Wednesday, 18 June 2025
Politics

‘เทพไท’ เผย ‘ชวน’ ขออยู่เฝ้าพรรค ขอเป็นหลักให้ปชป. ยัน!! ขอทำหน้าที่ ‘สส.’ อย่างเต็มที่ เพื่อพี่น้องประชาชน

(2 มิ.ย.67) นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตสส. นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.เวลา15.00 น.นายชวน หลีกภัย สส. บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้แวะมาเยี่ยมตนที่บ้านพักเขตหลักสี่ กรุงเทพฯ เพราะท่านรู้ว่าตนไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้สะดวก ยังอยู่ในระหว่างการพักโทษและติดกำไลอีเอ็มอยู่ การเดินทางออกนอกเขตควบคุม จะต้องขออนุญาตทุกครั้ง เพราะไม่ใช่นักโทษเทวดา ที่มีอภิสิทธิ์ชนเหนือนักโทษคนอื่นๆ ท่านชวนได้ให้ความเมตตาต่อตนมาก ตอนตนอยู่ในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ท่านก็กรุณาไปเยี่ยมถึง2ครั้ง เมื่อออกจากเรือนจำมาพักโทษที่บ้าน ท่านก็ยังอุตส่าห์แวะมาเยี่ยมและให้กำลังใจตนอีก ต้องกราบขอบพระคุณท่านมาก

นายเทพไท กล่าว ตนได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นถึงสถานการณ์การเมืองในหลายเรื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์ ที่กระแสนิยมยังไม่กระเตื้องขึ้นเลย เมื่อดูจากผลโพลของสำนักต่างๆ ปรากฎว่าความนิยมของพรรคประชาธิปัตย์ ยังอยู่ในระดับ 3% ซึ่งถือว่าน้อยมาก ถ้าเปรียบเทียบกับโอกาสการเมืองในขณะนี้ในวันที่มวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยม ผิดหวังจากพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลเดิม และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ ก็ได้วางมือทางการเมืองไปแล้ว คะแนนนิยมของมวลชนกลุ่มนี้ ก็น่าจะกลับมาพรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม แต่กลับไม่ได้เป็นไปตามที่คาดหมาย คนที่ผิดหวังกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม กลับไหลไปที่พรรคก้าวไกลมากกว่า 

“ผมจึงถามนายชวนว่า จะทำอย่างไรต่อไปกับบทบาทของท่านในพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งท่านก็ยืนยันว่า ยังทำหน้าที่ในฐานะสส. คนหนึ่ง จะตั้งกระทู้ถาม อภิปรายตรวจสอบรัฐบาล เป็นปากเสียงให้กับประชาชน ไม่ว่า สส. ส่วนใหญ่หรือกรรมการของพรรคประชาธิปัตย์ จะวางบทบาทของพรรคอย่างไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรค แต่ส่วนตัวท่านก็ยังทำหน้าที่ผู้แทนปวงชนชาวไทยอย่างเข้มแข็งต่อไป จะไม่ลาออกจากพรรค และจะไม่ทิ้งพรรคอย่างเด็ดขาด ท่านยังแวะเยี่ยมพี่น้องประชาชนตลอดเส้นทาง ทุกครั้งที่เดินทางกลับจังหวัดตรังโดยรถยนต์ ผมได้ฝากความหวังและให้กำลังใจท่าน ขอให้ท่านได้เป็นเสาหลักของพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป ไม่ว่าจะเหลือใครสักกี่คนก็ตาม ขอให้ท่านรักษาพรรคไว้ เพื่อให้คนที่เคยอยู่พรรคประชาธิปัตย์ ได้กลับไปฟื้นฟูพรรคอีกครั้งหนึ่ง” นายเทพไท กล่าวทิ้งท้าย

พรรคอันดับ 14 ล้านเสียงสนับสนุน เดินหน้าล้ม 112 พรรคอันดับรอง 10 ล้านเสียง ขายข้าว 10 ปี

ผมนั่งมองดูประเทศของตัวเองในห้วงเวลานี้แล้ว เกิดความรู้สึกเศร้าใจลึก ๆ อย่างบอกไม่ถูก เห็นรัฐบาล 'ถุงเท้าแดง' ก็ไม่ต่างจาก 'นายกนอมินี' ในอดีตที่ผ่านมา เดินหน้าทำตามคำบัญชาของคน 'เหนือนายก' เพื่อผลประโยชน์เข้าตระกูลไม่หยุดหย่อน ประเทศชาติจะเสียหายอย่างไรก็ช่าง 

เอาแค่เรื่อง 'ข้าวค้างโกดังบาป 10 ปี' คนในรัฐบาล หรือ 'ตระกูลชั้น 14' เองยังไม่กล้าหุงข้าวและกินโชว์ แต่จะเข็นออกประมูลขายให้ได้ ประเทศใดจะซื้อไว้กิน จะป่วยไข้ เป็นโรคร้ายเพราะ 'ข้าวเน่า' ประเทศไทยจะถูกตราหน้าว่า 'ขายข้าวคุณภาพต่ำ' ก็ไม่สนใจ 

