Sunday, 22 June 2025
Politics

'อัษฎางค์' รวบย่อไทม์ไลน์ 'พิธา' กับ 'ปมหุ้นไอทีวี' บทสรุปการ 'รอด' เพราะศาลวินิจฉัยไม่ได้ทำธุรกิจสื่อแล้ว

(24 ม.ค. 67) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก สรุปกรณี 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์' ได้ไปต่อหลังรอดปมหุ้มไอทีวี ว่า...

ศาลตัดสินคดีพิธาถือหุ้นไอทีวี

1. ถือหุ้นสื่อ 1 หุ้นก็ถือว่า ผิด
2. พิธา อ้างว่าเป็นเพียงผู้จัดการมรดก แต่ศาลวินิจฉัยว่า พิธาเป็นทั้งผู้จัดการมรดก และทายาทผู้ได้มรดกเป็นหุ้นไอทีวีด้วย
3. พิธา อ้างว่าเชื่อว่าตัวเองไม่ได้ถือหุ้นสื่อ
4. แต่ พิธา ยังอ้างว่าโอนหุ้นโดยปากเปล่า ก่อนสมัคร สส. (อันนี้เป็นพฤติกรรมดิ้น เอามาอ้างไม่ได้)
5. ทำใหัศาลสงสัยว่า ถ้าพิธามั่นใจว่าไม่ได้ถือหุ้นสื่อแล้วจะโอนหุ้นทำไม
6. สรุปว่าพิธาถือหุ้นไอทีวี ในวันที่สมัคร สส.จริง
7. แต่ศาลวินิจฉัยว่า ไอทีวี ไม่ได้ประกอบธุรกิจสื่อแล้ว
8. ศาลจึงตัดสินว่า พิธา รอด

‘นายกฯ-ปธน.เยอรมนี’ ตรวจแถวทหารกองเกียรติยศผสม ก่อนหารือข้อราชการเต็มคณะ ในฐานะแขกของรัฐบาล

(25 ม.ค. 67) ที่บริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง พร้อมภริยา ให้การต้อนรับ ต้อนรับ ดร.ฟรังค์-วัลเทอร์ ชไตน์ไมเออร์ ประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และภริยา ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็น
โดยทันทีที่เดินทันถึง นายกรัฐมนตรี ได้ให้การต้อนรับ พร้อมนำประธานาธิบดีแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม และเมื่อเสร็จสิ้นพิธีต้อนรับและตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ นายกรัฐมนตรีเชิญประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา เข้าสู่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อถ่ายภาพร่วมกัน ณ บันไดโถงกลางตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะเชิญประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา ไปยังห้องสีม่วง เพื่อแนะนำคณะรัฐมนตรี และลงนามในสมุดเยี่ยมของรัฐบาล

หลังจากนั้น นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนี พร้อมบุคคลสำคัญฝ่ายไทย ได้แก่ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และนายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี รวมทั้งบุคคลสำคัญฝ่ายเยอรมนี ได้แก่ นาย Hubertus Heil รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและกิจการสังคม และนาย Michael Kellner รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและการปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ ร่วมหารือข้อราชการ ณ ห้องสีงาช้าง ก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะหารือร่วมกับภาคเอกชน ณ ตึกภักดีบดินทร์ ถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจ และแนวทางส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน

เมื่อเสร็จสิ้นการหารือกับภาคเอกชน นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีเยอรมนี ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนไทยและต่างประเทศ ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ก่อนร่วมกันเยี่ยมชมนิทรรศการ ณ โถงกลาง ตึกสันติไมตรี และช่วงเที่ยง นายกรัฐมนตรีจะเป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงอาหารกลางวัน เพื่อเป็นเกียรติแก่ประธานาธิบดีเยอรมนี และภริยา 

‘รมว.ปุ้ย’ รับสื่อสารคลาดเคลื่อนกรณีแร่ลิเทียม แต่ยัน!! มีอยู่จริงในปริมาณหินที่มีการแทรกอยู่

