Saturday, 21 June 2025
Politics

'อ.แก้วสรร' เผย!! เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยห้ามแตะ 112 หากเข้าข่ายซ่อนเร้น ไม่ให้รัฐมีอำนาจหน้าที่คุ้มครองสถาบันอีกต่อไป

(1 ก.พ. 67) นายแก้วสรร อติโพธิ เผยแพร่บทความเรื่อง ศาลรัฐธรรมนูญห้ามแตะ 112? ระบุว่า…

>>ถาม จากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ คดีก้าวไกลยกเลิก 112 ชัดเจนว่า ต่อไปนี้ ใครจะแตะต้อง มาตรา 112 อีกไม่ได้แล้ว เช่นนั้นหรือ

ตอบ คุณช่วยสละเวลา อ่านคำวินิจฉัยที่ผมแยกแยะมาเสนอต่อไปนี้ ให้ชัดเจน ก่อนนะครับ

“ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า การกระทำของผู้ถูกร้องทั้งสองมีพฤติการณ์ในการใช้สิทธิหรือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเพื่อทำลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดย ซ่อนเร้นหรือผ่านการนำเสนอร่างกฎหมาย แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายพรรค รวมทั้ง มีการรณรงค์ ให้มีการยกเลิก หรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มีลักษณะ ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นขบวนการ ใช้หลายพฤติการณ์ประกอบกัน ทั้งการชุมนุม การจัดกิจการ การรณรงค์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายเข้าสู่สภา และการใช้เป็นนโยบายหาเสียงเลือกตั้ง”

>>ถาม ศาลหมายความว่าพรรคก้าวไกลต้องเสนอแก้ 112 โดยสงบเงียบเชียบอย่างนั้นหรือ

ตอบ ไม่ใช่ตรงนั้นครับ ศาลท่านตีตรง ‘ความเคลื่อนไหว’ ว่าเจตนาแท้จริงที่อยู่หลังการเสนอร่างกฎหมายนี้ คือมุ่งทำลายสถาบัน เป็นงานที่ทำกันอย่างเป็นขบวนการ รณรงค์สร้างกระแสโมเม้นตั้มอย่างกว้างขวาง ให้ความหมายว่าเรากำลังจะเปลี่ยนระบบแล้ว

>>ถาม มันเปลี่ยนระบบอะไรที่ตรงไหนครับ

ตอบ ตรงที่เลิกไม่ให้รัฐมีอำนาจหน้าที่คุ้มครองสถาบัน อีกต่อไป

“การที่ผู้ถูกร้องทั้งสองเสนอให้ความผิดตามมาตรา 112 ออกจากความผิดตามลักษณะ 1 จึงเป็นการกระทำเพื่อมุ่งหวังให้ความผิดตามมาตรา 112 ไม่มีความสำคัญ และไม่ร้ายแรง ไม่ให้ถือเป็นความผิดที่กระทบต่อความมั่นคงของประเทศ มีเจตนามุ่งหมายแยกสถาบันพระมหากษัตริย์และความเป็นชาติไทยออกจากกัน จึงเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐอย่างมีนัยยะสำคัญ”

>>ถาม แล้วการเอาเรื่องนี้มาชูธงเป็นนโยบายสำคัญของพรรค มันผิดตรงไหนครับ เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ พรรคการเมืองก็ต้องรณรงค์ในวงกว้าง เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ตอบ เรื่องแก้ 112 นี้ พรรคก้าวไกลหยิบขึ้นมาเป็นนโยบายดื้อ ๆ เลย ไม่มีงานวิจัยหรือคำอธิบายรองรับเลยว่า ในตัวของมาตรานี้มันผิดที่ตรงไหน การเลิกคุ้มครอง ให้คนในสถาบัน พอถูกด่าก็แจ้งความเอาเอง  มันจะแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง พอฐานเหตุผลทางกฎหมายมันไม่แน่น ศาลก็ชี้ไปเลยว่า เจตนาแท้จริงมันเป็นอย่างนี้

“เป็นการใช้นโยบายพรรคการเมือง นำสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาเพื่อหวังคะแนนเสียงและประโยชน์ในการชนะการเลือกตั้ง มุ่งหมายให้สถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ในสถานะเป็นคู่ขัดแย้งของประชาชน ทำให้สถาบันต้องเข้าไปเป็นฝักฝ่าย ต่อสู้แข่งขันรณรงค์ทางการเมือง อันอาจนำมาซึ่งการโจมตี ติเตียน โดยไม่คำนึงถึงหลักการปกครองที่สำคัญว่าพระมหากษัตริย์ต้องดำรงฐานะอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางทางการเมือง”

>>ถาม ตัดสินอุ๊บอิ๊บกันง่ายๆอย่างนี้ มันไม่หาเรื่องกันมากไปหน่อยหรือ

ตอบ ศาลชี้แจงไว้แต่แรกแล้วว่า ศาลพิจารณาโดยระบบไต่สวน ได้รวบรวมความเป็นไปทางคดีที่เกิดขึ้นในช่วงรณรงค์ต่าง ๆ เช่นจากตำรวจ อัยการ แล้ว ภาพของการโจมตีติเตียนสถาบัน เกิดขึ้นเป็นกระแสเช่นนั้นจริง ๆ สส.ก้าวไกลที่ไปร่วมชุมนุม และคอยประกันตัวคนด่าในหลวง มีอยู่ไม่น้อยจริงๆ