เงินมหาศาลสร้างอำนาจอันมหึมาให้กับคน ๆ หนึ่งได้จริง แม้จะทำผิดกับประเทศชาติ ทรยศประชาชน ไร้สัจจะ คอร์รัปชัน โกงกิน จนต้องหนีคดีไปนาน ก็ยังมี 'คนจำนวนไม่น้อย' คอยยกหาง และถวายชีวิตช่วยเหลือ แม้กระทั่งประชาชนคนไทยที่ถูกกระทำโดยตรงจากการบริหารบ้านเมืองก็ยัง 'ลืมง่าย' ช่วยกันกาเลือก 'พรรคเผาเมือง' กลับมาผงาดจนสร้างปัญหาได้อีกในปัจจุบัน

คำถามคือ เมื่อไหร่คนไทยถึงจะเข็ด คิดได้ และคิดเป็นกันเสียที? 

มาดูอีกพรรคที่ได้คะแนนเสียงอันดับหนึ่ง แม้จะไม่ได้เป็นรัฐบาล แต่การเป็นฝ่ายค้านก็ไม่มีศักยภาพที่คนไทยจะหวังพึ่งพาอะไรได้ เพราะวัน ๆ นอกจากจะเดินหน้า 'ล้างสมองเด็ก' ลงลึกถึงเยาวชนของชาติทุกระดับเพื่อให้ 'เกลียดชังสถาบัน' และพยายามโค่นล้มกฎหมายมาตรา 112 ก็ไม่เคยเห็นผลงานอะไรที่สร้างสรรค์ เป็นชิ้นเป็นอัน และมีคุณค่ามากพอจะทำให้สังคมไทยน่าอยู่ขึ้นมาบ้าง 

มองเข้ามาก็จะเห็น 'ความป่วยไข้' ของคนไทยในมิติที่ชัดมาก ป่วยที่ลืมง่าย ป่วยที่ไม่ละเอียดกับอะไรเลย ป่วยที่คิดไม่เป็นจนไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรเลว ป่วยที่ลืมรากเหง้าของตัวเอง และป่วยถึงขนาดที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนเองเลือกเข้ามากำลังทำให้ประเทศชาติย่อยยับ 

พูดอีกกี่ครั้งก็คงเหมือนเดิมประมาณว่า นักการเมืองเลว ๆ ในบ้านเราไม่ได้ฉลาดล้ำ ค่อย ๆ มองก็จะพบคำตอบโดยง่าย วิธีคิดในการโกงชาติโกงแผ่นดินก็ไม่ต่างจากเดิม แต่เพราะเรามีประชาชนที่ 'โง่กว่า' อาศัยอยู่ในประเทศไทยในจำนวนที่มาก เราถึงยังคงได้ 'นักการเมืองที่ไม่ฉลาด' มาบริหารประเทศชาติเหมือนในขณะนี้  

อยากให้นักการเมืองเลว ๆ หมดจากแผ่นดิน ก็แค่กำจัด 'ประชาชนโง่ ๆ' ให้หมดไปจากสังคมไทย 

ฝากพรรคที่มุ่งขายข้าวเก่า หุงมาให้ประชาชน 24 ล้านคนกิน ก็คงจะดี 

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ถาม!! ทหารสอนเด็กรักชาติไทย ไม่ดียังไง? หลัง ‘เจี๊ยบ ก้าวไกล’ โพสต์แซะ!! “ไม่ใช่กิจของทหาร”

(4 มิ.ย. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊ก ว่า…

“ทหารสอนเด็กรักชาติไทย ไม่ดียังไง จะให้เด็กชังชาติเหมือนพวกเธอหรือ”

ทั้งนี้สืบเนื่องจากกรณี ‘นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ‘Amarat Chokepamitkul อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล’ ระบุว่า…

“ไม่ใช่กิจของทหารเที่ยวเดินสายไปอบรมครูอบรมเด็กให้รักชาติ ภารกิจหลักไม่มีทำก็รีบลดขนาดกองทัพอย่าฝืนโลก พร้อมติดแฮชแท็ก #ปฏิรูปกองทัพ”

‘วราวุธ’ ย้ำ!! จุดยืน 'ชทพ.' ถึงร่าง 'พ.ร.บ. นิรโทษกรรม' ต้องไม่มีเรื่อง 'ม.112-อาญาร้ายแรง-คอร์รัปชัน'

(4 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. ในฐานะหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวถึง การศึกษาแนวทาง ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ว่า พรรคชาติไทยพัฒนาได้ส่งนายนิกร จำนงค์ เป็นตัวแทน และตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานความคืบหน้าเพิ่มเติม ซึ่งตามนโยบายของพรรคชาติไทยพัฒนา ในร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมจะต้องไม่มี 3 เรื่อง คือ...

