Saturday, 21 June 2025
Politics

รู้จัก 'การยิงแตกอากาศ' การร้องขอครั้งสุดท้ายของวีรบุรุษ  เกียรติแห่งทหารกล้า 'ปกป้อง-นำพา' แผ่นดินไทยให้ดำรงสืบต่อไป

(5 ก.พ.67) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ คณะที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค) และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู ได้ออกบทความเนื่องในวันทหารผ่านศึก ระบุว่า...

ผมเขียนบทความเรื่องนี้ ในคืนวันที่ 3 ก.พ.67 ซึ่งเราถือว่าเป็นวันทหารผ่านศึก เพื่อระลึกและเชิดชูเกียรติให้กับทหารและพลเรือน ที่เข้าสู่สนามรบในสมรภูมิต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งในรูปแบบและนอกแบบ บางครั้งเป็นสงครามการสู้รบที่เปิดเผย หลายครั้งเป็นการสู้รบทางลับ เพื่อปกป้องรักษาผืนแผ่นดินไทยของเราไว้ให้ลูกหลาน

ย้อนกลับไปเมื่อไม่นานนี้ ช่วงต้นๆ ปี มียูทูบเปอร์หญิงท่านหนึ่ง ลงทุนไปใช้ชีวิตกับทหารตามแนวชายแดนเพื่อเรียนรู้จากการลงพื้นที่และปฏิบัติจริง เพื่อนำมาเผยแพร่ให้สังคมได้รับรู้ แต่น่าเสียดาย ที่มีการด้อยค่าจากผู้เห็นต่างทางความคิด รุมถล่มหรือที่เขาเรียกว่าทัวร์ลง จนเจ้าตัวแทบจะย่ำแย่เลยทีเดียว หากมองในแง่ของสื่อมวลชนแล้ว ต้องยกย่องคุณ pigkaploy ยูทูบเปอร์ท่านนี้ด้วยซ้ำไป ที่ลงทุนลงแรงปฏิบัติด้วยตัวเองอย่างเหน็ดเหนื่อย

วลี 'ทหารมีไว้ทำไม' เกิดขึ้นจากนักวิชาการการเมืองบางท่าน ที่ตั้งคำถามขึ้นมาเพียงเพื่อเอาชนะกันทางการเมือง โดยไม่คิดถึงผลกระทบระยะยาวที่จะตามมา มีการพยายามสร้างความแตกแยกเกลียดชังให้เกิดขึ้นระหว่างประชาชนกับทหาร นักการเมืองบางท่านต้องการเอาชนะ ต้องการมีอำนาจทางการเมือง ถึงขนาดเสกสรรปั้นแต่งประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อบั่นทอนความรักและความภาคภูมิใจในความเป็นคนไทย

โชคดี ที่วันนี้ความพยายามเหล่านี้ไม่ประสบผลสำเร็จ ความรู้สึกเกลียดชังกันในสังคม ค่อยๆ ลดน้อยถอยลง ความรู้สึกรักและผูกพันกันของบุคคลในชาติยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก ทหาร อาจจะมีการกระทำที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจท่านไปบ้าง แต่ท่านทั้งหลายมั่นใจเถอะครับ ถึงท่านจะเกลียดทหาร เพียงใดก็ตาม เมื่อเวลาวิกฤตมาถึง ทหารจะเป็นคนแรกที่จะเอาร่างกายและชีวิตเข้าปกป้องรักษาผืนแผ่นดินนี้ไว้ให้ท่านและลูกหลานท่านสืบไป

ย้อนกลับไปสมัยที่ผมยังเรียนอยู่โรงเรียนเตรียมทหารตลอดจนโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า วิชาทหารจะมีวิชาหนึ่งที่เราเรียกว่า 'วิชายุทธวิธี' จะมีการสอนเกี่ยวกับการรบและหลักนิยมของสงครามและการรบแบบต่างๆ พวกเราซึ่งจะต้องจบออกไปเป็นนายทหารและนำหน่วย จะถูกสอนย้ำแล้วย้ำอีกให้ยึดมั่นในภารกิจเหนือสิ่งอื่นใด ภารกิจที่ได้รับมอบหมายย่อมมีความสำคัญเสมอ แม้แต่ชีวิตของพวกเราก็ต้องพร้อมที่จะเสียสละ เพื่อปฎิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ 

มีคำศัพท์ในวิชาทหารคำหนึ่ง ที่พวกเราจะต้องเรียนรู้และจดจำ เพราะคำนี้จะมีความสำคัญมาก หากเราได้รับภารกิจให้รักษาฐานที่มั่นที่ใดที่หนึ่ง ในการตั้งฐานปฏิบัติการทางทหารนั้น สิ่งที่พวกเราจะต้องกระทำทุกครั้งคือ การส่งพิกัดที่ตั้งฐานของเราเองให้กับหน่วยทหารปืนใหญ่ที่จะช่วยยิงสนับสนุนให้กับฐานของเรา 

การส่งพิกัดที่ตั้งให้กับหน่วยปืนใหญ่นั้น เป็นการแจ้งให้ทราบว่าหน่วยของเราตั้งอยู่ที่ใด เพื่อเวลาขอความช่วยเหลือจากการโดนโจมตีจากข้าศึก ปืนใหญ่จะได้ช่วยทำการยิงสนับสนุนได้ถูกต้อง และที่สำคัญที่สุด ปืนใหญ่จะสามารถสนับสนุนการร้องขอครั้งสุดท้ายของพวกเราในฐานะผู้บังคับหน่วยได้

'การยิงแตกอากาศ' คือการร้องขอให้ปืนใหญ่ที่ยิงสนับสนุนนั้น ยิงปืนใหญ่ใส่ฐานที่มั่นตนเอง โดยให้กระสุนปืนใหญ่ระเบิดแตกกลางอากาศเหนือที่หมาย ตามพิกัดที่เราส่งให้ไว้ เป็นคำขอของผู้บังคับหน่วยทหารที่พึงกระทำเพื่อรักษาฐานที่มั่นตามคำสั่งทางทหารด้วยชีวิต แปลง่ายๆ ครับ คือการฆ่าตัวตายยกหน่วยพร้อมข้าศึก 

การร้องขอครั้งสุดท้ายของวีรบุรุษของเรา มีเกิดขึ้นจริง หลายครั้งหลายหนในหลายสมรภูมิ 'ทหารมีไว้ทำไม' หลายท่านคงมีคำตอบที่หลากหลาย แตกต่างกันไป แต่คำตอบที่ทหารทุกคนคงจะตอบเหมือนกันหมดไม่ว่าจะเป็นนายพล หรือ พลทหาร ทหารมีไว้เพื่อรักษาประเทศชาติและผืนแผ่นดินไว้ให้ลูกหลาน แม้จะต้องใช้ชีวิตเข้าแลกก็ตาม ตามคำปฎิญานตนของทหารทุกคนที่ว่า "ตายในสนามรบ คือ เกียรติของทหาร"

ท้ายสุดนี้ ผมขอกราบคารวะ สดุดี ทหารผ่านศึกทุกท่าน ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และเสียชีวิตไปแล้วก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับรู้เถิดว่า ลูกหลานของท่านได้รับรู้และรับทราบความเสียสละของพวกท่าน ซาบซึ้ง สำนึกในบุญคุณ และภาคภูมิใจในตัวพวกท่านเสมอ

