Wednesday, 18 June 2025
Politics

‘ธนกร’ ชี้ ภาคใต้มีความโดดเด่น เรื่องการท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ชู!! ซอฟต์พาวเวอร์ เชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ สร้างรายได้ให้ประเทศ

(26 พ.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ  สส.แบบบัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงกรณีที่นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร นำคณะลงมาเปิดเวทีที่จ.สงขลาแล้วบอกว่า เศรษฐกิจภาคใต้ต่ำกว่าภาคอื่น ว่าในฐานะคนใต้มองว่า การที่นายชัยธวัช จะมาพูดเปรียบเทียบภาคใต้กับภาคอื่นก็ไม่ถูกแล้ว เพราะจุดแข็งจุดอ่อนของแต่ละภาค   มีความแตกต่างกัน เอามาเปรียบกันไม่ได้ โดยต้องยอมรับว่า ภาคใต้มีความโดดเด่นเรื่องจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทางทะเล มากกว่าภาคอื่น จึงเป็นเครื่องยนต์หลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคใต้มาตลอด และรัฐบาลก็มีการสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม อัตลักษณ์ พื้นถิ่นที่เรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์มากขึ้น รวมถึงตัวเลขรายได้ของเกษตร และด้านแรงงานก็ขยายตัวขึ้น ไม่ใช่มีแค่ตัวเลขการท่องเที่ยวที่เพิ่มอย่างเดียว ตามที่นายชัยธวัชและพรรคก้าวไกลพูด  

ทั้งนี้ขออ้างอิง การแถลงของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้แถลง ภาวะเศรษฐกิจภาคใต้ ไตรมาส 2/2567 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2567 ว่าภาคบริการท่องเที่ยว ขยายตัวต่อเนื่อง
จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติขยายตัวในหลายสัญชาติ ทั้งจีน มาเลเซีย ยุโรป จำนวนเที่ยวบินเพิ่มขึ้น โดยอานิสงส์มาจากมาตรการฟรีวีซ่า ภาคตลาดแรงงาน ปรับดีขึ้นต่อเนื่องตามภาคท่องเที่ยวที่ขยายตัว จากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การจ้างงานเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยว

ขณะเดียวกันรายได้เกษตรกร กลับมาขยายตัวจากรายได้ยางพาราตามราคายางที่ขยายตัวมากขึ้นเนื่องจากผลผลิตที่ออกน้อยกว่าปกติ เพราะมีการระบาดของโรคใบร่วง และสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปกติ ส่งผลต่อ ภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกจากการผลิตยางพาราแปรรูปโดยเฉพาะยางผสมที่หดตัวตามคำสั่งซื้อของจีนที่ชะลอในช่วงราคายางสูง รวมถึงน้ำมันปาล์มดิบลดลงตามวัตถุดิบและอากาศที่ร้อนจัดสภาวะแล้ง ซึ่งก็มีปัจจัยแวดล้อมทั้งประเทศคู่ค้าและสภาพอากาศที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

“ที่นายชัยธวัช  บอกว่า ภาคใต้ไม่มีอย่างอื่นโตเลย นอกจากการท่องเที่ยว ในฐานะคนใต้ คิดว่าเป็นการพูดเกินจริงและด้อยค่าภาคใต้มากเกินไป แม้ส่วนอื่นจะไม่ได้โตมากเท่าที่คาดการณ์ก็ตาม ซึ่งมาจากหลายปัจจัย ประเทศคู่ค้าและสภาพอากาศ ซึ่งเมื่อดูตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวมของภาคใต้ก็ถือว่าโตต่อเนื่อง และเมื่อมาวิเคราะห์การสรุปในเวทีที่นายชัยธวัชและพรรคก้าวไกลพูดที่สงขลา มีเจตนาต้องการปฏิรูปโครงสร้างทั้งระบบ จึงขอถามว่า โครงสร้างที่พรรคก้าวไกลพูดนั้นหมายถึงอะไร ทั้งเป็นเรื่องจัดการโครงสร้างที่ดินใหม่ การกระจายอำนาจและอื่นๆ ทั้งหมดนี้ เป็นการด้อยค่าไม่พอ ยังมีเจตนาอื่นแอบแฝงด้วยหรือไม่ มองชัดว่าต้องการสร้างประเด็นเพื่อหวังผลทางการเมือง” นายธนกร กล่าว

ยกย่อง 'ถาวร เสนเนียม' ขรก.การเมืองน้ำดี ผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับจังหวัดสงขลา

เมื่อช่วงเช้าวันที่ 26 พ.ค.67 ที่ผ่านมา สมาคมชาวจังหวัดสงขลาได้จัดพิธีบำเพ็ญกุศลแด่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรี และอดีตนายกรัฐมนตรี ที่วัดบวรนิเวศน์วรวิหาร

ช่วงบ่ายเป็นการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี และในโอกาสเดียวกันได้ทำพิธีมอบโล่เชิดชูเกียรติให้กับคนดีศรีแผ่นดินสาขาต่างๆ

สำหรับคนดีศรีแผ่นดินสาขาข้าราชการการเมืองผู้ทำคุณประโยชน์ให้จังหวัดสงขลา คือ นายถาวร เสนเนียม อดีต สส.สงขลา อดีตรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย / อดีตรัฐมนตรีช่วยคมนาคม

ถาวร เสนเนียม ก่อนจะมาเป็นนักการเมือง ก็เป็นข้าราชการอัยการ ในเวลาเดียวกันก็ทำธุรกิจอีกหลายอย่าง เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์, ธุรกิจโรงโม่ เป็นต้น แต่ถึงเวลาหนึ่งตัดสินใจลาออกจากราชการ กระโดดเข้าสู่เวทีการเมือง และประสบความสำเร็จในนามพรรคประชาธิปัตย์ จนได้รับความไว้วางใจให้เข้าไปทำหน้าที่ฝ่ายบริหารมาแล้วสองสมัย สองกระทรวง

เมื่อศาลตัดสินให้ต้องโทษจำคุก จากคดี ชุมนุมทางการเมือง 'ถาวร' จึงต้องจำจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยข้อกำหนดของระเบียบพรรค ห้ามคนต้องโทษจำคุก เป็นสมาชิกพรรค

ถาวรก้าวเข้าสู่พรรคไทยภักดี แต่การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคไทยภักดีไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง 'ถาวร' จึงเดินออกมา และเข้าสู่ร่ม 'พรรครวมไทยสร้างชาติ'

อนาคตทางการเมืองของ 'ถาวร' ในวัย 70 กว่า สุขภาพยังแข็งแรง และน่าจับตามองว่าจะก้าวเดินต่อไปอย่างไร

เบิกเนตร!! ประวัติศาสตร์ 2475 เริ่มกระจ่าง ก่อการเพื่อ 'คณะราษฎร' หรือ 'คนไทย'

ปีนี้เป็นปีที่ 92 หลังจากการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย พ.ศ. 2475 จากระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ เป็นระบอบ ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข’ 

ขออธิบายสั้น ๆ สำหรับผู้ที่อาจไม่เข้าใจในระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’

ระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ (Absolute Monarchy) เป็นระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ปกครองและทรงมีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ 

ปัจจุบันทุกวันนี้ยังมีประเทศที่ปกครองด้วยระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ อันได้แก่ 

