Tuesday, 7 May 2024
PoliticsQUIZ

รองโฆษกรัฐบาล แจง ศบค.ส่วนหน้าดูแล 4 จว.ชายแดนใต้ ไม่ซ้ำซ้อน ตั้งเป้า สกัดให้ได้ใน 2 เดือน

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงการตั้งศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด - 19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศบค. ส่วนหน้า ว่า ศบค. ส่วนหน้า จะทำหน้าที่ดูแล และป้องกันการแพร่ระบาด โควิด-19 ใน 4 จังหวัดคือ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี และสงขลา ซึ่งมีอัตราการแพร่ระบาดสูง โดยจะไม่ซ้ำซ้อนกับศบค. ส่วนกลาง ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความมั่นใจว่าจะดูแลสถานการณ์ให้ได้อย่างทั่วถึง เป็นการทำงานบูรณาการจากกระทรวงสาธารณสุข การดูแลการเข้าออกด่านทางบก และการประสานงานทางศาสนา ตั้งเป้าว่าจะควบคุมและลดการระบาดภายใน 1-2 เดือน หรือลดผู้ติดเชื้อ โควิด-19 ให้ได้ร้อยละ 10 ต่อสัปดาห์

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ในแต่ละจังหวัดก็จะมีมาตรการที่สอดคล้องกับพื้นที่ เช่น จังหวัดยะลา จะตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้กับประชาชนให้ได้ 70% ภายในเดือนตุลาคม ล่าสุดการฉีดวัคซีนจนถึงวันที่ 18 ตุลาคมนี้ได้ฉีดไปแล้ว 62% ของจำนวนประชากรในจังหวัด นอกจากนี้ในจังหวัดยะลายังมีมาตรการเพิ่มเติมขึ้นมาโดยผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา ได้ออกประกาศ 2 ฉบับ คือ ผู้ที่อยู่ในด่านรอยต่อขาเข้า ทั้ง 12 ด่าน ต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็ม ถึงจะสามารถเข้ามาในจังหวัดยะลาได้ และในวันที่ 20 ตุลาคม ได้ประกาศให้ประชาชนที่จะเข้ามาติดต่อหน่วยงานราชการ  ธนาคาร หรือการละหมาด ต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย หนึ่งเข็มเพื่อลดการแพร่เชื้อ 

"เสกสกล" ตีแสกหน้า "ปู" สุมหัว "ปลอดกับโต้ง" ออกคลิปน้ำท่วม'54 แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ฟอกตัวอย่างไม่เกรงใจประชาชน โยนบาปให้คนอื่น 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เผยแพร่คลิป “น(า)ทีวิปโยค : 10 ปีมหาอุทกภัย” ย้อนรอยเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยนายเสกสกล ได้ออกมาเปิดเผยว่า อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ และอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณคิดเพื่อไทยทำอีกหลายคน โดยเฉพาะนายปลอดประสพ สุรัสวดีและนายกิตติรัตน์  ณ ระนองอดีตรองนายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์พาดพิง กล่าวหาหน่วยงานรัฐ รวมไปถึงพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ฟอกตัวอย่างไม่เกรงใจประชาชนที่ทุกข์ระทมขมขื่น มีชีวิตเหมือนตกนรกทั้งเป็นหลายเดือนจากการบริหารจัดการน้ำไร้ประสิทธิภาพในยุคนั้น 
 
ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์น้ำท่วมปี 2554 ยาวข้ามปีไปถึง 2555  คนไทยจำได้ดี น้ำท่วมกินพื้นที่กว่า 36 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 65 จังหวัด ไล่ตั้งแต่เชียงใหม่ลงมาถึง กทม. ประชาชนเดือดร้อนกว่า 12 ล้านคน คนตายอย่างน้อย 815 คน มีคนไทยกว่า 5 ล้านคน กลายเป็นผู้อพยพ  คนงานเกือบ 650,000 คน ตกงานหรือได้รับผลกระทบอย่างหนัก มีนักวิชาการธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.425 ล้านล้านบาท