(25 ม.ค. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามสดที่นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ สอบถามนายกรัฐมนตรีถึงกรณีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการเหมืองแร่ แถลงระบุประเทศไทยพบแหล่งแร่ลิเทียม จ.พังงา ที่มีมากเป็นอันดับ 3 ของโลก เพื่อใช้ผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า แสดงให้เห็นสัญญาณดีประเทศไทยอาจเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ไฟฟ้าระดับโลก แต่นักวิชาการหลายคนมองว่า ไม่น่าจะมีมากเป็นอันดับ 3 ของโลก อยากทราบว่า พบมาเป็นอันดับ 3 ของโลกจริงหรือไม่ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็เป็นเฟกนิวส์ของรัฐบาล ไม่ได้หลอกคนไทย แต่หลอกไปทั่วโลก ศูนย์เฟกนิวส์ต้องตรวจสอบให้ดีว่า ข่าวรัฐบาลเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่ และการทำเหมืองแร่ลิเทียมจะส่งผลกระทบต่อธรรมชาติ ดังนั้นรัฐบาลมีแนวทางบริหารจัดการผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าอย่างไร

ด้านน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงว่า ประเทศไทยมีการสำรวจแหล่งแร่ลิเทียม 2 แหล่ง ที่ จ.พังงา คือแหล่งเรืองเกียรติ และแหล่งบางอีตุ้ม เป็นแหล่งที่เข้าไปสำรวจแล้ว พบมีหินที่มีแร่ลิเทียมเป็นองค์ประกอบ โดยเฉพาะแหล่งเรืองเกียรติมีปริมาณหินที่มีลิเทียมแทรกอยู่ 14.8 ล้านตัน ความสับสนที่เกิดขึ้นเป็นศัพท์เทคนิคของเหมืองที่เข้าใจยาก 14.8 ล้านตันที่พบเป็นปริมาณหินที่มีแร่ลิเทียมแทรก ไม่ใช่จำนวนแร่ลิเทียม ให้กรมฯ ไปอธิบายให้ประชาชนเข้าใจแล้ว ยืนยันมีแหล่งแร่อยู่จริง 

แต่ด้วยความที่ทุกคนตื่นเต้น การสื่อสาร ความเข้าใจศัพท์เทคนิคอาจไม่เป็นทางเดียวกัน ยอมรับมีการสื่อสารผิดพลาดเกิดขึ้น จะพยายามใช้ศัพท์ให้ตรงกันมากขึ้น เลี่ยงใช้ศัพท์เทคนิค แต่เรื่องที่เกิดขึ้นสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนว่า เรามีสารตั้งต้นผลิตแบตเตอรี่ ไม่ว่าจะอยู่ลำดับใด ไม่ควรด้อยค่ากัน ให้ภูมิใจประเทศไทยมีแหล่งแร่ลิเทียม เป็นฮับผลิตรถอีวี จะมีการบริหารจัดการที่ดีเรื่องแร่ลิเทียมให้สามารถอยู่คู่กับชุมชน ไม่ต้องกังวล 

ชาวบ้านร้องกรมโรงงานฯ ตรวจสอบ สส.ก้าวไกล ถามตั้งโรงงานถูกต้องหรือไม่ หลังเป็นพื้นที่สีเขียว

(25 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า…

“ทุกคนคะ ชาวบ้านร้องตรวจสอบ โรงงาน สส.พรรคดัง จ.ฉะเชิงเทรา

โรงงานแห่งนี้รับผลิตกล่องกระดาษ แจ้งว่ากำลังผลิตวันละไม่ต่ำกว่า 100,000 กล่อง/วัน เป็นของ สส.ลักแกง ก่อนจะโอนให้แม่ก่อนเป็น สส.

