Saturday, 21 June 2025
Politics

'วราวุธ' ย้ำ!! ปมชายพิการโยกสามล้อ สิทธิ์ไม่ถูกจำกัด เผย!! 'อนุทิน' เห็นด้วยบัตร ‘ประชาชน-พิการ’ เป็นใบเดียว

(6 ก.พ.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) กล่าวก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงความคืบหน้าในการให้ความช่วยเหลือชายพิการที่เดินทางมายังกรุงเทพมหานคร เพื่อขอให้สิทธิ์คนพิการ ว่า กรณีนี้สืบเนื่องมาจาก การที่เราไม่แน่ใจ ว่าเขาหายไปไหนเป็นเวลาประมาณ 2 ปี ทำให้ที่บ้านของชายพิการหาตัวเขาไม่เจอ ซึ่งชื่อในทะเบียนบ้านของชายพิการคนดังกล่าว ก็ถูกย้ายออกจากทะเบียนบ้านเดิม ไปอยู่ทะเบียนบ้านกลาง 

เนื่องจากการที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านกลางทำให้เลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ไม่สามารถนำไปทำกิจกรรมใดๆ ของภาครัฐได้ และสิทธิ์ของคนพิการก็เป็นหนึ่งในสิทธิประโยชน์เหล่านั้น ซึ่งเวลา 2 ปีที่ผ่านมา การสิทธิประโยชน์หยุดไปโดยปริยาย 

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้ คือต้องย้ายเจ้าตัวออกจากทะเบียนบ้านกลาง ไปอยู่ยังภูมิลำเนา ซึ่งทราบว่าเป็นที่ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ถ้าทำเช่นนั้นแล้ว สิทธิ์ต่างๆ ก็จะกลับมาอย่างอัตโนมัติ 

ส่วนชายพิการคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับการยาเสพติดหรือไม่นั้น นายวราวุธ กล่าวว่า ในทุกกรณีสิทธิของคนพิการยังอยู่ แม้แต่ผู้ต้องขังที่อยู่ในเรือนจำ ก็ยังสามารถรักษาสิทธิ์ของคนพิการได้ หากพี่น้องคนพิการถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ ก็ขอให้ไปแจ้งการรักษาสิทธิ์คนพิการกับผู้คุมเรือนจำหรือผู้อำนวยการบ้านพักต่างๆ ย้ำว่า สิทธิ์ของคนพิการไม่ได้ถูกจำกัด เพียงแค่ได้รับการคุมขังหรือรับโทษ ทั้งนี้ ต้องขอบคุณผู้ว่าราชการ จ.อยุธยา และเจ้าหน้าที่ พม.จังหวัด ที่เร่งหาตัว และมีความพยายามที่จะทำบัตรประจำตัวประชาชนให้ใหม่ และย้ายทะเบียนบ้านใหม่ ซึ่งเมื่อทำแล้ว สิทธิ์ก็จะกลับมา และสามารถดำเนินการต่อได้

ส่วนการต่ออายุบัตรคนพิการทุก 8 ปี ซึ่งอาจมีบางคนไม่สะดวกนั้น ทำไมจึงไม่เปลี่ยนให้ถูกบันทึกไว้ในบัตรประจำตัวประชาชน นายวราวุธ กล่าวว่า หากบัตรคนพิการหมดอายุแล้ว ไม่สามารถเดินทางมาต่อด้วยตัวเอง ก็สามารถมอบอำนาจให้กับผู้ดูแลมาทำแทนได้ 

ส่วนเหตุผลที่ต้องมีการต่ออายุนั้น เนื่องจากคนพิการมีหลายแบบ หากพิการแบบถาวร ก็ควรจะทำให้เป็นบัตรคนพิการตลอดชีพ แต่การพิการ ในส่วนที่เป็นการเรียนรู้หรือจิตใจ ซึ่งสามารถเยียวยาบำบัดได้ ในช่วง 5-7 ปีนั้น เมื่อผ่านเวลาดังกล่าวไป ก็จะสามารถออกจากสถานะดังกล่าวได้

ส่วนทำไมบัตรประจำตัวประชาชนและบัตรคนพิการไม่สามารถรวมไว้ให้เป็นบัตรใบเดียวกันได้นั้น ตนได้มีการพูดคุยในเรื่องนี้กับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีแนวคิดเดียวกัน ว่าควรผนวกบัตรประชาชนและบัตรคนพิการให้เป็นบัตรใบเดียวกัน เพราะบัตรประจำตัวประชาชนที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้ มีชิปการ์ดที่สามารถเก็บข้อมูลได้มากมาย ดังนั้น ตนได้ขอให้กระทรวง พม. มอบหมายให้กรมส่งเสริมสุขภาพชีวิตคนพิการ และกรมการปกครองหาแนวทางในการทำแล้ว

จากกรณีของชายพิการคนดังกล่าว เท่าที่ทราบในตอนนี้ยังอยู่ที่วัด และไม่ยอมรับการต่อบัตรประจำตัวประชาชนใหม่ หรือทำบัตรคนพิการใหม่ ซึ่งก็ไม่แน่ใจ ว่ามีความตั้งใจหรือมีความประสงค์อย่างไร แต่ทราบจากทางกระทรวงมหาดไทย ว่าได้เสนอการจัดทำบัตรประชาชนใบใหม่ให้แล้ว 