>>ถาม สรุปแล้ว การใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและแตะต้อง 112 จึงทำไม่ได้อีกเลยใช่ไหม

ตอบ ศาลบอกว่ายังทำได้ แต่ต้องใช้สิทธิโดยสุจริตไม่ใช่เป็นความเคลื่อนไหวเพื่อปลุกปั่นทางการเมือง  ศาลใช้คำว่าต้องเป็นกระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ เท่านั้น

“ศาลรัฐธรรมนูญโดยมติเอกฉันท์ วินิจฉัยว่า สั่งการให้ผู้ถูกร้องทั้งสองเลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่นเพื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 อีกทั้ง ไม่ให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตด้วย”

>>ถาม เมื่อศาลตัดสินอย่างนี้ กกต. จะเสนอศาลให้ยุบก้าวไกลได้ไหม ในเมื่อก่อนเลือกตั้ง เขาเสนอนโยบายเรื่องแก้ไข 112 ให้ตรวจแล้ว กกต.ก็ไม่ว่าอะไร

ตอบ ศาลตีตรงที่วิธีการหรือความเคลื่อนไหวที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ข้อเสนอแก้ไขในตัวของมันเองไม่ถูกต้อง  ซึ่ง กกต.ยังไม่เคยวินิจฉัยประเด็นนี้มาก่อน จึงยังไม่มีอะไรมาปิดปากครับ  

>>ถาม แล้ว สส.ก้าวไกล ที่ลงชื่อเสนอร่างกฎหมาย หรือไปร่วมชุมนุม หรือช่วยประกันตัวคนด่าในหลวง  จะถูกถอดถอนเพราะผิดจรรยาบรรณได้ไหม

ตอบ เป็นเรื่องปัจเจกครับ จะฆ่าให้ตายหมู่แบบปาเลสไตน์ในกาซ่าไม่ได้ ต้องดูเป็นคน ๆ ไป ว่ารู้เห็นเป็นใจเป็นตัวตั้งตัวตีชัดเจนไหม ถ้าร่วมลงชื่อด้วย ชุมนุมด้วย ด่าเองด้วย จ้องคอยประกันตัวด้วย อย่างนี้ก็ไม่น่าจะรอด

ถาม พอพูดมาถึงตรงนี้ อาจารย์ต้องโดนเขารุมอัดแน่ ๆ

ตอบ เรื่อง ‘สิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ’ ที่มีขึ้นเพื่ออย่าให้มีนักฉวยโอกาสแบบฮิตเลอร์ ขึ้นครองอำนาจโดยผ่านเลือกตั้งจนทำลายระบอบรัฐธรรมนูญนี้ เรายังทำความเข้าใจร่วมกันไม่พอว่า มันเป็น ‘ความเคลื่อนไหว’ ที่ต้องคอยจ้องคอยปิดล้อมกันอย่างไร  

พอศาลตัดสินออกมาเช่นคดีนี้ก็ต้องเข้าใจไม่ตรงกันได้เป็นธรรมดา ผมเองมีส่วนร่างรัฐธรรมนูญปี 40 ที่นำสิทธินี้เข้ามาในกฎหมายไทยด้วย ก็ขอรับผิดชอบ เสนอกรอบคิดมาร่วมวงบ้างเท่านั้นเอง

เลิกบ้าการเมืองกันบ้างก็ดีนะครับ เมษานี้...เตรียมรับสงครามใหญ่ในโลกให้ดีก็แล้วกัน

'ปิยบุตร' ซัด 'ก้าวไกล' หลังลบนโยบายแก้ไข 112 ออกจากเว็บ จวก!! ถ้าจะเดินวิธีนี้ ถอยตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลไปเลยดีกว่า

ความคืบหน้าหลังเว็บไซต์ พรรคก้าวไกล ลบนโยบาย แก้ไขมาตรา 112 ออกจากเว็บไซต์เลือกตั้ง 66 ของพรรค โดยพบว่าไม่ปรากฎข้อความที่เกี่ยวกับการแก้ 112 ภายหลังมีคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อวานนี้ (1 ก.พ. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า…

“เพิ่งทราบข่าวจากเพจข่าวสดว่า พรรคก้าวไกลนำนโยบายแก้ไข 112 ออกจากเว็บไซต์ของพรรค ทำไมแหยและหงออย่างนี้ครับ ?”