ตรวจสอบจากเว็บไซต์กรมโรงงาน ไม่พบชื่อโรงงานแห่งนี้ในฐานข้อมูล ตรวจสอบพื้นที่ตั้งโรงงานพบว่าอยู่ในโซนสีเขียว เขตห้ามสร้างโรงงาน

จึงขอร้องเรียนไปทางกระทรวงอุตสาหกรรม ช่วยตรวจสอบใบอนุญาตและประเภทของกิจการว่าถูกต้องหรือไม่

หรือว่า สส.ชื่อดัง เป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่ จึงไม่กล้าตรวจสอบคะ”

จับตาด่านสอง ‘พิธา-ก้าวไกล’ ‘คดี ม.112-ล้มล้างฯ’ มีเสียว!!

นับเป็นโชคดีของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ได้กลับสู่สภาฯ อีกครั้ง หลังจากศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 8 ต่อ 1 วินิจฉัยว่าแม้พิธาจะถือหุ้นไอทีวีอยู่จริง แต่ในขณะนั้นไอทีวีไม่ได้ประกอบกิจการสื่อ ไม่มีรายได้ ฯลฯ จึงไม่นับเป็นหุ้นสื่อ ไม่มีลักษณะต้องห้ามมาตรารัฐธรรมนูญมาตรา 98 (3) ที่ห้ามถือหุ้นสื่อ...จึงไม่พ้นสมาชิกภาพความเป็น สส.ตามมาตรา101 (6)

ส่วนตัว ‘เล็ก เลียบด่วน’ ต้องขอแสดงความยินดีกับ พิธา...และเชื่อว่าหากจากนี้ไปหากพิธาซื่อตรงกับข้อเท็จจริงในทุกเรื่อง รวมทั้งชีวิตส่วนตัว...แปลไทยเป็นไทยว่า อย่าพูดโกหกไม่ว่าเรื่องใด ๆ ก็จะจำเริญรุ่งเรือง เพราะคนไทยเชื่อในพุทธภาษิต “คนพูดโกหกไม่ทำชั่วไม่มี” แก้ตรงนี้เสีย...อนาคตก็จะก้าวไกลเหมือนชื่อพรรค เฉพาะหน้าประชุมใหญ่วิสามัญเดือน เม.ย.ก็น่าจะได้คัมแบ็ก นั่งหัวหน้าพรรค และสเตปต์ต่อไปก็คือ เป็นผู้นำฝ่ายค้านสภาผู้แทนราษฎร…

สมัยนี้ก็เป็นผู้นำฝ่ายค้าน เป็นนายกฯ รถแห่ หรือ นายกฯ ว่าวไปก่อน...บำเพ็ญเพียรบารมี ยกระดับวุฒิภาวะอีกขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง เลือกตั้งรอบหน้าระเบิดเถิดเทิง

อย่างไรก็ตามวันพุธที่ 31 ม.ค. 67 มีอีกด่านที่ พิธา ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกลผู้ถูกร้องที่ 2 จะต้องลุ้นระทึกคือ คดีที่ถูกร้องเรื่องการหาเสียงที่เดินหน้าแก้ไขมาตรา 112 สืบเนื่องถึงปัจจุบัน เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง...หรือไม่?

ผู้ร้องคือ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษตร ศิษย์เอกคนหนึ่งของอดีตพระพุทธะอิสระ...

เป็นคดีที่ผู้ร้องต่อยอดมาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อ 10 พ.ย. 64 กรณีการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์ ที่มีการเสนอ 10 ข้อแบบ ‘ทะลุเพดาน’ ให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งศาลสั่งให้นายอานนท์ นำภา, ภาณุพงศ์ จาดนอก และ รุ้ง ปนัสยา รวมทั้งองค์เครือข่ายหยุดการดำเนินการเพราะเป็นการเคลื่อนที่ไหวที่ “มีเจตนาซ่อนเร้นเพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ใช่เป็นการปฏิรูป..”