1.ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอาญามาตรา 112 
2. ไม่เกี่ยวข้องกับอาญาที่ร้ายแรง
และ 3. ไม่เกี่ยวข้องกับการคอร์รัปชัน

ส่วนกรณี ที่มีความเห็นจากหลายพรรคการเมืองต้องการให้บรรจุ คดีความผิดเกี่ยวกับกฎหมายอาญามาตรา 112 รวมอยู่ด้วยนั้น นายวราวุธ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่มีข้อสรุปและเป็นเรื่องปกติ ที่หลายฝ่ายจะมีความคิดและข้อเสนอที่หลากหลาย แต่ยังไม่มีการลงมติหรือบทสรุปใด

‘นายกฯ’ สั่งเดินหน้า ‘กาสิโน’ ในไทยให้เป็นรูปธรรม คาด!! เก็บภาษีปีแรกไม่น้อยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท

(4 มิ.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า นายกรัฐมนตรี สั่งการในที่ประชุมครม.เรื่องการติดตามการดำเนินการสถานบันเทิงครบวงจร หรือเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ โดยสั่งการกระทรวงการคลัง ให้นายจุลพันธุ์ อมรวิวัฒ์ รมช.คลัง ไปดำเนินการศึกษา เร่งรัดการดำเนินการเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อให้มีแนวทางในการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป ตลอดจนมอบหมายให้กระทรวงการคลัง เป็นผู้ยกร่างกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถานบันเทิงครบวงจร โดยนำร่างพ.ร.บ.ฉบับที่กรรมาธิการได้พิจารณามาประกอบความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติครม.ที่เคยมีไว้ เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2567 พร้อมทั้งจัดทำแผนการออกกฎหมายลำดับรองลงไปที่เกี่ยวข้อง และให้นำเสนอครม.ในโอกาสต่อไป ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามขั้นตอนการเสนอกฎหมายตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

“เอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หรือ สถานบันเทิงครบวงจร มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมาก เพราะถ้าพูดถึงมูลค่าของธุรกิจเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ทั่วโลก เมื่อปี 2565 มีมูลค่าสูงถึง 1.5.ล้านล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยตก 54 ล้านล้านบาท และคาดว่าปี 2571 มูลค่าทางเศรษฐกิจจะเติบโตเป็น 2.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 79 ล้านล้านบาท ปัจจุบันประเทศ หรือเขตปกครองพิเศษที่ธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจรใหญ่ที่สุดคือมาเก๊าซึ่งประชากร 6.9 แสนคน แต่ทำธุรกิจได้ 3.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสูงมาก ลำดับรองลงมาคือลาสเวกัส 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ สิงคโปร์ 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เกาหลีใต้ 3.2 แสนล้าน ฟิลิปปินส์  2.1 แสนล้าน เวียดนาม 1.8 แสนล้าน อินโดนีเซีย 1.8 แสนล้าน ประเทศไทย 0 บาท จะเห็นว่าประเทศในเอเชีย ในรอบบ้านเราไปไกลกว่าเราเยอะ นอกเหนือจากนี้ประเทศญี่ปุ่นมีแผนจะผุดเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ขึ้นมาอีก 3 แห่ง ในเร็ว ๆ นี้ ทั้งโอซาก้า นางาซากิ และฟุกุโอกะ ประเทศไทยต้องเร่งหน่อยถ้าหากจะมีรายได้ทางนี้” นายชัย กล่าว

นายชัย กล่าวต่อว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.) ได้คำนวณเบื้องต้นว่าถ้าเรามีเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ลงทุนในเมืองไทย จะมีรายได้ไหลเข้ามามากมายมหาศาล และปีแรกจะสามารถเก็บภาษีได้ไม่น้อยกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท

จับตา!! ระเบิดเวลา 3 ลูกใหญ่เบ้อเริ่ม วัดชะตา ‘เศรษฐา’ วัดใจ ‘นายใหญ่’

ต้องยอมรับว่าระยะนี้ แม้จะมีระเบิดเวลาทางการเมืองลูกใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มหลายลูก แต่นายกรัฐมนตรี  ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ก็ยังได้รับแรงใจอย่างล้นหลาม โดยเฉพาะการทำงานที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย…

หนำซ้ำกรณีไปหา ‘ดร.วิษณุ เครืองาม’ ทาบทามมาเป็นที่ปรึกษาของนายกฯ ได้สำเร็จ แม้กาลครั้งหนึ่งก่อนเลือกตั้งจะโพสต์ X จวก ‘ดร.วิษณุ’ ว่า “ไร้ยางอาย” ก็ตาม สื่อโซเชียลขุดมาแชร์ได้วันสองวันก็ผ่านไป

ว่ากันว่า...จังหวะเวลา ดวงชะตาของเศรษฐา ทวีสิน ค่อนข้างโชคดีเป็นพิเศษ เพราะ 

1) อยู่ในสถานการณ์การเมืองผสมขั้ว ภายใต้ ‘ดีลพิเศษ’
2) ลูกสาวนายห้างยังไม่พร้อมที่จะย่างก้าวมารับบทบาทที่เศรษฐาแสดงอยู่ 