แต่มาวันนี้นางสาวยิ่งลักษณ์กับพวกกลับหน้ามึนถึงขนาดออกมาโยนขี้ให้คนอื่นไปทั่ว ไม่เห็นความบกพร่องผิดพลาดของพวกตนเลย พยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ด้วยวาทกรรมเดิมๆ ทั้งๆ ที่ความจริง รัฐบาลยิ่งลักษณ์แถลงนโยบายในวันที่ 23 สิงหา 2554 หากใส่ใจกับการแก้ปัญหาจริงๆ เหมือนการออกพาสปอร์ตและแก้ปัญหาให้พี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร ที่หนีคดีอยู่ ย่อมจะสามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนทุเลาลงได้มากกว่านี้หลายเท่านัก 

สถานการณ์น้ำท่วมปี54 ส่งสัญญาณมาจากพายุไหหม่า และนกเต็น ตั้งแต่เดือน มิ.ย. และ กค. 2554 มีสถานการณ์น้ำท่วม ประชาชนเดือดร้อนจำนวนมาก แต่ยิ่งลักษณ์มัวแต่นวยนาด กว่าจะลงมือแก้ปัญหาจริงๆ จังๆ ก็กลางเดือนกันยา 54  กว่าจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยก็เดือนตุลา54 ใช้สนามบินดอนเมืองเป็นศูนย์ แล้วสุดท้ายขนาดดอนเมืองยังปล่อยให้ท่วม แล้วชีวิตชาวบ้านจะเหลืออะไร นั่นเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากของคนไทย ที่ต้องทนอยู่กับนายกฯโง่ๆ และรัฐบาลหุ่นเชิดที่คอยแต่รับคำสั่งจากคนแดนไกลอย่างแท้จริง

หลายฝ่ายถอดบทเรียนตรงกัน ว่าปัญหาใหญ่ส่วนหนึ่งในอุทกภัยปี 54 นอกจากน้ำท่วมเยอะสูงสุดในประวัติศาสตร์แล้วยังมีประสิทธิภาพต่ำของรัฐบาล ที่ทำงานมุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลัก แต่ขาดความรวดเร็วและคิดไม่รอบด้านขาดการวางแผนและเตรียมการป้องกันที่ดี  แย่งซีนกันทำงาน เอาการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา  การสื่อสารในยามวิกฤตล้มเหลวสิ้นเชิง อย่างการแถลงข่าวของ”ปลอดประสพ สุรัสวดี” ที่เป็นหัวหน้าทีมปฏิบัติการของศปภ.เมื่อ 13 ตุลาคม 2554 ผ่านการถ่ายทอดสดทางทีวี บอกว่าขณะนี้สถานการณ์น้ำท่วมในปทุมธานีเริ่มวิกฤต จึงขอเตือนให้ประชาชนในพื้นที่ปทุมธานีและใกล้เคียงอพยพมาอยู่ที่ดอนเมือง จนสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว แล้วหลังจากนั้น น้ำก็ท่วมศูนย์ ศปภ.ถึงบันไดเครื่องบิน จนต้องย้ายหนี เป็นภาระของสังคมเสียอีก แม้แต่ของบริจาคประชาชน ยังมุบมิบ ติดป้ายเอาหน้าหาเสียง อมทั้งของหลวงของราษฎร ตัวนายกฯ ก็อ่านแถลงการณ์ผิดๆ ถูกๆ เป็นที่น่าเวทนาแก่ใจของคนไทยในขณะนั้น 