นายธีรยุทธเห็นว่าพรรคก้าวไกลดำเนินการขัดกับคำวินิจฉัย จึงใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 ยื่นร้อง และศาลมีมติรับคำร้องเมื่อ 12 ก.ค. 66

ตอนท้ายของหน้าที่ 18 ของคำร้อง นายธีรยุทธ ขอให้ศาลวินิจฉัยว่า…

“...เพื่อเป็นมาตรการป้องกันความเสียร้ายแรงที่อาจจะเกิดกับสถาบันหลักของประเทศไว้ก่อน อันเป็นรัฐประศาสโนบายที่จำเป็นเพื่อดับไฟกองใหญ่ไว้แต่ต้นล้ม ผู้ร้องจึงขอให้ศาลรัฐธรรมนูญโปรดพิจารณาวินิจฉัยสั่งให้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 1 และพรรคก้าวไกล ผู้ถูกร้องที่ 2 เลิกดำเนินการใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ เพื่อยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และให้เลิกการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณาและการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น เพื่อให้มีการยกเลิกหรือแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  ที่กระทำอย่าและเลิกดำเนินการใด ๆ หรือกระทำการใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 49 วรรคสอง”

ดูตามคำร้องคำขอ...คดีนี้ ก็คงไม่ไปไกลถึงขั้นยุบพรรคอะไรที่ไหนหรอก...แต่ที่ควรจับตามองคือ รายละเอียดและข้อเท็จจริงบางช่วงตอนที่ศาลจะวินิจฉัยเกี่ยวกับพฤติการณ์ของพิธาและก้าวไกลว่าเกี่ยวโยงกับคำวินิจฉัยของศาลรธน.10 พ.ย. 64 หรือไม่และอย่างไร?...ซึ่งตรงนั้นอาจเป็นเชื้อหรือสารตั้งต้น ให้บรรดา ‘นักร้อง’ นำไปทำหน้าที่กันต่อไป…

‘พิธา-ก้าวไกล’ อย่ามองข้ามความปลอดภัย...!!

‘รทสช.’ ชี้!! เงินบริจาคผ่านระบบภาษีให้พรรคพุ่งเป็นอันดับ 3 สะท้อน!! ปชช.เชื่อมั่นในแนวทาง ‘พรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่’

(26 ม.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า ในนามพรรครวมไทยสร้างชาติขอขอบพระคุณพี่น้องประชาชนทั่วประเทศที่ร่วมสนับสนุนบริจาคเงินภาษีและเงินอุดหนุนให้กับพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งในปีนี้ได้ถึง 10 ล้านกว่าบาท ได้มากเป็นอันดับที่ 3 ของพรรคการเมืองที่จดทะเบียน ยอดบริจาคในปีนี้เพิ่มมากขึ้นถ้าเปรียบเทียบกับปีก่อนที่ได้เพียง 4 แสนกว่าบาท แม้พรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ ทำการเมืองมาปีกว่าๆ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนจากพี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ ได้ทำให้ผู้บริหารพรรคและสมาชิกพรรคมีกำลังใจ ดีใจที่เห็นพี่น้องประชาชนทั่วประเทศสนับสนุน ทำให้มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงาน ดูแลรับใช้ประชาชนอย่างเต็มกำลังความสามารถ โดยพรรคจะยืนหยัดในอุดมการณ์ของพรรคอย่างมั่นคง ในแนวทาง ‘พรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่’ โดยพร้อมเปิดกว้างพร้อมรับแนวร่วมคนทุกรุ่นทุกเพศทุกวัยเข้ามาสร้างพรรคให้เติบโต ตามแนวทางของพรรคที่ยังจะรักษาสิ่งที่ดีงามในอดีตของประเทศไว้ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่าที่มีความจำเป็น

นายอัครเดช กล่าวว่า ขอเรียกร้องให้คนรุ่นใหม่และคนรุ่นใหญ่มาร่วมสนับสนุนแนวทางการทำงานของพรรครวมไทยสร้างชาติให้มากยิ่งขึ้น พรรคจะพยายามทำงานแสดงจุดยืนทางการเมืองให้ชัดเจนว่าพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมสมัยใหม่ ที่สามารถตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า แต่ยังคงรักษาสิ่งที่ดีงามในอดีตไว้