ส่วนความจำเป็นจะต้องย้ายไปทะเบียนบ้านกลาง เมื่อเกิดเหตุมีบุคคลหายไปในระยะเวลาหนึ่งนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีการสวมสิทธิ์ หรือใช้สิทธิ์ซับซ้อนของบุคคลที่หาย ซึ่งต้องมีการยืนยัน ว่าอยู่เป็นหลักเป็นแหล่งจริง ต้องมีคนมายืนยันตัวให้ โดยสามารถทำภายในจังหวัดหรือท้องถิ่นได้ 

ส่วนคนที่มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ มีจำนวนเท่าไหร่นั้นตอนนี้ตนยังไม่มีข้อมูลอยู่กับตัว

‘ทักษิณ’ พลิกเกม!! ข้ามคดี ม.112 พร้อมกู่ก้อง ‘พักโทษกรณีพิเศษ’

ต้องขอบคุณ อ.วิรังรอง ทัพพะรังสี ประธานเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย (มปปท.) ที่ทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าคดีที่ นายทักษิณ ชินวัตร ถูกกล่าวหามีความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีไปจ้อที่เกาหลีใต้...และมีคนร้องเอาผิดว่า ‘หมิ่นฯ’ จนกลายเป็นคดีนอกราชอาณาจักร และอัยการสูงสุด (อสส.) ต้องรับผิดชอบ...

ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อสส. ในขณะนั้นมีความเห็นเมื่อ 19 ก.ย.ว่า ‘ควรสั่งฟ้อง’ ตามที่พนักงานสอบสวนเสนอมา...แต่ช่วงนั้นอย่างที่รู้ ๆ กันว่าทักษิณกำลังหนีคดีทัวร์เที่ยวโลก ทาง อสส. จึงให้พนักงานสอบสวนออกหมายจับ โดยคดีจะหมดอายุความ 21 พ.ค. 2567

นั่นแหละ!! อ.วิรังรอง จึงต้องทำหนังสือสอบถามทั้งพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี คือ กองบังคับการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) และสำนักงานอัยการสูงสุด...

และวันนี้ (6 ก.พ. 67) ประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดมือโปร จึงนำทีมมาแถลงข่าวเรื่องนี้…โดยสรุปสาระสำคัญที่สุดได้ว่า...หลังจากทักษิณเดินทางกลับไทยเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเมื่อ 22 ส.ค. 67 แล้ว เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 67 ทางสำนักงานอัยการและพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา-พฤติการณ์คดีให้ทักษิณรับทราบพร้อมบันทึกคำให้การ ซึ่งนายทักษิณได้ยื่นเรื่องขอความเป็นธรรม...

ที่สุดของที่สุดจึงต้องรวบรวมเรื่องราวเสนอให้ อสส. พิจารณาเพื่อฟันธงอีกครั้ง ซึ่งการฟันธงมีความเป็นไปได้ 3 ทางคือ 

1) สั่งสอบเพิ่ม 
2) สั่งฟ้อง 
3) สั่งไม่ฟ้อง

โดยที่ระหว่างนี้หากวันที่ 18 หรือ 22 ก.พ. 67 หากทักษิณได้รับการพักโทษ ก็อยู่ที่พนักงานสอบสวนจะดำเนินการอย่างไร...ต้องดูด้วยว่าการดำเนินรวบรวมพยานหลักฐาน ข้อร้องเรียนต่าง ๆ ของทางอัยการเรียบร้อยหรือยัง...

ครับ...นั่นคือสาระจากด้านอัยการ แต่อีกด้านหนึ่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์...นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ ให้สัมภาษณ์ยอมรับแล้วว่าคนชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ เข้าข่ายหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพักโทษเป็นกรณีพิเศษคือ อายุเกิน 70 ปี ป่วย และรับโทษครบ 6 เดือน เพียงแต่ นายสหการณ์ เขินอายที่จะบอกว่าผู้ที่ได้รับการพักโทษในเดือนนี้มีชื่อทักษิณหรือไม่ แต่ยอมรับว่าเมื่อปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา คณะกรรมการพิจารณาผู้ได้รับการพักโทษได้จบสิ้นไปแล้ว...

ถึงบรรทัดนี้ก็ต้องขมวดลงตรงประเด็นสรุปว่า...จะด้วยความบิดเบี้ยวของกระบวนการยุติธรรมที่ถูกโกงความยุติธรรมหรือเพราะเหตุผลกลใดก็ตาม...มีแนวโน้มสูงยิ่งที่ ‘ทักษิณ’ จะได้รับการพักโทษโดยไม่ต้องไปตัดผมสั้น หรือต้องนุ่งกางเกงขาสั้นชุดนักโทษในเรือนจำ...ขณะที่คดี ม.112 ก็ยังคาราคาซัง คาสำนักงานอัยการต่อไป...

