวดเร็วที่สุด เราให้กำลังใจเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงทุกคนที่ทำหน้าที่นี้ ซึ่งเราเองก็เคยนำเสนอให้แนวทางไปแล้ว อดีตเพื่อนร่วมงานของตนคือ ส.ส.พรรคก้าวไกล ก็มีการนำเสนอเรื่องการจัดหาวัคซีนตั้งแต่ครั้ง พ.ร.ก. เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท เข้าสภาเมื่อต้นปีที่แล้ว

นายธนาธร กล่าวว่า เราให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทุกคน แต่ประเด็นที่ทำให้ต้องออกมาแถลงข่าว คือข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า 1. ประเทศไทยตอนนี้จัดหาวัคซีนที่มีความชัดเจนแล้วเพียง 21.5 เปอร์เซ็นต์ของประชากร โดยมาจากแอสตราเซเนกา 26 ล้านโดส จากซิโนแวค 2 ล้านโดส ซึ่งแน่นอนว่ามีความพยายามขอซื้อจากแอสตราเซเนกาเพิ่มเติม โดยมีมติ ครม. ออกมาแล้วแต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง

2.ประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มฉีดวัคซีน ขณะที่ประเทศอื่นๆ เริ่มไปแล้ว ซึ่งเร็วที่สุดคือประเทศอิสราเอล รองลงมาคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และ 3. หลายประเทศทั่วโลกมีกลยุทธ์การจัดหาวัคซีนคือซื้อจากหลากหลายๆ บริษัท ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องสำคัญมากเพราะเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ เกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ

เพราะลองคิดดูว่าถ้าประเทศไทยจัดซื้อจัดหาวัคซีนได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน จัดหาได้น้อยกว่า รวมถึงฉีดวัคซีนได้ช้ากว่าจะเกิดอะไรกับเศรษฐกิจ เพราะวัคซีนเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จะทำให้เราจะหลุดพ้นจากเศรษฐกิจที่ชะงักงันที่เกิดจากโควิดได้ แต่ทว่าตอนนี้ เรายังอยู่ในอุโมงค์กันอยู่ ตราบใดที่ไม่มีวัคซีนฉีดมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมได้ เราก็ยังคงมืดมิด เราก็ยังคงอยู่ในอุโมงค์

"วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีหลายประเทศจัดหาวัคซีนได้มากกว่าจำนวนประชากร โดยบางประเทศได้ถึง 200-300 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร ขณะที่ประเทศไทยเราแค่ 21.5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ซึ่งความเสียหายคือ ถ้าประเทศไหนสร้างภูมิคุ้มกันเสร็จก่อนก็มีโอกาสฟื้นตัว ฟื้นฟูประเทศได้เร็ว ก็จะทำให้นักท่องเที่ยวกลับมา ทำให้การเจรจากับต่างประเทศ การนำเข้าส่งออกกลับมา ประชาชนใช้ชีวิตเป็นปกติเร็วกว่าคนอื่น แต่ถ้าช้ากว่านี้สัก 6 เดือน ประชาชนต้องทนกันต่อไป และก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าอาจเกิดการระบาดรอบ 3 รอบ 4 รอบ 5 ได้ เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ ซึ่งประชาชนก็คงต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวต่อไป และนี่คือเหตุผลที่เราต้องออกมาบอกรัฐบาล ออกมาพูดกับประชาชนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น" นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวว่า วันนี้ เรามีดีลวัคซีนที่ทำกับ บริษัท แอสตราเซเนกา อย่างเป็นทางการขนาดใหญ่ดีลเดียวเท่านั้น และที่สำคัญคือมีบริษัทเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทเอกชนก็ย่อมเป็นองค์กรที่แสวงหากำไร สมมติว่าเราลองปิดชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ออกไป บริษัทนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมหาศาล จากเดิมที 600 ล้าน แล้วเป็น 1,400 ล้านบาท แล้วประชาชนจะไม่ควรตรวจสอบเลยหรือ ว่าดีลที่เกิดขึ้นนั้นมีความถูกต้อง ว่าดีลนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะเงินสนับสนุนนี้มาจากภาษีประชาชนคนไทยทุกคน

