Friday, 26 April 2024
PoliticsQUIZ

‘จุรินทร์’ ฟุ้งปชป.กระแสดีกว่า 2 ปีที่แล้ว ดึงดูดคนแห่มาขอลงสมัครส.ส. ยันผู้สมัครที่เปิดตัวแล้วไม่ใช่หวยล็อก ต้องส่งคกก.สรรหาชี้ขาดควบคู่ก.ม.ใหม่ อ้างเรื่องขัดแย้งมีทุกพรรค  ไม่ปฏิเสธ “ดร.เอ้” สวมเสื้อปชป.ชิงผู้ว่าฯกทม.

ที่ทำเนียบรัฐบาล  นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  ให้สัมภาษณ์ถึงความมั่นใจกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์มีกระแสความนิยมดีขึ้น ว่า  เราดูจากการลงพื้นที่และการทำงาน เมื่อเทียบกับเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น มีเสียงตอบรับในทางที่ดีขึ้น  มีผู้สนใจลงสมัครส.ส.ในนามพรรคฯ มากขึ้น และชักชวนคนให้มาลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ในนามพรรคฯได้ง่ายขึ้น โดยในพื้นที่กรุงเทพฯ เรามีผู้สมัครเกือบครบแล้ว และในภาคใต้มีการแย่งกันลงสมัครหลายคน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ความผิดของใคร ส่วนภาคอีสานมีคนรุ่นใหม่และอดีตส.ส.ที่ศักยภาพสนใจเดินเข้ามาในพรรคหลาย และเราได้ทยอยเปิดตัว ทั้งนี้พรรคยินดีต้อนรับทุกคนที่สนใจและพรรคให้เกียรติทุกคน แต่ถ้ามีหลายคน พรรคก็ต้องใช้เกณฑ์กติกาในการพิจารณา ซึ่งสุดท้ายขึ้นอยู่กับมติพรรค  ทั้งนี้ เราเจอมาหลายยุคหลายสมัยที่เวลาพรรคมีกระแสที่ดีขึ้นมากๆ คนจะมาสนใจมากเป็นเงาตามตัว

 เมื่อถามจากการที่พรรคมีกระแสที่ดีขึ้นนั้น คาดว่าจะได้ส.ส.มากขึ้นแค่ไหน  นายจุรินทร์ กล่าวว่า  ไม่คาด แต่เอาเป็นว่าเรามั่นใจว่าเราดีขึ้นกว่า 2 ปีที่ผ่านมา  เพราะผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ทำให้พรรคกลับมาตั้งหลักใหม่ในการกำหนดทิศทางเดิม แต่เมื่อมาถึงวันนี้ ตนมั่นใจว่าหลายอย่างเสถียรขึ้น และมีความชัดเจนมากขึ้น คือเน้นการทำงาน และลดการให้ความเห็นทางการเมือง   

ต่อข้อถามว่าขณะเดียวกันคิดว่าจะกรณีเลือดไหลออกจากพรรคอีกหรือไม่  นายจุรินทร์ กล่าวว่า  ขออนุญาตไม่ตอบคำถามนี้ เป็นสภาวะทางการเมืองที่ทุกพรรคต้องมีทั้งนั้น สามารถย้อนดูทุกพรรคได้ที่มีทั้งคนเข้าและคนออก แต่ละพรรคก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันไป  ขณะที่คนเดินเข้ามาก็มีอีกเหตุผลหนึ่ง เป็นเรื่องธรรมดา  เมื่อถามอีกว่าได้มีการทำความเข้าใจในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งในการวางตัวผู้สมัครแล้ว หรือไม่  นายจุรินทร์ กล่าวว่า  ไม่มีอะไรแล้ว และทุกคนเข้าใจกระบวนการ และเราผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก  

ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีที่นายจุรินทร์ได้เปิดตัวว่าที่ผู้สมัครส.ส.ในหลายเขตแล้ว จะต้องนำรายชื่อคนเหล่านี้ไปเข้าสู่การพิจารณาในคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคฯ ที่มีนายชำนิ ศักดิ์เศรษฐ์ เป็นประธาน อีกหรือไม่  นายจุรินทร์ กล่าวว่า  ตรงนั้นขึ้นอยู่กับกฎหมายพรรคการเมืองและกฎหมายการเลือกตั้งฉบับใหม่ว่าจะกำหนดขั้นตอนและกติกาอย่างไร รวมถึงข้อบังคับพรรคว่าอย่างไร แล้วนำมาผสมกัน ขณะที่ทุกคนมีหน้าที่ปฏิบัติไปตามนั้น  

เมื่อถามว่าแสดงว่ารายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เหล่านั้นยังไม่ได้เป็นผลสรุปทางการใช่หรือไม่  นายจุรินทร์ กล่าวว่า  ต้องนำมาเข้าสู่กระบวนการตามกฎหมายและข้อบังคับพรรค  ส่วนจะต้องทำไพรมารีโหวตก่อนหรือไม่ ยังตอบไม่ได้ เพราะต้องดูกฎหมายใหม่ว่าจะยังให้มีไพรมารีโหวตอีกหรือไม่  ถ้ามีก็ต้องทำตามนั้น แต่ถ้าไม่มี พรรคก็มีแนวทางปฏิบัติอีกอย่าง แต่ต้องทำตามกฎหมาย  

เมื่อถามว่ามีสมาชิกพรรคหลายคนสงสัยว่าตอนนี้เป็นเวลาที่ควรทำไพรมารีโหวตแล้วหรือไม่ เพราะมีการเปิดตัวผู้สมัครก่อนทำตามขั้นตอนดังกล่าว และมีบางอดีตส.ส.ที่เป็นเจ้าของพื้นที่ ไม่ทราบเรื่องหรือไม่ได้เข้าร่วมกระบวนการคัดคน จนเกิดความไม่พอใจ  นายจุรินทร์ กล่าวว่า  มันอยู่ที่แต่ละกรณี ซึ่งตนไม่ขอพูดรายละเอียด เดี๋ยวจะกลายเป็นการกระทบกระทั่งและเกิดเหตุโดยไม่จำเป็น  ทั้งนี้ยืนยันว่าพรรคมีหลักอยู่แล้ว คือการทำตามกฎหมายและข้อบังคับพรรค โดยต้องรอทำตามกฎหมายใหม่ หากมีการเลือกตั้งหลังจากมีกฎหมายใหม่ออกมา 

ผู้สื่อข่าวว่ารายชื่อบรรดาว่าที่ผู้สมัครส.ส.ของพรรคจะถูกว่าเป็นหวยล็อกล่วงหน้าหรือไม่  นายจุรินทร์ กล่าวว่า  มันไม่มีหวยล็อกหรือไม่ล็อก เพราะทุกอย่างต้องยุติที่กฎหมายกำหนด

เมื่อถามว่ากรณีที่มีเสียงสนับสนุนว่านายจุรินทร์มีความเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งครั้งหน้า  นายจุรินทร์ กล่าวว่า  ตนไม่ขอพูดตรงนี้ 

‘โบว์’ ค้าน!! แก้ กม.หมิ่นประมาท เหลือแค่โทษปรับเงิน ส่งเสริมคนใช้เงินแก้ปัญหา ให้ร้ายใครก็ได้ ไม่หวั่นคุก

‘โบว์’ ณัฏฐา มหัทธนา นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘โบว์ ณัฏฐา มหัทธนา – Nuttaa Mahattana’ ว่า…

เห็นว่ามีแนวคิดอยากแก้กฎหมายหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาให้เหลือแต่โทษปรับ ส่วนตัวไม่เห็นด้วยค่ะ

การหมิ่นประมาท คือ การใส่ความให้ผู้เสียหายถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เป็นการกระทำโดยจงใจที่มีการวางแผนล่วงหน้าและอาจถึงขั้นทำลายอนาคตผู้อื่นได้ 

