Wednesday, 18 June 2025
Politics

'กองทุนหมู่บ้าน' กระดุมเม็ดแรกที่กลัดผิดของประชานิยม เมื่อคนกู้ชักดาบ ไม่มีเงินจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย ใครซวย?

นางวาสนา สมพงษ์ อายุ 58 ปี อดีตคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านหนองเรือ หมู่ 6 ตำบลละทาย อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ ได้ร้องทุกข์กับสื่อต่าง ๆ ว่า ตนให้สมาชิกและคณะกรรมการกองทุนฯ กว่า 50 คน กู้ยืมเงินจากกองทุนหมู่บ้านฯ รวมกว่า 3.7 ล้านบาท แล้วไม่มีใครชำระหนี้ทั้งต้นและดอกเบี้ย ส่งผลทำให้ตนต้องถูกธนาคารยึดทรัพย์ที่ดินทำกินของตนเอง นำไปเตรียมขายทอดตลาด ทั้งที่มูลหนี้ดังกล่าวไม่ใช่มูลหนี้ที่ตนเองก่อขึ้น จึงทุกข์ใจหนักจนต้องเข้าร้องทุกข์ต่อสื่อมวลชน เพื่อเป็นสื่อกลางขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือ

นางวาสนา เล่าว่า เมื่อปี 2561 ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านหนองเรือ ซึ่งมีคณะกรรมการฯ รวมทั้งคณะ 10 คน และมีสมาชิกทั้งหมด 53 คน ในขณะนั้นคณะกรรมการและสมาชิกต่างก็ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากกองทุน รายละ 10,000-30,000 บาท โดยช่วงแรก ๆ ก็มีการคืนต้นจ่ายดอกครบถ้วน จนกองทุนหมู่บ้านฯ ได้รับรางวัลผลงานดีเด่นระดับ 3 A+ 

ในเวลาต่อมาธนาคารออมสินได้ให้ยอดเงินกู้เพิ่มอีกเป็นเงิน 2 ล้านบาท จึงมีคณะกรรมการพร้อมทั้งสมาชิกเข้ามาทำสัญญากู้ยืมเงินต่อ บางคนกู้ยืมเงินจากกองทุนหลักหมื่น บางรายก็หลักแสน จากนั้นคณะกรรมการชุดตนก็หมดวาระลง และได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมา ซึ่งต่อมาต่างก็ประสบปัญหาตอนโควิด19 ระบาด อีกทั้งเจอกับปัญหาอุทกภัย น้ำท่วมใหญ่ ส่งผลทำให้สมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรเกิดปัญหาติดขัดด้านการเงิน ทำให้เริ่มไม่มีเงินจ่ายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย กระทั่งตนได้สำรองเงินตัวเองสำรองจ่ายให้กับสมาชิกไปก่อน

ซึ่งต่อมาธนาคารออมสินได้ไปถอดโฉนดที่ดินของตน โดยยึดที่ดินออกมาจาก ธกส. ที่ตนเคยไปกู้ยืมเงินส่วนตัวย้ายไปไว้ที่ธนาคารออมสินแทน เนื่องจากไม่มียอดชำระหนี้ของสมาชิกตามหลักเกณฑ์ และสำนักงานบังคับคดีได้ทำการประกาศขายทอดที่ดินของตนเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา โดยที่คณะกรรมการชุดตนนั้นมีเพียงตนที่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินเพียงคนเดียว ขณะที่คณะกรรมการคนอื่น ๆ รวมถึงประธานอีก 9 คนต่างก็ไม่มีทรัพย์สินเป็นของตนเองแม้แต่คนเดียว ธนาคารออมสินจึงไม่สามารถไปบังคับยึดทรัพย์สินของกรรมการคนอื่น ๆ ได้

ทำให้ตนต้องนำเงินส่วนตัวไปจ่ายหนี้ให้คนทั้งหมู่บ้านที่เป็นสมาชิก เดือนละ 20,000-30,000 บาท แยกเป็นเงินต้นที่ต้องจ่ายธนาคาร 12,000 บาท และดอกเบี้ยอีกเดือนละ 2.4 หมื่นบาท จนถึงตอนนี้หมดเงินไปแล้วไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนบาท ต้องหมดเนื้อหมดตัว ซ้ำยังถูกยึดที่ดินทำกิน ซึ่งตนได้พยายามไปอ้อนวอนขอให้สมาชิกมาใช้หนี้ บางคนก็บอกไม่มี และถูกบอกปัดไปเรื่อย ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้แล้วในตอนนั้น ตนจะไม่เป็นกรรมการกองทุนหมู่บ้านอย่างแน่นอน

‘กองทุนหมู่บ้านฯ’ มีชื่อเต็มว่า ‘กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง’ เป็นโครงการตามนโยบายเร่งด่วนที่เอื้อประโยชน์ให้แก่ประชาชนในระดับรากหญ้าของรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยมีการดำเนินการจัดตั้งกองทุนในทุกหมู่บ้าน ๆ ละ 1 ล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนหมุนเวียนให้ชาวบ้านได้มีแหล่งเงินทุนให้กู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพ และดำรงชีพ เป็นแหล่งเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ และบรรเทาเหตุจำเป็นเร่งด่วนของชุมชนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระดับรากหญ้า เป็นการเสริมสร้างการพึ่งพาตนเองด้วยภูมิปัญญาของตนเอง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนทั่วประเทศ

แม้จะมีการกล่าวอ้างถึงผลดีมากมายของกองทุนหมู่บ้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับมีผลเสียปรากฏมากมายกว่า ดังนี้...

- ผลการประเมินของสำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติระบุว่า ผู้กู้เงินจากกองทุนหมู่บ้านฯ มีอัตราการชำระหนี้คืนกองทุนลดลง จาก 95.3% (ค้างชำระ 4.7%) ในปี 2547 เป็น 77.3% (ค้างชำระ 22.7%) ในปี 2555
- ในปี 2549 สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบผลการดำเนินงานกองทุนหมู่บ้านฯ พบประเด็นปัญหาสำคัญ คือ กองทุนหมู่บ้านฯ 50% มีหนี้ค้างชำระและ/หรือเงินขาดบัญชี โดยบางแห่งมีผลการดำเนินงานอยู่ในภาวะวิกฤติไม่ได้ดำเนินกิจกรรมมาเป็นเวลาหลายปี และไม่มีเงินคงเหลือในบัญชีกองทุน
- ผลประเมินการดำเนินงานโดยกรมบัญชีกลาง ระบุว่า กองทุนหมู่บ้านฯ ได้คะแนนรวมเพียง 2.4982 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเงินทุนหมุนเวียนประเภทกู้ยืม 3.1760 โดยด้านที่ได้คะแนนมากที่สุด คือ ด้านการเงิน 4.6974 ส่วนด้านที่ได้คะแนนน้อยที่สุด คือ ด้านการสนองประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 1.7163
- งานวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (2550) ระบุว่า แม้กองทุนหมู่บ้านฯ จะทำให้รายได้จากกิจการภาคเกษตรเพิ่มขึ้นจริง แต่ไม่เพียงพอจะทำให้รายได้รวมของครัวเรือนเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
- ผลสำรวจของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า 22.0% ของผู้กู้ยืมกองทุนหมู่บ้านฯ มีการใช้เงินกู้ไม่ตรงตามวัตถุประสงค์ของกองทุน หากกองทุนที่บริหารจัดการไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการฟื้นฟูอาชีพให้กับสมาชิก จะก่อให้เกิดเป็นวงจรหนี้ที่พอกพูนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมาชิกยังต้องกลับไปกู้หนี้นอกระบบอีก
- แม้ครัวเรือนที่เป็นหนี้จะลดลงจาก 11.50 ล้านครัวเรือนในปี 2550 เหลือ 10.84 ล้านครัวเรือน ในปี 2556 หรือลดลง 6% แต่จำนวนหนี้สินเฉลี่ยตัวครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จาก 116,681 บาท ในปี 2550 เป็น 163,087 บาท ในปี 2556 หรือเพิ่มขึ้น 40%

วันนี้พรรคการเมืองภายใต้ทักษิณ ชินวัตรกลับมาเป็นรัฐบาลแล้ว ปัญหาของกองทุนหมู่บ้านฯ ดังที่ปรากฏเป็นข่าว รัฐบาลชุดนี้จะแก้ไขอย่างไร? ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ คงช่วยอะไรไม่ได้...

ดังนั้นทุกคนที่มีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างกองทุนหมู่บ้านฯ จึงต้องรีบระดมสมองเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของกองทุนหมู่บ้านฯ ที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนที่สุดโดยไม่สามารถบ่ายเบี่ยงหรือปฏิเสธความรับผิดชอบต่อปัญหาและความเสียหายที่เกิดขึ้นได้เลย

'ปิยบุตร' รับ!! อยากเห็น 'ก้าวไกล' ทำตัวเป็นแบบอย่าง เลิกไปดูงาน ตปท. ชี้!! เปลืองงบแผ่นดิน ควรค้นคว้าหรือหาผู้เชี่ยวชาญมาบรรยายแทนดีกว่า

(30 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นเวลาที่เปิดให้ ส.ส.ลงพื้นที่พบปะประชาชน และคณะกรรมาธิการสามัญ และวิสามัญของสภาผู้แทนราษฎร ยังมีการประชุมปกติ จากการตรวจสอบพบว่า เดือน พ.ค.-มิ.ย.2567 มี กมธ.หลายคณะมีกำหนดการเดินทางไปศึกษาดูงานต่างประเทศ อาทิ

กมธ.กิจการสภาผู้แทนราษฎร
กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน
กมธ.กิจการศาล องค์กรอิสระ องค์กรอัยการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และกองทุน 
กมธ.การอุตสาหกรรม 
กมธ.มั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ
กมธ.การสวัสดิการการสังคม 
กมธ.การศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม 