ในคำวินิจฉัยไม่ได้สั่งให้เอาออกเลย และต่อให้เอาออก แล้วยังไง ศาลก็วินิจฉัยไปแล้ว ตกลงพรรคก้าวไกลจะร่วมสร้างบรรยากาศความกลัวให้กับสังคมในเรื่องนี้ด้วยหรือ ในช่วงยามแบบนี้ แทนที่จะพยายามหาวิธีการประคับประคองเรื่องเสรีภาพ และยืนบนหลักให้ได้ แต่กลับช่วยกันขีดวงเสรีภาพให้หดแคบลง
.ถ้าจะเดินแบบนี้ คุณถอยตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาลไปเลยดีกว่าครับ ถ้าบทจะยุบ จะตัดสิทธิ ขึ้นมาจริง ๆ ต

ให้เอานโยบายออกจากเว็บ เขาก็ยุบ เขาก็ตัดสิทธิอยู่ดี

หากอ่านจากคำบังคับของศาลรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่าศาลรัฐธรรมนูญสั่งดังนี้

1. สั่งการให้พรรคก้าวไกลและพิธา เลิกแสดงความเห็น เพื่อให้มีการยกเลิก 112

2. ไม่ให้มีการแก้ไข 112 ด้วยวิธีการซึ่งไม่ใช่กระบวนการทางนิติบัญญัติโดยชอบ ซึ่งคำนี้น่าจะอนุมานจากคำวินิจฉัยนี้ได้ว่า ห้ามแก้ใน 3 ประเด็นที่ศาลบอกว่าเป็นการล้มล้างฯ ได้แก่ ห้ามย้ายหมวด, ห้ามกำหนดเหตุ ยกเว้นความผิด เหตุยกเว้นโทษ, ห้ามกำหนดให้ยอมความได้ และห้ามกำหนดให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ตรงไหนที่ศาลสั่งให้เอานโยบายออกจากเว็บครับ

คำบังคับข้อหนึ่ง คือ การห้ามแสดงออกเพื่อยกเลิก 112 ครับ แน่นอนไม่มีใครมั่นใจ 100% หรอก เพราะปากกาอยู่ที่ศาล แต่ในฐานะพรรคการเมืองที่ประกาศจุดยืนเรื่องนี้ ผมคิดว่าต้องหาจุดสมดุลประคับประคองไปให้ได้ ไม่ควรออกอาการกลัว ลนลาน ขนาดนี้ มิเช่นนั้น ถ้าจะทำก็แถลงสาธารณะไปเลยว่าต้องทำเพราะกลัวโดนยุบพรรค โดนจริยธรรม ขอให้เข้าใจด้วย

ส่วนตัวผมเห็นว่าถ้าเขาจะยุบ จะตัด ต่อให้ลบออกหมด เขาก็ยุบได้ครับ และเมื่อไรที่กลับมาทำเรื่องพรรคนี้อีกเมื่อไรก็โดนอยู่ดี เว้นแต่จะประกาศให้พวกเขารู้ว่าพร้อมจะเป็นเด็กดีของระบอบแล้ว

‘อ.เจษฎ์’ ชี้!! คนไทยไม่ควรเห็นดีเห็นชอบในการล้มล้างสถาบัน ถ้าพอกันทำ จะสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน

จากรายการ 'เข้มข่าวเย็น' ทาง PPTV เมื่อวันที่ 1 ก.พ.67 รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อาจารย์คณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย กล่าวช่วงหนึ่งว่า...

พรรคการเมืองไม่ควรเอาเรื่อง สถาบันฯ มาหาเสียง และต่อให้พรรคก้าวไกล ชนะได้ สส.ถึง 500 คนเข้ามาในสภา ก็ไม่มีสิทธิที่จะไปล้มล้างสถาบันหลักของบ้านเมือง

เปิดฉาก!! 'แก้นิรโทษกรรม-ประชามติ-รธน.' ปฏิบัติการ 'กึ่งยิงกึ่งผ่าน' ของ 'เพื่อไทย'

ครับ!! เป็นไปตามที่ 'เล็ก เลียบด่วน' รายงานไว้เมื่อต้นสัปดาห์ว่า พรรคเพื่อไทยเขาจะ 'หักเหลี่ยมโหด' เสนอญัตติด่วนเกี่ยวกับการนิรโทษกรรม และขอลัดคิวพิจารณา...ซึ่งวันที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมา ทุกอย่างก็จบลงด้วยความเรียบร้อยโรงเรียนเพื่อไทย...มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขึ้นมา 35 คน เวลาศึกษา 2 เดือน...

ทำใจเป็นกลางก็พอจะพูดได้ว่า...เพื่อไทยต้องการให้รอบคอบ และคงมีความตั้งใจที่จะออกกฎหมายนี้อยู่พอประมาณ...สังเกตจากชื่อญัตติด่วนชื่อ ‘ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม’

แบ่บว่า...มีการยกระดับขึ้นมานิดหนึ่ง ไม่ใช่ศึกษาแนวทางปรองดอง แต่ศึกษา 'การตรากฎหมาย'

พูดก็พูดเหอะ 'เล็ก เลียบด่วน' เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับผู้สันทัดกรณีที่มองว่า...ลีลาฝ่ายกฎหมายและการเมืองของพรรคเพื่อไทยที่มี 'ชูศักดิ์ ศิรินิล' เป็นเสนาธิการใหญ่...เป็นลีลาเกมฟุตบอลช็อตที่เรียกว่า 'กึ่งยิงกึ่งผ่าน' มีแต่ได้กับได้ เป็นการเช็กกระแสพรรคการเมืองและกระแสสังคมไปในตัว...และได้ยืดเวลาไปตั้งสติได้อีกเล็กน้อย

ไม่เพียงกึ่งยิงกึ่งผ่านเรื่องนิรโทษกรรมเท่านั้น วันเดียวกันพรรคเพื่อไทยนำโดย อ.ชูศักดิ์ แอบไปจัดดีลเล็ก ๆ กับพรรคก้าวไกล ยื่นขอแก้ไขร่าง พ.ร.บ.ประชามติ พ.ศ. 2558 เป้าหมายลึกเป็นที่รู้ ๆ กันมานานว่าต้องการแก้มาตรา 13 ที่บัญญัติการใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้นหรือ Double Majority ว่า...