(1) Negara Brunei Darussalam
(2) Kingdom of Eswatini (Swaziland เดิม)
(3) Kingdom of Saudi Arabia
(4) Sultanate of Oman
(5) Vatican City State 
และ (6) United Arab United Arab Emirates (ประกอบด้วย 7 รัฐ Emirates ซึ่งทั้ง 7 รัฐปกครองด้วยระบอบ ‘สมบูรณาญาสิทธิราชย์’ ทั้งสิ้น) 

โดยคุณภาพชีวิตของประชาชนพลเมืองทั้ง 6 ประเทศนี้จัดว่า ‘ดีมาก’ แม้แต่ Kingdom of Eswatini ซึ่งอยู่ในทวีปแอฟริกา สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนก็ยังอยู่ในอันดับปานกลางค่อนข้างดีเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

คราวนี้มาถึงเรื่องของไทยเรา ... หลังจากมีการนำเสนอ 2475 Dawn of Revolution ภาพยนตร์ Animation ที่บอกเล่าเรื่องราวอันเป็นข้อเท็จจริงของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475

แอนิเมชันเรื่องนี้ได้ขยายความจริงบางประการให้พี่น้องประชาชนคนไทยได้รับทราบถึงข้อเท็จจริง ความเป็นมา รายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องระหว่างระบอบประชาธิปไตยกับสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย ซึ่งอันที่จริงแล้วมีการเตรียมการ (ประชาธิปไตย) มาตั้งแต่รัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 4 เริ่มจากการจัดตั้งการปกครองส่วนท้องถิ่นขึ้นเป็นครั้งแรกในรูปแบบสุขาภิบาลที่ท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2441 แล้ว

ต่อมาในรัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาขึ้นมา 2 สภา ได้แก่ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาในพระองค์ในปี พ.ศ. 2417 อีกทั้งทรงสร้างความเท่าเทียมเสมอภาคของประชาชนด้วยการเลิกทาสในปี พ.ศ. 2448 รวมถึงยังทรงออกประกาศให้มีการนับถือศาสนาโดยอิสระในราชอาณาจักรสยาม ขณะเดียวกันก็ทรงใช้ระบบเขตการปกครองใหม่ เช่น มณฑลเทศาภิบาล จังหวัด และอำเภอ และทรงประกาศตั้งกระทรวงขึ้นอย่างเป็นทางการจำนวน 12 กระทรวง เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2435 อีกด้วย

พอครั้นถึงรัชสมัยของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ก็ได้ทรงตั้งดุสิตธานีเมืองจำลองขึ้นในปี พ.ศ. 2461 เพื่อเป็นแบบทดลอง 'นครตัวอย่าง' ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยมีลักษณะเป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบของเทศบาลที่ดัดแปลงมาจากประเทศอังกฤษ 

ในรัชกาลต่อมา ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงมีพระราชดำริให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้น 2 ฉบับ คือ Outline of Preliminary Draft ของพระยากัลยาณไมตรี (Francis B. Sayre) และ An Outline of Changes in the Form of the Government ของนาย Raymond B. Stevens และพระยาศรีวิสารวาจา (เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล) ... แต่ร่างรัฐธรรมนูญดังกล่าวซึ่งจะพระราชทานในวันที่ 6 เมษายน 2475 ถูกคัดค้านจากอภิรัฐมนตรีสภา (คณะที่ปรึกษาชั้นสูงสุด) ด้วยเหตุผลสำคัญว่า ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร อันเนื่องจากราษฎรยังมีการศึกษาไม่ดีพอ จึงเกรงว่าเมื่อพระราชทานรัฐธรรมนูญแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในภายหลัง

เมื่อคณะราษฎรทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 ทรงประทับอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล หัวหิน ก็ไม่ได้ทรงต่อต้านขัดขวางการกระทำของคณะราษฎรแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ยังทรงมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบังคับบัญชาหน่วยทหารทั้งหมดที่อยู่นอกพระนคร รวมทั้งกองทัพเรือซึ่งไม่ได้เข้าร่วมในการก่อการกับคณะราษฎร 

ไม่เพียงเท่านี้ ยังทรงยินยอมเสด็จนิวัตพระนครตามคำกราบบังคมทูลเชิญ (แกมบังคับ) ของคณะราษฎร และทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่คนไทยตามที่คณะราษฎรผู้ก่อการปฏิวัติต้องการ ด้วยแท้ที่จริงแล้ว ได้ทรงตั้งพระทัยที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนอยู่แล้ว เพราะได้ทรงให้มีการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญจนเสร็จสิ้นแล้วนั้นเอง

ต่อมาได้เกิดการคัดค้านการพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนของอภิรัฐมนตรีสภา ด้วยเกรงว่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองในภายหลัง และได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นจริงในเวลาต่อมาเมื่อ 25 ปีหลังการปฏิวัติ 2475 อำนาจในการปกครองบริหารบ้านเมืองถูกแย่งชิงในมือของสมาชิกคณะราษฎร จนถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารตัดวงจรอำนาจทางเมืองของคณะราษฎรในปี พ.ศ. 2500 

ถือเป็น 25 ปีที่คณะราษฎรไม่เคยสนใจหรือใส่ใจในการให้ความรู้ความเข้าใจในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยให้กับชาวบ้านประชาชนเลย จึงกลายเป็นผลกระทบในด้านลบทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของไทยมาจนทุกวันนี้ เพราะการขับเคลื่อนการเมืองในระบอบประชาธิปไตยจะมีความเข้มแข็ง และยั่งยืน สิ่งแรกที่ประชาชนจำเป็นจะต้องมีก็คือ ‘วุฒิภาวะทางการเมือง’ 

‘วุฒิภาวะทางการเมือง’ (Political maturity) เริ่มต้นจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ดีของประชาชน อาทิ เคารพและปฏิบัติตามกฎหมาย ทำหน้าที่พลเมืองอย่างถูกต้องและครบถ้วน เคารพสิทธิและเสรีภาพของตนเองและผู้อื่น เคารพบรรทัดฐานเดิมของสังคมในเรื่องที่ถือว่ามีคุณค่าหลักร่วมกันของสังคม การเคารพคุณค่าและความเห็นต่างของผู้อื่นด้วยการไม่เหยียดหยามด้อยค่าศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ฯลฯ เห็นประโยชน์ของส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ของส่วนตน และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ต้อง ‘รู้เท่าทันและไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’ 

เพราะ 92 ปีของประเทศ ภายใต้ระบอบ ‘ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข’ สิ่งที่บ้านเมืองของเรามีปัญหาและเสียโอกาสมากที่สุดเกิดจากการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ประชาชนคนไทยส่วนไม่รู้เท่าทันจนทำให้เกิดเป็น ‘วงจรอุบาทว์’ เช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยมีวงรอบของ ‘วงจรอุบาทว์’  คือ...