‘อานนท์’ เขียนจดหมาย ‘จะได้ไม่ลืมกัน’ ถึงลูกๆ ทั้ง 2 คน หวังเป็นสื่อเชื่อมสัมพันธ์พ่อ-ลูก รับ!! อาจเป็นฉบับสุดท้าย

(4 ก.พ. 67) นายอานนท์ นำภา ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งถูกควบคุมตัวในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร จากคดีอาญา มาตรา 112 โพสต์จดหมายถึงลูกๆ มีเนื้อหาดังนี้…

“นี่อาจเป็นจดหมายฉบับสุดท้ายที่พ่อเขียนด้วยความมุ่งหมายให้ลูกทั้งสองได้อ่าน ในอนาคตที่ลูกพอจะรู้ความ พ่อหวังว่าลูกทั้งสองจะใช้จดหมายเหล่านี้เป็นสื่อ เพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ของพวกเรา ในห้วงเวลาที่เราพลัดพรากกันระหว่างที่พ่อติดคุก นั่นคือความมุ่งหมายแรกที่พ่อเริ่มเขียนจดหมาย แต่ตอนนี้จดหมายต่อจากนี้มันอาจกลายเป็นสื่อสัมพันธ์ให้พ่อได้อ่าน ในวันที่ความทรงจำของพ่อไม่เหมือนเดิมแล้ว

วันนี้พ่อถูกเปิดตัวไปศาลเหมือนเช่นทุกวัน และมันก็อาจเป็นเหมือนเช่นทุกวัน ถ้าหากมันไม่เกิดเหตุการณ์ช่วงท้ายท้าย ก่อนที่พ่อจะเดินจากทุกคนมาจากห้องพิจารณา 805 และมันอาจทำให้ความคิดพ่อยังวกวนกับการกลัวลูกจำไม่ได้ กลัวลูกลืมพ่อคนนี้ไปจากความทรงจำ

มันเป็นเรื่องที่แปลกมากที่หลังจากศาลลงไปจากบัลลังก์ แม่ยื่นเจ้าขาลให้พ่ออุ้มและเดินออกจากห้องพิจารณา สักพักถ้าเป็นเมื่อก่อนเจ้าขาลจะงอแงโผไปหาแม่ แต่วันนี้เจ้าขาลกลับกอดพ่อแน่นและไม่ยอมปล่อย แม้แม่จะพยายามมาแกะตัวเจ้าขาลไป

พ่อคิดว่าเจ้าขาลคงจำพ่อได้ และมีความผูกพันกับคนคนนี้ คนที่แม่พามาเจอทุกวันที่ศาล และเป็นคนที่ก่อนหน้านี้ 9 เดือนได้นอนด้วยกันทุกวัน

อีกมุมหนึ่งในเรือนจำ พ่อกลับรู้สึกว่าความทรงจำบางเรื่องเพราะเริ่มหายไป เขียนคำบางคำที่เคยเขียนได้ผิดเพี้ยนไป บางเรื่องต้องนึกอยู่นานกว่าจะจำได้ พ่อจึงเริ่มกลัวว่าถ้าในอนาคตพ่อจำอะไรอะไรไม่ได้เหมือนเดิม ความสัมพันธ์พ่อ-ลูกของเราจะมีอะไรให้จดจำ หรือเป็นหลักฐานทางความทรงจำว่า 10-20 ปีระหว่างพ่อติดคุกเกิดอะไรขึ้นบ้าง

ถ้าพ่อต้องติดคุก 10-20 ปี และในวันที่พ่อพ้นโทษพ่อจำลูกทั้งสองไม่ได้แล้ว ให้เอาจดหมายทั้งหมดที่พ่อเขียนระหว่างนี้ให้พ่ออ่านนะ เราจะได้ไม่ลืมกัน

2 ก.พ.67
อานนท์ นำภา”

‘จตุพร-วัชระ’ จับมือฟาด ‘ทักษิณ’ สร้างบาดแผลให้ประเทศ ชี้!! ทั้งหมดคือการดีล มีเส้นมีสายก็ได้ลดโทษ-รอดนอนคุก

‘จตุพร-วัชระ’ จับมือฟาด ‘ทักษิณ’ บาดแผลประเทศ ‘วัชระ’ กังวลผู้นำการเมืองไม่มีรากเหง้า เป็นเครื่องมือต่างชาติครอบงำความคิดเด็กเยาวชน เป็นอันตรายต่อประเทศ บทสะท้อนชั้น 14 มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก เชื่อ!! ไปจบที่ศาลอาญาทุจริต ‘จตุพร’ ย้ำ อภัยโทษเฉพาะรายทักษิณ จาก 8 ปีเหลือ 1 ปี แต่ติดไม่ถึง 1 วัน บาดแผลใหญ่แต่ทั้งหมดมาจากการดีล ชี้!! จุดแข็ง ‘ก้าวไกล’ ยังไม่เคยเป็นรัฐบาลแบกความหวังไว้ทั้งหมด จ่อยึดกลไกประเทศ ผู้มีอำนาจทนไม่ได้ หวั่นจบแบบรัฐประหาร 22 พ.ค.

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 ที่ห้องประชุมสำนักกีผฬา มหาวิทยาลัยรามคำแหง สมาคมศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดงาน ‘กินขนมจีน ซดกาแฟ ดูแลเพื่อน’ และ ‘Newstalk for friends’ โดยบนเวทีมีนายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมพูดคุยระดมความคิดการฟื้นฟูกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง และทวงถามยุติธรรมในบ้านเมือง โดยมีนายปรเมษฐ์ ภู่โต อดีตผู้ดำเนินรายการรายการคุยถึงแก่น ช่อง NBT ดำเนินรายการ โดยบนเวที นายวัชระกับนายจตุพร ซึ่งเคยทำกิจกรรมในรั้วรามคำแหงด้วย และเคยมีจุดยืนทางการเมืองตรงข้าม ได้จับมือสร้างความสมานฉันท์กันด้วย

นายวัชระ เพชรทอง กล่าวว่า “จะบอกว่าเราลูกพ่อขุน เราเกิดจากรามคำแหง เราออกไปรับใช้พี่น้องประชาชน นายจตุพร พรหมพันธุ์ อาจจะมีประสบการณ์มากกว่าผมในหลายๆ เรื่อง และในที่สุดเราก็มาจับมือกันที่รามคำแหง เพื่อพี่น้องประชาชนต่อไปในอนาคต ส่วนจะมีกี่เรื่อง เรื่องอะไรบ้าง และเราจะตกเป็นจำเลยอะไรร่วมกันบ้าง ก็ค่อยว่ากันในอนาคต ในฐานะที่เป็นศิษย์เก่า เป็นลูกพ่อขุน ที่เราเรียนรามแท้ๆ เราเรียนจริงๆ อาจจะจบนานหน่อยไม่เหมือนกับ ‘นายบรรหาร ศิลปอาชา’ หรือ ‘นายเฉลิม อยู่บำรุง’ ที่จบอย่างรวดเร็วด้วยการอุปถัมภ์ค้ำจุนจาก คุณอารังสรรค์ แสงสุข