นายกิตติรัตน์เองก็ทำได้เพียงไปร้องไห้กับนักลงทุนต่างชาติ ผลสำรวจออกมา ชาวบ้านจดจำชัดเจนว่าใครช่วย ใครเป็นที่พึ่งในยามนั้นมากที่สุด คือ ทหาร –จิตอาสาหรืออาสาสมัครภาคประชาชนและสื่อมวลชน ยิ่งกว่านั้น การมาฟอกตัวเรื่อง พรก.น้ำ 3.5 แสนล้านบาท ก็เป็นการบิดเบือน เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น โครงการน้ำที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เร่งรัดผลักดัน ทำโครงการเป็นโมเดลต่างๆ เป็นการเอาโครงการประเภทร้อยพ่อพันแม่มามัดรวมกันเป็นกลุ่มๆ แล้วให้เอกชนเข้ามายื่นข้อเสนอ ยื่นราคารับเหมา โดยไม่มีราคากลางตามกฎหมายปกติ งดเว้นระเบียบราชการ แต่ตั้งกรอบงบเอาไว้ตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ต้องครหาส่อทุจริต 
ผลประมูลปรากฏว่า กลุ่มเค-วอเตอร์จากเกาหลีใต้คว้าชิ้นปลามันไปครอง

"สมศักดิ์" เหน็บ คนไม่มีงานทำ  มักพูดการเมือง ชี้ “พูดง่าย-ไม่ต้องใช้สมอง” ลั่น ตอนนี้ยังคิดและทำงานได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ในฐานะที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) ให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี กรณีที่หลายพรรคเริ่มมีการเคลื่อนไหวทางการเมืองและเตรียมการลงพื้นที่และวางตัวผู้สมัครเลือกตั้งแล้ว ว่า ในช่วงเดือนเศษที่ผ่านมา ตนเห็นผู้คนพูดเรื่องการเมืองตลอด จึงขอเรียนว่าวันไหนที่ไม่มีเรื่องงาน หรือแนวนโยบายที่จะพูด ส่วนใหญ่นักการเมือง ก็จะมาพูดเรื่องการเมือง เพราะไม่ต้องเตรียมอะไร เวลาไมค์จ่อก็พูดได้ เนื่องจากเป็นความเห็นที่เกิดขึ้นแต่ละวัน แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องงาน เรื่องแนวคิดที่จะทำอะไรเพื่อประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม ตรงนี้ต้องใช้เวลาคิดและตรึกตรอง  จะเห็นได้ว่านักการเมืองที่ชอบพูดเวลามีไมค์อยู่ ก็เอาเรื่องการเมืองและความขัดแย้ง ในแต่ละวันมาพูด ไม่ต้องใช้สมองอะไรมากมาย และเป็นข่าวได้ทุกวัน แต่เวลานี้ตนยังสามารถคิดแนวนโยบายในเรื่องของการช่วยสังคมได้อยู่ ก็จะพูดในส่วนนี้ วันไหนที่ไม่มีอะไรจะพูดแล้วจะหันมาพูดเรื่องการเมือง 

ผู้สื่อข่าวถามว่ากังวลหรือไม่ ที่เวลานี้หลายพรรคการเมือง เตรียมตัวบุคคลและเริ่มลงพื้นที่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่มีเรื่องแนวนโยบายอะไรที่มาพูด เขาก็เลยพูดเรื่องการเมืองไปแต่ละวัน ก็ให้ไปพิจารณาว่าเป็นไปอย่างที่ตนว่าหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรก็ต้องพูดเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องการเมืองเพราะมันง่าย ไม่ต้องใช้ความคิดอะไรมากเกี่ยวกับคำพูดและการนำเสนอ 