ล่าสุด นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เผยกรณีดังกล่าวผ่าน X ระบุว่า “เปลืองงบประมาณแผ่นดิน เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีการสื่อสารกว้างไกล ค้นคว้าเองก็ได้ หรือเชิญผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศมาบรรยายก็ได้ ควรยกเลิกการดูงานต่างประเทศเสีย

หากยังไม่ยกเลิก ต้องควบคุมเคร่งครัด ตัดลดงบ ห้ามไปซ้ำซ้อน เวียนประเทศในยุโรปอยู่ไม่กี่ประเทศ ประเภทปีที่แล้วคณะนี้ไป ปีนี้อีกคณะหนึ่งไป หรือเลือกประเทศที่ ส.ส. อยากไปเที่ยวมากกว่า คิดเรื่องภารกิจ และเมื่อไปแล้ว ต้องทำรายงานการค้นคว้าด้วย

อยากเห็น ส.ส.ก้าวไกล ทำเป็นตัวอย่างครับ ถ้า ส.ส.ก้าวไกล ทั้งพรรค ประกาศไม่ไปดูงานต่างประเทศ และรณรงค์ให้ยกเลิกงบส่วนนี้ จะดียิ่ง และยังช่วยกดดันไปยัง ส.ส.พรรคอื่นด้วย”

ซึ่งก่อนหน้านี้ 1 สัปดาห์ นายปิยบุตรเคยพูดถึงประเด็นนี้มาแล้ว 1 รอบ ระบุว่า “เดือน พ.ค. มิ.ย. สภาปิดสมัยประชุม และเป็นเทศกาล “ดูงานต่างประเทศ” ของบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส่วน ส.ว.ชุดนี้ ที่หมดวาระแล้ว ก็เพิ่ง “ทิ้งทวน” ไปดูงานต่างประเทศเมื่อไม่กี่เดือนก่อน)

สภาผู้แทนราษฎรมีคณะกรรมาธิการสามัญ 35 คณะ แต่ละคณะมีงบประมาณไป “ดูงานต่างประเทศ”

หากไปกันครบทุกคณะ (ซึ่งก็คงครบทุกคณะ เพราะ ประธานคณะใด ไม่จัดไป ก็อาจถูก กมธ.ในคณะไม่พอใจได้) ก็เป็นไปได้ว่า ส.ส.ทั้งสภา จะไปดูงานต่างประเทศกันทั้งหมด

การดูงานต่างประเทศ เป็นเรื่องดี มีประโยชน์ แต่ในโลกปัจจุบัน ที่การสื่อสารและเทคโนโลยีก้าวหน้า การค้นคว้าหาข้อมูลย่อมทำได้กว้างขวาง ลึกซึ้ง และสะดวก บางกรณี สามารถค้นคว้าเอง หรือเชิญผู้เชี่ยวชาญมาบรรยาย โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศให้เปลืองงบประมาณก็ได้

เช่นกัน การดูงานต่างประเทศ ทำกันมาหลายปี ทุกยุคสมัย ประเด็น และประเทศที่ไปดูงาน ก็ซ้ำกันไปมา หากประหยัดและรอบคอบ บางทีก็อาจไม่จำเป็นต้องไปดูงานซ้ำซ้อนก็ได้

หากสังเกตดู เราจะพบประเทศที่ ส.ส.ไปดูงาน จะวนเวียนอยู่ที่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น ระยะหลัง ก็เพิ่มประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวียมาด้วย

ผมเห็นว่า หากเราเปรียบเทียบกับการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องแล้ว การเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี จำเป็นมากกว่า เพราะ นั่นไปในฐานะหัวหน้าของฝ่ายบริหาร เป็นตัวแทนประเทศไปเจรจาการเมือง เศรษฐกิจ และการค้า

ในส่วนของการดูงานต่างประเทศของ ส.ส. หากไม่ยกเลิก ก็ควรลดลง ทั้งกรอบงบประมาณ และจำนวนครั้ง ต้องตีกรอบให้เคร่งครัด มิใช่ซ้ำซ้อนไปมา ปีที่แล้วคณะหนึ่งไปมา ปีนี้อีกคณะไป และไม่ควรเลือกประเทศที่ ส.ส.อยากไปมากกว่าดูจากภารกิจเป็นตัวตั้ง

เมื่อกลับมาแล้ว ส.ส.ก็ต้องรายงานผล ประโยชน์ที่ได้รับ การศึกษาค้นคว้าต่างๆ ด้วย ทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ต่างก็มีงบไปดูงานต่างประเทศ แต่ละปี ประเทศไทยเสียเงินไปมากมาย ทั้ง ส.ส.และ ส.ว.ต่างก็ไม่กล้าวิจารณ์กันเองในเรื่องนี้ เพราะ ทุกคนคงอยากไป เรื่องอะไรจะทุบหม้อข้าวตนเอง