“การออกเสียงที่จะถือว่ามีข้อยุติในเรื่องที่จัดทำประชามติ ต้องมีผู้ใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงและมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียงในเรื่องที่จัดทำประชามตินั้น”

แปลไทยเป็นไทยสมมุติผู้มีสิทธิออกเสียง 50 ล้าน ด่านแรก ต้องมาออกมาใช้สิทธิ์อย่างน้อย 25 ล้านคน ด่านสอง ใน 25 ล้านคนนั้นต้องเห็นชอบไม่น้อยกว่าครึ่งหรือ 12.5 ล้าน...

ซึ่งทั้งเพื่อไทยและก้าวไกลเกิดอาการป๊อดว่า...ถ้าไม่แก้กฎหมายประชามติ อาจจะตกม้าตายตั้งแต่ด่านแรก...การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเดินต่อไม่ได้ เสียหายหลายแสน เพราะไปหาเสียงเอาไว้ใหญ่โต...!!

การยื่นแก้ไข พ.ร.บ.ประชามติหนนี้จึงเป็นหนึ่งในปฏิบัติการ...กึ่งยิงกึ่งผ่าน...เช่นเดียวกัน

แต่จะว่าไป...กึ่งยิงกึ่งผ่านของพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้ก็ค่อนข้างชัดเจน นั่นคือการที่ อ.ชูศักดิ์ นำทีม 122 สส.ย่องไปยืนแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ว่าด้วยการแก้ไขจัดทำรัฐธรรมนูญซึ่งต้องถามประชามติ...เป้าหมายส่วนลึก อ.ชูศักดิ์ยอมรับว่า ประธานรัฐสภาคงไม่กล้าบรรจุเป็นวาระประชุม เพื่อไทยจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยว่าใครถูกใครผิด และจะได้ถามในคราวเดียวกันไปเลยว่าการจัดทำประชามติต้องทำกี่ครั้งกันแน่ แต่สำหรับพรรคเพื่อไทยเห็นว่าสองครั้งเท่านั้น ประหยัดงบประมาณได้ 3-4 พันล้านบาท...

ก็ได้แต่ภาวนาว่า...ขอให้ปฏิบัติการกึ่งยิงกึ่งผ่าน 3 ลูกของพรรคเพื่อไทยประสบความสำเร็จหรือเข้าประตูได้สักลูก...โดยเฉพาะกรณีนิรโทษกรรมที่ชายชั้น 14 สามารถไถ่บาปให้ตัวเองได้ด้วยการส่งสัญญาณให้พลพรรคเพื่อไทยเดินหน้า ปลดล็อกความขัดแย้งให้ได้ แม้ปลดได้ไม่ทั้งหมดแต่ก็ยังดีกว่าไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย..

ฝากคุณหนูอุ๊งอิ๊งไปกระซิบข้างหูคุณพ่อด้วยนะจ๊ะ!!

‘ศาลรธน.’ ชี้!! การกระทำผิดต่อสถาบัน ถือเป็นการทำผิดต่อความมั่นคงของประเทศ

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การที่พรรคก้าวไกล เสนอให้ย้ายมาตรา 112 ออกจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐนั้น ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 พระมหากษัตริย์ กับประเทศไทย ดำรงอยู่คู่เป็นเนื้อเดียวกัน หากผู้ใดกระทำความผิดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงถือเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของประเทศด้วย"

‘เศรษฐา’ ฟิต!! เตรียมยกหูถึง ‘นายกฯ กัมพูชา’ ลุยหารือแก้ฝุ่น PM 2.5 หลังพัดเข้าไทย

(2 ก.พ. 67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางเข้าปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลตามปกติแล้ว หลังจากได้ลาป่วยตามคำแนะนำของแพทย์ จากไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ A เป็นเวลา 2 วัน โดยระหว่างเลี้ยวรถเข้าทำเนียบรัฐบาล หน้าบริเวณประตู 1 นายกรัฐมนตรี ได้ให้ขบวนรถจอด พร้อมกับลงมา ทักทายสื่อมวลชน โดยก่อนลงจากรถนายกรัฐมนตรี ได้สวมหน้ากากอนามัย ซึ่งพบว่ายังมี สีหน้าที่อิดโรย แววตาฉ่ำจากพิษไข้ พร้อมกล่าวทักทายสวัสดีสื่อมวลชน

ผู้สื่อข่าวถามว่าหายดีแล้วใช่หรือไม่นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตอนนี้พ้นระยะติดเชื้อแล้ว แต่ขอใส่แมสไว้หน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวเขาจะว่าเอา ไม่มีไข้ไม่มีอะไรแล้ว วันนี้ได้มาทำงานตามปกติ 