“บิ๊กตู่” สั่งเร่งสำรวจความเสียหายน้ำท่วมพร้อมจัดงบเยียวยา

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มอบหมายฝ่ายปกครอง ทหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอุทกภัย หลังหลายพื้นที่น้ำลดลง เพื่อเร่งช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับความเสียหายทางบ้านเรือน ทรัพย์สิน ที่ทำกิน และสัตว์เลี้ยง ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 และเยียวยาเกษตรที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมไร่-นา ตามหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติปลีกย่อยเกี่ยวกับการให้ความช่วยเหลือด้านการเกษตรผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2564

กรรมการบริหาร 'พรรคพลังประชารัฐ' ลาออกเกินครึ่ง บีบ 'ธรรมนัส' ออก ลุ้น!! ตั้ง​ รมต.ดีอี นั่งแท่นเลขาพรรค

ภายหลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เรียก นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมพูดคุยหลังการประชุมครม. เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ที่ผ่านมา

“โฆษกรัฐบาล” ยัน บิ๊กตู่-รมต.ทั้ง 6 คน หารือวานนี้ไม่เกี่ยวการเมือง ย้ำ ไม่ก้าวก่ายเรื่องใน พปชร. พร้อมเผย “นายก” ปลื้ม ปชช.ชอบ “คนละครึ่ง เฟส 3” เร่งเดินหน้ามาตรการคุมราคาสินค้า 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีวานนี้ (25 ต.ค.)ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสร็จสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม  นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เข้าหารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล ทำให้มีการคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา ทั้งการหารือเรื่องภายในพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ในการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และการทำพื้นที่ การประชุมร่วมรัฐสภาที่จะมีการพิจารณากฎหมายสำคัญในวันที่ 9 ตุลาคม นั้น 

ยืนยันว่า การหารือดังกล่าวเป็นการหารือเรื่องการทำงาน การบริหารราชการแผ่นดินรวมถึงการแก้ปัญหาต่างๆ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนและเพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ ซึ่งมี่ผ่านมาเราเสียโอกาสไปมากในช่วงที่มีการระบาดโควิด-19 ยืนยันไม่ได้เกี่ยวการเมือง นายกรัฐมนตรีทำหน้าที่บริหารราชการประเทศ ไม่ก้าวก่ายการทำงานของพรรคพลังประชารัฐ  (พปชร.)การเมืองเป็นเรื่องของหัวหน้าพรรค  นายกรัฐมนตรีเป็นบุคคลภายนอกพรรค ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง การกระทำการใดๆ เกี่ยวกับการเมือง นายกรัฐมนตรีไม่สามารถทำได้ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีระมัดระวังเรื่องนี้มาโดยตลอด

นอกจากนี้ยังเปิดเผยว่า จากผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อมาตรการช่วยเหลือของรัฐในช่วงโควิด-19 ของสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จากประชาชนทั่วประเทศที่ได้เข้าร่วมมาตรการ โครงการของรัฐ ระหว่างวันที่ 18-21 ต.ค.2564ในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 จาก 5 มาตรการ ได้แก่ มาตรการคนละครึ่งเฟส 3,มาตรการลดค่าไฟฟ้า น้ำปะปา,มาตรการช่วยเหลือผู้ปกครอง 2,000 บาท,มาตรการลดค่าเทอมนักเรียน นักศึกษา ,มาตรการเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ม.39 และ ม.40 ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม พบว่า ประชาชนกลุ่มสำรวจ มีความพึงพอใจมาตรการ “คนละครึ่ง เฟส 3” มากที่สุด เพราะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในแต่ละวันได้ ประคับประคองการบริโภค ทำให้ประชาชนมีการวางแผนการใช้จ่ายดีขึ้น รองลงมาคือมาตรการลดค่าไฟฟ้า น้ำปะปา มาตรการช่วยเหลือผู้ปกครอง 2,000 บาท มาตรการลดค่าเทอมนักเรียน-นักศึกษา และมาตรการเยียวยาผู้ประกันตน ม.33 ม.39 และม.40 ในพื้นที่จังหวัดสีแดงเข้ม ตามลำดับ 