วันปล่อยตัวทักษิณ...ก็ไม่น่าจะมีใครได้เห็นหน้าเห็นตา...อีกต่างหาก

สวัสดีประเทศไทย

‘จุรินทร์’ ถามรัฐ หากเศรษฐกิจวิกฤตจริง “ทำไมไม่เดินหน้าเงินดิจิทัลวอลเล็ตสักที”

(6 ก.พ. 67) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.แบบบัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลดาหน้าออกมายืนยันว่าเศรษฐกิจกำลังวิกฤตและจำเป็นจะต้องเดินหน้าโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ตต่อไป โดยไม่จำเป็นต้องเห็นตาม ปปช. ว่า…

“ถ้ารัฐบาลเห็นว่าเศรษฐกิจวิกฤตจริง แล้วจะมัวเงื้อง่า ซื้อเวลาอยู่ทำไม และถ้าเศรษฐกิจกำลังวิกฤติจริง ยิ่งรอช้าเศรษฐกิจจะไม่ยิ่งวิกฤตหนักเข้าไปอีกหรือ ยิ่งรัฐบาลบอกว่าไม่จำเป็นต้องทำตามความเห็น ปปช. เสมอไป แล้วทำไมไม่ทำเสียที เพราะประชาชนรออยู่ ทำเหมือนส่อออกอาการปากกล้าขาสั่น”

เมื่อ 'นักการเมือง' มาตรฐานไม่สูง ผสานสามัญสำนึกแบบด้วนๆ แม้แต่สมบัติทางปัญญา ยังกล้า 'ก๊อบ-ลอก-ลัก-แอบขโมย'

อาชีพของคนเรามีมากมายก่ายกองให้เลือกทำ ถ้ารู้ว่าตัวเราไม่เข้าคุณสมบัติของสายงานบางอาชีพ ด้วยอาจจะมีกติกา และมาตรฐานที่จำเป็นต้องสูงมากกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป ก็อย่าพยายามเข้าไปทำให้สังคมอาชีพนั้น ๆ เกิดความหม่นมัว เช่นคนอาชีพ 'นักการเมือง' เพราะคือ ตัวแทนของประชาชน คือคนที่ประชาชนช่วยกันเลือกเข้ามาเป็นปากเป็นเสียงเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 

ก็ย่อมต้องเป็นคนดี มีความรู้ ความสามารถ มีความเสียสละ ซื่อสัตย์ กตัญญู ฉลาด กล้าหาญ มากไปด้วยคุณธรรม จริยธรรม มโนธรรม ยังต้องมีสัจจะ มีความจริงใจ มีอุดมการณ์อย่างโดดเด่นที่จะอุทิศกายใจเพื่อส่วนรวม 

ถ้าผิดจากนี้หรือมีคุณสมบัติที่ด้อยกว่านี้ สังคมก็จะเจริญช้า

'นักการเมืองน้ำดี' หรือ 'นักการเมืองอาชีพ' ตัวจริงเสียงจริง จะไม่ยอมให้ชื่อเสียงของตนเองเกิดความด่างพร้อย หรือเสื่อมเสียแม้เพียงน้อยนิด บางคนที่มีมาตรฐานสูง ๆ หากเผลอทำผิดพลาดไป ก็จะแสดงความรับผิดชอบลาออกจากตำแหน่งทันที แต่นักการเมืองมาตรฐาน 'ระดับไฮเอนด์' เช่นนี้ อาจจะไม่เคยมีอยู่จริงในประเทศไทยของเรา 

นักการเมืองของไทยเราขนาดเคลมว่าตนเองเป็น 'คนรุ่นใหม่' เข้ามาเพื่อจะล้างสิ่งชั่วร้ายที่นักการเมืองรุ่นเก่าเคยทำไว้ แต่สิ่งที่พบเห็นคือตรงกันข้าม นอกจากไม่มีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ยังเดินหน้ากัดเซาะล้มล้างทำลายสถาบันกษัตริย์ด้วยกลวิธีต่าง ๆ แต่กลับไม่กล้ายอมรับออกมาตรง เมื่อจับได้ไล่ทันก็ออกมาปฏิเสธเสียงแข็งทันที เรียกว่า 'ปากกล้าขาสั่น' และไร้ซึ่งความจริงใจ

มากกว่านั้น ช่วงเวลาที่ผ่าน ๆ มา สังคมยังจับได้ว่าแอบไปลักขโมย 'สมบัติทางปัญญา' ของคนอื่น มาตีเนียน ๆ ให้เหล่า 'สาวกที่ใหลหลง' ต่างหลงเข้าใจว่า 'ศาสดาล้มเจ้า' ของตนเองมีความสามารถเลิศล้ำ เป็นเจ้าของความคมคายที่ฉายโชว์ออกโซเชียลในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นประโยคคม ๆ จากนักเขียน, โลโก้พรรค, รูปจากภาพยนตร์ และล่าสุดก็คือหลอกต้มผู้คนว่าเป็นคนวาดภาพเอง ทั้งที่ไปเหมือนกับผลงานของจิตรกรระดับโลกชาวฝรั่งเศสนาม 'Claude Monet' ราวกับแกะ

ถ้าไม่อายตัวเอง ก็อย่าหลงคิดว่าคนไทยที่สติยังดีเขาจะไม่รู้สึกอับอายที่มีนักการเมืองมาตรฐานต่ำ และสามัญสำนึกด้วนเช่นนี้ 

'สส.ศาสตรา-รทสช.' ยิ้มแก้มปริ!! กลายเป็นขวัญใจเด็ก หลังนักเรียน ป.2 ยกเป็น สส.ที่อยู่เคียงข้างประชาชน

(6 ก.พ. 67) นายศาสตรา ศรีปาน สส.สงขลา เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้โพสต์เฟซบุ๊กขอบคุณหลานนักเรียน ป.2 โรงเรียนในพื้นที่ที่ทำการบ้านส่งครูใน 'แบบบันทึกบุคคลที่มีผลงานเป็นประโยชน์แก่ชุมชนและท้องถิ่น'

ทั้งนี้ ในแบบเรียนดังกล่าวได้มีการตั้งคำถามว่า 'ผลงานที่เป็นประโยชน์แก่ชุมชนและท้องถิ่น' ซึ่งนักเรียนได้เขียนข้อความส่งถึงครูโดยนึกถึงนายศาสตรา ระบุว่า...