เมื่อเราเห็นว่าบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ในฐานะที่เรารักความเป็นธรรม เราก็ใช้สิทธิของความเป็นพลเมือง สิทธิตามรัฐธรรมนูญไปทำหน้าที่ ที่พึงกระทำอย่างไม่ผิดกฎหมาย และเป็นสิทธิที่เราสามารถจะดำเนินการได้ในฐานะประชาชนธรรมดา ซึ่งสิ่งที่หล่อหลอมให้พวกเรามีความกล้าที่จะไปทำการสิ่งนั้น ก็เพราะรั้วรามคำแหงสอนให้เรามีความกล้าหาญ กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับอธิการบดีที่ไม่ยุติธรรม เราทะเลาะกับอธิการบดี และเราก็ได้เผยแพร่แนวคิดทางการเมืองที่รักชาติ รักความยุติธรรม และสิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดเรา รู้จักอภัย ตั้งใจศึกษา บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ และไม่เคยทรยศต่อประชาชนไม่เคยทรยศต่อแผ่นดิน”

“เมื่อเราเห็นแล้วว่าสภาพบ้านเมืองเป็นอย่างนี้ ภายใต้พรรคการเมืองที่เราเห็น ในฐานะที่เราแพ้น้องส้ม เราแพ้น้องส้มทั้งประเทศ ก็ยอมรับว่าน้องส้มเก่ง ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยที่มาจากอเมริกาหรือสิ่งที่ไรามองไม่เห็น แต่เป็นที่รับรู้กันว่า การเมืองนอกประเทศก็เข้ามาแทรกแซงการเมืองภายในประเทศ และเข้ามาแทรกแซงถึงรั้วมหาวิทยาลัย โดยเรานั้นกลายเป็นคนที่ล้าหลัง คนที่ตามไม่ทันกับสื่อเหล่านั้น และเขาก็ได้ไปครอบงำความคิดของเด็กๆ เยาวชนจำนวนมาก จำนวนหนึ่งให้มีทัศนคติอย่างนั้น ซึ่งเป็นอันตรายต่อประเทศของเรา ซึ่งควรจะอยู่ภายใต้พระบรมโพธิสมภารอย่างสงบและร่มเย็นตามประสาคนไทย ด้วยวิถีของอัตลักษณ์ของความเป็นไทย แต่สิ่งที่แทรกซึม แทรกแซงเข้ามานั้น กำลังจะทำให้ประเทศของเรากลายเป็นประเทศยูเครนในอนาคต เราอาจจะได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่มีความรู้ในประวัติศาสตร์ของชาติ มุ่งแต่เป็นเครื่องมือของประเทศนอกประเทศของเรา ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าเป็นประเทศไหน ตรงนี้อันตราย”

นายวัชระ ยังกล่าวอีกว่า ถ้าเราได้ผู้นำทางการเมืองที่ไม่ประสีประสา ไม่มีรากเหง้าความเป็นไทย และนำประเทศไปสู่สงครามระหว่างประเทศในอนาคตเหมือนกับประเทศยูเครน ก็จะตกอยู่ในอันตราย ในฐานะที่เราจบรามคำแหง เราเป็นลูกพ่อขุน เราก็ต้องกล้าที่จะบอกว่าความจริงนั้นคืออะไร และให้ความรู้กับเยาวชนคนหนุ่มสาว ตั้งแต่ในท้องถิ่นของตนเอง ไปถึงในระดับภาพกว้างว่าสิ่งที่เขาทำนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำและถ้าพวกเรายังจะรักษาประเทศนี้ ภายใต้อัตลักษณ์ของความเป็นไทย เราก็ควรที่จะออกไปพูดในความจริงและบอกกับทุกๆ คนว่า ความจริงนั้นเป็นอย่างไร และอย่ากลัวว่าจะเสียคะแนนนิยม เมื่อเราเห็นว่าทักษิณกลับประเทศและเห็นว่าหลักการ ระบบนิติรัฐ นิติธรรม กระบวนการยุติธรรมถูกทำลาย เราก็ต้องจะต้องกล้าพูด กล้ายื่นหนังสือ ถ้าเราไปยื่นหนังสือถึงหน่วยราชการ หน่วยราชการนั้นๆ ก็ต้องปฏิบัติหรือตอบหนังสือของเรามา ว่าเขาทำหรือไม่ทำอย่างไรและสิ่งต่างๆ เหล่านั้น หนังสือที่เขาตอบมาเหล่านั้น ก็จะเป็นพยานหลักฐานที่สามารถที่จะเอาผิดในอนาคต กับหน่วยราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้

“ถ้าเขาละเว้นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือไม่ปฏิบัติตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม ไม่ว่าหน่วยราชการใด ไม่ว่าจะเป็นหน่วยราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ปปช. หรือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและเมื่อเราไปทำแล้วเราได้หนังสือกลับมาแล้ว แน่นอนว่าในอนาคตเราจะได้เห็นว่า เรื่องนี้จะไปจบที่ศาลอาญาทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง จะต้องไปจบที่นั่น ข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองที่ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่ทำให้เกิดอภิสิทธิ์ชนให้นักโทษชายคนหนึ่งมีอภิสิทธิ์หนือกว่านักโทษทั้งประเทศ ซึ่งในขณะนี้มีประมาณ 280,000 คน ทุกเรือนจำทั่วประเทศ ปรากฎว่ามีนักโทษคนเดียวที่ไม่เคยติดคุกเลยแม้แต่วันเดียว และมีรายงานว่าป่วยแต่ไม่รู้ว่าป่วยจริงหรือป่วยทิพย์ และได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ จนถึงบัดนี้เป็นเวลานานมากจนเรียกได้ว่า พี่น้องประชาชนทั่วประเทศไม่เชื่อว่ามีการป่วยจริง ตรงนี้ก็ต้องมีการพิสูจน์กันในอนาคต”

นายวัชระ กล่าวว่า คนที่รู้เรื่องราวเหล่านี้มากกว่าตนก็คือ คุณจตุพร พรหมพันธุ์ เพราะว่าจตุพรกับทนายนกเขาได้เกาะติด และติดตามเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น แต่สิ่งที่พี่ปอง อัญชลี ได้พูดคุยในรายการของแนวหน้า Talk ซึ่งพี่ปองอัญชลีก็ได้พูดกับ พี่บุญยอด สุขถิ่นไทย บอกว่า น.ช.ทักษิณ ชินวัตร นั้นไปที่ 3 แห่งหมุนเวียนกันก็คือ 1 ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า 2 ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นโรงแรมชื่อภาษาอังกฤษ แล้วอยู่ใกล้ๆ กับไอคอนสยาม ซึ่งตรงนั้นก็ไม่ทราบว่าคุณทักษิณ ชินวัตร ได้สิทธิพิเศษอะไรถึงไม่ได้ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 ตลอดเวลา ไปที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ไปที่คอนโดแห่งหนึ่ง แล้วก็ไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง รวม 3 ที่ ตรงนี้มันก็สะท้อน และคนที่ติดคุกก็คือคนจน คนที่เป็นลูกหลานประชาชนที่ไม่มีเงินถึงต้องติดคุก คนที่ไม่มีเส้นไม่มีสายก็ติดคุก แต่คนที่มีเงินก็ไม่ต้องติดคุก เสี่ยเปี๋ยงที่ร่วมทุจริตในคดีจำนำข้าว ก็มาพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเอกชนข้างนอก ตั้งนานแล้ว