สำหรับ 3 ดีลใหญ่ๆ ที่เหมือนจะเป็นก้อนเดียวกันนั่นคือ 1.ระหว่าง บริษัท แอสตราเซเนกา กับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ 2.ระหว่าง บริษัท แอสตราเซเนกา กับ รัฐบาล และ 3. ระหว่างรัฐบาล กับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ซึ่งนี่คือ 3 ก้อนใหญ่ๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระต่อกัน แต่คือดีลเดียวกันที่มีการพูดคุยเจรจาร่วมกัน มีความเกี่ยวโยงกัน และที่สำคัญคือวัคซีนที่เรากำลังพูดถึงนี้มาจากภาษีประชาชน

"ยืนยันว่าเราทำงานตรวจสอบการใช้เงินที่มาจากภาษีประชาชนกับทุกบริษัทเอกชน บทบาทของผมเอง ของพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงอดีตเพื่อนร่วมงาน คือ ส.ส.พรรคก้าวไกล เราทำเรื่องนี้ เราพูดเรื่องการเอื้อประโยชน์บริษัทเอกชนที่ชัดเจนมาก ผมพูดเรื่องการที่รัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้กับ บริษัท คิงพาวเวอร์ ไม่รู้กี่ครั้ง หรือกรณีรถไฟฟ้าสายสีทองที่เอื้อให้กับเอกชนรายหนึ่ง ส.ส.พรรคก้าวไกล ก็เคยอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร การที่เราตรวจสอบการใช้ภาษีประชาชนไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งทำ เราทำมาตลอด และกรณีนี้ เรามีความเชื่อว่า 3 สัญญาก้อนใหญ่ๆ ที่ได้พูดไปนั้น ไม่ได้เจรจาอย่างเป็นเอกเทศ เพราะเอกสารที่เรามีชี้ไปทางนั้นว่าไม่มีการคัดเลือก ไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องตั้งคำถาม" นายธนาธร กล่าว

นายธนาธร กล่าวด้วยว่า ที่สำคัญสุดคือ เมื่อเราตั้งคำถามกับการที่ประเทศไทยได้รับวัคซีนครอบคลุมประชากรน้อย ฉีดได้ช้า และรัฐบาลมีการเอื้อประโยชน์เอกชนรายใดรายหนึ่งเฉพาะหรือไม่ สิ่งที่ตนได้รับก็คือการถูกรัฐบาลฟ้องเอาผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผิด ป.อาญา ม.112 ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอด

เพราะถ้าย้อนไปดู จะพบว่าคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พยายามบิดเบือนประเด็นทุกครั้งเมื่อมีคนวิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาด โดยยกเอาสถาบันกษัตริย์มากลบเกลื่อนความไม่มีประสิทธิภาพของตนเองมาโดยตลอด อ้างความจงรักภักดี อ้างว่าตนเองปกป้องสถาบัน และเพราะเหตุนี้หรือไม่ คุณจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม จึงทำให้มีคนออกมาตั้งคำถามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในกรณีนี้ก็ชัดเจนว่าคนที่ดึงสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดหาวัคซีนไม่ใช่ตน แต่เป็นคุณประยุทธ์นั่นเอง

ตอนหนึ่งนายธนาธรได้เปิดคลิปการแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่เป็นประธานการเซ็นจองวัคซีนโควิด โดยท่อนหนึ่งกล่าวว่า ในหลวงพระราชทาน บริษัทในพระปรมาภิไธยผลิตแจกจ่าย จากนั้น นายธนาธร กล่าวต่อว่า คลิปดังกล่าวเป็นการแถลงข่าวเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งคำถามคือ การที่ตนเองตั้งคำถามต่อการใช้งบประมาณของรัฐบาล แต่กลับถูกยัดเยียดคดีนั้นเป็นธรรมหรือไม่ ใครที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจะถูกใช้คดีปิดปากเรื่อย ๆ อย่างนี้หรือไม่

เราในฐานะคนไทยซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียกับประเทศนี้ ต้องหาทางออกร่วมกัน ว่าตกลงการวิพากษ์วิจารณ์คุณประยุทธ์ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เป็นการไม่จงรักภักดี คือการเป็นศัตรูกับสถาบันหรืออย่างไร ตนคิดว่าสังคมไทยทั้งสังคมต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้ ทั้งนี้ นายธนาธรยืนยันด้วยว่า การใช้คำว่าพระราชทานนั้นตนเองไม่ได้เป็นคนเริ่ม หากแต่มีคนใช้คำนี้ก่อน ซึ่งสื่อมวลชนสามารถไปย้อนค้นดูได้ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นเรื่องเอกชนไปก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร

รมว.แรงงาน ส่งผู้ช่วยฯ ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี ตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการพื้นที่เสี่ยง บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาเชื้อโควิด -19 เข้าสู่กระบวนการรักษาตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดชลบุรี เพื่อดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการ แก่ลูกจ้างผู้ประกันตน ม.33 ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังแหล่งชุมชน หรือสถานที่ทำงาน หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ รวมไปถึงร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านบริการต่างๆ

อีกทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขในการติดตาม สอบสวนโรค ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ธุรกิจการท่องเที่ยว และการโรงแรม รวมถึงประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาพื้นที่ในจังหวัดชลบุรีได้อย่างปลอดภัยและปราศจากการติดเชื้อโควิด-19 เพราะมีมาตรการตรวจคัดกรองโควิด-19 ในทุกมิติ

ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่มได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง จึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานบูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำงานเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวให้มีการจำกัดอยู่ในพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสุขภาวะของประชาชนทั่วประเทศ

ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงแรงงานทุกคน จึงได้มอบหมายให้ผมลงพื้นที่ชลบุรีเพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ด่านคัดกรองโควิด – 19 ที่เสียสละเวลาในการปฏิบัติงานดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน พร้อมมอบสิ่งของอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์สนับสนุนกิจกรรมป้องกันโควิด – 19 ซึ่งท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ครั้งที่ผ่านมา โดยตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ พบว่า ทุกหน่วยงานมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี

การตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในวันนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบกิจการ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอเมือง ทั้งนี้ เป็นการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี และโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม อาทิเช่น โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลวิภาราม ในการเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกให้แก่ผู้ประกันตน ม. 33 ประมาณ 800 คน

จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในอากาศเกินมาตรฐานตั้งแต่ปลายปี 2563 จนถึงตอนนี้นับวันทวีความรุนแรงต่อสุขภาพของคนกรุงมากขึ้นเรื่อย ๆ

จนกลายเป็นปัญหาระดับประเทศ หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ยังคงหามาตรการในการลดปริมาณฝุ่น

เช่นเดียวกับแนวคิดที่น่าสนใจในการสร้างนวัตกรรมสีเขียวเพื่อต่อกรกับวายร้าย PM 2.5 คือ Project sky garden โครงการที่ริเริ่มโดยคนไทย คุณณภัทร ศรีกายกุลจากบริษัทเอิร์ธ คราฟต์ ทีเอช ได้ไอเดียมาจากประเทศเยอรมนี ที่ใช้มอสติดตั้งกับพัดลม ทำให้อากาศไหลเวียนและทำให้ฝุ่นลดน้อยลง

และนี่เองจึงจุดประกายให้เกิดการร่วมกันสร้างเครื่องมือดักจับฝุ่นหรือ "ไบโอฟิลเตอร์" โดยมีพระเอกคือ "มอส" ที่สามารถดักจับฝุ่นได้

ทำไม "มอส" พืชจิ๋วแต่ประโยชน์แจ๋วดักจบฝุ่นได้

เนื่องจาก "มอส" จะสร้างสารเคลือบผิวขึ้นมากักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น ตัวสารเคลือบผิวนี้เองที่จะเป็นเหมือนกาวดักจับฝุ่นร้ายในอากาศแล้วย่อยสลายมันให้กลายเป็นปุ๋ย ทีมวิจัยจึงนำมอสมาทดลองในห้องปิดพร้อมติดตั้งระบบลม แล้วปล่อยควันและมลพิษต่าง ๆ เข้าไป พบว่า มอสทำให้ปริมาณฝุ่นค่อย ๆ ลดน้อยลงจนกระทั่งหมดไปในที่สุด