"เป็น สส.มาแล้ว 2 สมัยช่วยเหลือประชาชนและอยู่เคียงข้างประชาชนและฟังเสียงของประชาชนเมื่อประชาชนเดือดร้อน" 

ในแบบเรียนถามอีกว่า นักเรียนได้ข้อคิดจากการศึกษาอย่างไร? นักเรียนป.2 คนเดิมตอบว่า... "ชอบผู้นำมีจิตใจโอบอ้อมอารีย์ มีวิธีการทำงานที่มีความคิดสร้างสรรค์ ชอบความเป็นผู้นำ"

เจอหลานป.2 เขียนถึงคุณครูแบบนี้ลุงศาสตราคงยิ้มหน้าบาน!!!

ผู้อาวุโสสูงสุด 'ตระกูลอภัยวงศ์' ชี้ชัด!! 'พิธา-ก้าวไกล' ไม่ใช่ญาติ-คนในตระกูล

(7 ก.พ. 67) จากกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกขุดคุ้ยที่เคยโพสต์รูปตึกจวนของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ในจังหวัดพระตะบอง กัมพูชา ว่า เป็นบ้านของคุณยาย เคยอยู่อาศัยเมื่อร้อยปีก่อน ทำคนสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ตระกูลอภัยวงศ์’ หรือไม่อย่างไร จนกระทั่งนายพิธา ได้ลบโพสต์ดังกล่าวออกไปจากอินสตาแกรมเรียบร้อยแล้ว

ล่าสุด ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้เกาะติดเรื่องดังกล่าว โดยเผยแพร่ภาพที่ระบุว่าเป็นแชทของ นายคฑา อภัยวงศ์ หรือคุณต๊ะ ปัจจุบันอายุ 88 ปี ซึ่งเป็นบุตรชายของนายควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งข้อความผ่านกลุ่มไลน์ประจำตระกูลที่มีสมาชิก 97 คน โดย ผศ.ดร.อานนท์ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ผู้อาวุโสสูงสุดในตระกูลอภัยวงศ์ แหก ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ไม่ใช่ญาติ

เข้าใจว่า คุณคฑา อภัยวงศ์ บุตรชายของคุณควง อภัยวงศ์ อายุ 88 ปี น่าจะเป็นผู้มีอาวุโสสูงสุดในตระกูลอภัยวงศ์ในเวลานี้นะครับ

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นบิดาของนายควง อภัยวงศ์ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย และนายควง อภัยวงศ์ เป็นบิดาของคุณคฑา อภัยวงศ์

ไลน์ของคุณคฑา อภัยวงศ์ที่ส่งถึงลูกหลานในห้องไลน์ของตระกูลอภัยวงศ์ กรณีของนาย Pita Limjaroenrat - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อ้างว่าคุณยายเคยอาศัยในจวนของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่เมืองพระตะบอง มีดังนี้ครับ

“…เรื่องคุณพิธา ถ้ามีใครถาม ตอบได้เลยว่า

1. ไม่ใช่บุคคลในตระกูลอภัยวงศ์
2. การแอบอ้างว่าเคยอยู่ในตึกในภาพ เป็นการโอ้อวดสร้างภาพฐานะ ตามปกตินิสัยเขมร เพราะแม้แต่เคยอยู่ในบริเวณจวนเจ้าเมืองก็ยังไม่มี
3. ตึกที่พระตะบอง เป็นที่ทำการของฝรั่งเศส มากว่า 120 ปี คุณยายเกิดแล้วหรือยัง…”

ผมคิดว่าเรื่องนี้อาจจะได้ข้อยุติแล้วในระดับหนึ่งนะครับ ถ้าผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลอภัยวงศ์ท่านออกมาสั่งลูกหลานเองเช่นนี้ครับ

โปรดช่วยกันแชร์ต่อไปให้ถึงมวลชนคอนด้อมส้มสามกีบด้วยนะครับ

อีกทั้ง ผศ.ดร.อานนท์ ยังเผยแพร่โพสต์ของ ‘ตรีดาว อภัยวงศ์’ ที่ระบุว่า...