"นิพนธ์" หนุน​ ศบค.ส่วนหน้าแก้โควิดใต้​ เชื่อ​มือ "บิ๊กเล็ก" มีประสบการณ์​ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล​ นายนิพนธ์​ บุญญามณี​ รมช.มหาดไทย​ และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายศุภชัย​ ใจสมุทร​ ส.ส.บัญชีรายชื่อ​ พรรคภูมิใจไทย​ คัดค้านการให้  พล.อ.ณัฐพล​ นาคพาณิชย์​ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี​ ซึ่งเป็นทหารมาเป็นผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศบค.ส่วนหน้า​ ว่า​ ความเห็นส่วนตัวของตน คิดว่าการแก้ปัญหาโควิด-19​ ในพื้นที่ภาคใต้ ทุกฝ่ายต้องพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด บูรณาการงานร่วมกันให้ได้ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ที่สำคัญคือการทำความเข้าใจกับประชาชน เนื่องจากขณะนี้ประชาชนบางส่วนคิดว่าวัคซีนไม่มีความจำเป็น ดังนั้น เราต้องทำความเข้าใจกับคนกลุ่มนี้ให้ได้ และภาครัฐเองต้องพร้อมที่จะส่งวัคซีนลงไปให้ทันต่อความต้องการ เชื่อว่าวัคซีนมีจำนวนเพียงพอในการที่จะจัดสรรลงไป แต่ต้องกระจายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และให้เร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่า มีเสียงคัดค้านการให้ทหารเป็นผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหา​ เพราะอยากให้แพทย์เป็นผู้รับผิดชอบมากกว่า นายนิพนธ์ กล่าวว่า การบูรณาการงานของทุกฝ่ายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพื้นที่ภาคใต้ เพราะยังมีคนออกนอกบ้านในเวลาเคอร์ฟิวอยู่ นั่นสะท้อนให้เห็นว่าเรายังมีช่องว่างในการบังคับใช้กฎหมาย ดังนั้น การจะทำให้ทุกคนเคารพระเบียบเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อสร้างวินัย จึงมองว่าเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ทั้งฝ่ายปกครอง สาธารณสุข และฝ่ายๆอื่น โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคงที่ดูแลพื้นที่อยู่ต้องร่วมมือกัน​ เพราะพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพื้นที่พิเศษอยู่แล้ว

“อนุทิน”แจง ตั้ง”บิ๊กเล็ก” คุม ศบค.ส่วนหน้า ไร้ปัญหา  เชื่อ มีแต่ได้กับได้ ชี้ ให้มองเจตนารณ์คำสั่งนายกฯ เพื่อประโยชน์ปชช. ติง “ศุภชัย” หารือก่อนแสดงความเห็น 

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่แต่งตั้ง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เป็นผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด - 19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศบค. ส่วนหน้า เพราะเป็นการใช้การทหารนำการสาธารณสุข ว่า นายศุภชัย ใช้ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในการแสดงความเห็นส่วนตัว ซึ่งตนได้ชี้แจงกลับไปว่าเรื่องมีมากกว่านั้น ไม่ใช่เรื่องของแพทย์อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของความมั่นคง การควบคุมสถานการณ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้แพทย์และพยาบาลเข้าถึงคนไข้ และได้รับการฉีดวัคซีนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งตนก็ได้ทำความเข้าใจกับ นายศุภชัย เรียบร้อยแล้ว โดยแจ้งไปว่าก่อนจะเขียนแสดงความเห็นอะไรให้โทรมาถามตนก่อน 

เมื่อถามว่ายืนยันว่าการแสดงความคิดเห็นของนายศุภชัย ไม่เป็นการขัดแย้งต่อคำสั่งฯ ของนายกฯ และสามารถทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขได้  นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข มีแต่ได้เพราะการทำงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ หากไม่มีหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมจะลำบาก ดังนั้นการที่หลายกระทรวง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกองทัพ เข้ามาทำงานก็ถือว่าเป็นการร่วมกันทำงานเพื่อประชาชน และพล.อ.ณัฐพล ที่ที่ปรึกษานายกฯก็มีประสบการณ์ควบคุมสถานการณ์โควิด-19 และเคยเป็น ผอ.ศบค. ศปก.มาทั้งปี

"เสกสกล" ตีแสกหน้า "ปู" สุมหัว "ปลอดกับโต้ง" ออกคลิปน้ำท่วม'54 แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ฟอกตัวอย่างไม่เกรงใจประชาชน โยนบาปให้คนอื่น

19 ตุลาคม นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เผยแพร่คลิป “น(า)ทีวิปโยค : 10 ปีมหาอุทกภัย” ย้อนรอยเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยนายเสกสกล ได้ออกมาเปิดเผยว่า อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ และอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณคิดเพื่อไทยทำอีกหลายคน โดยเฉพาะนายปลอดประสพ สุรัสวดี และนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ ได้ให้สัมภาษณ์พาดพิง กล่าวหาหน่วยงานรัฐ รวมไปถึงพยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ฟอกตัวอย่างไม่เกรงใจประชาชนที่ทุกข์ระทมขมขื่น มีชีวิตเหมือนตกนรกทั้งเป็นหลายเดือนจากการบริหารจัดการน้ำไร้ประสิทธิภาพในยุคนั้น 

ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์น้ำท่วมปี 2554 ยาวข้ามปีไปถึง 2555 คนไทยจำได้ดี น้ำท่วมกินพื้นที่กว่า 36 ล้านไร่ ครอบคลุมพื้นที่ 65 จังหวัด ไล่ตั้งแต่เชียงใหม่ลงมาถึง กทม. ประชาชนเดือดร้อนกว่า 12 ล้านคน คนตายอย่างน้อย 815 คน มีคนไทยกว่า 5 ล้านคน กลายเป็นผู้อพยพ คนงานเกือบ 650,000 คน ตกงานหรือได้รับผลกระทบอย่างหนัก มีนักวิชาการธนาคารโลกประเมินมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจ 1.425 ล้านล้านบาท

แต่มาวันนี้นางสาวยิ่งลักษณ์กับพวกกลับหน้ามึนถึงขนาดออกมาโยนขี้ให้คนอื่นไปทั่ว ไม่เห็นความบกพร่องผิดพลาดของพวกตนเลย พยายามแก้ตัวน้ำขุ่นๆ ด้วยวาทกรรมเดิมๆ ทั้งๆ ที่ความจริง รัฐบาลยิ่งลักษณ์แถลงนโยบายในวันที่ 23 สิงหาคม 2554 หากใส่ใจกับการแก้ปัญหาจริงๆ เหมือนการออกพาสปอร์ตและแก้ปัญหาให้พี่ชาย ทักษิณ ชินวัตร ที่หนีคดีอยู่ ย่อมจะสามารถแก้ปัญหาให้ประชาชนทุเลาลงได้มากกว่านี้หลายเท่านัก 

สถานการณ์น้ำท่วมปี 54 ส่งสัญญาณมาจากพายุไหหม่า และนกเต็น ตั้งแต่เดือน มิ.ย. และ กค. 2554 มีสถานการณ์น้ำท่วม ประชาชนเดือดร้อนจำนวนมาก แต่ยิ่งลักษณ์มัวแต่นวยนาด กว่าจะลงมือแก้ปัญหาจริงๆ จังๆ ก็กลางเดือนกันยา 54 กว่าจะตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยก็เดือนตุลา 54 ใช้สนามบินดอนเมืองเป็นศูนย์ แล้วสุดท้ายขนาดดอนเมืองยังปล่อยให้ท่วม แล้วชีวิตชาวบ้านจะเหลืออะไร นั่นเป็นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากของคนไทย ที่ต้องทนอยู่กับนายกฯ โง่ๆ และรัฐบาลหุ่นเชิดที่คอยแต่รับคำสั่งจากคนแดนไกลอย่างแท้จริง

“สงคราม” อัด “บิ๊กตู่” เปิดเมืองหากล้มเหลวต้องไม่โยนบาปประชาชน ชี้ รัฐบาลขนคณะลงพื้นที่หลายจังหวัดเพื่อไปหาเสียงมากกว่าไปช่วยชาวบ้านถูกน้ำท่วม

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เปิดเผยว่า จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ำท่วมในหลายจังหวัด  แต่น่าเสียดายที่ทุกจังหวัดที่เดินทางไป ไม่เคยเข้าไปในพื้นที่น้ำท่วมแต่อย่างใด ไปตรวจน้ำท่วมแต่ไม่เคยเข้าถึงประชาชน ในทางกลับกันกลับให้ข้าราชการเกณฑ์คนมารอต้อนรับพร้อมบอกบทให้พูด การไปแบบนี้เป็นการไปหาเสียงมากกว่า การขนบรรดานักการเมืองเดินตามจึงมีเป้าประสงค์อย่างเดียวคือการไปเพื่อการเมืองไม่ได้ไปเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่กำลังประสบปัญหา  