อย่างไรก็ตาม...แม้เศรษฐาจะอยู่ในสถานะที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของนายใหญ่ หรือแม้กระทั่งฝั่งอนุรักษ์ที่ร่วมดีลพิเศษ แต่สถานการณ์ในขณะนี้ก็ใช่ว่า เศรษฐาจะปลอดภัยปลอดโปร่งโล่งแจ้ง ตรงข้ามยังมีระเบิดเวลาทางการเมือง ที่มองเห็น ๆ กันอยู่ในขณะนี้ 3 ลูกใหญ่

1) คดีคุณสมบัติที่อยู่ในมือศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่าต้นเดือน ส.ค. น่าจะรู้ผลว่าหมู่หรือจ่า แม้ราคาต่อรองขณะนี้จะอยู่ในระดับ 51 ต่อ 49 เชื่อว่ารอดแบบเฉียดฉิว แต่ก็อย่าเพิ่งวางใจ แม้จะมี ดร.วิษณุ  เครืองาม มาเป็นที่ปรึกษาใหญ่ก็ตาม...เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว บางที ‘ดุลพินิจ’ ก็ไม่อาจฝืน..!!

2) กรณีทักษิณ-การนิรโทษกรรม สองเรื่องนี้ดูเหมือนจะเดินทางมาบรรจบพบกันที่ ‘นิรโทษกรรมเหมาเข่ง’ กล่าวคือทักษิณ ชินวัตร ถูกอัยการสั่งฟ้องคดีความผิดมาตรา 112 วันที่ 18 มิ.ย. อัยการจะนำตัวส่งฟ้องศาล ซึ่งก็คงได้ประกันตัว…แต่ชีวิตจะเหมือนถูกพันธนาการล่ามโซ่...การนิรโทษกรรมคือการปลดโซ่ ซึ่ง สส.เพื่อไทยหลายคนเริ่มเคลื่อนแล้ว ให้ กมธ.วิสามัญฯ ที่ศึกษาเรื่องนี้รวมเข่งคดี 112 ไปรวมกับคดีชุมนุมการเมืองอื่น ๆ ด้วย...แต่พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค รวมทั้งฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วย…

ประชุมกมธ.วิสามัญ วันที่ 6 มิ.ย.นี้ ก็จะเห็นแนวที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งถ้าพรรคเพื่อไทยดั้นเมฆจะเอาเหมาเข่งให้ได้ ก็สามารถทำได้โดยจับมือพรรคก้าวไกล เสียงเกินครึ่ง แต่บ้านเมืองอาจลุกเป็นไฟอีกครั้ง…เหมือนตอน ‘พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย’ ปี 2556-57 ที่จบลงด้วย ‘ลุงตู่’ เข้ามาขอเวลาไม่นานแต่อยู่ยาว 9 ปีหลังรัฐประหาร 22 พ.ค. 2557

3) โครงการเติมเงิน ดิจิทัล วอลเล็ต 1 หมื่นบาท...โครงการนี้นับถอยหลังการแจกเงิน ดูกันตั้งแต่การพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ 2568 ที่จะตั้งงบ 1.72 แสนล้านบาท และใช้นวัตกรรมหมุนงบ 2567 มาใช้อีกไม่น้อยกว่า 1.75 แสนล้านบาท...และก้อนสุดท้ายเอามาจาก ธกส.

วันนี้ทุกอย่างยังไม่เห็นรายละเอียดเพิ่มเติม...แต่พรรคร่วมรัฐบาลอย่าง ‘ภูมิใจไทย’ และ ‘รวมไทยสร้างชาติ’ พร้อมจะปฏิเสธ..ไม่เล่นด้วยทันทีหากผิดกฎหมาย...นับเป็นอะไรที่น่าหวาดเสียวตื่นเต้นยิ่ง..

อนึ่ง!! มีการสมมุติถ้าเศรษฐาหลุดจากตำแหน่งจริง ๆ ระหว่างนายห้างหรือนายใหญ่ต้องเสียสละ กินยาทัมใจให้ ‘เสี่ยหนู’ อนุทิน  ชาญวีรกูล แห่งค่ายสีน้ำเงินเป็นนายกฯ แทนลูกสาว กับเดินหน้าดันลูกสาวเป็นนายกฯ เอง หรือพลิกขั้วไปจับมือก้าวไกล นายห้างจะเลือกทางไหน...เขาเชื่อกันว่า นายห้างเลือกที่จะดันสูกสาวตัวเอง...

สวัสดี!!