“กรมราชทัณฑ์ก็อึดอัดแต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ หรือแม้แต่อดีตอธิบดี ‘ธาริต เพ็งดิษฐ์’ ซึ่งปัจจุบันก็นอนอยู่ที่ชั้น 7 โรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์ไม่ต้องเข้าไปอยู่ในแดนต่างๆ คือ ถ้าเป็นคนที่มีเส้นมีสายก็ไม่ต้องติดคุก แต่ว่าท่านอดีตบอร์ดองค์การโทรศัพท์ เห็นว่าก็ยังนอนอยู่ในเรือนจำ ซึ่งจริงๆ แล้ว ท่านก็ทำงานให้กับชั้น 14 ในอดีต ก็ควรที่จะได้รับสิทธิในการ ที่จะไปรักษาตัวที่ชั้น 14 ในโรงพยาบาลตำรวจด้วย แต่ทำไมเขาถึงไม่ได้ไป ซึ่งตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่าถ้าไม่มีเส้น ไม่มีสาย ไม่มีเงินก็ไม่สามารถที่จะอยู่อย่างสะดวกสบายได้ และสิ่งที่ผมในฐานะลูกพ่อขุนได้ ไปทำตามที่พี่น้องประชาชนได้บอกให้ไปทำ ขอให้ไปดำเนินการ เราก็ได้ไปทำเป็นปากเป็นเสียงแทนพี่น้องประชาชนซึ่ง เชื่อว่าคุณจตุพร ก็จะพูดในประเด็นนี้และรู้รายละเอียด ทั้งหลายทั้งปวงได้ดีกว่าผม” นายวัชระ กล่าว

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า เคยมาพูดที่รามหลายครั้ง ในช่วงที่ยังไม่มีปัญหาอะไร เพราะว่าผมมีส่วนกับ ‘พลตรีจำลอง ศรีเมือง’ ได้ร่วมกันสู้ในเหตุการณ์พฤษภา ปี 2535 กันมา วันหนึ่งเขาก็ไปยกพรรคไปกับคุณทักษิณ วันที่เขาเป็นหัวหน้าพรรควันแรก เขายังไม่ประสีประสาเลย ผมได้กำหนดหัวข้อให้เขามาพูดว่ากว่าจะเป็นวันนี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถือว่าเป็นเรื่องหัวข้อที่ง่ายที่สุดทางการเมือง และก็อยู่กันมายาวนาน ผมเป็นคนหนึ่งที่เห็นต่าง และอยู่ในพรรคนั้นๆ ได้นานที่สุดคนหนึ่ง เพราะปกติคนเห็นต่างก็จะต้องถูกเตะออกไป แต่ผมเป็นคนที่เห็นต่างและก็ยังอยู่กันได้ คือผมนี้ถ้าถือหลักว่าให้ทิ้งกันก่อนมันก็คงจะไม่ใช่วิสัย ก็กล้ำกลืนกัน เห็นต่างนี่ก็ซัดกันต่อหน้า ใช่คือใช่ ไม่ใช่คือไม่ใช่ เช่นกรณีสุดซอยนี่ผมหัวเด็ดตีนขาดว่าไม่เอานะ และผมหันหลังเลยวันนั้นผมบอกถ้ายังดื้อดึงกันแบบนี้ คนจะฆ่าตัวตายไม่รู้จะห้ามยังไงนะผมพูดอย่างนี้เลย ผมนี่หันหลังออกและท้ายที่สุดก็มาตาม เพราะว่าประเมินสถานการณ์แล้วว่ากำลังจะมีการยึดอำนาจ แต่นั่นอีกแหละ ท้ายที่สุดเมื่อจนมุม ก็ไปดีลกันก่อนที่จะมีการยึดอำนาจ เอาประชาชนที่ชุมนุมออกจากที่ชุมนุม ผมที่เป็นแกนนำก็ต้องรู้จึงไม่มีทางเลือก ต้องไปเจรจากับพลเอกประยุทธ์ในวันนั้น

“เรื่องราวต่างๆ ก็เป็นไปดังที่เล่าให้ฟังกัน เมื่อท้ายที่สุดนั้นเมื่อแยกกันคือความจริง ช่วงอยู่กันผมยังยืนยันอีกครั้งว่ามีเรื่องจำนวนมาก ที่เห็นไม่เหมือนกันฟาดกัน เพียงแต่ว่าผมไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ว่าเขาต้องให้อะไรและต้องไปเกรงใจอะไร เราก็เป็นตัวของเราแบบนักกิจกรรมสมัยอยู่รามคำแหงอย่างไรผมก็ปฏิบัติตัวกันอย่างนั้น และก็จนกระทั่งหันหลังกันอย่างเด็ดขาด กรณีเรื่องชั้น 14 นั้น เรื่องนี้เป็นบาดแผลของสังคมไทยระยะยาวเพราะ มันเป็นที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลทั้งปวง ประหลาด ไม่เคยพบเคยเจอเคยเห็นในประวัติศาสตร์ ความเป็นจริงนั้นทุกครั้งของการที่คิดจะกลับบ้านก็มีการ ดีลการต่อรองกันทั้งสิ้น”

นายจตุพร กล่าวว่า “วันหนึ่งผมก็เอะใจ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดวินิจฉัยผมเรื่องถูกขัง และไม่ได้ไปใช้สิทธิ์ ว่าขาดคุณสมบัติก็ไปขังและไม่ให้ไปใช้สิทธิ์ ผมเป็น สส.ไม่รู้ว่าจะเป็นคนแรก หรือมีบุคคลอื่นหรือเปล่า ที่เขียนใบสมัครรับเลือกตั้งอยู่ในเรือนจำ ประทับตราเรือนจำพิเศษ และก็ไปสมัครรับเลือกตั้ง กกต. บอกว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนแต่ กกต.ท่านหนึ่งคุณสดศรี บอกว่าต้องไปใช้สิทธิ์นะ ถ้าไม่ไปใช้สิทธิ์ก็จะเป็นปัญหา ผมก็ร้องต่อศาล ว่าขอไปใช้สิทธิ์อ้างคุณสดศรี ศาลก็บอกว่าเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของคุณสดศรีเท่านั้น และปรากฏว่ารับรองผมเป็นคนที่ 500 เลย คือต้องการขังไว้ต่อเกือบร่วมเดือน”

“แต่เอาล่ะนั่นมันเป็นเรื่องเล็ก แต่วันหนึ่งเรื่องมาถึงศาลรัฐธรรมนูญ ผมไม่รู้ว่าเป็นการดีลกันก่อนโดยที่ผมก็ไม่รู้ ศาลรัฐธรรมนูญนักอ่านวันที่ 18 พฤษภาคม ซึ่งตอนนั้นกระแสเสื้อแดงยังแรงกัน จะมีการรำลึกราชประสงค์วันที่ 19 พฤษภาคม ผมก็สงสัยว่าอยู่ดีๆ นัดก่อนวันชุมนุมได้อย่างไร และก็ศาลรัฐธรรมนูญ อ่านด้วยเสียง 8 ต่อ 1 มี คุณชัช ชลวร ประธานศาลคนเดียวที่ให้พูดที่เหลือ บอกไม่ไปใช้สิทธิ์ก็ขาดคุณสมบัติ ทั้งที่ กกต. เขต บอกมีเหตุอันสมควรจะไม่เกี่ยว วันรุ่งขึ้นคนก็จากที่มาแสนก็มา 2 แสน”