เมื่อถามว่ายังสามารถเดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ประเทศศรีลังกา ระหว่างวันที่ 3-4 กุมภาพันธ์นี้ ได้ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า โอ๊ย สบายมากไม่มีปัญหาครับ วันนี้ก็มีนัดแน่นเอี้ยด โดยเวลา 09.30 น. ทางผู้บริหารธนาคารกรุงเทพจะพาธนาคารจีนมา และยังจะมีประชุมอีกทั้งวัน นอกจากนี้นางสาวสุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็จะมาพูดคุย และรายงานเรื่องการท่องเที่ยวที่ได้ไปประชุมมา ที่จะรวบรวม 4-5 ประเทศ เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลาง

"ไม่ต้องห่วงครับสบายมากครับ เมื่อวานนี้ผมยังได้สั่งการไปหลายเรื่อง ซึ่งวันนี้เป็นห่วงเรื่องฝุ่น PM 2.5 ที่มาจากทางกัมพูชา โดยอีกสักครู่จะโทรศัพท์คุยกับพล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อีกรอบ เพราะเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง เพราะดูจากแผนภาพความร้อน heatMap ของไทยมีน้อยมาก แต่ heat Mat อยู่ที่กัมพูชา เพราะลมพัดจากตะวันออกมาตะวันตก" นายเศรษฐา กล่าว

นายกฯ กล่าวอีกว่า เดี๋ยวจะกำชับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทย ในสัปดาห์หน้าเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น พอดี อีกทั้งจะกำชับไปทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ในเรื่องของระบบจะต้องไม่ล่มเนื่องจากเมื่อคืนที่ผ่านมา ล่มไปอีกรอบ แต่ก็แก้ได้เร็ว ก็ต้องไปดูว่า Back up System ระบบสำรองข้อมูล และเรื่องต่างๆ อีกมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน

"ไม่ต้องห่วงครับ ไม่มีอะไรเดี๋ยวเจอกัน ซึ่งภารกิจวันนี้น่าเสียดายในตอนเย็นเดิมมีนัดเตะฟุตบอล กับท่านทูต ที่สนาม Polo Football park แต่ผมก็จะไปเฉยๆ คงไปยืนดูนิดๆ ก็พอครับ ความจริงอยากลงเตะเหมือนกัน" นายเศรษฐา กล่าว

‘ศาลรธน.’ ชี้ การเสนอย้าย ม.112 ออกจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ถือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การที่นายพิธา และพรรคก้าวไกล เสนอให้ย้ายมาตรา 112 ออกจากความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ ถือเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของรัฐ และเป็นความผิดที่ร้ายแรงในระดับเดียวกันกับลักษณะอื่น”

หนึ่งในคำวินิจฉัยจาก ‘ศาล รธน.’ กรณีพรรคก้าวไกลเสนอแก้ ม.112 ถือเป็นการล้มล้างการปกครอง

เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 67 ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย กรณี ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และใช้เป็นนโยบายหาเสียง เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พร้อมสั่ง ‘ยุติการกระทำ’ บางช่วงบางตอนในการวินิจฉัยระบุว่า…

“การเสนอให้ความผิด ม.112 ยอมความได้ มาตรา 139/1 และ วรรคสอง ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์และเป็นผู้เสียหาย ถือเป็นความมุ่งหมายให้การกระทำ ม.112 เป็นการลดสถานะ และไม่ให้ความคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ จนกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชนโดยตรง”

พิสูจน์ระบบคุณธรรม จะด่างพร้อยหรือไม่? หากยังพยายามดันอาวุโสน้อยสุดขึ้นมาอีก

ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) จะว่างลงในเดือนตุลาคม 2567 นี้ เนื่องจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล จะเกษียณอายุราชการ คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (กตร.) จึงต้องสรรหา ผบ.ตร.คนใหม่ขึ้นมาแทน ซึ่ง กตร. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ทางนายกรัฐมนตรีจะต้องเสนอชื่อให้ กตร.พิจารณา

ในปัจจุบัน พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร.อาวุโสสูงสุด เกษียณกันยายน 2567 ดูเหมือนชีวิตข้าราชการตำรวจกลายเป็น 'ผู้ให้' และจำยอมหลีกทางให้ รอง ผบ.ตร.คนอื่นที่มีอาวุโสน้อยได้ไต่ขึ้นไปชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.อยู่ร่ำไป

เมื่อกันยายน 2566 พล.ต.อ.รอย มีสิทธิชอบธรรมตามหลักอาวุโส ซึ่งเป็นระบบคุณธรรมของการเติบโตในสายงานราชการตำรวจที่ควรได้รับคัดเลือกให้เป็น ผบ.ตร. แล้วชีวิตของเขาเหมือนถูกสาปจนจำต้องหลีกทางให้ รอง ผบ.ตร.อาวุโสน้อยกว่า แต่เส้นใหญ่สุดปาดหน้าไปเป็น ผบ.ตร.อย่างหน้าชื่นอกตรมมาแล้ว

ภาพสะท้อนอาการ 'ผิดหวัง' ในระบบคุณธรรมตำรวจที่พยายามเดินหลีกหนีระบบเส้นสายเบียดแทรกพุ่งพรวดไปเป็น ผบ.ตร.นั้น ในวันที่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ประชุมพิจารณาเห็นชอบแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ พล.ต.อ.รอย ไม่เข้าร่วมประชุมด้วย