ชาวสมุยโอด!! ‘ปัญหาขยะล้นเกาะ’ วนมาอีกครั้ง ทำลายภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยวระดับโลก

“ถุงขยะเกลื่อนเกาะสมุย แม้นายกฯ รับปากจะจัดการโดยเร็ว แถมยังเกิดไฟไหม้ซ้ำอีก ศาลปกครองก็สั่งให้เทศบาลเร่งแก้ แต่ปัญหายังเหมือนเดิม”

นายหัวไทรได้รับเรื่องร้องเรียนจากชาวบ้านบนเกาะสมุยว่า เวลานี้มีขยะล้นเกาะแล้ว ชาวบ้านไม่รู้จะเอาไปทิ้งไหนก็นำมาใส่ถุงดำวางไว้บนถนน

“ชาวบ้านจำเป็นต้องนำถึงขยะมาวางกองไว้บนถนน โดยเฉพาะถนนเส้นหลักสายโรงพยาบาลไปสนามบิน เต็มไปด้วยถุงขยะ รถเก็บขยะของเทศบาลนครสมุย ก็ไม่มาเก็บไปกำจัด ไม่รู้ว่าเกิดจากปัญหาอะไร โทรไปแจ้งผู้รับผิดชอบของเทศบาลก็ไม่รู้อยู่ไหน”

ปัญหาขยะเกาะสมุยเป็นปัญหาที่มีมายาวนาน จนเคยมีปัญหาบ่อกำจัดขยะเต็มมาแล้ว

“เทศบาลแก้ปัญหาด้วยการใช้เรือขนไปกำจัดฝั่งเมืองสุราษฎร์ธานี แต่ปัญหาก็ยังไม่จบ ยังมีขยะตกค้างอีกนับแสนตัน

เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2567 นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน เดินทางไปเกาะสมุย ได้ไปดูเตาเผาขยะเกาะสมุย และได้แสดงความเป็นห่วงการท่องเที่ยวเจริญขึ้น ทำขยะล้น และรับปากว่าจะดูแลปัญหา สนับสนุนงบฯในการเร่งแก้ ทำคู่ขนานมาตรการระยะสั้น-ระยะยาว

ครั้งนั้นชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตรวจติดตามแนวทางการแก้ไขปัญหาขยะในอำเภอเกาะสมุย โดยนายกฯ รับฟังการบริหารจัดการขยะเกาะสมุยที่ยังตกค้างอยู่จำนวนประมาณ 150,000 ตัน จากนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย โดยขอสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลในการกำจัดขยะดังกล่าว ทั้งนี้ ในระยะสั้นที่ต้องมีการขนขยะออกไป และต้องใช้งบประมาณ 237 ล้านบาทนั้น

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าอาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่า ซึ่งต้องขอดูก่อน แต่สำคัญที่สุดคือขยะที่ตกค้างจะต้องถูกกำจัดโดยเร็ว โดยการแก้ปัญหาระยะสั้นรัฐบาลรับจะดูแลให้ว่าวิธีการใดจะดีที่สุด

ส่วนระยะยาวต้องพัฒนาศักยภาพเตาเผาให้มีประสิทธิภาพ ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย โดยจะทำควบคู่กันไป เพื่อรองรับขยะที่จะมีปริมาณเพิ่มขึ้นได้ ทั้งจากปริมาณนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ พร้อมขอบคุณชาวสมุยที่ช่วยกันแยกขยะ ซึ่งส่วนนี้ก็ช่วยการบริหารจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วย

ล่าสุดเมื่อคืนวันที่ 28 พฤษภาคม ได้เกิดเหตุเพลิงไหม้กองขยะ 1.5 แสนตัน ชาวบ้านอยากให้หาแนวทางบริหารจัดการในการป้องกันเหตุเพลิงไหม้ให้ดีกว่านี้ เพราะห่วงเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากบริเวณรอบข้างมีบ่อขยะเก่าจำนวนหลายบ่อ หากเกิดเพลิงไหม้ขึ้นมาอีกก็อาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

กองขยะที่ถูกเพลิงไหม้ อยู่ภายในโรงเก็บขยะ สถานที่เตาเผาขยะเทศบาลนครเกาะสมุย หมู่ที่ 5 ตำบลมะเร็ต อ.เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี เหตุเกิดเมื่อช่วงเวลาประมาณ 20.30 น. ของวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 โดยเพลิงได้โหมลุกไหม้อย่างรุนแรง เนื่องจากต้นจุดเกิดเหตุเป็นกองขยะเก่าจำพวกพลาสติกที่แห้งและติดไฟง่าย โดยเจ้าหน้าที่ได้ระดมรถดับเพลิง รถน้ำ จากเทศบาลนครเกาะสมุย รถดับเพลิงจากสนามบินสมุย รถน้ำของเอกชน มาช่วยดับไฟ 

ต่อมาเวลาประมาณ 03.00 น. สถานการณ์คลี่คลายเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้

จากการสังเกตโรงเก็บขยะ พบว่าเป็นโครงสร้างที่ทำจากเหล็ก ตัวเสาและโครงตรัสตรงจุดที่เกิดไฟไหม้ บางชิ้นมีลักษณะบิดงอ หลังคาและผนังที่ใช้แผ่นเมทัลชีทได้รับความเสียหาย ในเบื้องต้นทางเทศบาลนครเกาะสมุย ยังไม่สรุปสาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ และจะให้วิศวกรกองช่างเข้ามาตรวจสอบโครงสร้างอาคารดังกล่าวว่ามีความปลอดภัยหรือไม่