“ผมไม่รู้ว่าอดีตนายกทักษิณเขาไปพูดว่าคนที่พายเรือมาส่ง ไม่ต้องตามผมมาแล้ว ต่อไปนี้ผมไปเองได้แล้ว บนเวทีนี้เลิกรักหมด ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง สักพักโทรศัพท์เข้ามาบอกว่ากำลังจะได้กลับบ้าน ผมก็ถามว่ากลับวันไหนล่ะ สัปดาห์หน้าเจอกันที่กรุงเทพฯ เห็นไหมการดีล คือพร้อมจะทิ้งเลย และก็เพื่อจะลากคนให้มาเต็มเอาเหตุของผมมาตัดสินก่อน 1 วัน ความจริงตัดสินหลัง 1 วันก็ได้ เห็นไหม ดังนั้น พอดีลก็ปรากฏว่าไม่สำเร็จ และก็ดีลต่างกรรมต่างวาระจนกระทั่งมา ผ่านมา 20 ครั้ง จนกระทั่งมาวันที่ 22 สิงหาคม 22 สิงหานี้นะ กลับมาประเทศไทยถ้าไม่มีการดีล 1 เมื่อผู้ต้องหาถูกออกหมายจับหนีฟังคำพิพากษา มีคดีที่ศาลอ่านไปทั้งหมดแล้ว 12 ปี ขาดอายุความ ไป 2 เหลืออีก 10 นัดพร้อม 1 ก็เหลือ 8 ตำรวจต้องควบ” นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย

เลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ เดือด!! หลัง ‘ก้าวไกล’ เริ่มเดินสาย ด้าน ‘เจ้าถิ่น-บ้านใหญ่-ตัวเต็ง’ เรียงคิวหวนคืนบัลลังก์เพียบ!!

ใจเย็นๆ ครับ เลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯ…

ใบแดงยังไม่เห็น แต่เห็น ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ หัวหน้าพรรคก้าวไกลลงไปนครศรีฯ ควานหาตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯ แล้ว

นำเรียนเพิ่มเติมว่า สำหรับเขต 8 นครศรีฯ มี ‘มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ เป็น สส.อยู่ ในนามพรรคภูมิใจไทย และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติส่งเรื่องให้ศาลฏีกาพิจารณาคำร้องค้านผลการเลือกตั้ง

ซึ่งโดยขบวนการถือว่า ยังไม่เสร็จสิ้น เป็นเพียงความเห็นของ กกต.ที่มีผ่ายสืบสวนสอบสวนไปรวบรวมพยานหลักฐานตามคำร้อง และสรุปสำนวนคำร้อง พร้อมความเห็นเสนอต่อศาลฏีกา

ศาลฏีกายังคงต้องเรียกทั้งผู้ร้อง ผู้ถูกร้อง และพยานของทั้งสองฝ่ายไปไต่สวนอีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะมีคำวินิจฉัยสั่งการ (ตัดสิน) ลงมา น่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 5-6 เดือน

เอาความจริงว่า ยังไม่รู้ว่าศาลฏีกาจะมีคำวินิจฉัยออกมาอย่างไร ก็เป็นไปได้หมด ทั้งยกคำร้อง และลงโทษตามคำร้อง ขึ้นอยู่กับพยาน-หลักฐานของทั้งสองฝ่าย

เขต 8 มีทั้งเรื่องร้องเรียนการจัดเลี้ยง และจ่ายเงินซื้อเสียง เรื่องจัดเลี้ยงนั้น กกต.ได้ยกคำร้องไปแล้ว เพราะเป็นงานเลี้ยงของเศรษฐีจากภูเก็ตที่เขาจัดเลี้ยงทุกปี

เขต 8 เมื่อมีแววว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ จึงเริ่มมีการเคลื่อนไหวกันคึกคักก่อนเวลาอันควร เจ้าถิ่น ‘ชินวรณ์ บุณยเกียรติ’ น่าจะกลับมาลงสมัครในเขตนี้ ในนานพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่ง ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ ก็เคยลั่นวาจาไว้แล้ว คำไหนคำนั้น ให้ชินวรณ์ลงทวงแชมป์คืน

ส่วนภูมิใจไทยแชมป์เก่า ก็น่าจะส่งคนลงรักษาแชมป์ ทราบว่า มุกดาวรรณประสงค์จะให้หลานสาวลงแทน แต่ฐานคะแนนยังไม่ชัวร์ เพราะยังมือใหม่อยู่ ยังต้องเดินตามหลัง สจ.มุก พบปะพี่น้องประชาชน สำหรับภูมิใจไทย ให้จับตา ‘บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ’ อดีต สจ.อีกคนหนึ่งที่การเลือกตั้งครั้งก่อนลาออกจาก สจ.น่าจะหวังลง สส.เขต 8 แต่พลาดโอกาสไป

ถ้ามีการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 ไม่แน่ ‘บิ๊กโอ’ อาจจะลงชิงในนามพรรคภูมิใจไทยก็เป็นได้ เขตนี้ก็จะกลายเป็นว่า ‘พ่อตากับลูกเขย’ ชนกัน เพราะ ‘บิ๊กโอ’ เป็นลูกเขยชินวรณ์ ไม่รู้ว่าเคลียร์ปัญหาในครอบครัวจบแล้วหรือยังนะ แต่เห็น ‘บิ๊กโอ’ เดินทางไปร่วมงานเดียวกันกับ สจ.มุกเป็นบางครั้งบางคราวอยู่

ส่วนพลังประชารัฐ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคก็พูดชัดแล้ว ให้คนเดิม ซึ่งหมายถึง ‘สุนทร รักษ์รงค์’ ลงเหมือนเดิม ซึ่งครั้งที่แล้ว สุนทรได้มาอันดับสอง รองจาก สจ.มุก สุนทรถ้าตั้งเป้าว่าจะชนะ ต้องออกแรงมากกว่าเดิม แก้ปัญหาเก่าที่ยังคั่งค้างอยู่ด้วย

พรรคก้าวไกล กำลังควานหาตัวคนใหม่มาลงแทน จริงๆ ก็มีตัวดีอยู่ แต่คราวที่แล้วถูกเตะไปลงเขต 7 ทั้งๆ ที่บ้านเกิดอยู่เขต 7 และในเขต 7 ก็ทำคะแนนไว้ไม่เสียหาย แต่เจ้าตัวยืนยันแล้วว่า ไม่ย้ายมาลงเขต 8 แน่นอน รอแก้มือในเขต 7

เขต 8 นครศรีฯ ทราบว่า สาย ‘เสนพงศ์’ เสนอตัวลงในนามก้าวไกลแล้วเหมือนกัน ซึ่งก็ไม่แน่คะแนนสงสารสำหรับ ‘เทพไท เสนพงศ์’ ก็มีอยู่ไม่น้อยกับการถูกเล่นงานจนต้องไปฝึกงานอยู่พักใหญ่ แถมยังถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองทั้งพี่ทั้งสองนานถึง 10 ปี ถ้าเทพไทขยับส่ง ‘ครรชิต เสนพงศ์’ ลงชิงในนามก้าวไกลก็น่าสนใจไม่น้อย

พรรคอื่นๆ ยังไม่เห็นพรรคไหนขยับอย่างเป็นเรื่องเป็นราวนะ แต่เชื่อว่าเขต 8 แทนต้องขยับตัวเต็มที่ ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้คนใหม่ ต้องไม่พลาด

‘สส.ก้าวไกล’ แฉ!! รถเมล์เถื่อน-ไม่มีเลข ถามเงินเข้ากระเป๋าใคร? เจอชาวเน็ตงัดหลักฐานฟาด แท้จริงคือ ‘รถเมล์ฟรี’ จาก ‘ทอ.’