เรื่องคุณพิธา กับคำกล่าวที่ว่า #บ้านเก่าคุณยาย “My grandmother used to live in this house almost 1 century ago” และถ่ายภาพตึกที่เป็นของ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ต้นตระกูล ‘อภัยวงศ์’ ทำเอา 2 วันนี้ ตรีดาวและญาติๆ ชุลมุนกันมากว่าจะตอบคำถามที่มีคนมาถามว่า “เป็นญาติกันหรอ อย่างไร สายไหน”

เลยขออธิบายแบบนี้นะคะ

1. คุณยายคุณพิธา ชื่ออะไร นามสกุลเดิมอะไร ถ้าทราบก็พอจะเชื่อมโยงได้ เนื่องจากตอนนี้หากัน (ยัง) ไม่เจอ ไม่มีใครรู้จักคุณพิธา
2. คุณยายเคยอาศัยที่บ้านหลังนี้เมื่อไหร่ ด้วยสถานะอะไร
3. เนื่องจากตึกนี้ถูกรัฐบาลกัมพูชา ในปกครองของฝรั่งเศสยึดไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ตอนไทยต้องยอมเสียมณฑลบูรพา อันได้แก่ พระตะบอง เสียมราช ศรีโสภณ ให้ฝรั่งเศสในสงคราม รศ 112 (พ.ศ. 2436)
4. เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) อพยพครอบครัวกลับมาอาศัยที่ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2450 โดยยังไม่มีโอกาสได้อาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ท่านยอมกลับมาเพราะไม่ต้องการเป็นข้ารับใช้ฝรั่งเศส คนในตระกูลอภัยวงศ์ ได้รับการสั่งสอน อบรม ให้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์มาทุกชั่วอายุคน ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและวางพระราชหฤทัยส่งให้บรรพบุรุษของตระกูลไปปกครองเมืองพระตะบองจนถึงสมัยที่ไทยต้องเสียดินแดนส่วนนี้ไป

5. ช่วงสงครามอินโดจีน (ระหว่างปี 2484-2489) ไทยได้ดินแดนส่วนนี้ คืนมานายควง อภัยวงศ์ บุตรชายของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย นำธงชาติไทยกลับไปชักขึ้นเหนือดินแดนแห่งนี้ด้วยตัวเอง จากนั่นรัฐบาลไทยส่งนายเชียด อภัยวงศ์ หลานของเจ้าพระยาฯ ไปเป็นผู้แทน ซึ่งระหว่างนั้น นายเชียด และครอบครัว ได้กลับไปใช้บ้านหลังนั้นเป็นที่ทำการอยู่ช่วงหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นก็ทรุดโทรมมาก (ภายหลังได้รับการบูรณะจากรัฐบาลกัมพูชา และเปิดใช้สำหรับต้อนรับแขกเมืองเท่านั้น)
6. สมัยสงครามอินโดจีน เรามีผู้แทนราษฎร จังหวัดพระตะบอง ชื่อนายชวลิต อภัยวงศ์ และนายประยูร อภัยวงศ์ เป็นผู้แทนราษฎรจังหวัดพิบูลสงคราม (เสียมราชในปัจจุบัน) ทั้งสองจังหวัด อยู่ในประเทศไทย
7. ถ้าคุณยายคุณพิธา อาศัยในบ้านหลังนี้ช่วง 100 ปีที่แล้ว น่าจะรู้จักกับญาติๆ อภัยวงศ์ ที่ไปเป็นผู้แทน และทำงานให้บ้านเมืองในเวลานั้น
8. แม้คนในตระกูลจะไปอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนั้น ก็ไม่ใช่ในฐานะเจ้าของ จึงไม่น่าจะเป็นไปได้ว่า คุณยายของคุณพิธา จะเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้
9. หากคุณยายของคุณพิธา เคยอยู่ที่นี่ และเรียกว่าเป็นบ้านของคุณยาย เราก็มีเหตุให้สงสัยว่า คุณยายเป็นใครกัน หรือพวกเราจะไม่รู้เอง คงต้องรอให้คุณพิธามาอธิบายเชื่อมโยงให้คนในตระกูลฟังซะแล้ว

(หากมีอะไรคลาดเคลื่อนไปก็คงเป็นความเขลาหรือไม่รู้ของอีชั้นเองค่ะ)

'นักวิชาการ' ฟาดสื่อไทยเลือกปฏิบัติ พอ 'พิธา' โกหกสารพัด ไม่ถูกเล่นงาน

(7 ก.พ.67) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า

ความอยุติธรรมของสื่อมวลชนไทย การเลือกปฏิบัติกรณีพี่เอ้กับทิมพิธาโป๊ะแตก

พี่เอ้ ศ.ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อาจจะขี้โม้สักหน่อย พูดว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของหลานอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ครั้งเดียว แล้วทุกคนจับโป๊ะได้ว่าไม่เป็นความจริง พี่เอ้ โดนสื่อทุกช่องทางเล่นข่าวนี้จนพี่เอ้ไม่ได้ผุดได้เกิดในทางการเมืองเลยจนบัดนี้

ส่วนกรณีของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ถูกจับโป๊ะแตกว่าขี้โม้โกหกสารพัด แต่สื่อส่วนใหญ่เลือกปฏิบัติไม่นำเสนอเล่นงานนายพิธา ไม่เหมือนกับกรณีของพี่เอ้ โป๊ะแตกของนายพิธามีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น