'เลือกตั้ง -> จัดตั้งรัฐบาล -> เกิดวิกฤตการณ์จาก ‘การทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมือง -> เกิดการรัฐประหาร  -> ยกเลิกรัฐธรรมนูญ -> ร่างรัฐธรรมนูญ -> กลับมาเลือกตั้งอีก'

ดังนั้นหากไม่สามารถที่จะหยุดยั้งการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ ของนักการเมืองและพรรคการเมืองได้ก็จะมีเหตุทำให้เกิด ‘วงจรอุบาทว์’ อยู่ร่ำไป 

นอกจากความ ‘ไม่รู้เท่าทันจนตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’ จากการ ‘ทุจริตประพฤติมิชอบ’ แล้ว ขณะนี้ยังเกิดการเซาะกร่อนบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ตลอดจนทำให้ความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านเกิดความกินแหนงแคลงใจ ซ้ำร้ายนักการเมืองและพรรคการเมืองฟากฝ่ายที่เป็นปฏิกษัตริย์นิยม ยังไม่ยอมรับความสำคัญในสถาบันหลักของชาติบ้านเมือง (จากใบสั่งจากชาติมหาอำนาจตะวันตก) ด้วยความ ‘ไม่รู้เท่าทัน จนตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองและพรรคการเมือง’

ยิ่งไปกว่านั้น พี่น้องประชาชนคนไทยส่วนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ฉลาด มีความสามารถ และจะเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติต่อไป กลับหลงเชื่อจนตกเป็นเหยื่อและกลายเป็นสาวกให้กลุ่มคนที่ไม่หวังดีต่อชาติบ้านเมืองเหล่านี้ ให้พยายามยึดโยงเอ่ยอ้างว่า ‘ภารกิจ 2475 ยังไม่แล้วเสร็จ’ เพราะเจตนาอันเป็นที่สุด เป็นหมุดหมาย และปลายทางของคนเหล่านี้คือ การใช้ความพยายามอย่างที่สุดเพื่อเปลี่ยนประเทศไทยจาก ‘ราชอาณาจักร’ ให้เป็น ‘สาธารณรัฐ’ นั้นเอง 

ดังนั้น เรื่องราวของการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หากได้ศึกษาพิจารณาด้วยปัญญาโดยมีสติกำกับอย่างถ่องแท้แล้ว ที่สุดจะพบกับความจริงว่า 'การก่อการครั้งนั้น คณะผู้ก่อการทำเพื่อใครกันแน่ ใครที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการก่อการระหว่างบรรดาสมาชิกคณะราษฎรหรือพี่น้องประชาชนคนไทย'

คิดทางขวาง 'เศรษฐา-พิชิต' ประชาธิปไตยแบบลิขิต แต่ 'ไม่ถูกใจ' ก็ใช้สิทธิ 'ตัดตอน' ประชาธิปไตยอยู่ตรงไหน

(27 พ.ค.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, ผู้อำนวยการพรรครวมไทยสร้างชาติ และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ' ระบุว่า...

ก่อนอื่นผมต้องขอเรียนชี้แจงก่อนนะครับ ว่าข้อเขียนของผมเกิดจากความคิดเห็นผมคนเดียว ไม่มีผู้ใดมาเกี่ยวข้องด้วย ไม่ใช่ความเห็นทางกฎหมายเพราะผมไม่ใช่นักกฎหมาย เป็นการเขียนจากความรู้สึกของคน ๆ หนึ่ง ซึ่งมีความสนใจในการเมืองของประเทศเรา 

กรณี 40 ส.ว.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าการแต่งตั้ง ท่านพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีถูกต้องหรือไม่? ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่? ในความเห็นของผม ... ผมอยากกราบเรียนว่า ประเทศไทย เป็นประเทศที่แปลกที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง รักประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการแบบสุดๆ แต่ไม่เคยไว้ใจนักการเมือง 

เมื่อมีอะไรไม่ถูกใจ ก็ไม่อดทนรอคอยขบวนการที่ถูกต้อง รอคอยเวลาตามวงรอบของการเลือกตั้ง ชอบการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วทันใจ รักษาสิทธิตัวเอง แต่ไม่สนใจสิทธิคนอื่น 

สำหรับผมประชาธิปไตยควรเอาความเห็นส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่มีถูกผิด แพ้ชนะ ดำเนินการตามเสียงส่วนใหญ่โดยรบกวนสิทธิของเสียงส่วนน้อยเท่าที่จำเป็น เพื่อให้งานเดินหน้าไปได้ 

ในกรณีท่านพิชิต ชื่นบานนั้น ผมมีมุมมองที่แตกต่างอยู่ 2 ข้อ ข้อแรกคือ ระบบยุติธรรมและการลงโทษ เมื่อศาลพิพากษาและลงโทษแล้ว บุคคลนั้นๆ ได้รับโทษตามคำพิพากษาแล้ว ก็น่าจะเพียงพอ ถ้าเราต้องการลงโทษและแก้ไข ไม่ใช่แก้แค้น ยกเว้นบุคคลนั้นๆ ศาลพิจารณาแล้วว่าเกินเยียวยาเป็นภัยสังคมจนไม่สามารถแก้ไขได้ ศาลก็จะมีคำพิพากษาและมาตรการตามกฎหมายที่เหมาะสมต่อไป 

ดังนั้นในการลงโทษเราควรให้เกียรติและเคารพศาล คำพิพากษาศาลควรถือเป็นที่สุด ไม่ควรมีบทลงโทษอื่นใดมาเพิ่มเติมอีก หากพิจารณาว่าบทลงโทษไม่เหมาะสม หนักหรือเบาอย่างไร ก็ไปแก้ไขกฎหมายในสภาฯ ต่อไป 

ข้อที่ 2 สิทธิทางการเมืองเป็นสิทธิพื้นฐานของบุคคลในระบอบประชาธิปไตย ในวันนี้ ผู้ที่ถูกตัดสินจำคุกมาแล้ว (ยกเว้นลหุโทษหรือโทษโดยประมาท) ไม่สามารถเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ ยังดีที่ให้มีสิทธิลงคะแนนเสียงได้ เหมือนเป็นบุคคลให้หายใจได้ แต่ห้ามเคลื่อนไหวทำอะไร ... สิ่งเหล่านี้ควรแก้ไขหรือไม่? ก็คงแล้วแต่เสียงส่วนใหญ่จะพิจารณา 

ทว่า การเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองนั้น ในเมื่อเราเป็นประชาธิปไตย ทำไมไม่ให้สิทธินายกรัฐมนตรี ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อสภาฯและประชาชน มีอิสระในการพิจารณาคัดสรร?

หากผู้ที่เลือกมาไม่ดีไม่เป็นที่ถูกใจ ย่อมเป็นผลเสียต่อคะแนนเสียงของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเอง เพราะในระบอบประชาธิปไตย 'คะแนนเสียงสำคัญสุด...ใช่หรือไม่?' ในปัจจุบันการเลือกตั้ง คะแนนเสียงประชาชนนับหมื่นจะไม่มีความหมายเลย หากไม่สามารถผ่านความเห็นของ กกต.เพียงไม่กี่คนได้

แล้วเราจะมีศาลเอาไว้ทำไม? ถ้ามีองค์กรอื่นที่สามารถตัดสินข้างต้นเหมือนศาลได้ 

ดังนั้น หากบุคคลที่ลงสมัครรับเลือกตั้งหรือที่ได้รับเลือกมาเป็นรัฐมนตรีนั้น กระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องได้รับโทษ และหากการทำผิดกฎหมายนั้นเกี่ยวพันถึงใคร ผู้นั้นก็ต้องร่วมรับโทษด้วย โดยมี 'ศาล' เป็นผู้ตัดสิน

เฉกเช่นเดียวกันกับกรณีของท่านเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีนั้น อย่างที่ผมกล่าวไว้ข้างต้น ตามหลักการในระบอบประชาธิปไตย ท่านควรมีอิสระในการเลือกบุคคลมาดำรงตำแหน่งต่างๆ ทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งในกรณีนี้ ผมขอชื่นชมท่านในฐานะผู้นำ ที่เมื่อเลือกใช้งานใครแล้ว ก็กล้าที่จะไว้วางใจให้ทำงาน ... การปฏิบัติเช่นนี้ ผู้ที่ทำงานด้วยย่อมมีความมั่นใจและอบอุ่นใจในการทำงานให้ ผมขอยกย่องในภาวะผู้นำของท่าน

ความคิดของผม หากไม่ถูกใจท่านใด ผมก็ต้องกราบขออภัยมา ณ โอกาสนี้ คิดอย่างไรก็เขียนไปอย่างนั้น เป็นการซื่อสัตย์ต่อตนเอง แต่ก็พร้อมน้อมรับและปฏิบัติตามเสียงส่วนใหญ่ ขอได้โปรดเมตตาแนะนำ หากความคิดผมไม่ถูกต้อง เพื่อผมจะได้นำไปพัฒนาความคิดและองค์ความรู้ส่วนตัวต่อไป ขอขอบพระคุณทุกคำติและคำชมของทุกท่าน ด้วยความเคารพครับ

'นายกฯ สมาคมทนายฯ' ฟันธง!! 'เศรษฐา' รอดปมเสนอชื่อ 'พิชิต' นั่งรมต. ชี้!! หน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการคัดสรรอยู่ที่ 'สลค.'