เมื่อถามว่า การที่มีประชาชนบริจาคเงินสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นแสดงว่าแนวทางของพรรคที่เดินมาถูกทางแล้วใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า ยอดเงินบริจาคที่เพิ่มขึ้นสะท้อนว่าประชาชนเชื่อมั่น ในแนวทางของพรรคโดยเฉพาะจุดยืนมีความชัดเจน และ ผลงานของพรรคที่ทำมา แม้จะเข้าร่วมรัฐบาลได้ไม่นาน ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนหันมาสนับสนุน พรรครวมไทยสร้างชาติเรามีบุคลากรที่พร้อมจะเข้ามาบริหารประเทศและพร้อมเข้ามาทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงในสภาผู้แทนราษฎร

เมื่อถามว่า จะเดินตามแนวทางนี้ของพรรคต่อไปไม่เปลี่ยนแปลงใช่หรือไม่ นายอัครเดช กล่าวว่า พรรคจะยึดมั่นแนวทางนี้ต่อไปเพราะเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์พี่น้องประชาชนได้ ดูได้จากมีคนมาบริจาคเงิน ผ่านระบบการเสียภาษี ให้พรรคเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญ อย่างไรก็ตาม ในปีต่อไปขอให้พี่น้องประชาชนมาร่วมบริจาคเงินให้พรรครวมไทยสร้างชาติเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้พรรคยืนหยัดในแนวทางและอุดมการณ์ของพรรคที่ได้ประกาศไว้ต่อพี่น้องประชาชนอย่างมั่นคง

‘รทสช.’ ยัน!! ‘เจ๋ง ดอกจิก’ หลุดคณะทำงานพรรคตั้งแต่ ธันวา 66 ลั่น!! จุดยืนพรรคชัดเจน ‘ทำผิด-หลักฐานชัด’ ขับพ้นสมาชิกลูกเดียว

(27 ม.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหลังตำรวจรวบตัว นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ ‘เจ๋ง ดอกจิก’ สมาชิกพรรค รทสช. ภายในทำเนียบรัฐบาล หลังมีการกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการข่มขู่เรียกเงินอธิบดีกรมการข้าว 3 ล้านบาทว่า…

กรณีของนายยศวริศ ตามที่ปรากฏบนสื่อต่างๆ ขอชี้แจงว่า…

1.) พรรคฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับพฤติกรรมที่ถูกกล่าวหา และขอสนับสนุนให้พิจารณาไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเจ้าตัวก็มีสิทธิ์ที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง 

2.) กรณีที่มีคำสั่งแต่งตั้ง นายยศวริศ หรือ ‘คุณเจ๋ง’ เป็นคณะทำงานนั้น ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่เดือน ธ.ค. 66 แล้ว ส่วนของ น.ส.พิมณัฏฐา ก็ถูกยกเลิกทันทีที่ทราบข่าว 

3.) กรณีที่สมาชิกคนไหนไปกระทำความผิด มีหลักฐานชัดเจน กรรมการบริหารฯ จะพิจารณาขับออกจากสมาชิกตามข้อบังคับ ซึ่งเคสนี้จะมีการนำเข้าเพื่อพิจารณาในการประชุมกรรมการบริหารในรอบต่อไป

‘ปิยบุตร’ ชำแหละ ‘ก้าวไกล’ ไร้เงา 112 ส่งสัญญาณ ‘หมอบ’ ก่อน 31 มกราคม

(27 ม.ค. 67) นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Piyabutr Saengkanokkul - ปิยบุตร แสงกนกกุล’ ในหัวข้อ ‘กรณีก้าวไกลกับการแก้ 112’ โดยระบุว่า…

ผมมีส่วนร่วมในการตั้งพรรคอนาคตใหม่มา ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองมา ยืนยันว่า การเมืองต้องผสมผสานอุดมคติของเรากับสภาพความเป็นจริงทางการเมือง มีรุก มีถอย ตามการประเมินสถานการณ์