อยากถามว่าไปทำอะไร เพราะในทุกพื้นที่ที่เดินทางลงไปไม่ได้แก้ปัญหาให้ประชาชน เหมือนไปเที่ยวมากกว่า ทั้ง นนทบุรี สระบุรี ชัยภูมิ นครราชสีมา อยุธยา อุบลราชธานี นครศรีธรรมราช บอกไปดูน้ำท่วม แต่ไปดูแล้วประชาชนได้อะไร เพราะไปมือเปล่า ส่วนที่เดินทางไปอุบบลราชธานี คนเป็นนายกรัฐมนตรีกลับไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึง มีการเตรียมกำลังทหารตำรวจมากกว่า 200 นาย ป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าถึง ซึ่งชัดเจนว่าพลเอกประยุทธ์ไม่เคยให้ความสำคัญกับประชาชนเลย
 
นายสงคราม กล่าวด้วยว่า การเปิดประเทศในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ หากเปิดแล้วคุมการระบาดไม่ได้เชื่อว่าการระบาดของโควิดในไทยจะเพิ่มขึ้นหลักหลายหมื่นอย่างแน่นอน นอกจากนี้การเปิดประเทศเป็นนโยบายของรัฐบาล แต่ท่าทีล่าสุดของพลเอกประยุทธ์พร้อมที่จะโยนความให้กับประชาชน ดังนั้นผลที่ตามมาคือพลเอกประยุทธ์พร้อมลอยตัวหนีความผิดและไม่รับผิดชอบต่อชีวิตประชาชน ไม่อายประชาชนก็ควรอายตัวเองบ้าง รู้จักยอมรับความผิดบ้างอย่าเอาแต่หนีอย่างเดียว                                                

“บิ๊กแก้ว” นั่งหัวโต๊ะประชุมผบ.เหล่าทัพ และผบ.ตร. มอบนโยบาย แนวทางตามนโยบายรัฐบาล และนโยบายของ กระทรวงกลาโหม พร้อมให้การสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดิน

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) ได้จัดการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 1 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมี พล.อ.เฉลิมพล  ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เป็นประธาน พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.)  และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เข้าร่วมประชุม

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้กล่าวแสดงความยินดีกับ ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ นายทหารและนายตำรวจที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งสำคัญ รวมทั้งผู้ที่ได้รับพระราชทานยศสูงขึ้น  เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้มอบนโยบายแก่เหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

ให้ยึดถือกรอบแนวทางตามนโยบายของรัฐบาล และนโยบายของ กระทรวงกลาโหม รวมทั้งการสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินให้มีเสถียรภาพ และเกิดความต่อเนื่อง ตลอดจนดำรงความต่อเนื่องในการปฏิบัติภารกิจเพื่อช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน โดยนโยบายที่สำคัญใน 6 ด้านได้แก่ 

การพิทักษ์รักษา ปกป้อง เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า พิทักษ์รักษา ปกป้อง เทิดทูนพระมหากษัตริย์องค์จอมทัพไทย และน้อมนำพระปฐมบรมราชโองการมาดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน

การป้องกันประเทศ ดำรงขีดความสามารถและความพร้อมในการป้องกันประเทศ และรักษาผลประโยชน์ของชาติในทุกมิติ ตลอดจนการปฏิบัติการร่วมระหว่างเหล่าทัพอย่างเป็นปึกแผ่น พัฒนาเสริมสร้างกองทัพให้เข้มแข็ง ทันสมัย โดยการนำขีดความสามารถทางเทคโนโลยีสมัยใหม่มาเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงานของกองทัพ

การรักษาความมั่นคงของรัฐ สนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ รวมทั้งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศโดยยึดมั่นในประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง 

“บิ๊กแก้ว” ระบุ เหล่าทัพ เตรียมรับมือ แรงงานทะลักเข้าไทยหลังเปิดประเทศ ต้องเร่งสกัด ยกกรณีผู้หนีภัยสงครามตกค้างศูนย์อพยพหนับหมื่น รับชายแดนเมียนมาร์ตรวจยาก เหตุปัญหาชาติพันธ์-คนกลุ่มน้อย ไร้เอกสารประชากร 