คงไม่ใช่วาสนา พล.ต.อ.รอย ไม่ถึง ผบ.ตร. แต่ระบบคัดเลือกที่ขาดคุณธรรม และถูกกลุ่มอำนาจไม่ยึดบรรทัดฐานตามกฎหมายขัดขวางไม่ให้ก้าวไปสู่ตำแหน่งปรารถนาของนายตำรวจยศ 'พล.ต.อ.' ซึ่งไต่เต้าจนมีสิทธิไขว่คว้าได้ แล้วระบบคุณธรรมก็ถูกอำนาจอื่นมาทำให้วงการตำรวจด่างพร้อยซ้ำซากอีก

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อไร้โอกาสไปถึง ผบ.ตร.แล้ว พล.ต.อ.รอย ที่อยู่ในวงการตำรวจมาทั้งชีวิต ผ่านร้อนผ่านหนาวจากอำนาจการเมืองกดทับจำเจ แน่นอนชีวิตตำรวจที่เหลืออยู่ เขาย่อมต้องการเกษียณในตำแหน่งสุดท้ายของงานตำรวจในกันยายนปี 2567 

แล้ว พล.ต.อ.รอย กลายเป็น 'ผู้ให้' ต้องยอมหลีกทางอีกครั้ง ขณะที่เวลาจะเกษียณเหลืออีก 8-9 เดือน เขาต้องถูกมติ ครม.ให้ย้ายขาดจากตำแหน่งรอง ผบ.ตร.สูงสุดที่หมดโอกาสได้เป็น ผบ.ตร.แล้ว ไปเป็น 'เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ' (สมช.) ที่ว่างเว้นอยู่

ดูเหมือนรัฐบาลเชิดชูเอออวยว่า พล.ต.อ.รอย มีความเหมาะสม มากความรู้ (แต่ไม่ได้เป็น ผบ.ตร.ตามระบบคุณธรรม) ในตำแหน่ง เลขา สมช. ก็ว่ากันไป ส่วนด้านลึกที่ไม่ยกยอกันนั้น คือ คำสั่ง 'ย้ายไปที่ใหม่' เป็นการเปิดทางให้ รอง ผบ.ตร.ว่างลง แล้ว ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโสสูงคนหนึ่งจะได้มีที่ลงในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เพื่อบ่มเพาะให้ไปเป็นคู่ชิง ผบ.ตร. คนใหม่ที่จะแต่งตั้งช่วงสิงหาคม-กันยายน 2567 

อย่ากระพริบ ดันอาวุโสน้อยสุด ข้ามหัว 'บิ๊กโจ๊ก'

ว่ากันว่า ผู้ช่วย ผบ.ตร.อาวุโส ยศ 'พล.ต.ท.' ตามหลักเกณฑ์การเลื่อนชั้นครองยศ 'พล.ต.อ.' ตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. คือ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข นรต.รุ่น 39 เกษียณกันยายนปี 2568 ขึ้นมาเป็น รอง ผบ.ตร.ที่ว่างลง

ผู้สันทัดกรณีระดับเขี้ยวล้วนปักใจเชื่อตรงกันว่า พล.ต.ท.ประจวบ คือ ผู้ชิงตำแหน่ง ผบ.ตร. คนใหม่กับ รอง ผบ.ตร.ที่อยู่ในโผมีสิทธิเป็น ผบ.ตร.ทั้งหมด ซึ่งเหลืออยู่อีก 4 คน เรียงลำดับอาวุโสในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. ดังนี้...

- พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล เกษียณปี 2574 
- พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ เกษียณปี 2569
- พล.ต.อ. สราวุฒิ การพานิช เกษียณปี 2567 
- พล.ต.อ. ธนา ชูวงศ์ เกษียณปี 2569 

ขณะที่ พล.ต.ท.ประจวบ เกษียณปี 2568 และเมื่อได้เลื่อนยศเป็น พล.ต.อ. ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. จะมีอาวุโสน้อยสุด

การประเมินว่า แม้ พล.ต.ท.ประจวบ มีอาวุโสน้อยสุดก็ตาม แต่จะสามารถไขว่คว้าตำแหน่ง ผบ.ตร. มาครองได้เช่นกัน เพราะการแต่งตั้ง ผบ.ตร.ล่าสุดเมื่อกันยายน 2566 พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้มีอาวุโสรั้งบ๊วยสามารถทำได้สำเร็จมาแล้ว และเป็น ผบ.ตร.คนปัจจุบันซึ่งจะเกษียณกันยายนปี 2567 

การปักใจเชื่อมั่นเช่นนั้น ส่วนสำคัญมาจากแรงผลักดัน 2 ส่วนทั้งมีกฎหมายและเป็นอำนาจการเมืองต้องการ โดยด้านกฎหมายอ้างถึง พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565 มาตรา 77 (1) ซึ่งผู้ได้รับแต่งตั้งเป็น ผบ.ตร.ไม่เกี่ยวกับหลักอาวุโสแต่อย่างใด นั่นเท่ากับสะท้อนระบบคุณธรรมเป็นปัจจัยเล็กน้อยที่จะถูกคัดเลือกให้เป็น ผบ.ตร.