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2566 ศาลปกครองนครศรีธรรมราชมีคำพิพากษาให้เทศบาลนครเกาะสมุย โดยนายกเทศมนตรีนครเกาะสมุย ภายใต้การกำกับดูแลของผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการเก็บ ขน และกำจัดมูลฝอย รวมทั้งมูลฝอยติดเชื้อ ในบ่อขยะ ในพื้นที่ หมู่ที่ 5 ต.มะเร็ต อ.เกาะสมุย ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ หรือมาตรฐานที่กฎหมายหรือกฎที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้ และให้ขจัดกลิ่นเหม็นจากกองขยะ และบำบัดแหล่งน้ำสาธารณะบริเวณที่พิพาทให้กลับคืนสู่สภาพเดิม และให้เทศบาลนครเกาะสมุย รายงานผลการดำเนินการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีและศาลทราบทุก 30 วัน จนกว่าปัญหามลพิษดังกล่าวจะหมดสิ้นไป แต่ไม่เกิน 180 วันนับแต่วันที่คดีถึงที่สุด

เกาะสมุยเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่ใครก็ใฝ่ฝันอยากจะไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ไปชมทัศนียภาพ ธรรมชาติอันสวยงามโดดเด่นของเกาะสมุย แต่การบริหารจัดการเกาะสมุยยังไม่พร้อมจะรองรับการทะลักเข้ามาของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะปัญหาการจัดการขยะ ปล่อยให้ชาวบ้านนำขยะในถุงกองไว้บนถนนให้อุจาดตาประจานการทำงานของเทศบาลเกาะสมุยได้อย่างไร สนามบินก็เป็นของเอกชน ที่จำเป็นต้องลงทุนขนานรันเวย์ให้ยาวกว่านี้ เพื่อรองรับเครื่องบินลำใหญ่ขึ้นตามจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น

‘ธนกร’ ติง ‘ชัยธวัช’ ก้าวล่วงอำนาจศาล กังวลได้แต่อย่าใช้อารมณ์ หลังพาดพิงปัจจัยการเมือง เอี่ยวคำวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกล

(5 มิ.ย. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า กรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์สื่อถึงคำร้องยุบพรรคก้าวไกล หลังเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่...) พ.ศ.เพื่อยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยใช้เป็นนโยบายในการหาเสียงเลือกตั้งเป็นการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีการพูดพาดพิงว่ามีปัจจัยทางการเมืองเกือบทั้งหมด มาเกี่ยวข้องกับคำวินิจฉัยของศาลที่จะออกมา มองว่าการแสดงความเห็นของนายชัยธวัชในลักษณะนี้ ถือเป็นการกล่าวหาและก้าวล่วงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง

ทั้งนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 ท่าน ล้วนมีการพิจารณาวินิจฉัยแต่ละคดี ตามหลักข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคดีนี้จากที่มองพฤติกรรมก็เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน และสื่อมวลชนอยู่แล้วว่าพรรคก้าวไกลเป็นอย่างไร ตนมั่นใจ ว่าคำวินิจฉัยในแต่ละคดีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาตามนั้น เป็นไปตามข้อเท็จจริงและตามหลักกฎหมาย ไม่สามารถ ปล่อยให้นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงเพื่อกลั่นแกล้งพรรคใดพรรคหนึ่งได้ หากไม่มีมูลความผิด

“เข้าใจว่านายชัยธวัช มีความกังวล จนพาลโทษคนอื่นไปทั่ว การกล่าวหาว่าปัจจัยการเมืองแทรกแซงคำวินิจฉัยนั้น ถือว่าเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลหรือไม่และเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรง ขอให้นายชัยธวัชยอมรับ หากสุดท้ายคำวินิจฉัยจะออกมาเป็นคุณ หรือ เป็นโทษก็ตาม ไม่ควรใช้อารมณ์ ความกังวล หรือความกลัวจะถูกยุบพรรคเป็นครั้งที่ 2 มากล่าวหาแบบมีอคติ เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง” นายธนกร ติง

'อาจารย์อุ๋ย-ปชป.' จี้!! ทบทวน ‘คาสิโนถูกกฎหมาย’ บ่อนทำลายพระพุทธศาสนา-ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 67

(5 มิ.ย.67) จากกรณีล่าสุดที่โครงการสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ซึ่งจะมีการเปิดคาสิโน หรือบ่อนพนันถูกกฎหมายเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ จะเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในอีกสองสัปดาห์นั้น นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ แสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กว่า...