(27 พ.ค. 67) เฟซบุ๊ก ‘สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย’ โพสต์ข้อความ ‘บันทึกจากนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย’ นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ดังนี้...

บันทึกจากนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย

กรณีตามข้อกล่าวหาของ 40 สว. ที่อ้างว่านายพิชิต ชื่นบาน มีคุณสมบัติขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 160 (4) และ (5) การที่นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อนายพิชิต ทูลเกล้าฯ ให้พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี จึงทำให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) นั้น

ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 158 บัญญัติให้อำนาจ นายกรัฐมนตรีเป็นผู้คัดสรรผู้ที่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี และเป็นผู้นำรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดสรรขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี

แต่อำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับการคัดสรร เป็นหน้าที่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) โดยผู้ที่ได้รับการคัดสรรจะเป็นผู้กรอกประวัติของตน จากนั้นเมื่อ สลค. ได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่าผู้ได้รับการคัดสรรมีคุณสมบัติครบถ้วนไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะนำความกราบเรียนนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อผู้ได้รับการคัดสรรขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายต่อไป

ดังนั้น  เมื่อคุณสมบัติของนายพิชิตได้รับการตรวจสอบโดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่และอำนาจแล้ว การที่นายกรัฐมนตรีนำรายชื่อของนายพิชิตฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ จึงมิได้เป็นการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริตตามมาตรา 160 (4) และที่อ้างว่าไม่ได้สอบถามสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก็เพราะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ไม่ใช่ข้อกฎหมายที่ต้องสอบถาม ส่วนข้อกล่าวหาตาม 160 (5) ว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงนั้น ก็อยู่ในอำนาจการไต่สวนของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา 234 (1) และเป็นอำนาจวินิจฉัยของศาลฎีกาตามมาตรา 235 (1) ส่วนศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจวินิจฉัยในประเด็นนี้ ความเป็นรัฐมนตรีของนายกรัฐมนตรี จึงไม่สิ้นสุดลงจากข้อกล่าวหาของ 40 สว.

นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์
นายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย
27 พฤษภาคม 2567

‘อานันท์ ปันยารชุน’ ฝากถึงผู้ใหญ่ในสังคม “สนุกมากหรือที่เห็นเด็กเข้าคุก สนุกมากหรือที่เห็นเด็กทรมาน และไม่ได้ประกันตัว ทำได้อย่างไร ไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ จับเด็กเข้าคุกเป็นว่าเล่น”

(27 พ.ค.67) จากคอลัมน์ ‘กวนน้ำให้ใส’ ของ ‘แนวหน้า’ ได้เผยถึงกรณีที่ นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาเปิดการเสวนา เรื่อง ‘ฉากทัศน์อนาคตสังคมไทย’ เมื่อวันที่ 24 พ.ค. 67

โดยเนื้อหาบางส่วน มีการโจมตีกล่าวหาว่ามีคนบางกลุ่มใช้คำว่า ‘รักชาติ’ จนไม่รู้ว่ารักอย่างไร รักชาติจนทำให้คนอื่นไม่มีที่ยืน หากใครมีความคิดแตกต่างก็มองเป็นศัตรูหมด

นายอานันท์ กล่าวว่า สำหรับฉากทัศน์ของสังคมไทยก็อาจคล้ายกับฉากทัศน์ในสังคมอื่น ๆ แต่สังคมไทย เป็นสังคมที่เสื่อมลงเรื่อย ๆ ด้วยน้ำมือคนไทยด้วยกันเอง โดยสาเหตุที่เสื่อมลง เพราะความหูเบา การเชื่อคนง่าย ความอิจฉาริษยาการอาฆาตพยาบาท และอยากมีอำนาจ ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดผลลบกับสังคม

นายอานันท์ เผยอีกว่า คนรุ่นใหม่มีความคิดที่อยากไปอยู่ต่างประเทศมากขึ้น เรื่องนี้คงต้องมาคิดกันว่าจะทำอย่างไรให้เด็กรุ่นใหม่ไม่คิดไปอยู่ต่างประเทศ เพราะอนาคตของประเทศนี้ไม่ได้อยู่ที่คนสืบทอดอำนาจต่างๆ แต่อยู่ที่เยาวชนในสังคม โดยปัญหาเร่งด่วนของสังคมไทย คือ เรื่องการศึกษา ปัจจุบันมีแต่ความเหลื่อมล้ำทุกด้าน และประเด็นสำคัญ คือ ความเหลื่อมล้ำทางโอกาส

ฝากถึงผู้ใหญ่ในสังคมว่า “สนุกมากหรือที่เห็นเด็กเข้าคุก สนุกมากหรือที่เห็นเด็กทรมาน และไม่ได้ประกันตัว ทำได้อย่างไร ไม่ละอายใจตัวเองบ้างหรือ จับเด็กเข้าคุกเป็นว่าเล่น” นายอานันท์กล่าว

1.เนื้อหาที่อดีตนายกฯ อานันท์พูด บางส่วนน่าสนใจ เช่นที่บอกว่า สังคมไทยเสื่อมลง เพราะความหูเบา การเชื่อคนง่ายความอิจฉาริษยา การอาฆาตพยาบาท...

แต่ควรจะพูดให้ชัดว่า ใครหูเบา? ใครหลงเชื่อคนง่าย?