ที่กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทสส.) พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) แถลงภายหลังการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ว่า ในที่ประชุมได้มีการพูดถึงภารกิจการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสำคัญของชาติต่างๆ รวมถึงการช่วยเหลือรัฐบาลแก้ไขปัญหาแพร่ระบาดโควิด-19ให้ลดสภาพปัญหาลง แก้ไขปัญหายาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองเป็นต้น  

โดยเฉพาะปัญหาการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามแนวชายแดน นายกฯ และรมช.กลาโหม ย้ำในเรื่องนี้   จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานในช่วง 3-4 เดือนสถานประกอบการในประเทศมีความต้องการแรงงานถึง 4 แสนคน ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่สามารถเปิดรับแรงงานอย่างถูกกฎหมายได้  จึงเป็นหน้าที่ ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครองสกัดกั้นตามแนวชายแดนได้ โดยลักษณะการปฏิบัติหน้างานชายแดน ทางกัมพูชา ได้รับความร่วมมือจากกองทัพกัมพูชาเป็นอย่างดี ในการให้ข้อมูลว่ามีคนกัมพูชาลักลอบเข้ามา มีผลทำให้เราจับกุมได้มากและส่งกลับ การปฏิบัติงานค่อนข้างมี ประสิทธิภาพ 

ขณะที่เมียนมาร์เป็นปัญหาภายใน ทั้งเรื่องชาติพันธ์ และชนกลุ่มน้อย ที่บางกลุ่มในประเทศเมียนมาร์ไม่ถูกยอมรับว่าเป็นชาวเมียนมาร์ทำให้หลักฐานของคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้นไม่สามารถบันทึกเป็นหลักฐานบุคคลได้ ทาง ตร. ได้พัฒนาเก็บข้อมูลอัตลักษณ์บุคคล สามารถบ่งบอกบุคคลได้ว่าคนนี้คือใคร นอกจากบัตรที่เขาแสดงตน  เราก็ปฏิบัติภายใต้หลักสิทธิมนุษยชนและความปลอดภัยของประเทศ บางส่วนก็ส่งกลับไป เป็นการดำเนินาการโดยไม่ให้แรงงานใหม่เข้ามา คาดว่าอีกไม่นานน่าจะรับแบบถูกกฎหมายได้ สำหรับข้อห่วงใยจากสถานการณ์ความรุนแรง อาจจะมีผู้หนีภัยจากความไม่สงบ เราได้ร่วมกับ จังหวัด และอำเภอที่เกี่ยวข้องเรียบร้อยแล้ว เป็นการเตรียมพร้อมให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนบนพื้นฐานของผลประโยชน์ของประเทศด้วย เพราะเราก็มีบทเรียนจากผู้หนีภัยจากการสู้รบที่ผ่านมา ปัจจุบันยังอยู่ในศูนย์พักพิงหลายหมื่นคน คิดว่าพอพัฒนาการพัฒนาไปแล้วปัญหาต่างๆ ไม่ได้กคลี่คลายโดยง่ายองค์กรต่างประเทศ สุดท้ายก็เป็นส่วนทีเราก็ต้องดูแลต่อไป 
 

‘พรรคกล้า’ ยึดหัวหาด ‘เมืองเศรษฐกิจ’ ภาคใต้ เตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า พร้อมด้วย ผศ.ดร.เอราวัณ ทับพลี ผู้อำนวยการพรรค นายสราวุฒิ สุวรรณรัตน์ เลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์-ภาคใต้ นางสาวนัฏฐิมา วิชยภิญโญ เลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค นำทีมเปิดการประชุมจัดตั้งตัวแทนพรรคหลายพื้นที่ในจังหวัดสงขลา