นอกจากแนวคิดนี้จะช่วยกำจัดฝุ่นร้ายให้หมดไปได้แล้ว หากแนวคิดนี้มีการพัฒนาให้มอสสามารถเติบโตในไทยได้ ที่ไม่เพียงฟอกอากาศให้สะอาด แต่ยังสร้างอาชีพให้กับคนไทยให้มีรายได้ด้วยเช่นกัน


ที่มา: เพจ PTT News / สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

‘พิธา’ สับละเอียด รายงาน พ.ร.ก. เงินกู้โควิด ชี้ เป็น 11 หน้า ที่ยืนยันความไร้สามารถของรัฐบาลในการแก้ ‘วิกฤติเศรษฐกิจ’

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปราย “รายงานผลการใช้งบ พ.ร.ก. เงินกู้โควิด” ที่จัดทำโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง โดยระบุว่า รายงานฉบับนี้มีอยู่สั้นๆ 11 หน้า แต่เป็น 11 หน้าที่ยืนยันถึงความไร้สามารถของรัฐบาลในการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19

“ในสถานการณ์เช่นนี้สำหรับประชาชนคนทำมาหากินเวลา 1 นาที 1 วินาทีมีค่ามหาศาล การทำงานที่รวดเร็วของรัฐบาลจะช่วยต่อลมหายใจให้ประชาชนยังพอมีแรงสู้ต่อได้ แต่ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่า ขณะนี้ประเทศของเรากำลังเจอวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะถ้าดูในเชิงมหภาค ในปีที่ผ่านมา GDP ของเราติดลบ 8% หรือติดลบ 1.3 ล้านล้านบาท แต่รัฐบาลอนุมัติเงินเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจแค่ 5 แสนล้านบาท และในรายงานเล่มนี้บอกว่ามีการเบิกจ่ายจริงแค่เพียง 3 แสนล้านบาท หรือแค่ 37% ของวงเงินกู้ตาม พ.ร.ก. ดังนั้น การอนุมัติเงินน้อยจึงแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ทำงานเชิงรุกเพื่อพยุงเศรษฐกิจ และการเบิกจ่ายล่าช้าก็แสดงให้เห็นถึงการแก้วิกฤติแบบเช้าชามเย็นชาม”

พิธา ยังได้ยกตัวอย่างจาก โครงการเพื่อช่วยเหลือ เยียวยา และชดเชย ให้แก่ประชาชน ซึ่งได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดต่อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของกระทรวงการคลัง หรือโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” ที่ให้ประชาชนลงทะเบียนเพื่อรับเงิน 5,000 บาท เป็นเวลาสามเดือน ซึ่งในรายงานระบุว่า ปัญหาและอุปสรรคของโครงการคือ การที่ไม่สามารถโอนเงินให้ผู้มีสิทธิได้ 1 แสนคน โดยสาเหตุที่ยกมาเป็นเรื่องทางเทคนิคทั้งหมด แม้ว่าต่อมาจะได้แก้ปัญหาจนสามารถโอนเงินให้เกือบครบทุกคนแล้ว แต่รัฐบาลก็จงใจเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริง

“ผมเคยอภิปรายในสภาแห่งนี้ว่า ผมได้เจอแม่ค้าสองคนอาชีพเดียวกันนั่งขายของแผงข้างๆ กัน คนหนึ่งได้สิทธิอีกคนหนึ่งไม่ได้ ท่านจำได้ไหมว่ามีคนไปกินยาฆ่าตัวตายหน้ากระทรวงการคลัง ท่านจำได้ไหมว่ามีคนฆ่าตัวตายเพราะไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกกิน นี่คือปัญหาแต่รายงานฉบับนี้ไม่ได้พูดถึงว่ามันเกิดจากอะไร ถึงตอนนี้ รัฐบาลก็ยังทำผิดซ้ำซาก ทั้งที่มีเวลาเตรียมตัวหลายเดือน อย่างโครงการล่าสุด “เราชนะ” ที่จะแจกเงินที่ให้ประชาชน 3,500 บาท จำนวน 31 ล้านคน เป็นเวลา 2 เดือน ก็ยังคงใช้วิธีเปิดให้ประชาชนลงทะเบียน