ผมเอง ก็เคยถอย มาหลายครั้ง เพื่อองค์กร เพื่อการเดินหน้าตามสถานการณ์ เรื่องพรรค์นี้ คือ การประเมิน ไม่มีอะไรถูกร้อย ไม่มีอะไรผิดร้อย

ดังนั้น การวิจารณ์จังหวะก้าวของพรรคการเมือง จึงอาจมีผู้เห็นด้วย มีผู้เห็นต่าง คนทำพรรค อาจไม่เห็นด้วยกับข้อวิจารณ์ นับเป็นเรื่องปกติ

ผมไม่เห็นด้วยกับการแถลงการณ์แผนการพรรคก้าวไกลในปี 2567

ผมเข้าใจดีว่า ทีมงานของพรรคต้องการจัดแถลงการณ์นี้ขึ้นมา เพื่อต้อนรับการกลับมาของพิธา แต่เมื่อผมเห็นเนื้อหาทั้งหมดแล้ว ผมเห็นว่า… ผิดพลาด โดยเฉพาะ แผนเสนอร่าง พ.ร.บ.47 ฉบับ โดยไม่มีร่างแก้ไข 112

พรรคอาจไม่ได้คิดว่าต้องพูดเรื่องนี้ แต่สื่อเขาคิด และสื่อถาม จี้ ขยายผลว่า สรุป 47 ฉบับในปี 67 ไม่มีแก้ 112 ใช่มั้ย?

กรณีนี้ ส่งผลอย่างไร?

1.) ย้ำความคิดว่า เราต้องยอมรับให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาอยู่เหนือฝ่ายนิติบัญญัติ การเสนอร่างกฎหมาย ต้องฟังว่าศาลรัฐธรรมนูญว่าอย่างไร?

2.) การไม่เสนอ และพูดว่าไม่เสนอ เพราะ รอศาลรัฐธรรมนูญ เสมือนกับส่งสัญญาณ ‘หมอบ’ ก่อนคำวินิจฉัยในวันที่ 31 นี้

3.) หากพรรคก้าวไกลคิดแบบเฉลียวเจ้าเล่ห์ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องแถลงในวันนี้เลย อดใจรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 31 ม.ค. นี้ก่อนก็ได้ เผื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะหา ‘ทางลง’ ให้พรรคก้าวไกล ด้วยการตีกรอบการแก้ 112 ไว้

ต่อไป พรรคก้าวไกลก็พูดตอบประชาชนโหวตเตอร์ได้ว่า แก้ 112 ไม่ได้ เพราะแนวคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญบอกไว้

ผมไม่ได้ไร้เดียงสา ถึงขนาดว่าจะต้องแก้ 112 ให้ได้ จะต้องทำเรื่องนี้อย่างเดียว โดยไม่ต้องทำเรื่องอื่น

ผมตระหนักดีถึงการรุก/รอ/ถอย แต่ผมเห็นว่า การเคลื่อนตลอดสัปดาห์นี้ไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค.ที่ศาลจะตัดสิน ที่ทำๆกันนั้น ไม่ได้คิดประเมิน รุก ถอย บริหารจัดการความคาดหวังคนเลือก แต่มุ่งไปในทิศทาง ‘หมอบ’ เสียมากกว่า ด้วยคิดว่าจะช่วยทำให้รักษาพรรคได้

แล้วพอเป็นแบบนี้ ก็เข้าทางฝ่ายตรงข้ามที่เขารอ ‘เอาคืน’ จากการที่พวกเขาถูกหาว่า ‘ตระบัดสัตย์’

ผมคาดเดาไว้แล้วว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยแบบใด…

ผมได้แต่หวังว่า คณะผู้นำพรรคก้าวไกลทั้งหมด จะประเมินเรื่องทั้งหมดให้รอบด้าน โดยมิได้ตั้งเป้ารักษาพรรค และกรรมการบริหารพรรค จนถึงขนาดต้องแลกกับทุกอย่าง