พร้อมเปิดตัว 4 ว่าที่ผู้สมัครนักการเมืองรุ่นใหม่ หลากหลายอาชีพร่วมทีม “ผู้กล้า-สงขลา” ได้แก่ 1.) นายธัชพล วิบูลย์พันธุ์ นักธุรกิจรุ่นใหม่ภาคอุตสาหกรรมการเกษตร หาดใหญ่ 2.) ดร.ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ อาจารย์ด้านการตลาดหลายมหาวิทยาลัยใน จ.สงขลา 3.) นายสมพร หาญณรงค์ นักสื่อสารมวลชน คนสิงหนคร 4.) นายพงศธร สุวรรณรักษา ทนายอาสารุ่นใหม่ สู้เพื่อแรงงานย่านสะเดา และคลองหอยโข่ง

โดยหัวหน้าพรรคกล้า ได้ร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางเศรษฐกิจ ระบบคิดและไอเดียกับชาวสงขลา ผู้ประกอบการ ตัวแทนหอการค้า YEC สภาอุตสาหกรรม สมาคมโรงแรมและธุรกิจท่องเที่ยว รวมไปถึงตัวแทนภาคเอกชนขนาดเล็ก พร้อมทั้งย้ำให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับโอกาสการทำมาหากิน โอกาสทางเศรษฐกิจให้เต็มศักยภาพของเมือง ของภาคใต้โดยเฉพาะ จ.สงขลา

“จ.สงขลา มีทุนเดิมที่เข้มแข็ง ทั้งการเป็นจังหวัดชายแดนที่ติดกับ 2 ประเทศ ที่มีกำลังซื้อสูงที่สุดในอาเซียนอย่าง มาเลเซีย และสิงคโปร์ รวมถึงจุดเด่นในการเป็นพื้นที่การผลิต และอุตสาหกรรม เป็นเมืองการค้าและการท่องเที่ยวที่ครอบคลุมทั้งระบบส่งออกสินค้าที่ผลิตและแปรรูปเองได้หลักๆ ไปจีน วันนี้ต้องมาตั้งโจทย์ว่า มีทุกอย่างพร้อมแบบนี้ อะไรที่ฉุดรั้งสงขลาอยู่” กรณ์ กล่าว

นอกจากนี้ยังได้ชูหลักคิด 'Songkhla - Seamless South' คือการบริหารเศรษฐกิจและการทำธุรกิจสำหรับหัวเมืองใหญ่ที่เชื่อมระหว่างประเทศแบบ “ไร้รอยต่อ” และทำ Travel Bubble (การเปิดท่องเที่ยวแบบจับคู่เดินทางเฉพาะประเทศที่ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ กับ สิงคโปร์ และมาเลเซีย เพื่อคืนชีพเศรษฐกิจหาดใหญ่ รวมถึงแรงงานภาคบริการซึ่งเป็นชาวบ้านในจังหวัดใกล้เคียงด้วย ขณะเดียวกันก็ได้ย้ำเรื่องการขยายศักยภาพจากจุดเด่นของเมือง คือ อุตสาหกรรมจากการแปรรูปไม้ยาง น้ำยาง ประมง ที่มีสัดส่วนเศรษฐกิจกว่าครึ่งของจังหวัด รวมไปถึง อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและบริการ ที่ต้องมีระบบโลจิสติกส์ที่เข้มแข็ง ระบบรางสำหรับขนของไปขาย และท่าเรือที่มีประสิทธิภาพเพื่อส่งออกสินค้าตรงไปยังจีน คือสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม นายกรณ์ มองว่า ปัญหาที่ดินที่ราคาปล่อยเช่า (yield) ต่ำ ทำให้กลไกตลาดไม่ทำงาน ปัญหาหนึ่งคือ สัดส่วนของพื้นที่ราชการ กว่า 40% เป็นที่ดินราชพัสดุสูงมาก ที่ราชการถือครองไว้เฉย ๆ ไม่ได้นำที่ดินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อประชาชนและท้องถิ่นโดยภาพรวม ทั้งที่พื้นที่โซนนี้สามารถขยายศักยภาพของคนในท้องถิ่น ได้หาแหล่งรายได้จากอุตสาหกรรมใหม่ หรือ New S-Curve ซึ่งเป็นหัวใจหลักของกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top