เพราะกลุ่มคนที่ปั่นเฟกนิวส์ ปั่นหัวเยาวชนจนเกิดความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ล้วนอยู่รายรอบการเมืองสีส้มที่คุณอานันท์ให้ความเอ็นดู สนับสนุน อุ้มชู ยกย่องสารพัดนั่นเอง

สารพัดข้อมูลเท็จที่ปั้นจนคนหูเบาเชื่อ และนำไปขยายความ จนถูกดำเนินคดี ติดคุกติดตะราง อาทิ เรื่องแอร์ไม่เย็น เรื่องคอมเพล็กซ์ ฯลฯ ถูกนำไปขยายความให้ร้ายสถาบันอย่างรุนแรง มันเพราะใครที่อาฆาตพยาบาทล่ะ

2.ที่อดีตนายกฯ อานันท์พูดถึงเด็กเข้าคุก ไม่ได้ประกันตัว นี่คือการพูดที่เลือกเข้าข้าง ให้ท้ายการเมืองบางกลุ่ม คือ กลุ่มสีส้มแซะสถาบัน โดยไม่เป็นธรรมกับกระบวนการยุติธรรมชัดเจน

กี่คนที่ถูกดำเนินคดีเพราะจาบจ้วงล่วงละเมิด โจมตีสถาบันอย่างปราศจากความจริง ไม่เป็นธรรมต่อสถาบัน

ส่วนใหญ่ ล้วนแต่ได้รับการประกันตัว แต่บางคนกระทำผิดเงื่อนไขการประกันตัว จึงต้องถูกเพิกถอนการประกัน กลับไปอยู่ในคุก

บางคน ที่ไม่ได้ประกันตัว เพราะมีคดีมากมายหลายคดี เกรงว่าจะหลบหนีเหมือนที่มีหลายคนได้รับการประกัน แต่หลบหนีแล้ว มากกว่า 10 คน

หลายคน ได้ประกันตัว และไม่ทำผิดเงื่อนไข ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่นอกเรือนจำกระทั่งออกมาเรียกร้องเคลื่อนไหวอยู่ในปัจจุบันก็มี (น่าสงสัยว่ากำลังทำผิดเงื่อนไขประกันตัวหรือไม่)

ที่สำคัญ ที่อ้างว่าเด็กนั้น คนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่เด็กแล้ว หลายคนบรรลุนิติภาวะ หลายคนเลยวัยเบญจเพส และบางคนอายุเกิน 30 ปี ไปแล้ว

3.อดีตนายกฯ อานันท์พึงทราบ... ที่ผ่านมา แกนนำการเมืองสีส้ม สส.ก้าวไกล และเหล่าแนวร่วมด้อมส้ม หลับหูหลับตาปั่นหัวสาวก ด้วยวาทกรรมสมองกลวง ทำนองว่า “ไม่ควรมีใครติดคุกเพราะแสดงความเห็น” / “กรณีจำคุกคดี 112 ของ สส.ไอซ์ ตอกย้ำปัญหาของ ม.112” / “แต่ไม่รัก ไม่ควรติดคุก”ฯลฯ

ทั้งหมด ล้วนแต่ เป็นความเท็จที่น่าเวทนา
...ความจริงมันตรงกันข้าม
...คำพิพากษาของคดี 112 ของ สส.ไอซ์ รักชนก ก็ดี
...คำพิพากษาคดี 112 ของนายอานนท์ นำภา ก็ดี
...คำพิพากษาคดี 112 ของทุกคดีของแกนนำแนวร่วมม็อบ 3 นิ้ว ที่ทยอยออกมาในช่วงนี้ก็ดี

หากไปดูรายละเอียดอย่างจริงใจ จะเห็นความจริงว่า คนเหล่านั้น มิได้แสดงความคิดเห็นต่าง แต่เป็นการดูหมิ่น หมิ่นประมาท ด้อยค่า บูลลี่ ใส่ร้าย หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจนทั้งนั้น

3.1.คดี 112 สส.ไอซ์ รักชนก
ศาลอาญา ได้เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์คำพิพากษาคดีนี้เป็นทางการ บางตอนระบุว่า จำเลยใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘ไอซ์ หรือ @nanaicez’ ของจำเลย โพสต์ (tweet) ข้อความว่า...

“พูดตรง ๆ นะ ที่พวกเราต้องมาเจอวิกฤตวัคซีนแบบทุกวันนี้ เริ่มต้นก็เพราะรัฐบาลผูกขาดวัคซีนเพื่อหาซีนให้... สร้างวาทะกรรมของขวัญจากพ่อต่างๆ เล่นการเมืองบนวิกฤตชีวิตของประชาชน ผลสุดท้ายคนที่ชวยที่สุดคือประชาชน #28 กรกฎาร่วมใจใส่ชุดดำ” พร้อมรูปภาพพระบรมฉายาลักษณ์... ประกอบป้ายข้อความว่า “ทรราช (คำนาม) TYRANT; ผู้ปกครองบ้านเมืองที่ใช้อำนาจสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ที่อยู่ใต้การปกครอง” ลงบนแอปพลิเคชันทวิตเตอร์

และจำเลยยังใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘ไอซ์ หรือ @nanaicez’ ของจำเลย โพสต์ซ้ำ (retweet) ข้อความที่ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘CHANI หรือ @ratsinapata’ โพสต์ (tweet) ข้อความว่า “เราไม่เป็นไทจนกว่า...จะถูกแขวนคอด้วยลำไส้ของขุนนางคนสุดท้าย” #ล้มราชวงศ์…” ประกอบข้อความที่ผู้ใช้บัญชีทวิตเตอร์ ‘นิรนาม หรือ @231022’ โพสต์ (tweet) ข้อความว่า “เราจะไม่เป็นไทจนกว่า...จะถูกแขวนคอด้วยลำไส้ของขุนนางคนสุดท้าย” #...เป็นฆาตกร #ม็อบ16ตุลา #16ตุลาไปแยกปทุมวัน” ลงบนแอปพลิเคชันทวิตเตอร์

ข้อความข้างต้นทั้งสองข้อความ ตรงที่ทำ... (จุดจุดจุด) ไว้นั้นมีคำที่ระบุสื่อถึงบุคคลหรือสถาบันที่ไม่เกี่ยวข้องกับการบริหารประเทศ และกล่าวให้ร้าย และขู่อาฆาตอย่างรุนแรง

...นั่นมิใช่การแสดงความเห็นต่าง
...มิใช่การติชมโดยสุจริต
...ลองไปเขียนแบบนี้ กล่าวหาใคร คนนั้นก็เสียหาย และสามารถดำเนินคดีเอาผิดตามกฎหมายได้ทั้งนั้น
...อดีตนายกฯ อานันท์ คิดว่าคำพูดเหล่านั้น เป็นการแสดงความคิดเห็นเยียงปัญญาชนพึงกระทำหรือไม่ ???

คดีนี้ ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จำคุกกระทงละ 3 ปี รวมสองกระทง คงจำคุก 6 ปี

ขณะนี้ คดียังไม่ถึงที่สุด จำเลยยังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว หรือได้ประกันตัว

3.2 คดี 112 นายอานนท์ นำภา
ศาลอาญาพิพากษาจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา จากการกระทำผิด ม.112 ปราศรัยหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ในการชุมนุมม็อบ 14 ตุลา 2563 โดยพฤติกรรมชัดเจนว่ากระทำผิดจริง

คำพูดที่นายอานนท์ปราศรัยแล้วมีความผิดนั้น เป็นการใส่ร้ายปรักปรำกล่าวหาสถาบันพระมหากษัตริย์โดยปราศจากมูลความจริง เข้าข่ายหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ อย่างชัดเจน

นายอานนท์ได้ปราศรัยว่า “...ข้อที่ 3 มาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ข้อเรียกร้องมีสามข้อเท่านั้น วันนี้จะไม่เหมือนเมื่อวานเพราะพี่น้องที่มาจากต่างจังหวัดทยอยมาสมทบกันเรื่อยๆ และ นิสิตนักศึกษาก็ทยอยมาเรื่อยๆ ถ้ามีการสลายการชุมนุมวันนี้ คนที่จะสั่งสลายการชุมนุมมีเพียงคนเดียว คือ... ถ้ามีการสลายการชุมนุม ไม่ต้องไปหาคนอื่นใด”

“อย่างที่ผมเรียนไว้ ถ้ามีการสลายการชุมนุม คนอื่นจะสั่งไม่ได้นอกจาก...”
“อย่างที่บอกถ้าวันนี้มีการสลายการชุมนุม คนที่จะสั่งได้คนเดียว คือ....ให้รู้ไว้เช่นนั้น”