นายธนกร กล่าวว่า ของความคืบหน้ามาตรการใช้จ่ายลดค่าครองชีพของรัฐ ได้แก่ โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มียอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 40.30 ล้านคน ยอดใช้จ่าย สะสม รวม 124,414.8 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 25.44 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 110,123.4 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 55,975.3 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 54,148.1 ล้านบาท 2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 84,680 คน ยอดใช้จ่ายส่วนประชาชนสะสม 2,764 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 144 ล้านบาท 3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.54 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 10,598.9 ล้านบาท และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 1.24 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 784.5 ล้านบาท

“สงคราม” แนะใช้ 100 ล้านจ้างดนตรีในประเทศดีกว่าจ้างลิซ่า แบล็กพิงก์ โชว์ตัวคน อัด “บิ๊กตู่” ทอดทิ้งอยุธยาปล่อยชาวบ้านจมน้ำนาน 2 เดือนเหตุไม่มีส.ส.พลังประชารัฐ

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่เพื่อให้กำลังใจและมอบถุงยังชีพ ให้กับประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัย ในหลายพื้นที่ของจังหวัด อยุธยา พบว่าอำเภอบางบาลน่าเป็นห่วงมาก  เพราะรัฐบาลยัดเยียดให้เป็นที่รับน้ำแทนพื้นที่เศรษฐกิจอื่นๆจนถึงเวลานี้กว่า 2 เดือน ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ชาวบ้านเริ่มบอกว่ารัฐบาลแก้ปัญหาแบบรอให้น้ำระเหยไปเอง อย่างมากที่ทำคือถ่ายรูปตอนแจกถุงยังชีพ 1 ถุง แล้วก็หายหัว ทั้งบางบาลบางจุดท่วมถึง 4 เมตรด้วยซ้ำไป

 

ก่อนหน้านี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปตรวจน้ำท่วมในหลายพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ส.ส.พลังประชารัฐ แต่ที่อยุธยา  ไม่มีส.ส.พลังประชารัฐ พลเอกประยุทธ์จึงไม่ให้ความสำคัญ เพราะเป้าประสงค์การเดินทางไปตรวจน้ำท่วมไปเพื่อสร้างภาพมากกว่า  น้ำท่วมปีนี้หนักมาก บางพื้นที่น้ำท่วมสูง  3 เมตร บางที่ 4 เมตร ข้าวของเสียหาย บ้านพัง ไร้ซึ่งการเหลียวแลประชาชนไม่ได้ต้องการถุงยังชีพ แต่ต้องการแค่ความจริงใจจากรัฐบาลที่จะช่วยประชาชนอย่างแท้จริง

นายสงคราม กล่าวด้วยว่า กรณีที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณหลายร้อยล้านบาทจ้าง ลิซ่า แบล็กพิงก์ และ แอนเดรีย โบเชลลี มาร่วมงานเคาต์ดาวน์ปีใหม่ ตามบัญชาของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อยากให้รัฐบาลพิจารณาให้ดีเพราะเงินที่ดำเนินการเป็นภาษีพี่น้องประชาชน ควรที่จะให้ความสำคัญกับประชาชน  กิจกรรมบันเทิงในประเทศต้องหยุดการแสดงทั้งหมด หยุดกิจกรรม  นักร้องนักดนตรี นับแสนคนตกงาน จากมาตรการรัฐ แต่พอจะเปิดการท่องเที่ยวรัฐบาลกลับไม่ให้ความสำคัญกลุ่มคนเหล่านี้