มาตรา 77 (1) ระบุว่า ตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากข้าราชการตำรวจยศพลตำรวจเอกซึ่งดำรงตำแหน่งจเรตำรวจแห่งชาติหรือรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

แน่ละเมื่อพิจารณาเพียงชั่วเวลาลมผ่านวูบแล้ว มาตรา 77 (1) ไม่ได้ระบุถึงหลักอาวุโสให้เป็น ผบ.ตร. ซึ่งเป็นความจริง แต่หากพิจารณาประกอบกับมาตรา 78 (1) ระบุหลักเกณฑ์คัดเลือกตำรวจยศ พล.ต.อ.ไปเป็น ผบ.ตร. ไว้ดังนี้...

"การแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา 77 (1) ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจผู้มีคุณสมบัติตามมาตรา 77 (1) โดยคำนึงถึงอาวุโสและความรู้ ความสามารถประกอบกัน โดยเฉพาะประสบการณ์ในงานสืบสวนสอบสวนหรืองานป้องกันปราบปรามเสนอ ก.ตร. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง"

โปรดสังเกตุว่า มาตรา 78 (1) กำหนดหลักเกณฑ์คัดเลือก รอง ผบ.ตร. เป็น ผบ.ตร.ตามมาตรา 77 (1) นั้น ได้เน้นถึงระบบอาวุโสมาเป็นส่วนประกอบสำคัญด้วย และไม่ต้องตีความให้ซับซ้อนอีกเลย เพราะคำว่า ‘คำนึงถึงอาวุโส…’ ย่อมไม่เท่ากับ ‘ผู้มีอาวุโสน้อยสุด’ ต้องได้เป็น ผบ.ตร.

ดังนั้น การคำนึงถึงหลักอาวุโสจึงแปลเป็นอื่นไม่ได้ โดยต้องเคร่งครัดถึงระดับอาวุโสที่มากกว่าคนอาวุโสน้อยสุดจึงควรถูกคัดเลือกให้ได้เป็น ผบ.ตร. เพราะจะเป็นที่ยอมรับของข้าราชการตำรวจ และนี่คือ 'ระบบคุณธรรม' ส่วนคนมีอาวุโสน้อยสุดได้เป็น ผบ.ตร.จึงแสดงถึงส่วนหนึ่งเป็นความต้องการของอำนาจการเมืองผลักดัน

หากอำนาจการเมืองหนุนดันยศ พล.ต.อ.อาวุโสน้อยสุดเป็น ผบ.ตร. แล้วนายกฯ คัดเลือกหยิบชื่อส่งให้ ก.ตร.พิจารณา พร้อมล็อบบี้ให้แต่งตั้ง ด้วยพฤติการเช่นนี้ย่อมเป็นการทำให้ระบบคุณธรรมด่างพร้อย ข้าราชการตำรวจย่อมอ่อนโรยในการทำหน้าที่ แล้วเสียงสังคมก็ดังกระหึ่มกระตุ้นให้ปฏิรูปตำรวจพ้นจากระบบเส้นสายของการเมืองต้องการ

กล่าวอย่างแจ่มชัดเฉพาะ พล.ต.ท.ประจวบ หากได้เลื่อนยศมาเป็น พล.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. เขาจะมีอาวุโสน้อยสุดเพียงเป็น รอง ผบ.ตร.ตั้งแต่การโยกย้ายปกติเมษายนถึงได้รับโปรดเกล้าฯ กระทั่งถึงสิงหาคมและกันยายนปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงการชิงตำแหน่ง ผบ.ตร.กับรอง ผบ.ตร.คนอื่นคึกคัก ลุ้นระทึก แต่เขามีอาวุโสประมาณ 5-6 เดือนเท่านั้น 

ด้วยอาวุโสน้อยสุดเช่นนี้ หากทะลุไปถึงตำแหน่ง ผบ.ตร.ในกันยายนปี 2567 ความครหาได้เพราะอำนาจการเมืองผลักดัน โดยเป็นอำนาจการเมืองที่ พล.ต.ท.ประจวบ คุ้นเคยพื้นที่เชียงใหม่ แล้วอาจมีสัมพันธ์กับนักการเมืองเชียงใหม่ที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จในพรรคเพื่อไทยต้องการให้เป็น ผบ.ตร

ดังนั้น ศักดิ์ศรีของ พล.ต.ท.ประจวบ ย่อมมั่วหมองด้วยเส้นสายของอำนาจนัการเมือง ถูกกล่าวหาเป็นตำรวจที่ทำให้ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจด่างพร้อย แต่ถึงที่สุดเขาอาจไม่ต้องการเป็นตำรวจด้วยระบบเส้นสายก็ได้

การคาดหมายว่า พล.ต.ท.ประจวบ คือ ผบ.ตร.ในอนาคต มาจากผู้สันทัดกรณีวิเคราะห์เอาทางภววิสัยที่เป็นตำรวจภาค 5 มาก่อน เป็นคนจัดระเบียบรอรับทักษิณ ชินวัตร กลับบ้านเมื่อ 22 สิงหาคม 2566 แล้วประเมินว่า อำนาจการเมืองต้องการให้เป็น ผบ.ตร.