ส่วนที่เว้น ... (จุด จุด จุด) เอาไว้นั้น ระบุถึงบุคคลหรือสถาบัน
ข้อความแบบนี้ คือการใส่ร้ายป้ายสี ปรักปรำด้วยความเท็จ
ไม่ใช่คิดต่าง หรือแสดงความเห็นเชิงหลักการอะไรเลย

อดีตนายกฯ อานันท์คงไม่สนับสนุนให้กระทำแบบนี้ โดยไม่ต้องถูกดำเนินคดีกระมัง

ความจริง คือ ที่ผ่านมา มีคนบางกลุ่มที่ถูกปั่นหัว ชักใย ให้ท้าทาย ทำผิดกฎหมาย มาตรา 112
บางคนติดคุก เพราะทำผิดมาตรา 112 แลกกับผลประโยชน์บางประการ เสียอนาคตตนเองและครอบครัวไป

อย่าหลับหูหลับตาให้ท้าย ‘ส้มแซะสถาบัน’

ลุ้น!! 'ชูศักดิ์ ศิรินิล' เข้าป้ายรัฐมนตรีแทน 'พิชิต ชื่นบาน' หลังทุ่มเทให้ค่ายนี้แบบสุดลิ่ม แค่ไม่มีถุงขนมให้ใคร

ไล่เช็กชื่อบุคคลในพรรคเพื่อไทยในเวลานี้คงไม่มีใครเหมาะสมมากไปกว่า รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคเพื่อไทย ในการเข้าไปนั่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทน พิชิต ชื่นบาน ที่ลาออกไปด้วยเหตุผลถูก 40 สว.ลงชื่อกันให้ตรวจสอบคุณสมบัติ และพิชิต ยอมเป็นม้าให้ขุนกิน

ชูศักดิ์จึงเหมาะสมยิ่งในการเข้ามาดูแลงานด้านกฎหมายให้รัฐบาล เพราะมองซ้ายมองขวาแล้วไม่เห็นใคร

ชูศักดิ์ อดีตอาจารย์รามคำแหง สอนวิชากฎหมาย เคยเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ และไต่เต้ามาจนได้รับเลือกจากชาวรามคำแหง (อาจารย์ นักศึกษา เจ้าหน้าที่) ให้เป็นอธิการบดี

‘ติงลี่’ คือฉายาที่ได้รับจากชาวรามคำแหง ด้วยรูปร่าง หน้าตา บุคลิคตอนวัยหนุ่มใกล้เคียงกับพระเอกหนังจีน ‘ติงลี่’ ไว้หนวดเหนือริมปาก เป็นอธิการบดีต่อ ‘สุขุม นวลสกุล’

ออกจากรามคำแหงก็มุ่งหน้าสู่สายการเมือง ร่วมในภารกิจผลักดันพรรคไทยรักไทยมีตั้งแต่ยุคต้น ๆ และเป็น 1 ในกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย ที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองนานถึงสิบปี

ชูศักดิ์ เมื่อพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ ก็ยังร่วมภารกิจกับเพื่อไทยมาโดยตลอด โดยไม่เคยได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีมาก่อนเลย ทั้ง ๆ ที่เสียสละ ทุ่มเทให้กับค่ายนี้มาโดยตลอด ไม่มีการเรียกร้อง เคลื่อนไหว กดดัน แม้จะมีโอกาสก็ตาม

แม้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ผู้มีอำนาจเต็มจะมองไม่เห็น เพราะเพิ่งเข้ามาทีหลัง แต่เชื่อว่า ‘เจ้าสำนักจันทร์ส่องหล้า’ น่าจะมองเห็นกับผลงานเป็นที่ประจักษ์ ประวัติก็ไม่ด่างพล้อย เพียงแต่ไม่มีถุงขนมให้ใคร

ช่างกล้า!! 'รังสิมันต์ โรม' ยกคดีเผาพระบรมฉายาลักษณ์  แค่เห็นต่างทางความคิดก็ติดคุก แล้วจะปรองดองกันได้ยังไง

(27 พ.ค.67) นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความทางแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ (X) ระบุว่า การที่วันนี้ยังมีคนเข้าสู่เรือนจำเรื่อย ๆ จากการเห็นต่างทางความคิด ไม่เว้นแม้แต่เยาวชนอายุ 21 ปี (คุณปูน ในคดีแอมมี่)และยังมีคนบางกลุ่มมองเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุก เห็นดีเห็นงามกับการบังคับใช้กฎหมายมาตรานี้ ทั้งที่แลกมาด้วยความขัดแย้งที่มากขึ้น ซ้ำเติมรอยร้าวของสังคมให้ชัดเจนมากขึ้น

สังคมเราไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเรื่องนี้เลย โดยเฉพาะกรณีที่ผู้ต้องหาเป็นเยาวชน ถ้าเรายังเพิกเฉยไม่กล้าที่จะแก้ปัญหาร่วมกัน จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่จบสิ้น มีเด็กถูกส่งเข้าคุกมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วเราจะร่วมกันสร้างสังคมที่ปรองดองกันได้อย่างไร

ให้กำลังใจลูกเกด แอมมี่ และทุกคน ๆ ครับ

คดีแอมมี่ที่นายรังสิมันต์ โรม กล่าวถึงคือคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำอ.1199/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ฟ้อง นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือแอมมี่ เดอะ บอตทอม บลูส์ ศิลปิน-แกนนำม็อบป่วนเมือง และนายธนพัฒน์ หรือปูน กาเพ็ง เป็นจำเลย 1-2 ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มาตรา 217 ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3)

อัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อคืนวันที่ 28 ก.พ.2564 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันวางเพลิง โดยใช้น้ำมันก๊าดราดใส่ และจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ซึ่งประดิษฐานติดตั้งบริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมได้รับความเสียหาย นับเป็นการแสดงอาฆาตมาดร้าย ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ต่อมาจําเลยได้นําภาพเข้าและเผยแพร่สู่ระบบคอมพิวเตอร์ ในบัญชีเฟซบุ๊ก ที่ใช้ชื่อว่า ‘The BOTTOM BLUES’ ของจําเลย ซึ่งเป็นการสื่อสารทางอินเทอร์เน็ตที่เปิดเป็นสาธารณะ ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ จึงเป็นการ นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ

ล่าสุดวันนี้จำเลยทั้งสอง พร้อมทนายความเดินทางมาศาล ศาลอาญาพิเคราะห์หลักฐานโจทก์จำเลยทั้งสองแล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันวางเพลิงจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ที่ประดิษฐานอยู่หน้าเรือนจำคลองเปรม หลังกระทำแล้วจำเลยที่หนึ่งได้ใช้บัญชีเฟซบุ๊ก ชื่อ the bottom blues เผยแพร่ภาพไฟไหม้รูปพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 และเปิดเป็นสาธารณะทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าถึงได้ แม้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าไม่ได้ทำเพื่อมุ่งร้ายต่อพระมหากษัตริย์ แต่เป็นการแสดงออกเพื่อเรียกร้องให้ปล่อยตัวนายพริษฐ์ ชิวารักษ หรือเพนกวิน ทั้งนี้การเรียกร้องดังกล่าวจำเลยยังสามารถแสดงออกได้อีกหลายวิธีการที่เลือกเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ย่อมเป็นการใช้สิทธิ์ที่มิใช่สิทธิตามปกตินิยมแม้จะอ้างว่าไม่มีเจตนาต่อพระมหากษัตริย์