1. กลับจากเมืองนอกมางานศพพ่อไม่ทัน
2. บ้านของคุณยายเป็นจวนของเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ที่พระตะบอง ในกัมพูชา
3. ติดสติ๊กเกอร์ยกเลิก 112 แต่บอกว่าไม่ต้องการยกเลิก 112 แค่ต้องการแก้ไข
4. ถูกส่งไปเรียนที่นิวซีแลนด์ตอนอายุ 11
5. จบปริญญาตรีสองใบจากธรรมศาสตร์ และ University of Texas at Austin
6. เคยขึ้นสแตนด์เชียร์ รร.กรุงเทพคริสเตียน ในงานฟุตบอลจตุรมิตร
7. ไม่เคยสนับสนุนกัญชาทางการแพทย์
8. ภาพวาดลอกเลียนแบบงานของโมเนต์
9. เขียนอีเมลหารุ่นพี่ MIT เจ้าของไฟเซอร์ที่ตายไปแล้วเกือบร้อยปี
ฯลฯ อะไรอีกก็ไม่รู้

ทั้งหมดนี้แค่จะบอกว่าสื่อไทยไม่ยุติธรรม เล่นงานพี่เอ้จนแหลกเละทางการเมือง แต่ไม่เล่นงานพิธา ทั้งๆ ที่โป๊ะแตกกว่าพี่เอ้มากมาย

‘หมอวรงค์’ โพสต์เฟซแสดงตน #saveขบวนเสด็จ  หลังแก๊ง 3 นิ้วหน้าเดิมๆ ออกป่วน ทำคนเข้าใจผิด

(7 ก.พ.67) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า #saveขบวนเสด็จ การที่มีการป่วนขบวนเสด็จ ของสามนิ้วหน้าเดิม ที่สำคัญพยายามสร้าง content พูดย้ำ ๆ ว่า “ปิดทำไม ปิดทำไม” เพื่อให้ประชาชนเข้าใจผิด ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการปิดถนน แถมตนเองเป็นคนขับรถ ที่จะแซงขบวนเสด็จ และมีการบีบแตรใส่ขบวน

ผมถึงอยากบอกว่า สันดานคนพวกนี้ใช้วิธีการ พูดสื่อสารให้ร้าย ไม่ตรงกับความจริง ทั้ง ๆ ที่ความจริงนั้นคนละเรื่อง เพราะเขาต้องการขาย content ให้คนเข้าใจผิด เหมือนที่ผมเคยเจอ ในเวทีดีเบตแห่งหนึ่ง

เขาเอาคลิปที่หยกทิ้งตัวลงกับพื้นให้ผมดู แล้วตำรวจหญิงไปอุ้ม คนเหล่านี้ก็จะพูดออกสื่อตลอดว่า เห็นไหม “ตำรวจทำร้ายประชาชน” และพูดซ้ำให้คนเข้าใจผิด ทั้ง ๆ ที่ในคลิปจริงไม่ใช่สิ่งที่เขาพูด เป็นภาพการทิ้งตัวลงไปกับพื้น และมีตำรวจหญิงช่วยอุ้มขึ้นมา

นี่คือชุดในตัวละคร ของขบวนการล้มล้างการปกครอง ที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง และ ngo ต่างประเทศ ถ้าหากเขาถูกดำเนินคดี พวกพรรคการเมืองและ ngo ต่างชาติ ก็จะออกมาว่า รังแกเยาวชน

ผมอยากจะบอกว่า จัดการทั้งที ต้องตัดเส้นทางการเงินให้ได้ นั่นคือตัวแม่ที่เป็น ngo ต่างชาติ ที่เอาเงินมาสนับสนุน อ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ ถ้าจัดการไล่ ngo ต่างชาติได้ คนไทยด้วยกันเองจัดการไม่ยาก

'พล.ท.นันทเดช' เผย 6 เหตุผล 'ก้าวไกล' จะตายสิบเกิดแสนได้จริงไหม? ชี้!! หากเป็นสมัยลุงตู่อาจเป็นไปได้ เพราะท่านสนแต่พัฒนาประเทศชาติ

(8 ก.พ.67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กว่า ก้าวไกล จะตายสิบเกิดแสนได้จริงไหม

ความฝันของแกนนำก้าวไกลหลังจากถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าผิดแล้ว ก็ออกมาปลอบใจสาวกว่า ‘จะตายสิบเกิดแสน’ นั้น ถ้าสมัยรัฐบาลลุงตู่คงอาจเป็นไปได้ เพราะลุงแกเป็นคนดีไม่เคยมีเรื่องมีราวกับใครตั้งหน้าตั้้งตาพัฒนาโครงสร้างทางเศรษฐกิจจนมาอยู่ลำดับ 1 ในอาเชียนแล้ว แต่ก็ต้องพลาดเรื่องการจัดการปัญหาทางสังคมไปบ้าง ก้าวไกลจึงใช้โอกาสนั้นเข้ามาแทรกแซงครอบงำเด็กๆ ได้ค่อนข้างมาก โดยมีอบายมุข (เหล้า บุหรี่ไฟฟ้า และ SEX ) มาช่วย จนแพร่กะจายได้อย่างสะดวก แต่ในรัฐบาลชุดนี้ คงเป็นไปได้ยากหน่อย เพราะ