รัฐธรรมนูญ 2560 หมวด 6 มาตรา 67 วรรค 2 กำหนดให้รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาทเพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทําลายพระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด

นอกจากนี้ ในสิงคาลกสูตร พระไตรปิฎก ฉบับหลวง 11/182/140 ยังกำหนดโทษของการพนันไว้ 6 ประการว่า 'โทษในการประกอบเนือง ๆ ซึ่งการพนัน อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ผู้ชนะย่อมก่อเวร 1 ผู้แพ้ย่อมเสียดายทรัพย์ที่เสียไป 1 ความเสื่อมทรัพย์ในปัจจุบัน 1 ถ้อยคำของคนเล่นการพนัน ซึ่งไปพูดในที่ประชุม ฟังไม่ขึ้น 1 ถูกมิตรอมาตย์หมิ่นประมาท 1 ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย 1' และการพนันยังเป็นหนึ่งในอบายมุข 6 ซึ่งหมายถึงวิถีชีวิต 6 อย่าง แห่งความโลภ และความหลงที่ทำให้เกิดความเสื่อม ความฉิบหายของชีวิต อันประกอบด้วย การดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน เที่ยวดูดการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร และเกียจคร้านการงาน 

ดังนั้น การที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้มีบ่อนการพนันถูกกฎหมาย อันเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนกระทำในสิ่งที่ขัดต่อหลักธรรมของพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอยลง แทนที่จะส่งเสริมและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ จึงเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญมาตราดังกล่าว 

นอกจากนี้หากจะอ้างเรื่องเศรษฐกิจเป็นเหตุผลในการทำคาสิโนถูกกฎหมายตามโมเดล มาเก๊า สิงคโปร์ หรือกัมพูชานั้น ผมมองว่า ฟังไม่ขึ้น เพราะมาเก๊าและ สิงคโปร์ก็เป็นเกาะเล็ก ๆ ไม่มีทรัพยากร ส่วนประเทศไทยมีของดีและสถานที่ดี ๆ มากมายที่หากมีการพัฒนาและบริหารจัดการอย่างเป็นระบบแล้วจะสามารถดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวได้อีกมาก โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งบ่อนการพนัน ส่วนกัมพูชาก็มีบ่อนปอยเปตมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 แต่ก็ไม่ได้ทำให้ระดับการพัฒนาทางเศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 

ผมจึงอยากฝากให้รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลคิดให้รอบด้าน นอกเหนือไปจากการกดเครื่องคิดเลขเพื่อหาตัวเลขทางเศรษฐกิจแต่เพียงอย่างเดียว เพราะความสูญเสียทางสังคม ปัญหาอาชญากรรม ปัญหาหนี้ครัวเรือน ฯลฯ ที่อาจจะเกิดจากการมีบ่อนคาสิโน เป็นสิ่งที่ไม่อาจประเมินเป็นตัวเงินได้ และไม่สามารถเยียวยาแก้ไขให้กลับเป็นดังเดิมได้ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งผู้ที่จะแบกรับปัญหาเหล่านี้ก็คือลูกหลานของเราและของท่านผู้อนุมัติโครงการนี้นั่นเอง ด้วยความปรารถนาดี

‘รทสช.’ ย้ำจุดยืน ‘กม.นิรโทษกรรม’ ไม่นับรวม ม.112 พร้อมเสนอร่าง ‘พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข’ ฉบับของตัวเอง

(5 มิ.ย.67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ‘สีสันการเมือง แบบ เด้งเด้ง’ ทางช่องยูทูบ ‘แนวหน้าออนไลน์’ ในประเด็นร่างกฎหมายนิรโทษกรรม ว่า จุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติ คือไม่เห็นด้วยกับการนับรวมความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และจริง ๆ พรรคก็ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.เสริมสร้างสันติสุข หรือกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับของรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งไม่มีทั้งคดี ม.112 คดีทุจริต และคดีอาญาร้ายแรง

ขณะที่ความเคลื่อนไหวร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของพรรคเพื่อไทย การพิจารณาเรื่องนี้ยังอยู่ในชั้นกรรมาธิการ ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะเป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าที่สุดแล้วระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็ต้องคุยกัน เพราะในกรรมาธิการก็มีตัวแทนอยู่ อย่างพรรคชาติไทยพัฒนาก็มีนายนิกร จำนง ขณะที่พรรครวมไทยสร้างชาติ มีนายเจือ ราชสีห์ ซึ่งแสดงจุดยืนว่าต้องไม่มีเรื่องคดี ม.112 คดีทุจริต และคดีอาญาร้ายแรง เพราะกลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

“นิรโทษกรรมคดีการเมือง เราเข้าใจบรรยากาศสลาย ยุติธรรมขัดแย้ง เดินหน้าด้วยความสามัคคี พวกคดีการเมืองนิรโทษได้ก็นิรโทษกันไป แต่ต้องไม่แตะเรื่อง 112 เรื่องทุจริต เรื่องคดีอาญาร้ายแรง เพราะถ้าแตะเรื่องเหล่านี้ แทนที่มันจะนิรโทษเพื่อความปรองดอง ความรักความสามัคคี มันจะนิรโทษแล้วนำไปสู่ความแตกแยก แล้วปัญหาเดี๋ยวมันจะปะทุขึ้นอีก เราก็แสดงจุดยืนของเราชัดเจน” นายเอกนัฏ กล่าว