แต่ด้านลึกที่เป็นอัตวิสัยแล้ว พล.ต.ท.ประจวบ ย่อมไม่ต้องการ ผบ.ตร.ด้วยทางลัดตามอำนาจการเมืองก็เป็นไปได้ เพราะเขารู้ตัวเองว่า อาวุโสใน รอง ผบ.ตร.เพียง 5-6 เดือนมันน้อยนิดที่เป็น ผบ.ตร.ด้วยระบบคุณธรรมและทำให้องค์กรตำรวจภาคภูมิใจได้ 

ดังนั้น ยังมีเวลาและปัจจัยแห่งอนาคตอีกที่จะประเมินและฟันธงว่า พล.ต.ท.ประจวบ เมื่อได้เลื่อนยศเป็น พล.ต.อ.ในตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. คือ ผบ.ตร.ตามอำนาจการเมืองเพื่อไทยหมายปองไว้หรือไม่

โปรดย้อยรอยศึกษาอำนาจแต่งตั้ง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เป็น ผบ.ตร. คนที่ 8 เมื่อ 26 ตุลาคม 2554-30 กันยายน 2555 ล้วนละม้ายคล้ายคลึงกับการย้าย พล.ต.อ.รอย ไปเป็น เลขา สมช.ยิ่งนัก

‘กลาโหม’ จับมือ ‘กมธ.ทหาร’ ผลักดันโครงการพลทหารปลอดภัย เปิดช่องร้องเรียนหากพบพฤติกรรมไม่เหมาะสมในค่ายทหาร

(2 ก.พ. 67) ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม พร้อม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหาร ได้ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าหารือกันประมาณ 2 ชม. ว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี มีการพูดคุยซักถามกันหลายประเด็น ถือเป็นความร่วมมือระหว่างกัน

สำหรับไฮไลต์สำคัญอยู่ที่โครงการพลทหารปลอดภัย ที่ทางคณะกรรมาธิการการทหาร มาบอกเล่าให้ทางกระทรวงกลาโหมได้รับรับทราบ ซึ่งเกิดจากความเป็นห่วงพลทหาร ที่มีทหารออกนอกลู่นอกรอย ในการถูกลงโทษลงทัณฑ์พลทหาร ทางคณะกรรมาธิการทหารจึงได้เกิดโครงการนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะเปิดช่องทาง ให้ทหารเกณฑ์หรือทหารกองประจำการ ได้มีการสื่อสารหากได้รับวิธีการลงโทษที่ไม่ถูกต้อง

ซึ่งทางกระทรวงกลาโหมก็มีความยินดีให้ความร่วมมือ จะได้ช่วยทางกระทรวงกลาโหมกำกับดูแล แม้ว่าเราจะมีนโยบายที่ดีที่ดีและกวดขัน ขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีกำลังพลบางส่วนที่ยังไม่สนองนโยบาย หรืออาจจะนอกลู่นอกรอย ซึ่งทางคณะกรรมาธิการการทหารมีโครงการอย่างนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อกระทรวงกลาโหม

เรียกได้ว่าเป็น ‘โซเชียลคอนโทรล’ ก็จะทำให้พฤติกรรมนอกลู่นอกรอยดีขึ้น จึงถือว่าทางคณะกรรมาธิการการทหารและกระทรวงกลาโหมได้ร่วมมือกันทำให้โครงการนี้สำเร็จ โดยหลังจากนี้ก็จะมอบหมายให้หลังจากนี้จะพิจารณาว่าจะมอบหมายให้หน่วยงานใดในกองทัพเป็นผู้ประสานงานกับทางกรรมาธิการการทหารอาจเป็นหน่วยงานด้านกิจการพลเรือน

ด้าน นายวิโรจน์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการพูดคุยในเรื่องความเข้าใจในบทบาทซึ่งกันและกัน ซึ่งคณะกรรมาธิการการทหารก็มีอำนาจในการตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่ง นายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ยังมีสถานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ถือว่าเป็น สส.อาวุโส ได้เข้าใจบทบาทคณะกรรมาธิการเป็นอย่างดี ตนหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ณ ปัจจุบันนี้การขอข้อมูล ข้อเท็จจริงใด ๆ จากกองทัพ จะได้รับการประสานงานและแนบแน่น ได้รับข้อมูลครบถ้วนและถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเรื่องการกู้เรือหลวงสุโขทัยและการจัดซื้อเรือดำน้ำ ธุรกิจกองทัพ หรือประเด็นปัญหาต่าง ๆ นับจากนี้ ก็จะได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่ จากกระทรวงกลาโหม

"เป็นที่น่ายินดีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ตกปากรับคำว่าจะ ดำเนินโครงการพลทหารปลอดภัย ถือว่าเป็นข่าวดีให้กับคุณพ่อคุณแม่ และจะดำเนินการในโครงการนี้ ก่อนที่จะมีการเกณฑ์ทหาร จับใบดำใบแดง ในปี 2567 นี้ และจะได้ ทำงานร่วมกับทางกองทัพอย่างใกล้ชิดเพื่อสกัดกั้นการนอกลู่นอกรอย และอาจจะผิดหลัก สิทธิ มนุษยชน" นายวิโรจน์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top