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล เขต 4 (อ.แปลงยาว อ.บ้านโพธิ์ และ อ.บางปะกง) จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความผ่านทาง X กรณีรถเมล์ไม่มีป้ายทะเบียน โดยระบุว่า…

“แล้วรถเมล์เถื่อนไม่มีหมายเลขแบบนี้ ท่าน รมต.เอาไงครับ? ปล.ไม่ไช่รถเอกชนนะนี่เงินภาษี”

ต่อมา เจ้าตัวได้ทวิตข้อความเพิ่มเติมว่า “ไม่ได้ขึ้นกับ ขสมก.มาวิ่งแบบนี้ เลขรถไม่มี ใช้เงินภาษี ปชช.ไปซื้อมาวิ่งหารายได้เงินเข้ากระเป๋าใครไม่รู้ แบบนี้ผมเรียกเถื่อนครับ

“ไม่ได้ขึ้นกับมาตรฐานของ ขสมก.เลขรถก็ไม่มี ใช้เงินภาษีซื้อมาวิ่งบริการรายได้เข้ากระเป๋าใคร? ผมตั้งคำถามเพื่อประโยชน์สาธารณะครับ ไม่ได้มั่วๆ อยาก พิมพ์อะไรก็พิมพ์ครับ วิ่งมาเป็น 10 ปีไม่เคยส่งรายได้เข้าแผ่นดิน แล้วเงินเข้า กระเป๋าใคร?”

ล่าสุด ได้มีผู้ใช้งาน X ท่านหนึ่งเผยหลักฐาน แท้จริงแล้วไม่ใช่รถเมล์เถื่อนแต่อย่างใด แต่เป็น ‘รถเมล์สวัสดิการ’ จาก ‘กองทัพอากาศ’ ที่วิ่งให้บริการ ‘ฟรี’ แก่ประชาชน เพื่อเชื่อมการเดินทางจากโรงพยาบาลทหารอากาศ (สีกัน) กรมแพทย์ทหารอากาศ สู่สถานีรถไฟฟ้า สถานีรถไฟ และวิ่งผ่านกรมขนส่งทหารอากาศ แฟลต จนถึงโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ไป-กลับเป็นรอบๆ ตั้งแต่เวลา 06.00-18.00 น. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน โดยผู้ใช้ดังกล่าวระบุว่า…

“ท่าน สส.ต้องเช็กข้อมูลดีๆ ก่อนครับ อันนี้เป็นรถฟรีที่กองทัพอากาศจัดไว้บริการประชาชน”

อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวยังไม่ได้ให้คำตอบหรือทำการลบภาพและข้อความดังกล่าวแต่อย่างใด

‘ซูเปอร์โพล’ ชี้ คนส่วนใหญ่ ยังเชื่อใจ-รอคอย ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ พร้อมหวังให้รัฐบาลเดินหน้านโยบายต่อ ไม่ต้องปรับปรุงอะไร

เมื่อวานนี้ (4 ก.พ. 67) สำนักวิจัยซูเปอร์โพล เสนอผลการศึกษาเรื่อง ‘เงินดิจิทัลที่ประชาชนเชื่อมั่นและรอคอย’ จากกรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,120 ราย ระหว่างวันที่ 1-3 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา พบว่า ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยคือรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท มีความเชื่อมั่นร้อยละ 71.3 และ กลุ่มผู้มีรายได้ระหว่าง 15,000-35,000 บาทต่อเดือน มีความเชื่อมั่นร้อยละ 71.6 ในขณะที่ กลุ่มรายได้เกิน 35,000 บาทขึ้นไป มีความเชื่อมั่นร้อยละ 57.5 ว่าการแจกเงินดิจิทัล ของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ

เมื่อแบ่งออกตามภูมิภาคของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง พบว่าในกลุ่มคนในภาคเหนือ มีความเชื่อมั่นสูงสุด คือร้อยละ 75.4 รองลงมา กลุ่มคนในภาคกลาง มีความเชื่อมั่นร้อยละ 74.2 กลุ่มคนในภาคอีสาน มีความเชื่อมั่นร้อยละ 73.6 กลุ่มคนกรุงเทพมหานคร มีความเชื่อมั่นร้อยละ 68.7 และกลุ่มคนในภาคใต้ มีความเชื่อมั่นร้อยละ 65.8 ตามลำดับ

ทั้งนี้ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งกลุ่มคนอายุน้อย คือต่ำกว่า 20 ปี ร้อยละ 54.1 และกลุ่มคนอายุระหว่าง 20-29 ปี ร้อยละ 47.2 ระบุ, กลุ่มคนอายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 42.5 กลุ่มคนอายุ 40-49 ปี ร้อยละ 31.7 และกลุ่มคนอายุ 50-59 ปี ร้อยละ 26.7 ที่ระบุ ควรเดินหน้านโยบายแจกเงินดิจิทัลต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไร เพราะรออยู่

นอกจากนี้ เมื่อแบ่งออกตามภูมิภาค พบว่ากลุ่มคนในภาคกลาง ร้อยละ 59.3 และกลุ่มคนในภาคใต้ ร้อยละ 43.9 ระบุ รออยู่ ควรเดินหน้าต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไรเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ในขณะที่กลุ่มคนในภาคเหนือ ร้อยละ 36.8 และกลุ่มคนในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 32.6 ระบุ รออยู่ควรเดินหน้าต่อไม่ต้องปรับปรุงอะไรเกี่ยวกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

‘ดร.เอ้’ ย้ำ!! ปัญหาฝุ่นพิษในกรุง ต้องแก้จากรถขนส่งไซต์งานก่อสร้าง เตรียมดันกฎหมายคุ้มครองประชาชน หลังครบ 10,000 รายชื่อ

(5 ก.พ.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ‘ดร.เอ้’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม.ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว เอ้ สุชัชวีร์ โดยระบุว่า… 

ชีวิตคนกทม.มันสุดทนจริงๆ แม้แต่วันอาทิตย์ยังต้องสูด PM 2.5 จากรถบรรทุกควันดำ (มาก) รถพวกนี้ ไปส่งของไชต์งานก่อสร้างอาคารเป็นส่วนใหญ่ กทม.มีอำนาจจัดการ กับเจ้าของอาคารได้ทันที ด้วยกฎความปลอดภัย และความสะอาด ไม่ต้องรอใคร