ถึงเวลาที่ควรทบทวนเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง ต้องไม่ทำให้ “การดูงานต่างประเทศ” กลายเป็นเรื่องคุ้นชิน จนเป็น “สิทธิพิเศษ” ของบรรดา ส.ส. ส.ว.ที่แต่ละปี จะได้ไปเที่ยวฟรี พักฟรี”

นายกฯ เซ็นตั้ง ‘วิษณุ' นั่งที่ปรึกษานายกฯ 'ด้านกฎหมาย-ระเบียบราชการ' คอยตรวจสอบกลั่นกรอง กม.ก่อนเข้าครม. - ให้คำปรึกษาทางกม.แก่นายกฯ

(30 พ.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงาน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 204/2567 เรื่อง การแต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ มีเนื้อหาสรุปว่า เพื่อให้การบริหารราชการ การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเพื่อให้คำปรึกษา เสนอความเห็น และประสานความร่วมมือกับหน่วยราชการต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาศัยอำนาจตามมาตรา 11(6) แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน สมควรแต่งตั้ง นายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีด้านกฎหมายและระเบียบปฏิบัติราชการ เพื่อให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)ในฐานะที่ปรึกษาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

โดยมีหน้าที่และอำนาจ ตรวจสอบและกลั่นกรองร่างกฎหมาย และร่างอนุบัญญัติที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีร่วมกับ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายหรือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี(สลค.)ร้องขอ  ให้คำปรึกษาและเสนอความเห็นทางกฎหมายแก่นายกรัฐมนตรีตามที่มอบหมาย เชิญเจ้าหน้าที่ส่วนราชการ ผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมหรือให้ข้อมูลรายละเอียดหรือจัดทำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานได้ตามที่เห็นสมควร ให้ข่าวสารในประเด็นที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนได้ตามความจำเป็น ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย และ แต่งตั้งคณะทำงานหรืออนุกรรมการเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานได้ตามความจำเป็น

โดยให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.)สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.)สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ(ก.พ.ร.) และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี(สปน.)สนับสนุนการดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยให้เบิกจ่ายจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ ถือว่านายวิษณุ มีอำนาจหน้าที่เทียบเท่ากับรองนายกรัฐมนตรี คนหนึ่ง

ย้อนรอย 18 ปี 'กรุงเทพฯ...ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว' Bangkok City of Life by 'อภิรักษ์ โกษะโยธิน'

กลายเป็นเรื่องฮือฮา เมื่อป้ายข้อความ ‘Bangkok City of Life’ ที่วาดติดอยู่ตามแยกกลางเมืองของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีมาแล้ว 18 ปี จนกลายเป็น Landmark จุดถ่ายรูปจุดหนึ่งซึ่งทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่างก็นิยมเป็นจุดถ่ายรูปความประทับใจ ได้ถูกแทนที่ด้วยป้ายไวนิลสติกเกอร์ที่มีข้อความว่า ‘กรุงเทพฯ-Bangkok’ 

ป้ายข้อความ ‘Bangkok City of Life’ เกิดขึ้นในยุคที่ ‘อภิรักษ์ โกษะโยธิน’ จากพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 

ด้วยในปี พ.ศ. 2549 ผู้ว่าฯ ‘อภิรักษ์’ ได้ประกาศทิศทางการพัฒนากรุงเทพมหานครเพื่อให้เป็นเมืองที่น่าอยู่อย่างยั่งยืนด้วยสโลแกน ‘กรุงเทพฯ…ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว’ โดยมีองค์ประกอบ 4 ประการ คือ (1) มิติทางด้านเศรษฐกิจ (2) มิติด้านสิ่งแวดล้อม (3) มิติด้านวัฒนธรรม และ (4) มิติด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว

‘อภิรักษ์ โกษะโยธิน’ ผู้เคยดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์, อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์, อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 2 สมัย โดยก่อนหน้านั้น ‘อภิรักษ์’ ทำงานให้กับ พิซซ่าฮัท ไทยแลนด์, Lintas Worldwide, ดามาร์กส์ แอ๊ดเวอร์ไทซิ่ง, เป๊ปซี่-โคล่า อินเตอร์เนชั่นแนล ไทยแลนด์, เป๊ปซี่ ภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ฟริโต-เลย์ ไทยแลนด์, จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่, ออเร้นจ์ และ กลุ่มบริษัทในเครือเทเลคอมเอเชีย (ปัจจุบันคือ ทรู คอร์ปอเรชั่น) ปัจจุบัน ‘อภิรักษ์’ เป็นเจ้าของและประธานกรรมการบริหาร บริษัท วีฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากพืชผลทางการเกษตร

ในช่วงที่ ‘อภิรักษ์’ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการทำโครงการสำคัญต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับคนกรุงเทพฯ อาทิ การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนรถไฟฟ้า BTS*, การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ, การพัฒนาคุณภาพการศึกษา, การวางผังพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน ส่วนผลงานด้านการต่างประเทศ ‘อภิรักษ์’ ได้สร้างชื่อเสียงให้กับกรุงเทพฯ เป็นอย่างมาก ด้วยการสร้างความสัมพันธ์อันดีและทำการแลกเปลี่ยนความคิดในการพัฒนากรุงเทพฯ ร่วมกับเมืองหลวงสำคัญ ๆ ทั่วโลก เช่น ปักกิ่ง, แต้จิ๋ว, โซล, ฟุกุโอกะ, ฮานอย, ลิเวอร์พูล, วอชิงตัน ดี.ซี., บริสเบน เป็นต้น 

(*รถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายด้านฝั่งธนบุรีนั้น รัฐบาลทักษิณไม่อนุมัติงบประมาณให้ดำเนินการ แต่ ‘อภิรักษ์’ ไม่รอ ด้วยเกรงว่าหากการก่อสร้างล่าช้าจะทำให้พี่น้องประชาชนฝั่งธนบุรีเสียประโยชน์ จึงตัดสินใจดำเนินการโดยใช้งบประมาณจำนวนมหาศาลของกรุงเทพมหานครเอง)

นอกจากนั้นแล้ว ‘อภิรักษ์’ ยังได้รับเกียรติให้เป็นผู้บรรยายกิตติมศักดิ์ในงานสัมมนาระดับโลกมากมาย อาทิ การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน (ASEAN 100 Leadership Forum) ในปี พ.ศ. 2542 ณ ประเทศสิงคโปร์ และในปี พ.ศ. 2544 ณ ประเทศเวียดนาม รวมถึงการประชุมสุดยอดผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม (C40 Cities Climate Summit) ณ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อ ‘อภิรักษ์’ ทำงานด้วยความตั้งใจจนครบวาระ 4 ปีในสมัยแรก ทำให้ ‘อภิรักษ์’ ได้รับชัยชนะการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเป็นสมัยที่ 2 ด้วยคะแนนโหวตเกือบ 1 ล้านคะแนน

สิ่งหนึ่งที่ ‘อภิรักษ์’ ทำแล้วเป็นเรื่องใหม่ในวงการเมืองไทยคือ เมื่อ 13 มีนาคม พ.ศ. 2551 ‘อภิรักษ์’ ได้ยุติการทำหน้าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครชั่วคราว พร้อมกับได้ตั้ง ดร.วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าฯ รักษาการแทน อันเนื่องมาจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) แจ้งข้อกล่าวหาว่ามีความผิดกรณีซื้อรถดับเพลิงและเรือดับเพลิง ทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงการแจ้งข้อกล่าวหาเท่านั้น ยังไม่ได้เป็นการชี้มูลความผิดหรือส่งเรื่องขึ้นสู่การพิจารณาคดีของศาลแล้ว 

...และ 12 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน หลังจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) มีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดในคดีนี้ ‘อภิรักษ์’ ได้แถลงข่าวลาออกจากตำแหน่งในเวลา 15.30 น. โดยที่กฎหมายไม่ได้มีผลบังคับให้ต้องลาออกแต่อย่างใด แต่ ‘อภิรักษ์’ ระบุว่าต้องการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับการเมืองไทย 

...และในที่สุดเมื่อ 10 กันยายน พ.ศ. 2556 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำตัดสินให้นายอภิรักษ์พ้นข้อกล่าวหาในคดีรถดับเพลิง เนื่องจากเป็นการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญา ซึ่งมีผลก่อนหน้าที่จะเข้ารับตำแหน่งแล้ว และได้มีการดำเนินการเพียรพยายามรักษาผลประโยชน์ของ กทม. จนได้รับผลประโยชน์คืนให้กับ กทม. อีก 250 ล้านบาท 

สำหรับป้ายไวนิลสติกเกอร์ ‘กรุงเทพฯ-Bangkok’ ซึ่งมาแทนที่ป้ายข้อความ ‘Bangkok City of Life’ นั้น ออกแบบโดยทีม ‘Farmgroup’ จากบริษัท Creative & Design Consultancy จำกัด จากแนวคิดการสร้าง Brand Identity ของกรุงเทพมหานครให้เกิดขึ้นเช่นเดียวกับมหานครอื่น ๆ ดังตัวอย่างเช่น ‘I love NY’ ของมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ หรือ ‘Amsterdam’ ของกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ด้วยปัจจัยองค์ประกอบที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น บริบทของกรุงเทพมหานคร ความหลากหลาย สีที่มีความหมายสื่อถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปจนกระทั่งนโยบายของผู้บริหาร

ป้ายไวนิลสติกเกอร์ ‘กรุงเทพฯ-Bangkok’ ที่มาใหม่นี้ มีทั้งผู้ที่ชื่นชอบและผู้ที่ไม่เห็นด้วย โดยกลุ่มผู้ที่ชื่นชอบเห็นว่าป้ายไวนิลสติกเกอร์ ‘กรุงเทพฯ-Bangkok’ นี้ออกแบบเป็นไปตามเอกลักษณ์ขององค์กร หรือ ‘Corporate Identity’ (CI) ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้มานานแล้วทั้ง สี ฟ้อนต์ และลวดลาย ล้วนมีความหมายสอดคล้องกับเอกลักษณ์ขององค์กรทั้งสิ้น 