1️.จุดที่เด็กๆ จะกลายเป็นพวก 3 นิ้ว ส่วนใหญ่แล้วมาจากการมั่วสุมในเรื่องสุรนารี แต่ปัจจุบันก็ถูกคุณอนุทิน (รมว. มท.) บุกทำลายสถานที่กินเหล้า ที่เปิดให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์ แอบเข้าบาร์ หรือผับโต้รุ่งเหล่านี้ไปถึง 6 แห่งแล้ว บางแห่งมีคนมั่วสุมเกือบ 2000 คน มีเด็กต่ำกว่า 18 ปีร่วม 800 คน ก็มี และยังเป็นการทำลายอย่างต่อเนื่องแบบที่กระทรวงมหาดไทยชุดเดิม ไม่เคยทำมาก่อนเลย ผับ- บาร์เหล่านี้คือ ตัวสร้าง ‘เด็ก 3 นิ้วขึ้นมา’ เป็นจำนวนมาก จึงเริ่มหายไป

2.แบบเรียนของ ศธ.ที่ออกมาใช้ในสมัยก่อน ถูกควบคุมดูแล โดยนักวิชาการที่เลือกข้าง นอกจากไม่เสริมสร้างกระบวนการคิดแล้ว เรื่องที่เด็กควรรู้ควรเข้าใจก็ขาดหายไป ซึ่งปัจจุบัน ทาง ศธ.ก็ตื่นตัวออกมาเริ่มจะแก้ไขแล้ว

3.ในสถาบันการศึกษา ซึ่งกลุ่มอาจารย์บ้าคลั่งลัทธิ พยายามสอนและออกข้อสอบให้เด็กจำเป็นต้องตอบข้อสอบตามที่อาจารย์ต้องการนั้น เด็กส่วนใหญ่ก็เริ่มรู้ทันแล้ว ยังมีเจ้าหน้ารัฐ ที่แอบเข้าไปฟังอีก ก็ไม่สะดวกนักในการปลุกระดม อาจจะเสี่ยงคุกได้ เพราะอาจารย์พวกนี้เก่งแต่จะส่งเด็กไปติดคุกแทน ส่วนตัวเองยุๆๆๆเด็ก แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาตัวให้รอด เพื่อคอยแต่จะสมัครเป็นอธิการบดี หวังรวยกันทั้งนั้น (คงต้องถามต่อว่า มหาวิทยาลัยเหล่านั้น มีกระบวนการคัดกรองอาจารย์ผู้สอนอย่างไรด้วย)

4.ส่วนอาจารย์แก่ๆ กลุ่มหนึ่ง แต่ยังมีกิเลสอยู่ คอยยุยงเด็กๆ อยู่นอกมหาวิทยาลัยนั้น ก็เริ่มแพ้ภัยตัวเองไปตามๆ กัน อย่าให้พูดถึงว่าแพ้อย่างไรเลยครับ

5.คนของพรรคการเมืองหลายแห่งเริ่มตื่นตัวต่อการรุกในพื้นที่ชนบทของก้าวไกล และมูลนิธิก้าวหน้า ซึ่งมูลนิธินี้ก็แปลก ดันไปทำหน้าที่ เหมือนกับพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ทั้งๆ ที่เป็นมูลนิธิ (ฝากคุณอนุทินเข้าไปดูด้วยครับ) เพราะ กกต.ก็คุมไม่ได้ ถ้า มท.ลงไปดูแล การเข้าไปปลุกระดมในพื้นที่ของก้าวไกลก็จะยากขึ้น

6.ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มรู้กันบ้างแล้วว่า พรรคอะไรโกหกได้ติดต่อกันเกือบทุกวัน ขนาดมีคนตั้งเพจ ชื่อว่า ‘วันนี้ก้าวไกลโกหกอะไร’ เด็กตามสถาบันการศึกษาหลายแห่งก็เริ่มตื่นตัว ถ้าไม่มีเหล้า ยา และ SEX แล้ว ก้าวไกลก็ไม่ค่อยจะมีอะไรหรอกครับ

ข้อสรุป : ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้ชอบก้าวไกลเพิ่มขึ้นหรอกครับ แต่เป็นเพียงพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลทั้งหลาย ยังห่วงเรื่องผลประโยชน์ จนทิ้งพื้นที่ไป ที่หาเสียงอยู่ก็หาเสียงแบบโบราณมาก เช่น งานศพก็เอาหรีดราคาถูกให้ตัวแทนเอาไปวาง จัดงานเลี้ยงโต๊ะจีนเวลาวันเกิด หรือพาหัวคะแนนไปเที่ยวทะเล ฯลฯ

ความล้าหลังของวิธีหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลน่ะ

ล้าหลังเอามากๆ จริงๆ ครับ ถ้าพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล ตื่นตัว จริงๆ ก้าวไกลก็ไปได้ไม่กี่ก้าวหรอกครับ อยากมากก็ตายสิบ เกิดสิบ เท่านั้น

'ชวน' ถาม ‘เศรษฐา' ปมย้าย 'อุเทนถวาย' นักศึกษา ‘เก่า-ใหม่’ จะไปเรียนที่ไหน?