ที่จริงไม่ต้องรอ พรบ.อากาศสะอาด วันนี้เจ้าหน้าที่รัฐ #จะทำก็ทำได้ เรื่องลดฝุ่นพิษ เพราะฝุ่นพิษตายแท้จริงนะครับ ทั้งโรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคสมอง โรคเหล่านี้ตายทรมาน สงสารคนป่วย และลูกหลาน

“รู้นะว่าเรื่องปากท้องนั้นสำคัญ แต่เวลาป่วย ใครจะรับผิดชอบ ทั้งเจ็บ ทั้งหมดเงินหมดทองหมดตัว ทุกข์สุดๆ เรามาร่วมพลังแก้ปัญหา PM 2.5 กันเถอะครับ”

โดยที่ผ่านมา ศ.ดร.สุชัชวีร์ ได้ติดตามและออกมาเตือนถึงปัญหาและการแก้ไขเรื่องฝุ่นพิษ PM 2.5 อย่างต่อเนื่อง โดยปัญหาฝุ่นพิษในกทม.มาจากรถขนส่งที่ปล่อยฝุ่นพิษ ซึ่งส่วนใหญ่ไปส่งของที่ไซต์งานก่อสร้าง ดังนั้น กทม.มีอำนาจตรวจจับ และบังคับใช้กฎหมายพักการก่อสร้าง กับเจ้าของสถานที่ก่อสร้างที่ไร้ความรับผิดชอบได้ทันที เรายังแก้ปัญหามลพิษได้ หากผู้นำมุ่งมั่น จริงจัง ดุดัน มากพอ กับการสู้กับต้นกำเนิดฝุ่น ที่วันนี้ยังปล่อยทำร้ายคนกทม. ทุกวันๆ

วันนี้ภาคประชาชนและพรรคประชาธิปัตย์ จะติดตามเรื่องฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างเข้มข้นที่สุด เพราะ PM 2.5 อยู่กับลูกหลานเราทุกวัน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีองค์กรที่เป็นตัวแทนพวกเราอย่างแท้จริง องค์กรเพื่อความปลอดภัยสาธารณะ ซึ่งจะรับเรื่องร้องเรียน ติดตาม แก้ปัญหา ทั้งเรื่องความปลอดภัย และปัญหาฝุ่นพิษ ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน โดยคาดว่าต้นสัปดาห์หน้าเมื่อครบ 1 หมื่นรายชื่อ เพื่อเสนอกฎหมายความปลอดภัย

'นายกฯ' รุดตรวจเยี่ยม ตม.สุวรรณภูมิ โดยไม่แจ้งล่วงหน้า หลังระบบตรวจคนเข้าเมืองล่มบ่อย ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร

(5 ก.พ. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า แม้ตลอดทั้งวันจะไม่มีการบรรจุวาระอย่างเป็นทางการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลังก็ตาม แต่มีรายงานว่าเช้าวันเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า

ทั้งนี้ เนื่องจากระบบตรวจคนเข้าเมือง (Biometrics) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เกิดขัดข้อง มา 2 ครั้งแล้ว ซึ่งส่งผลต่อระบบส่งต่อช่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ หรือ Automatic channels ไม่สามารถตรวจได้ ส่งผลกระทบต่อช่วงเวลาที่มีเที่ยวบินขึ้นลงหนาแน่น โดยเฉพาะผู้โดยสารขาออกประเทศ

‘ภูมิธรรม’ ซัด!! 'ก้าวไกล' อย่าหมกมุ่นแก้แต่ 112 ย้ำ!! จุดยืน ‘พท.’ อะไรที่นำสู่ความขัดแย้ง ไม่แตะ

(5 ก.พ. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการวิเคราะห์กันว่าหากยุบพรรคก้าวไกล จะทำให้ยิ่งยุบยิ่งโต ว่า ยิ่งยุบยิ่งโตเป็นเพียงวาทกรรม จะยุบแล้วจะโต จะยุบแล้วจะเล็ก หรือจะอะไรต่างๆ ต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ตนว่าอย่าไปคาดการณ์อะไร เพราะตอนนี้จะยุบหรือไม่ ยังไม่รู้ หากจะยุบ จะยุบแบบไหน ทุกอย่างมีปัจจัย ย้ำว่ายิ่งยุบยิ่งโตเป็นแค่วาทกรรม อย่าให้ความสำคัญมาก เราให้ความสำคัญกับความเป็นจริงดีกว่า 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) นิรโทษกรรม จะพิจารณาเกี่ยวกับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือไม่ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วางหลักในเรื่องนี้ไว้? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ต้องนำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาดู หากชัดเจนว่าการพูดถึงหรือดำเนินการเรื่องนี้เป็นเรื่องการล้มล้างการปกครอง ก็ชัดเจนว่ามติศาลรัฐธรรมนูญผูกพันทุกองค์กร เราคงต้องดูรายละเอียด” 

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยมีจุดยืนต่อประเด็นความผิดตามมาตรา 112 อย่างไร? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “จุดยืนเรื่องมาตรา 112 ของพรรคเพื่อไทยชัดเจน เราพูดมาตั้งแต่ต้นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สามารถก่อให้เกิดความขัดแย้งใหม่ได้ เพราะมีประชาชนหลายส่วนเห็นต่างกัน จุดยืนของเราคือเรื่องอะไรที่มีความอ่อนไหวที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่และยังมีความเห็นต่างกัน ต้องหาข้อสรุปให้ได้ก่อน ถ้ายังหาข้อสรุปไม่ได้ไม่ควรหยิบยกขึ้นมา พรรคเพื่อไทยชัดเจน จะเห็นว่าในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเราจึงไม่แตะเรื่องมาตรา 112 จนกว่าทุกอย่างจะชัด และเชื่อว่าถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ ไม่ควรไปแตะต้อง เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่นอกเหนือการเมือง”

“เมื่อสภาพสังคมเป็นเช่นนี้ ไม่ควรหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาและไปกระทบกระเทือนสถาบัน และหน้าที่ของรัฐบาลขณะนี้คือ ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ปัญหาวิกฤติประเทศ วิกฤติเศรษฐกิจ ที่ต้องสนใจและแก้ปัญหา ตนเคยตอบกระทู้ของนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่ถามในเรื่องนี้ว่าทำไมต้องไปหมกมุ่นเรื่องนี้ ทำไมไม่มาสนใจเรื่องที่จะแก้ปัญหาให้ประชาชน” นายภูมิธรรม กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า เสนอให้แก้ไข พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อลดขอบเขตการทำหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญ? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “นายปิยบุตรเป็นนักกฎหมาย ต้องไปถามรายละเอียดกับนายปิยบุตร ตนเป็นนักรัฐศาสตร์ไม่เข้าใจรายละเอียดที่นายปิยบุตรพูด และยังไม่ได้เห็นรายละเอียดดังกล่าว แต่ส่วนตัวคิดว่าทุกอย่างต้องมีเหตุผลรองรับ กลไกทางการเมืองทั้งหมดเป็นเรื่องของหลักการอยู่แล้ว คือ การกระจายอำนาจและรับผิดชอบซึ่งกันและกัน ตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกัน อีกทั้งยังเป็นเรื่องของสภา ไม่ใช่ความเห็นของคนใดคนหนึ่ง และความเห็นคนใดคนหนึ่งไม่ใช่สาระที่จะต้องเอามาเป็นเรื่องที่สังคมต้องเอามาดำเนินการ หากมีความเห็นอะไรก็เสนอเข้าสภา ถ้าสภาพิจารณาอย่างไรถือเป็นความเห็นของตัวแทนประชาชน”