‘โรม’ หวัง กม.ป้องกันซ้อมทรมานลุล่วง อย่าให้ซ้ำรอยรัฐทำป่าเถื่อนกับประชาชนอีก

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวเนื่องในวาระครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์สลายการชุมนุมของประชาชนหน้าสถานีตำรวจภูธร อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 85 คน สูญหาย 7 คน และบาดเจ็บมากกว่า 1,000 คน ว่า ครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์ตากใบ โศกนาฏกรรมและความอัปยศของการทรมานและการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่จะต้องไม่เกิดขึ้นอีก

นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ผมได้เข้าประชุมคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายด้วยนั้น ก็บังเอิญว่าตรงกับวันครบรอบ 17 ปี เหตุการณ์สังหารหมู่ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส พอดี กล่าวโดยสรุป เหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มต้นจากการที่ชาวบ้านชุมนุมประท้วงที่หน้าสถานีตำรวจ เนื่องจากตำรวจได้จับกุมชาวบ้านจำนวนหนึ่งไปสอบสวนเป็นเวลานานกว่าสัปดาห์โดยไม่ยอมปล่อยออกมา ปรากฏว่าตำรวจกลับโต้ตอบด้วยการสลายการชุมนุม ใช้ปืนและแก๊สน้ำตาจนมีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 7 คน

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ทั้งยังควบคุมตัวอีกนับพันคนขึ้นรถบรรทุกโดยให้นอนทับกัน อยู่ในสภาพหายใจแทบไม่ออก ปัสสาวะและอุจจาระราด นำตัวไปค่ายทหารที่ห่างออกไปกว่า 150 กิโลเมตร จนมีผู้เสียชีวิตระหว่างทางและที่โรงพยาบาลเพิ่มอีก 78 คน ซึ่งจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครต้องรับผิดชอบอะไรกับการที่มีคนจำนวนมากเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

“เมื่อมองย้อนกลับไป เหตุการณ์ตากใบก็คือหนึ่งในการกระทำอันโหดร้ายที่เรากำลังพยายามขจัดมันให้สิ้นไปอยู่นี้เอง การที่เจ้าหน้าที่นำคนมานอนทับกันนานหลายชั่วโมงจนขาดอากาศหายใจเสียชีวิต กระทำกับเขาด้วยการเลือกปฏิบัติเพราะเห็นว่าเป็นคนที่เข้าข้างผู้ที่ตัวเองสงสัยว่าก่อความไม่สงบ ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าเข้าข่ายการทรมาน และแม้ว่าบางคนอาจรอดชีวิตมาโดยไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงเหมือนคนอื่นๆ แต่การที่เขาต้องนอนดมกลิ่นของเสียจากร่างกายคนอื่น ถูกกระทำเหมือนเป็นสิ่งของถูกบรรทุกไว้ นี่ก็ย่อมเข้าข่ายการกระทำย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

มะเร็งคร่า 'พล.ต.ทรงกลด ทิพย์รัตน์' หัวหน้าพรรคพลังชาติไทย เสียชีวิตอย่างสงบ

วันที่ 26 ตุลาคม 2564 นายพีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทรักธรรม โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว “ส.ส.เอ๋ พระบาท” ระบุว่า “ได้ทราบข่าวในไลน์กลุ่มพรรคเล็กต่อการจากไปของ เพื่อน/พี่ ส.ส.พลตรีทรงกลด ทิพยรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังชาติไทย รู้สึกใจหายอย่างมาก เพิ่งโทรคุยกันเมื่อไม่นาน ความผูกพันในกลุ่มพรรคเล็กได้แต่รู้สึกเสียใจ ขอให้ดวงวิญญาณพี่ทรงกลด สู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเทอญฯ..ด้วยความเคารพรักและอาลัย จาก ส.ส.พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค

กราบเรียน กัลยาณมิตร พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์ทุกท่าน…บัดนี้ ท่านทรงกลดฯ ได้เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งท่านพยายามต่อสู้มา ระยะหนึ่ง ก่อนวาระสุดท้าย ท่านได้จัดการภาระงานในบทบาทหน้าที่ทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้สั่งกำชับครอบครัวและทุกคนที่เกี่ยวข้องว่าท่านอยากจากไปอย่างเรียบง่าย ไม่ต้องบอกกล่าวใครจนกว่าจะจัดงานศพเรียบร้อย…ตอนนี้ทางครอบครัวได้ดำเนินการตามประสงค์ของท่านเรียบร้อย…จึงกราบเรียน มายังทุกท่านค่ะ…บุญญาพรฯ (ครอบครัว พลตรีทรงกลด ทิพย์รัตน์)”

‘อมรัตน์’ ร่วมอ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา หวัง!! ป้องสิทธิแสดงความเห็น ‘เยาวชน-ประชาชน’

“คุกควรขังผู้ปล้นอำนาจประชาชน ไม่ใช่ขังผู้เรียกร้องประชาธิปไตย” - ‘อมรัตน์’ ร่วมอ่านจดหมายเปิดผนึกถึงประธานศาลฎีกา ยืนยันจุดยืนปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นของเยาวชนและประชาชน

26 ต.ค. 64 ที่หน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพมหานคร อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, ธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม เขต 3 พรรคก้าวไกล และสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักกิจกรรมทางการเมือง ร่วมกันอ่านจดหมายเปิดผนึกถึง ‘เมทินี ชโลธร’ ประธานศาลฎีกา เพื่อเรียกร้องต่อจุดยืนในการปกป้องสิทธิเสรีภาพในการแสดงความเห็นทางการเมืองของเยาวชนและประชาชน 

อมรัตน์ กล่าวว่า ในฐานะผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกล จึงออกมาแสดงจุดยืนต่อสาธารณะ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวของสื่อมวลชนตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค. 63 ว่า…

“ยินดีใช้ตำแหน่งผู้แทนราษฎรไปประกันตัว หากเสรีภาพในการแสดงความเห็นที่ถูกรองรับไว้โดยรัฐธรรมนูญถูกพรากไปด้วยข้ออ้าง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน” พร้อมโชว์ใบรับรองเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นเพราะว่า หลายปีที่ผ่านมานับจากรัฐประหาร 22 พ.ค. 57 ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลนี้ที่สืบทอดอำนาจในปัจจุบันซึ่งยาวนานใกล้เข้าปีที่ 8 แล้ว ประเทศถูกปกครอง ครอบงำด้วยความกลัว ผู้ที่รักประชาธิปไตย ให้คุณค่ากับหลักการสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียม ตกอยู่ในความมืดมิดแห่งรัตติกาลอันยาวนานไม่เห็นแสงสว่าง ถูกปิดกั้นเสรีภาพในการคิด การพูด การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง อันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่สุดในประเทศประชาธิปไตย เมื่อสิ้นสุดความอดทน เยาวชนหนุ่มสาวและประชาชนออกมาทวงคืนประชาธิปไตย ไล่นายกที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร เรียกร้องให้ยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน ยกเลิกอำนาจ ส.ว.(สมาชิกวุฒิสภา) ในการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้มีความเป็นสากลสอดคล้องกับยุคสมัย

“แต่ไม่ว่าจะออกมาส่งเสียงมากมายแค่ไหน ข้อเรียกร้องของพวกเขาถูกตั้งใจละเลยไม่ถูกได้ยิน สิ่งที่ได้รับคือการลุแก่อำนาจปราศจากมนุษยธรรม ใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรงเกินกว่าเหตุ ใช้งบประมาณมากมายปราบปรามผู้ชุมนุมอย่างบ้าคลั่งราวกับพวกเขาเป็นอริราชศัตรูเพียงแค่พวกเขาคิดต่างจากผู้ทรงอำนาจบาตรใหญ่ แจกคดีความถ้วนหน้าออกหมายเรียก หมายจับ ใช้กฎหมายปิดปาก จงใจใช้และต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ด้วยข้ออ้างเรื่อง Covid-19 อย่างปราศจากความละอายต่อสายตาชาวโลก”