ส่วนกลุ่มผู้ที่ไม่เห็นด้วยมองก็ว่าป้าย ‘Bangkok City of Life’ ของเดิมโดยเฉพาะตรงแยกปทุมวันนั้น มีความคลาสสิก เรียบง่าย สวยด้วยตัวเอง ดูไม่ทื่อ ๆ แบบฟอนต์ราชการ ถือเป็นรสนิยมดี ๆ ที่ซื้อด้วยเงินไม่ได้ 

ส่วนในมุมมองของผู้เขียนบทความเห็นว่า ป้ายอันเก่า หากได้รับการฟื้นฟูสภาพ ก็น่าจะดูดี ทั้งคงความคลาสสิก ส่วนป้ายแบบใหม่หากเป็นป้ายวาดแบบป้ายเก่าก็อาจจะดูดี หรือพอจะรับได้มากกว่าป้ายไวนิลสติกเกอร์เช่นที่พึ่งจะติดตั้งสำเร็จเสร็จสิ้นในขณะนี้

‘สว.กมธ.’ ชี้ จ่อพิจารณา ‘กม.สมรสเท่าเทียม’ 18 มิ.ย.นี้ ยืนยัน!! สาระสำคัญไม่ได้หายไป พร้อมทันใช้ปีนี้แน่นอน

(31 พ.ค. 67) ที่รัฐสภา น.ส.ปิยฉัฏฐ์ วันเฉลิม สว.ในฐานะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียม วุฒิสภา กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (กฎหมายสมรสเท่าเทียม) ว่า พิจารณาครบหมดแล้วทั้ง 69 มาตรา ซึ่งในชั้นกมธ.ฯ ไม่ได้มีการแก้ไขมาตราใด แต่มีผู้แปรญัตติเพียง 2 คน คือ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร สว. ที่มีการเสนอแปรญัตติขอให้กฎหมายมีผลบังคับใช้วันถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ส่วน พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร สว.ของแปรญัตติแก้ไข ถ้อยคำเพียงเล็กน้อย ซึ่งไม่ได้ทำให้สาระสำคัญหายไป

“กมธ.ฯ ส่วนใหญ่ยังเห็นว่าควรบังคับใช้หลังจาก 120 วัน นับจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เนื่องด้วยเป็นช่วงเวลาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ได้มีเวลาเตรียมการ เช่น เตรียมทะเบียนสมรสที่จะใช้ และออกระเบียบให้สอดคล้องกับ หลักศาสนาของเจ้าหน้าที่ที่เป็นมุสลิมเพื่อง่ายต่อการปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น” น.ส.ปิยฉัฏฐ์ กล่าว

น.ส.ปิยฉัฏฐ์ กล่าวต่อว่า สำหรับการพิจารณาเบื้องต้นจะมีการบรรจุระเบียบวาระในวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ในช่วงเปิดสมัยประชุมสภาวิสามัญ ซึ่งในประเด็นที่มีการแปรญัตติ ก็ให้ที่ประชุมลงมติชี้ขาด ทั้งนี้ยืนยันว่า กฎหมายฉบับนี้พร้อมบังคับใช้ภายในปีนี้แน่นอน

'ลุงป้อม-พปชร.' ค้านสุดตัว นิรโทษฯ เหมาเข่งคดี 112 ยัน!! จุดยืนสำคัญของพรรค คือ การปกป้องสถาบันฯ

(31 พ.ค. 67) นายไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาศึกษาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงจุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ในการพิจารณาแนวทางการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่จะรวมมาตรา 112 ด้วยหรือไม่นั้น ว่า “จุดยืนของพรรคพลังประชารัฐ ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ตั้งแต่ต้นคือเราไม่เห็นด้วยที่จะมีการแก้ไขมาตรา 112 และไม่สนับสนุนให้มีการนำมาตรา 112 มาอยู่ในการนิรโทษกรรม เพราะหลักการที่สำคัญที่สุดของพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประวิตร คือ การปกป้องสถาบัน เป็นสิ่งสำคัญที่สุด”

‘ธนกร’ เผย ‘พีระพันธุ์’ กำชับ สส. ของพรรค ให้ลุยงานเพื่อ ปชช. เดินหน้าในสภาอย่างต่อเนื่อง ชี้!! วาระด่วนเร่ง ‘แก้ กม.ประชามติ-ถกงบ 68’