เมื่อถามย้ำว่า ส่วนตัวเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจมากไปหรือไม่? นายภูมิธรรม กล่าวว่า “ตนยังไม่ได้ดูรายละเอียด แต่คิดว่าท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน ทุกองค์กรมีหน้าที่ตามสถานการณ์ ตามเงื่อนไข หากเหมาะสมก็ดำเนินการไป เป็นที่ยอมรับ แต่หากมีปัญหาก็จะหยิบยกขึ้นมา และต้องไปพิจารณาต่อว่าจะจัดการอย่างไรให้เหมาะสม แต่ส่วนตัวมองว่าโดยพลวัตของการเปลี่ยนแปลง ทุกองค์กรทุกหน่วยงานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น คงต้องไปรอดูตรงนั้น”

'ชัยวุฒิ' ยัน!! กระแส 'พปชร.’ ไม่แผ่ว นโยบายพรรคยังถูกจริต แต่จำนวน สส.คลาดเป้า เพราะเสียงแตก 2 พรรค มีผล

(5 ก.พ.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวตอนหนึ่งบนเวทีเสวนาหัวข้อ 'อนาคตประชาธิปไตยไทยในมิติพรรคการเมือง' ซึ่งจัดโดยคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยระบุถึงผลการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้จำนวนสส.ต่ำกว่าเป้า ว่า ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาพลาดเป้า ส่วนหนึ่งมาจากการแตกออกเป็น 2 พรรค 

ทั้งนี้ หากพรรคพลังประชารัฐ และพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่แยกพรรคกันในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐจะได้ สส.มากกว่านี้ เพราะคะแนนเสียงถูกหารไป ทั้ง ๆ ที่ยังมีคะแนนนิยมเหมือนเดิมในหลายพื้นที่ แต่เมื่อแยกพรรคกัน คะแนนนิยมก็ถูกแบ่ง และการหาเสียงก็มีความยากลำบากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่า คะแนนนิยมในตัวพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรี ที่ทำงานมายาวนาน ก็จะได้คะแนนนิยมค่อนข้างสูง จึงทำให้คะแนนเทไปทางพรรครวมไทยสร้างชาติมากกว่า แต่ท้ายที่สุดแล้ว การที่แยกพรรคกัน ทำให้กลายเป็นจุดอ่อน ที่ส่งผลให้แพ้ทั้งคู่ ซึ่งถือเป็นบทเรียนของทั้งสองพรรคในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา 

อย่างไรก็ตาม ในการเลือกตั้งครั้งหน้า เชื่อว่าพรรคพลังประชารัฐ ก็ยังมีคะแนนนิยมอยู่ ซึ่งดูจากจำนวนคะแนนที่ได้รับจากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ ทางพรรคจะต้องทำกิจกรรมร่วมกับประชาชนและมีนโยบายที่ชัดเจน พร้อมทั้งต้องรวมคนและรวมพลังกันให้ได้ โดยส่วนตัวยังเชื่อว่ามีคนอีกจำนวนมากพร้อมสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ เพียงแต่เราจะต้องเตรียมพร้อมและรองรับให้ดีกว่าครั้งที่ผ่านมา แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ จะต้องรวมกำลังคนที่เคยแยกออกไป กลับมารวมตัวกันเป็นพรรคใหญ่ให้ได้ เพื่อสู้ศึกในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

ทั้งนี้ นายชัยวุฒิ มองว่าการเลือกตั้งในอนาคตจะมี 2 เรื่องสำคัญที่ต้องติดตาม โดยเรื่องแรก เป็นเรื่องกฎหมายเลือกตั้ง หรือ วิธีการเลือกตั้ง ซึ่งค่อนข้างมีผลต่อจำนวนสส.ของแต่ละพรรคอย่างมาก เพราะเมื่อเปลี่ยนวิธีนับคะแนนหรือเปลี่ยนวิธีเลือกตั้ง คะแนนย่อมเปลี่ยนไปด้วย รวมถึงการที่จำนวนพรรคการเมืองและผู้สมัครมีจำนวนมากขึ้น ก็จะมีผลต่อคะแนนเสียงเช่นกัน ซึ่งเห็นได้จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา คนที่ได้รับเลือกเป็นสส.เขตบางคนได้คะแนนเพียง 20-30% ของจำนวนผู้ที่มาใช้สิทธิเท่านั้น แต่ก็สามารถชนะเลือกตั้งได้เป็นสส. ซึ่งจะแตกต่างจากในอดีตที่คนชนะส่วนใหญ่ จะต้องได้คะแนนเกิน 50% ขึ้นไป 

ส่วนเรื่องที่สอง ที่มองว่าจะต้องได้รับการแก้ไข ก็คือ ในอดีตกลัวว่าจะมีการใช้สื่อในการชี้นำประชาชน จึงออกกฎหมายควบคุมสื่อดั้งเดิม อย่างสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์อย่างเข้มงวด แต่ในขณะเดียวกันกลับไม่มีการควบคุมสื่อออนไลน์ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากในปัจจุบัน แน่นอนว่า ในอนาคตทั้งนักการเมืองและพรรคการเมือง จะต้องปรับตัวรับมือกับโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายพรรคพยายามจะทำ ในขณะที่อีกหลายพรรคก็ยังตามไม่ทัน ดังนั้น ทั้ง 2 เรื่อง คือ กติกาการเลือกตั้ง และ โซเชียลมีเดีย จะมีผลอย่างมากต่อการเลือกตั้งในอนาคต

พร้อมกันนี้ นายชัยวุฒิ ยังได้ให้มุมมองทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม โดยกล่าวถึงการผลักดันเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ว่า นโยบายด้านซอฟต์พาวเวอร์ เป็นเรื่องที่จะต้องผลักดันกันต่อไป เพราะเป็นการเพิ่มมูลค่าและสร้างการรับรู้วัฒนธรรมไทยไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ ที่ผ่านมาทางพรรคพลังประชารัฐ เคยมีแนวคิดที่จะตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งแต่เดิมจะมีกระทรวงวัฒนธรรมเป็นเจ้าภาพหลัก แต่ในอดีตที่ผ่านมายังไม่ค่อยมีความชัดเจน และโดยส่วนตัวเห็นด้วยกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลอย่างจริงจัง มีงบประมาณที่ชัดเจน และในอนาคตหากสามารถยกระดับเป็นองค์กรมหาชน หรือเป็นหน่วยงานด้านนี้โดยตรง เชื่อว่าจะช่วยยกระดับและผลักดันความเป็นไทยออกไปสู่ชาวโลกได้มากยิ่งขึ้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top