ทั้งที่รัฐบาลสามารถโอนเงินให้ประชาชนได้โดยตรง เพราะเมื่อปีที่แล้วรัฐบาลก็เพิ่งโอนเงินให้ประชาชนมากกว่า 25 ล้านคนในโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” และรัฐบาลเองก็มีข้อมูลประชาชนจากบัตรคนจน และจาก App “เป๋าตังค์” อีกกว่า 14 ล้านคน แต่ดูเหมือนรัฐบาลก็ไม่เคยเรียนรู้จากความผิดพลาด ยังทำตัวเป็นคุณพ่อรู้ดี บังคับให้ประชาชนใช้เงินผ่าน App เป๋าตังค์เท่านั้น ไม่ยอมให้เบิกเป็นเงินสด เพราะกลัวว่า ประชาชนจะไปใช้จ่ายสิ่งฟุ่มเฟือย”

พิธา ยังแนะนำว่า รัฐบาลต้องลงมาจากหอคอยงาช้างเพื่อมาฟังเสียงของพี่น้องประชาชนให้มากขึ้น ต้องรู้ว่ามีประชาชนหลายคนที่เขาไม่มีสมาร์ทโฟนใช้ มีประชาชนหลายคนที่เขาไม่มีเงินเติมอินเทอร์เน็ต ถ้าเป็นเช่นนี้รัฐบาลกำลังทอดทิ้งประชาชนกลุ่มนี้อยู่ เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากให้เกิดโศกนาฏกรรมอีกครั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากน้ำมือของรัฐ

สำหรับข้อเสนอ พิธา ระบุว่า ยังคงมีประชาชนกำลังเดือดร้อนแสนสาหัส ขณะที่เรายังเหลือเงินกู้อีกประมาณ 6 แสนล้านบาท ถ้ารัฐบาลยังคิดไม่ออกว่าจะใช้อย่างไร ตนมีข้อเสนอ 3 ข้อ คือ

1.) เงิน 3,500 บาท ที่รัฐบาลจะให้เกือบถ้วนหน้าอยู่แล้ว ให้มีมาตรการ On-top ลงไปตามระดับความรุนแรงของคำสั่งพื้นที่ควบคุม โซนสีแดงเข้มให้เพิ่มเงินเข้าไปอีก 1,500 บาท โซนสีแดงให้เพิ่มเงินเข้าไปอีก 1,000 บาท โซนสีส้มให้เพิ่มเงินเข้าไปอีก 500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ทั้งหมดนี้จะใช้งบประมาณ 6 หมื่นล้านบาท

2.) สำหรับแรงงานที่อยู่ในประกันสังคม ให้รัฐบาลเข้ามาช่วยพยุงการจ้างงาน 75% ของรายได้ อยู่ที่ 7,500 บาท ในกรณีที่นายจ้างยอดขายตกมากกว่า 30% ในช่วงที่มีการควบคุมพื้นที่ แม้จะไม่มีคำสั่งปิดธุรกิจนั้นก็ตาม มาตรการนี้ถ้าทำใน 5 จังหวัดแดงเข้ม และกรุงเทพฯ 2 เดือน จะใช้เงินไม่เกิน 2-3 หมื่นล้านบาท

3.) เพิ่มเงินประกันสังคมของธุรกิจที่ถูกสั่งปิดจาก 50% เป็น 75% ให้เท่ากับในมาตรา 75 ของการจ่ายเงินให้ลูกจ้างที่ธุรกิจปิดชั่วคราว

“ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลมาชี้แจงกับสภาแห่งนี้บ่อยครั้งว่า การคลังของรัฐบาลยังเข้มแข็ง ผมก็อยากจะเชื่อท่านเช่นนั้น

แต่รัฐบาลต้องกล้าใช้เงิน ใช้อย่างตรงจุด ช่วยประชาชนในเชิงรุก ประเทศของเราจึงจะรอดพ้นจากวิกฤติครั้งนี้ไปได้ ต้องเลิกคิดนโยบายบนหอคอยงาช้าง เลิกมองความเดือดร้อนของประชาชนว่าเป็นปัญหาส่วนบุคคล และต้องสะกดคำว่าทุกข์ร้อนของพี่น้องประชาชนให้เป็น และหันมาดูว่าชีวิตความเป็นอยู่ ปัญหาของพี่น้องประชาชนจริงๆเกิดจากอะไร และจะเยียวยาและแก้ไขความเดือดร้อนเขาได้อย่างไร” พิธา กล่าว