(1 มิ.ย.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า ช่วงที่ปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้าง ได้กำชับ สมาชิกและสส. ของพรรค ให้ลงพื้นที่รับฟังเสียงประชาชนและทำงานอย่างต่อเนื่อง และเป็นช่วงปิดสมัยประชุมก็ตาม เพื่อสานต่ออุดมการณ์พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ให้สมาชิกรวมทั้งสร้างชาติทุกคนทำงานเพื่อชาติสถาบันพระมหากษัตริย์และเพื่อประชาชน สิ่งที่ทำแล้ว ก็ยังคง เดินหน้า ทำต่อไป 

ทั้งนี้ ล่าสุดมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญแห่งรัฐสภา ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2567 สส. รวมไทยสร้างชาติพร้อมที่จะร่วมประชุมอย่างเต็มที่เพื่อมีการพิจารณากฎหมายสำคัญโดยเฉพาะ วันที่ 18 มิ.ย. 67 มีการพิจารณาเนื้อหาการเสนอแก้ไข พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่) พ.ศ. ของรัฐบาล โดยจะมีการแก้เนื้อหา เช่นวันที่ให้ประชาชนเดินทางไปออกเสียงประชามติ,การเพิ่มช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการออกเสียง เป็นต้น

ส่วนวันที่ 19-21 มิ.ย.67 จะเป็นการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 เพื่อการพิจารณาวางกรอบงบประมาณการใช้จ่ายให้เกิดประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล กระทรวงและหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ จะส่งผลให้การดูแลพี่น้องประชาชนได้ดีมากยิ่งขึ้น

“รวมไทยสร้างชาติทุกคนเรา มี DNA จิตวิญญาณอุดมการณ์การทำงานการเมือง จากพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งแต่แรกเริ่ม แม้เวลาผ่านไปและพล.อ.ประยุทธ์จะไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแล้ว วันนี้เรายังคงยึดมั่นในอุดมการณ์เช่นเดิม คือการทำเพื่อชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์และเพื่อประชาชนเป็นที่ตั้ง ตามแนวนโยบายของลุงตู่เสมอมา ไม่ว่าจะทำงานในสภาหรือการทำงานพื้นที่ลงพบปะรับฟังเสียงสะท้อนปัญหาจากประชาชน สิ่งที่ทำแล้ว ยังคงทำอยู่ และมุ่งมั่นทำต่อไป” นายธนกร กล่าว

‘สมคิด’ ฟาด ‘โรม’ มาแอ็กชันที่ ‘ทำเนียบ’ เพื่อให้ตัวเองเป็นข่าว ไม่เหมาะสม ชี้!! ควรไปทำหน้าที่ในสภาฯ ย้ำ!! เพื่อไทยไม่ไร้มือกฎหมาย ใครเก่งก็เชิญมาช่วย

(1 มิ.ย.67) นายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และสมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ระบุว่าถึงการที่นายกรัฐมนตรี ตั้งนายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เพราะพรรคเพื่อไทยขาดมือกฎหมายที่เข้าใจการบริหารราชการแผ่นดิน ว่า จริง ๆ แล้วนายรังสิมันต์ โรม เป็นสส.อยู่แล้ว ถ้านายกฯทำอะไรไม่ถูกต้อง ก็มีสิทธิ์ตั้งกระทู้ถามในสภาได้ หรือถ้าไม่ไว้วางใจก็สามารถยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจได้อยู่แล้ว แต่การที่จะมาไล่ยื่นที่ทำเนียบเพื่อให้เป็นข่าว เอาแอ็กชันตัวเองนั้น เป็นการกระทำที่ไม่สมควร เหมือนว่ามาบุกทำเนียบแล้วทวงถาม คุณเป็นฝ่ายค้านมีสิทธิ์ถามเต็มที่อยู่แล้ว และรัฐบาลก็พร้อมจะตอบคำถามในสภา อยากให้ต่างคนต่างทำหน้าที่ สังคมการเมืองจะได้น่าอยู่

ส่วนเรื่องที่นายกรัฐมนตรี จะตั้งนายวิษณุ หรือตั้งใคร ก็เป็นอำนาจนายกฯ เพราะคงจะมองว่าใครที่ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองได้ เราก็ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ใครจะอยู่ฝ่ายไหนไม่สำคัญ สำคัญว่าเข้ามาช่วยประเทศชาติก็ดีทั้งนั้น อย่าไปตั้งอคติจนเกินไป อย่าไปคิดทางการเมืองมากนัก บ้านเมืองเราจะเดินไม่ได้

"ไม่เกี่ยวว่ารัฐบาล หรือพรรคเพื่อไทยไม่มีความพร้อมด้านมือกฎหมาย แต่เกี่ยวที่ใครมีความสามารถก็เชิญมาช่วยงานกัน เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง ไม่ได้เพื่อใครเลย ฉะนั้นหน้าที่ฝ่ายค้านถ้าไม่วางใจยังไงค่อยว่ากันในสภา นายกฯพร้อมจะไปตอบ" นายสมคิด กล่าว

‘สว.วันชัย’ โพสต์เฟซบุ๊กฟาด ‘พวกหากินกับความขัดแย้ง’ ชี้!! เห็นคนรัก ‘ทักษิณ’ แล้วใจสั่น จิตใจเต็มไปด้วย ‘อคติ’