แต่โจทก์มีรายงานการสืบสวนและคำเบิกความของพยานจำเลยทั้งสองว่า พยานจำเลยทั้งสองร่วมกับเพนกวินเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองต้องการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์โดยการกระทำที่ไปจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์รัชกาลที่ 10 ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งสอง มีเจตนาทำให้ผู้พบเห็นเข้าใจได้ว่าหากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของจำเลยทั้งสองก็จะสามารถทำลาย สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ของสถาบันที่ประชาชนเคารพรัก การกระทำดังกล่าวเป็นลักษณะการขู่เข็ญโดยการแสดงออกด้วยการกระทำว่าจะทำให้เสียหายในทางใดใดไม่ว่าจะเป็นร่างกายทรัพย์สินสิทธิเสรีภาพชื่อเสียงกิตติคุณและลดคุณค่าของพระมหากษัตริย์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิด

พิพากษาว่า จำเลยทั้งสอง มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 217 ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่หนึ่งมีมีความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์มาตรา 14 (3) การกระทำของจำเลยที่1 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปฐานหมิ่นประมาทดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ กับฐานร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่นเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานดูหมิ่นอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์เป็นโทษที่หนักสุด จำคุกจำเลยที่ 1 กำหนด 3 ปี ขณะกระทำผิดจำเลยที่ 2 อายุ 18 ปี และไม่เกิน 20 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 76 จำคุกหนึ่ง 1 ปี 6 เดือน และจำคุกจำเลยที่ 1 ฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ 3 ปี

คำรับสารภาพของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กระทงละหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 112 กำหนด 2 ปี และฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ 2 ปี รวมโทษแล้วจำเลยที่ 1 จำคุก 4 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี ไม่รอลงอาญา

อย่ากลัว!! 'กฎหมายอาญา' หากไม่ได้ทำความผิด แต่เมื่อทำผิด!! ไม่ว่าจะมาตราไหนย่อมต้องติดคุก

หลายคดี 112 ถูกตีฟันเข้ามาพร้อม ๆ กันในวันที่ 27 พ.ค. 67 โดยศาลได้ตัดสินจำคุก 2 ผู้กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ได้แก่...

(1) น.ส.ชลธิชา แจ้งเร็ว หรือลูกเกด สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล กรณีการชุมนุมที่หน้าศาลจังหวัดธัญบุรี เมื่อ 11 กันยายน 2564 เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังทางการเมือง แต่กลับปราศรัยเกี่ยวข้องพาดพิงกับการออก พ.ร.บ.ระเบียบราชการในพระองค์ 2560 และ พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2561 จนเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายอาญาตามมาตรา 112  

เช่นเดียวกับ (2) นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์หรือ แอมมี่ เดอะ บอตทอม บลูส์ ศิลปิน-แกนนำม็อบป่วนเมือง และนายธนพัฒน์ หรือปูน กาเพ็ง ซึ่งเป็นจำเลย 1-2 ในความผิดฐานดูหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 'มาตรา 217' ฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 

(3) เมื่อคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ทั้ง 2 ได้ร่วมกันวางเพลิง โดยใช้น้ำมันก๊าดราดใส่ และจุดไฟเผาพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ซึ่งประดิษฐานติดตั้งบริเวณหน้าเรือนจำกลางคลองเปรมจนได้รับความเสียหาย

เช่นเดียวกับบรรดาตัวตึงเหล่านี้ ได้แก่ ‘เพนกวิน’ พริษฐ์ ชิวารักษ์ 25 คดี, อานนท์ นำภา 14 คดี, ‘รุ้ง’ ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล 10 คดี, ‘ไมค์’ ภาณุพงศ์ จาดนอก 9 คดี, ‘แพรว’ เบนจา อะปัญ 8 คดี, ‘ไบร์ท’ ชินวัตร จันทร์กระจ่าง 8 คดี, ณวรรษ เลี้ยงวัฒนา 6 คดี, พรหมศร วีระธรรมจารี 5 คดี, ชูเกียรติ แสงวงค์, วรรณวลี ธรรมสัตยา, เกียรติชัย ตั้งภรณ์พรรณ 4 คดี และ ‘มายด์’ ภัสราวลี ธนกิจวิบูลย์ผล 3 คดี 

แน่นอนว่าชีวิตของคนเหล่านี้จะต้องวนเวียนขึ้นศาลและเข้าคุก หรือไม่ก็ต้องหลบหนีการดำเนินคดีออกนอกประเทศไปอีกนาน

นับตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2563 - 10 พฤษภาคม 2567 มีการดำเนินคดีมาตรา 112 ไปทั้งสิ้น 303 คดี มีผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีไปแล้วอย่างน้อย 272 คน 

หากย้อนไปก่อนการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้ว คดีความผิดตามมาตรา 112 เกิดขึ้นในแต่ละปีน้อยรายมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มีการนำเอาสถาบันฯ เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองโดยบรรดานักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยที่ผู้มีอำนาจรัฐหรือรัฐบาลในเวลาต่อมาไม่ได้พยายามตั้งใจที่จะป้องปรามหรือป้องกันแก้ไขเรื่องราวที่ไม่ถูกต้อง แต่มีผู้ที่ประสงค์ร้ายต่อชาติบ้านเมืองนำมากล่าวเท็จ ใส่ร้าย ยุยง ปลุกปั่น ให้เกิดความเข้าใจผิดในสถาบันฯ อยู่เรื่อยมา

ในเวลาต่อมา มีกลุ่มบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นคนรุ่นใหม่แต่มีพฤติกรรมและพฤติการณ์ที่เป็นพวกปฏิกษัตริย์นิยม (Anti-Royalism) เข้ามามีบทบาทในสังคมและการเมือง คนพวกนี้ต่างยุยงให้ท้าย แต่ไม่ออกหน้า ทำตัวเป็นอีแอบหลังเด็ก ๆ และเยาวชนที่พวกตนหลอกล่อและล้างสมองให้เกิดความงมงายเพื่อต่อต้านสถาบันฯ อย่างไร้เหตุผล จากการชุมนุมโดยอ้างสิทธิเสรีภาพอย่างปราศจากขอบเขต ปราศรัยบนเวที และส่งต่อแนวคิดผ่านโซเชียลมีเดีย 

ซ้ำร้ายยัง 'ชักชวน-บีบบังคับ' ให้มีการยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยได้บิดเบือนอ้างว่า กฎหมายนี้ทั่วโลกไม่มีใครนำมาใช้ และไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ทั่วโลกยังใช้กฎหมายมาตรานี้อยู่ ซ้ำยังบังคับใช้อย่างจริงจังและรุนแรงอีกด้วย

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นเพียงกฎหมายป้องกันการหมิ่นประมาทหนึ่งในกฎหมายหมิ่นประมาท 3 จำพวกเช่นเดียวกับกฎหมายหมิ่นประมาทของนานาประเทศได้แก่...

1) หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา (ม.326 ประมวลกฎหมายอาญาของไทย)

2) หมิ่นประมาทเจ้าหน้าที่ของรัฐ (ม.136ประมวลกฎหมายอาญา และหากหมิ่นประมาทศาลก็จะมีความเฉพาะเจาะจงลงไปอีก)

3) หมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ (ม.112 ประมวลกฎหมายอาญาของไทย) ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี”

ตัวอย่างของกฎหมายลักษณะเดียวกับมาตรา 112 ในประเทศต่าง ๆ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อาทิ...