ผมคาดหวังว่า หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยออกมาแล้ว จะได้ยินเสียงการวิจารณ์จากพรรคก้าวไกลบ้าง หากพรรคก้าวไกลไม่วิจารณ์ศาลรัฐธรรมนูญเลย ผมจะออกมาวิจารณ์พรรคก้าวไกลเป็นคนแรกๆ แน่นอน

และผมจะวิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ตามปกติครรลองของกระบวนวิชาการตามที่ผมฝึกฝนมา

ปล. ดักคอกองเชียร์พรรคก้าวไกลไว้ก่อน ที่จะมาด่าว่า ทำไมผมไม่ไปบอกก่อน ไม่คุยภายใน ผมไม่รู้เรื่องที่พวกเขาทำกัน ผมเป็นคนนอก รู้เรื่องก็จากการอ่านข่าว รู้พร้อมๆ กับประชาชนคนทั่วไปที่ดูจากสื่อนั่นแหละ

เช็กความพร้อม ‘เจ้ต้อย’ พร้อมลงนายกฯ อบจ.เมืองคอนอีกสมัย ฟาก ‘แทน’ ยัน สส.ประชาธิปัตย์ทุกคนสนับสนุนแน่นอน

‘เจ้ต้อย’ ลั่น!! ลงรักษาแชมป์นายกฯ อบจ.นครศรีฯ อีกสมัยแน่นอน ‘แทน’ ยัน สส.ประชาธิปัตย์ทุกคนสนับสนุน เตรียมแผนเดินสายพบผู้นำทั้ง 23 อำเภอ

ย่ำค่ำของวันเสาร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ ‘ชัยชนะ เดชเดโช’ และ ‘พิทักษ์เดช เดชเดโช’ สส.สองพี่น้อง แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ทายาทโดยธรรมของ ‘กนกพร เดชเดโช’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช และ ‘วิฑูรย์ เดชเดโช’ อดีตนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราช นัดพบปะสังสรรค์ปีใหม่กับผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำท้องที่ในอำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช

“แม่ผมจะลงสมัครรักษาแชมป์นายกฯ อบจ.อีก 1 สมัยแน่นอน” ชัยชนะกล่าว ซึ่งจะต้องขอแรงสนับสนุนจากพวกเรา ที่ถือเป็นพรรคพวกเพื่อนฝูงกัน

ชัยชนะกล่าวอีกว่า ที่ แม่ ‘เจ้ต้อย’ จะลงสมัครในนามกลุ่มพลังเมืองนคร และได้รับการสนับสนุนจาก สส.ประชาธิปัตย์ ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้ง 6 คน

“เราไม่รู้ว่าคู่แข่งคือใครบ้าง เพราะยังไม่มีใครเปิดตัว แต่วาระของเราจะหมดในเดือนธันวาคมปีนี้ และจะมีการเลือกตั้งใหม่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2568”

กนกพร กล่าวยืนยันว่า จะลงสมัครอีกสมัย เราในฐานะแชมป์ก็ต้องเตรียมความพร้อมในทุกด้าน และเต็มที่กับทุกงาน

สำหรับการนัดพบปะสังสรรค์ปีใหม่ครั้งนี้ มีผู้นำท้องถิ่น ท้องที่จากทุกตำบลในอำเภอหัวไทร เข้าร่วมงานไม่น้อยกว่า 200 คน และ 100% พร้อมให้การสนับสนุนตระกูล ‘เดชเดโช’ และน่าจะถือได้ว่าเป็นเวทีประเดิม และเจตนาของเจ้ต้อยจะไปพบกับผู้นำท้องถิ่น ท้องที่ในทุกอำเภอทั้ง 23 อำเภอ