‘เฉลิม’ ยืนยันเพื่อไทยไม่มีพรรคนอมินี พร้อมเดินหน้าระดมบุคลากรเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งทั้งสนามเล็ก-สนามใหญ่

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีนโยบายส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเต็มพื้นที่ของประเทศ ด้วยความตั้งใจจะบริหารประเทศแบบพรรคเดียวหากเป็นไปได้ ขอยืนยันว่า พรรคไม่มีนอมินี ไม่มีพรรคเล็กพรรคน้อย ไม่มีการเอาแบงก์ร้อยไปแลกแบงก์พัน มีแต่เพื่อไทยพรรคเดียวเท่านั้น นี่คือนโยบายหลักและเป็นความจริง ซึ่งฝันของพรรคเพื่อไทยจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้ พรรคเพื่อไทยมีการปรับปรุงแบ่งโซนพื้นที่ กทม. ใหม่ เป็น 6 โซน มีการระดมบุคลากรทางการเมืองเข้ามาช่วยกันมากขึ้น ถึงเวลาแล้วที่ต้องเปลี่ยนแปลง คนๆ เดียวอาจดูแลไม่ทั่วถึง เพราะพื้นที่ กทม. กว้างใหญ่ เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเลือกตั้งทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่

ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทางพรรคอยู่ในช่วงดำเนินการ และยังไม่ได้ข้อยุติว่าจะส่งหรือไม่ส่ง ส่วนสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ ส.ก. พรรคจะส่งลงทุกเขต ใครที่เคยอยู่ ก็มาแจ้งความจำนงขอลงต่อ ใครที่ไม่กลับมา เราจะหาคนใหม่แทน ไม่มีปัญหา เพราะพรรคมีนโยบายชัดเจน โดยยึดหลักให้สิทธิคนเก่าก่อน เว้นแต่คนเก่าไม่กลับมา นั่นคือสิทธิของแต่ละคน ซึ่งวันนี้ไม่ว่ารัฐบาลจะยุบสภาหรือไม่ก็ตาม แต่พรรคเพื่อไทยเราพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งทั้ง 350 เขต ทั่วประเทศ

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า กรณีที่มีคนลาออกจากพรรคไปแล้วมาร่วมทำกิจกรรมกับคนในพรรค ถ้าไม่ผิดกฎระเบียบข้อบังคับ พรรคก็ไม่ตำหนิ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยมารยาททางการเมือง เมื่อออกไปแล้ว ต้องไม่มายุ่งกับคนในพรรค ถ้าทำแบบนี้ เรียกว่า ‘ไม่สง่างาม’ สุดท้าย คนๆ นั้นเท่ากับว่ากินยาผิดซอง คนรักกันชอบกัน มาเจอกัน เราไม่ว่า แต่ถึงที่สุดแล้ว ต้องชัดเจน สมาชิกคนไหนไม่ชัดเจน ทางพรรคไม่บังคับ ถ้าชัดเจนเมื่อไหร่ค่อยกลับมาอยู่ด้วยกัน ยืนยันว่าไม่มีความคิดแตกแบงก์ร้อยแบงก์พัน เพราะเรามีแบงก์เดียว คือ พรรคเพื่อไทย

ด่วน! ประธานสภาผู้แทนราษฎร "ชวน หลีกภัย" ยื่นคำร้อง ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง "สิระ เจนจาคะ" หยุดปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งให้วินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติเป็น ส.ส. ตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน ยื่นคำร้องมาหรือไม่

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือแจ้งต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะ ประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า ขณะนี้ได้มีการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หยุดปฏิบัติหน้าที่

รวมทั้งให้วินิจฉัยว่า นายสิระนั้น ได้ขาดคุณสมบัติ การเป็น ส.ส. ตามที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และ สมาชิกสภาผู้แทนราาฎร ในปีกฝ่ายค้านกว่าร้อยคน ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา หรือไม่ อีกด้วย

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top