- สเปน มาตรา 490 และ 491 ของประมวลกฎหมายอาญาควบคุมการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บุคคลใดที่หมิ่นประมาทหรือดูหมิ่น กษัตริย์ ราชินี บรรพบุรุษหรือทายาทมีโทษจำคุกได้สองปี 

- บรูไน การหมิ่นสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนถือเป็นอาชญากรรม มีโทษจำคุกสามปี

- กัมพูชา กุมภาพันธ์ 2018 รัฐสภากัมพูชาได้ลงมติให้การกระทำอันเป็นการหมิ่นพระมหากษัตริย์ใด ๆ ที่มีโทษจำคุกสูงสุดหนึ่งถึงห้าปี และปรับ 2 ถึง 10 ล้านเรียล 

- มาเลเซีย มีกฎหมายที่เจ้าหน้าที่สามารถตั้งข้อหาผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นสถาบันฯ ได้

- โมร็อกโก มีผู้ถูกดำเนินคดีจากข้อความที่ถือว่าเป็นการล่วงละเมิดต่อพระมหากษัตริย์ โดยบทลงโทษขั้นต่ำสำหรับความผิดดังกล่าวคือ จำคุกหนึ่งปีหากคำแถลงดังกล่าวจัดทำขึ้นเป็นการส่วนตัว (เช่นไม่ออกอากาศ) และจำคุกสามปีหากเผยแพร่ในที่สาธารณะ ในทั้งสองกรณีสูงสุดคือ 5 ปี 

- ซาอุดีอาระเบีย การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์หรือประมุขของรัฐ จะถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายที่มีผลบังคับใช้ในปี 2014 การกระทำที่ ‘คุกคามเอกภาพของซาอุดีอาระเบีย รบกวนความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของรัฐหรือกษัตริย์’ ถือเป็นการกระทำที่เป็นการก่อการร้าย ความผิดดังกล่าวอาจได้รับการลงโทษทางร่างกายอย่างรุนแรง รวมถึงการเฆี่ยนในที่สาธารณะ การจำคุกที่ยาวนาน และแม้กระทั่งการประหารชีวิต อาจมีการพิจารณาโทษเป็นรายกรณี เนื่องจากระบบกฎหมายของซาอุดีอาระเบียมีลักษณะตามอำเภอใจ (น่าแปลกที่บรรดานักเคลื่อนไหวและองค์กรสิทธิมนุษยชนต่างๆ ต่างก็ไม่เข้าไปยุ่งเลย)

ตัวอย่างของกฎหมายลักษณะเดียวกับมาตรา 112 ในประเทศต่าง ๆ ที่มีประธานาธิบดีเป็นประมุข เช่น...

- เยอรมนี การดูหมิ่นประธานาธิบดีผิดกฎหมาย แต่การฟ้องร้องต้องได้รับอนุญาตจากประธานาธิบดี

- ไอซ์แลนด์ การดูหมิ่น ประธานาธิบดี ประมุขของรัฐต่างประเทศ ผู้แทน หรือธงชาติ อาจถูกลงโทษโดยจำคุกไม่เกินสองปี สำหรับการละเมิดที่ร้ายแรงมากโทษสูงสุดสามารถขยายได้ถึงหกปี

- โปแลนด์ การดูหมิ่นประมุขต่างประเทศในที่สาธารณะถือเป็นเรื่องผิดกฎหมาย 

- รัสเซีย มีนาคม 2019 สภานิติบัญญัติของรัสเซียได้ผ่านกฎหมายว่าด้วยข่าวปลอมหรือดูหมิ่นประธานาธิบดีรัสเซีย นายกรัฐมนตรี และประมุขต่างประเทศจากนั้นต้องโทษจำคุกสูงสุด 15 วัน และปรับไม่เกิน 30,000 รูเบิล

- สวิตเซอร์แลนด์ ดูหมิ่นประมุขต่างประเทศต่อหน้าสาธารณชนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย บุคคลใดที่ดูหมิ่นอย่างเปิดเผยต่อบุคคลที่เป็นประมุขของรัฐ สมาชิกของรัฐบาล ผู้แทนทางการทูต ผู้แทนอย่างเป็นทางการในการประชุมทางการทูตที่จัดขึ้นในสวิตเซอร์แลนด์หรือผู้แทนอย่างเป็นทางการคนใดคนหนึ่งขององค์กรระหว่างประเทศ หรือแผนกที่ประจำอยู่หรือนั่งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีหรือต้องโทษปรับ

- สหรัฐอเมริกา Craig Robertson ชายผู้ที่โพสต์ข้อความข่มขู่ต่อประธานาธิบดี Joe Biden ทางออนไลน์ ถูก FBI บุกเข้าจับกุมและยิงจนเสียชีวิตภายในบ้านพักของเขาเอง

ข้อมูลต่างประเทศเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้ที่ปลุกปั่นและผู้ที่ถูกหลอกให้เคลื่อนไหวให้ยกเลิกมาตรา 112 ไม่ได้แตกฉานในข้อเท็จจริงและเจตนาของกฎหมาย แต่กล่าวอ้างด้วยความจงใจที่จะให้เกิดความแตกแยกและเกลียดชังในสังคม และในทางกลับกันหากมีใครไปด่าว่าบุพการีของคนเหล่านั้นแล้ว คนเหล่านั้นเองยินยอมที่จะไม่แจ้งความดำเนินคดีจับผู้ที่ด่าว่าบุพการีของพวกตนตามประมวลกฎหมายมาตรา 326 หรือไม่? 

แต่ที่แน่ ๆ ก็คือหนึ่งในแกนนำของพวกปฏิกษัตริย์นิยมเอง กลับนำมาตรา 326 ฟ้องร้องดำเนินคดีกับบรรดาผู้ที่โพสต์พาดพิงตัวเองในโซเชียลมีเดียมากมายหลายคดี 

ฉะนั้นแล้วกฎหมายอาญาทุกมาตรา หากไม่ได้ทำความผิดก็ย่อมที่จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย และเมื่อไม่ได้ทำความผิดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลัวการถูกดำเนินคดี แต่เมื่อทำผิดกฎหมายในคดีอาญาแล้ว...ไม่ว่ามาตราไหนก็ตาม ย่อมต้องถูกลงโทษ ซึ่งเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมอันเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่เหมือนกันกับทุกประเทศบนโลกใบนี้

‘อาจารย์ไชยันต์’ โพสต์ “คนไปแจ้งความมีแต่ความโกรธ คนรับแจ้งมีแต่ความทุกข์ อัยการก็ทุกข์ พยานก็กังวล ศาลยิ่งทุกข์ สุดท้าย ไม่ว่าคำตัดสินออกมาอย่างไร สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เดือดร้อน”

(27 พ.ค.67) ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

“ท่านครับ คนไปแจ้งความมีแต่ความโกรธ คนรับแจ้งมีแต่ความทุกข์ อัยการก็ทุกข์ พยานก็มีแต่ความกังวลเหน็ดเหนื่อยที่ต้องขึ้นศาล ศาลยิ่งทุกข์ สุดท้าย ไม่ว่าคำตัดสินออกมาอย่างไร สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เดือดร้อน”

พร้อมระบุต่อว่า “ท่านครับ คนที่คอยสนับสนุนให้ข้อมูลบิดเบือน ให้เด็กกระทำผิดต่างหาก ที่กระหยิ่ม ยามที่เด็กทรมาน ต้องเข้าคุก ไม่ได้ประกันตัว และคนเหล่านั้นก็พุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top