อมรัตน์ ย้ำว่า สำหรับตนแล้วเยาวชนผู้กล้าหาญเหล่านั้น คือ นักต่อสู้ไม่ใช่นักโทษ คือเจ้าของอนาคตประเทศนี้ พวกเขาได้ก้าวข้ามเส้นแห่งความกลัวที่คนยุคตนไม่เคยเข้าข้ามพ้นเส้นนั้นมาได้ บัดนี้มีผู้ต้องหาคดี 112, 116, 215, พ.ร.บ.คอมพ์, พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะ และพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มากมายถึง 1,500 คน จาก 800 กว่าคดี โดยเฉพาะคดี 112 มีถึง 150 คน และส่วนใหญ่เป็นเยาวชน

“เราต้องยอมรับกันเสียทีว่า คดีมาตรา 112 เป็นคดีทางการเมือง จะต้องถูกแก้ไขด้วยวิถีทางการเมือง แทนใช้คุก ศาล ทหาร และใช้กฎหมายปิดปาก รวมทั้งกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ เป็นประเด็นที่ประเทศไทยถูกองค์กรระหว่างประเทศ และประเทศต่าง ๆ วิพากษ์วิจารณ์ นับจากปี 54 ถึงปี 64 ถูกวิจารณ์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 22 ครั้ง ถูกเสนอแนะให้แก้ไขในเรื่องอัตราโทษที่สูงเกินไป ไม่ได้สัดส่วนกับความผิดและไม่มีโทษขั้นต่ำ ไม่มีคำนิยามที่แน่นอนของคำว่าดูหมิ่น และกฎหมายนี้มีปัญหาการบังคับใช้ที่ถูกตีความอย่างไร้ขอบเขต รวมไปถึงไม่สอดคล้องกับหลักการสากลในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง” อมรัตน์ กล่าว 

'อัษฎางค์' อธิบาย Lost in Bangkok ของ 'ลุงโครว์' หมายถึง หลงเข้ามาเที่ยวในกทม. ไม่ใช่หลงทาง

อัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ อธิบายคำว่า ‘Lost in Bangkok’ ว่า ไม่ใช่หลงทาง แต่เป็นความ ‘หลงระเริง’ จนลืมวันคืน

คำว่า Lost in Bangkok ที่รัสเซล โครว์ เอามาเล่นเป็นซีรีส์ภาพถ่ายการตะลอนทัวร์ในกรุงเทพนั้น คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสามกีบ เอามาตีความหมายว่า รัสเซล โครว์ “หลงทางในกรุงเทพ” แล้วก็ละเลงสีใส่ไข่ สร้างเรื่องและวาทกรรมด้อยค่าเมืองไทยกันสนุกปาก

จริงอยู่ว่า Lost แปลว่า หลง

แต่บริบทของการใช้คำว่า “Lost in Bangkok” กับภาพความสนุกสนานเพลิดเพลินในการท่องเที่ยวไปทั่วกรุงเทพของรัสเซล โครว์...มันไม่ใช่การ “หลงทาง”

แต่มันคือการ “หลงระเริง”

หลงระเริง ที่แปลว่า “หลงในความสนุกสนาน”

เหมือนที่คนไทยเปรียบเทียบคนต่างจังหวัดที่เข้ามากรุงเทพแล้วลืมบ้านเกิดเมืองนอนว่า “หลงแสงสีในเมืองกรุง” นั้น คือ “Lost in Bangkok” หรือการที่เรียกคนที่ชอบเที่ยวกลางคืนว่า “หลงราตรี” นั่นก็คือ “Lost in Bangkok”

“Lost in Bangkok” ของ รัสเซล โครว์ จึงไม่ใช่หลงทาง แต่เป็นความ “หลงระเริง” ด้วยความสนุกสนาน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top