(1 มิ.ย.67) นายวันชัย สอนศิริ สมาชิกวุฒิสภา โพสต์เฟซบุ๊ก หัวข้อ ‘มนุษย์ที่หากินกับความขัดแย้ง จะเป็นจะตายกับความสงบ’ ระบุถึงอาการของคนประเภทหนึ่งที่สนุกสนานกับการทะเลาะเบาะแว้งของคนในสังคม ดังนี้ มนุษย์ที่หากินกับความขัดแย้ง จะเป็นจะตายกับความสงบ

เท่าที่ผมสังเกต มันมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ที่ทำมาหากินอยู่กับความขัดแย้งในสังคมไทย พวกนี้จะมีความสุขสนุกสนานและความมัน กับการทะเลาะเบาะแว้งของคนในสังคม ถ้าบ้านเมืองสงบเรียบร้อย คนพวกนี้จะเป็นโรคซึมเศร้าเหงาหงอย กระเสาะกระแสะหมดเรี่ยวหมดแรง

อาการที่ปรากฏของคนพวกนี้คือ 

1.เป็นพวกอคติ มีความโกรธเกลียดอย่างรุนแรงเข้ากระดูกดำ 

2.เป็นพวกจินตนาการเพ้อฝัน ดันทุรังอยู่กับอดีต

3.หาเรื่องปรุงแต่งไปเรื่อย ฟุ้งซ่าน ไปวัน ๆ เอาแต่ด่า ด่า ด่า 

4.จับแพะชนแกะ โยงไปโยงมา หาเรื่องให้วุ่นวาย 

5.ยิ่งเห็นคุณทักษิณ ไปโน่นมานี่ มีคนแห่แหน จะมีอาการเนื้อเต้นเส้นกระตุก หัวใจสั่น หูหนาตาแดง ปัสสาวะฉุนขุ่นเหลือง

ก็ไม่รู้จะเยียวยาอย่างไร สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ไปสงบจิตสงบใจ ไหว้หลวงพ่อสัมฤทธิ์ประสิทธิโชค วัดไก่เตี้ย เขตตลิ่งชัน บ้างก็ดี

‘เกณิกา’ ใส่ชุดใหญ่ ‘รังสิมันต์ โรม’ พูดเอามัน ตีกินไปวันๆ ‘มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ’ ยัน!! รัฐบาลพร้อมบริหารประเทศ ใช้คนมีประสบการณ์ ย่อมเป็นประโยชน์แก่ ปชช.

(1 มิ.ย.67) น.ส.เกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุถึงการที่ท่านนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน แต่งตั้งนายวิษณุ เครืองาม เป็นที่ปรึกษาของนายกฯ เพราะขาดมือกฎหมาย ไม่มีความพร้อมในการบริหารราชการแผ่นดิน ว่า ไม่เป็นความจริงเหมือนที่นายรังสิมันต์พูดอย่างแน่นอน รัฐบาลมีความพร้อมในการบริหารงานอย่างเต็มที่ นโยบายหลายเรื่องมีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด การทำงานร่วมกันระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล มีความเหนียวแน่นเป็นเอกภาพ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน การที่ สส.ฝ่ายค้าน พูดเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจกับความพยายามดิสเครดิตรัฐบาล สร้างความสับสน บั่นทอนความเชื่อมั่น

น.ส.เกณิกากล่าวว่า การที่บอกว่านายกฯ และรัฐบาลไม่พร้อมบริหารประเทศนั้น คงเป็นความเข้าใจผิดของนายรังสิมันต์คนเดียว หรืออาจแกล้งไม่เข้าใจ เพราะมักจะพูดเอามัน ตีกินไปวันๆ ที่ผ่านมา พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ต่างเคยเป็นรัฐบาลบริหารประเทศมาแล้วทั้งสิ้น มีผลงานที่ประชาชนจับต้องได้ มีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถในแต่ละด้าน ถ้าไม่พร้อมคงไม่มีใครเสนอตัวลงสนามเลือกตั้งอยู่แล้ว นายกฯ เองก็มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน

“ดิฉันเคารพบทบาทของนายรังสิมันต์ โรม แต่ก็อยากให้ใจกว้างเหมือนท่านนายกฯ เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าไปได้ แม้จะรู้ว่าการแต่งตั้งนายวิษณุ จะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมา แต่ท่านมองเรื่องบ้านเมืองเป็นหลัก การเอาคนที่มีประสบการณ์เข้ามาช่วยงานให้บ้านเมือง ย่อมเป็นประโยชน์กับประชาชนมากกว่าการคำนึงถึงแต่เรื่องการเมือง ดังนั้น การมัวแต่มานั่งจับผิดรัฐบาลใช้ปากทำงาน ชี้นิ้วไปมาอย่างเดียว คนจะมองว่ามือไม่พายเอาเท้าราน้ำ” น.ส.เกณิกากล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top