กล่าวสำหรับคู่แข่งของเจ้ต้อยในการชิงเก้าอี้นายกฯ อบจ.นครศรีธรรมราช ยังไม่ปรากฏชัดว่ามีใครบ้าง ยังไม่มีใครเปิดตัวชัดเจน แต่เชื่อว่าสำหรับนครศรีธรรมราชแล้ว จะต้องมีคู่แข่งแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนจากพรรคก้าวไกล หรือคณะก้าวหน้า และตัวแทนจากฝั่งตรงข้ามของเดชเดโช

ที่ต้องจับตา คือ ‘เสนพงศ์’ จะส่งใครลงชิง และอยู่สังกัดไหน แต่การออกตัวแรงของ ‘เทพไท เสนพงศ์’ อดีต สส.หลายสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งออกมาจากห้องคุมประพฤติ กับการเชียร์แนวทางของก้าวไกล และใส่เสื้อสีส้ม ก็น่าจะสะท้อนทิศทางของ ‘เสนพงศ์’ ได้ไม่น้อย เพียงแต่จะคัดสรรใครมาลงชิง และจะมีปัญหากับก้าวไกลเก่าหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นจาก ‘ฝั่งชลจิตร์’ และฝั่ง ‘ไกรสินธุ์’

แต่การขยับตัวครั้งสำคัญตั้งแต่เนิ่นของ ‘เดชเดโช’ ที่มีเวลาอีกตั้ง 11 เดือนกว่า ถือว่า ‘พร้อม’ ซึ่งหมายถึงพร้อมทั้งขุมกำลัง และปัจจัยเกื้อหนุน ที่จะนำไปสู่ชัยชนะ รักษาแชมป์ไว้ได้อีกสมัยเป็นแน่แท้

ต้องบอกก่อนว่า เป็นการเขียนตามที่เห็นด้วยตาตัวเอง และยังไม่เห็นคู่แข่งที่ชัดเจน การเมือง คือ การเมือง ที่มีโอกาสเปลี่ยนได้ทุกเวลา

‘นิด้าโพล’ เผย!! คนไทยส่วนใหญ่ไม่โกรธนายกฯ หากต้องยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต

(28 ม.ค. 67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘วิกฤติเศรษฐกิจ กับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 22-24 มกราคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจกับการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต

จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศไทยในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 63.51 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องหาทางแก้ไขอย่างเร่งด่วน, รองลงมา ร้อยละ 20.15 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ ต้องหาทางแก้ไขแต่ไม่เร่งด่วน, ร้อยละ 10.08 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ไม่น่าวิตกกังวลใดๆ, ร้อยละ 5.65 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ และร้อยละ 0.61 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับการเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจของประชาชนในขณะนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 36.72 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาลอย่างเร่งด่วน, รองลงมา ร้อยละ 31.91 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่สามารถรับมือได้ด้วยตนเอง, ร้อยละ 20.45 ระบุว่า เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจในระดับที่ต้องการความช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ไม่เร่งด่วน และร้อยละ 10.92 ระบุว่า ไม่ได้เผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจใดๆ

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการดำเนินนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า

- ร้อยละ 34.66 ระบุว่า ควรหยุดการดำเนินการในนโยบายนี้ได้แล้ว
- ร้อยละ 18.55 ระบุว่า ดำเนินนโยบายต่อไปในปีนี้ แต่แจกเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางทางเศรษฐกิจ
- ร้อยละ 5.88 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี 2568
- ร้อยละ 4.58 ระบุว่า เลื่อนการดำเนินนโยบายไปในปี 2568 แต่แจกเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางทางเศรษฐกิจ
- ร้อยละ 2.67 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความรู้สึกของประชาชนหากนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ตัดสินใจยกเลิกนโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท พบว่า

- ร้อยละ 68.85 ระบุว่า ไม่โกรธเลย
- ร้อยละ 12.37 ระบุว่า ค่อนข้างโกรธ
- ร้อยละ 9.39 ระบุว่า โกรธมาก
- ร้อยละ 8.85 ระบุว่า ไม่ค่อยโกรธ
- ร้อยละ 0.54 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top