นายเอกนัฏ กล่าว ต่อไปว่า อย่าให้การนิรโทษกรรมครั้งนี้ย้อนกลับไปเกิดปัญหาแบบตอนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย ตนก็มีประสบการณ์ ในเวลานั้นเป็น สส. อยู่แล้วก็ออกไปชุมนุม เพราะการออกกฎหมายนิรโทษกรรมในเวลานั้นขัดกับหลักนิติรัฐ-นิติธรรม หากเป็นแบบนั้นประเทศก็เสียหายและสร้างความแตกแยก ในเมื่อมีบทเรียนแล้วก็ควรจะเรียนรู้ ซึ่งตนก็เชื่อว่าทุกฝ่ายวันนี้เรียนรู้กันเยอะแล้ว อย่างในฝั่งของตนหลายคนก็มีคดีติดตัว ถูกจำคุกอยู่ก็มี ดังนั้นเดินไปข้างหน้าดีกว่า อย่ากลับไปอยู่ในวังวนจุดเดิม

เพราะหากย้อนไปมองในอดีต เวลานั้นมีเพียงเรื่องคดีทุจริต ยังไม่มีเรื่องคดี ม.112 ยังเป็นเรื่องแล้ว หากใส่คดี ม.112 เข้าไปอีกก็จะเป็นปัญหาขึ้นมาได้ ส่วนคำถามที่ว่า พรรคเพื่อไทยจะไปขอเสียงสนับสนุนจากพรรคก้าวไกล เพื่อให้มีเสียงพอผลักดันร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่รวมความผิด ม.112 จะเป็นไปได้หรือไม่ เรื่องนี้แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะมีเพียง 36 เสียง แต่ก็ยิ่งต้องยึดหลักให้ดีและต้องสู้ ซึ่งตั้งแต่วันแรกที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล พรรครวมไทยสร้างชาติก็ชัดเจนแล้วว่ารัฐบาลจะต้องไม่ไปเกี่ยวข้องกับการแก้ไขมาตรา 112

แต่หากเขาจับมือกันขึ้นมาแล้วจะให้ทำอย่างไรได้ เพราะตัวเลขในสภาเป็นคณิตศาสตร์ พรรคหนึ่งมีร้อยกว่า อีกพรรคหนึ่งก็มีร้อยกว่า บวกกันเกิน 250 เขาก็ตั้งรัฐบาลได้ แต่ตนก็คิดว่าที่มีการตกลงกันของฝั่งรัฐบาลแล้วประกาศต่อสาธารณะ เท่าที่ได้พูดคุยทุกฝ่ายก็ยังยืนยันข้อตกลงนั้นอยู่ ไม่มีใครคิดแตกแถวแม้แต่พรรคเพื่อไทย ยังไม่มีสัญญาณที่ชี้ว่าจะยกเลิกสัญญาที่ให้ไว้ ดังนั้นก็ต้องรักษาบรรยากาศกันไปแบบนี้ก่อน

ส่วนที่พรรคเพื่อไทยให้ข่าวว่าจะมีการพิจารณาว่าร่างกฎหมายนิรโทษกรรมจะนับรวมความผิด ม.112 ด้วยหรือไม่ คือการส่งสัญญาณอะไร เรื่องนี้คงต้องไปถามพรรคเพื่อไทย แต่เราทำการเมืองจะไปคิดถึงเพื่อนมากไม่ได้ เราต้องทำตัวเราให้ชัดเจนจะดีที่สุด ซึ่งปัจจุบันเราก็ยังยืนบนสัญญาเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ก็เดินไปแล้วหากมีปัญหาก็พูดคุยกัน เจรจากัน เตือนกันว่าอย่าไปทำแบบนั้นเลยดีกว่า เดี๋ยวจะมีปัญหา ส่วนที่พูดกันว่าท่าทีล่าสุดของพรรคเพื่อไทย มาจากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตนก็อยากให้เพลา ๆ การคาดการณ์หรือข่าวลือลงบ้าง

“ตราบใดที่ยังไม่เห็นท่าทีชัดเจน จะพรรคไหนก็แล้วแต่ เราจะไปบอกว่าเป็นท่าทีของเขาก็ไม่ได้ อันนี้แฟร์ ๆ นะ เพราะฉะนั้นวันนี้เมื่อยังไม่มีท่าทีในลักษณะนั้น เราก็ต้องยึดตามคำมั่นสัญญาเดิม มันเบสิกมาก มันแค่นั้นเอง ฉะนั้นสำหรับรวมไทยสร้างชาติเราก็เดินตามสัญญาเดิม ไม่มีสัญญาใหม่ ไม่มีสัญญาณใหม่ ฉะนั้นก็เดินไปตามนี้” เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top