นักศึกษาเก่า-ใหม่จะไปเรียนที่ไหน?! ‘ชวน’ ทวงถามปม ‘อุเทนถวาย’ เตรียมคืนพื้นที่ให้ ‘จุฬาฯ’ ตามคำพิพากษาศาลฯ ด้าน ‘นายกฯ’ รับห่วงปัญหา ‘ศึกวิวาท 2 สถาบัน’ กำชับฝ่ายมั่นคงดูแลเป็นพิเศษ รับปากดูแล-ยกระดับ-จัดหาสถานที่ให้เหมาะสม ขณะที่ ‘รมว.อว.’ เปิด ‘4 พื้นที่รองรับ’ ยันยังเปิดรับนศ.ปี 1 แต่ปรับแผนรองรับไปที่วิทยาเขตอื่น เร่งผนึกหน่วยเกี่ยวข้องจัดทำงบฯ

(8 ก.พ. 67) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสด โดยนายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ตั้งกระทู้ถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง และน.ส.ศุภมาส อิสรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กรณีข้อขัดแย้งระหว่างสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออกวิทยาเขตอุเทนถวาย กับสถาบันเทคโนโลยีปทุมวันว่า แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นจากแนวความคิดการให้สัมภาษณ์ของน.ส.ศุภมาส เกี่ยวพันถึงนายกฯ ซึ่งตนเคยมีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุน 2 สถาบันนี้ มาตั้งแต่สมัยตนเป็นรมว.ศึกษาธิการ จนตนมาเป็นนายกฯ ก็ได้แก้กฎหมายยกระดับจากที่มีการสอนในระดับปวช. ปวส. มาเป็นการสอนในระดับอุดมศึกษา ตนภูมิใจว่าสถาบันทั้ง 2 นี้เป็นสถาบันหลักของชาติ เป็นผลผลิตด้านการช่างจนถึงระดับวิศวกรให้ประเทศ ทำหน้าที่ให้กับบ้านเมืองตลอด ดังนั้นเราจะต้องไม่ทำให้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากคนไม่กี่คน ทำลายชื่อเสียงของสถาบันทั้ง 2

“ปัญหาที่เกิดขึ้นจากคำให้สัมภาษณ์ของ รมว.การอุดมศึกษาฯ ที่ได้มีคำสั่งงดรับนักศึกษาใหม่ อาจจะเพื่อต้องการให้จำนวนนักศึกษาลดน้อยลง เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่าง 2 สถาบันได้ง่ายขึ้น แต่ผลที่ตามมาคือ สถาบันการศึกษาจะไม่สามารถรับนักศึกษาใหม่ประมาณ 600 คนเข้ามาเรียนได้ จะเป็นการสูญเสีย นอกจากนี้ผมอยากเรียนไปยังนายกฯ ว่าในอดีตที่ผ่านมาไม่เคยมีคำสั่งงดรับนักศึกษา ไม่ว่าสถานการณ์ชาติบ้านเมืองจะมีสงครามหรือเหตุร้ายแรงเกิดขึ้น อย่างมากที่สุดคือ ส่งไปเรียนในที่ที่ไม่มีปัญหา ดังนั้นประเด็นที่รมว.การอุดมศึกษาฯ ให้สัมภาษณ์ไปนั้นทำให้เกิดความสับสนขึ้นพอสมควร แต่หลังจากสมาคมนักศึกษาฯ ยื่นหนังสือเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยต้องเปิดรับนักศึกษาใหม่ รัฐมนตรีจึงเปลี่ยนแปลงคำสั่งว่าสามารถให้อุเทนถวายรับนักศึกษาใหม่ได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องส่งนักศึกษาที่รับไปศึกษาที่อื่น ผมจึงขอถามว่า ตกลงจะรับนักศึกษาใหม่หรือไม่ ต้องไปเรียนที่ไหน และนักศึกษาปี 2 ปี 3 ปี 4 และปี 5 จะต้องไปศึกษาที่ใด นอกจากนี้การย้ายสถานที่ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่อุเทนถวายต้องย้ายออก และคืนพื้นที่ให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เตรียมสถานที่ใหม่ รวมถึงงบประมาณแล้วหรือไม่” นายชวน กล่าว

ด้านนายเศรษฐา ชี้แจงว่า ในฐานะที่เป็นพ่อคน ตนเห็นปัญหาความขัดแย้งระหว่างสถาบันทั้ง 2 ที่มีการทะเลาะวิวาทตีกัน จนส่งผลกระทบไปถึงพ่อแม่ ญาติพี่น้องที่ตกเป็นเหยื่อของผู้ประสบเหตุ เรื่องนี้เป็นเรื่องสะเทือนใจ รัฐบาลจะให้ความสำคัญต่อไปในการแก้ไขปัญหานี้ที่เรื้อรังมานาน ยืนยันว่ารัฐบาลสนับสนุนในแง่ของการที่สถาบันได้ผลิตบัณฑิตที่ตรงกับสายงานที่มีความต้องการกับแรงงานมาหลาย 10 ปี ให้ประโยชน์กับประเทศอย่างเหลือล้น โดยเฉพาะด้านช่าง ด้านวิศวกร ประเทศเรามีความต้องการสูงจากการที่รัฐบาลต้องเจรจาเพื่อชักชวนต่างชาติมาลงทุน หากไม่มี 2 สถาบันนี้บัณฑิตของเราก็จะไม่ตรงกับสายงานที่ตลาดต้องการ

“จากปัญหาความขัดแย้งของ 2 สถาบันที่อยู่ใกล้กัน เราพยายามจะย้ายวิทยาเขตตรงนี้ ทางรมว.การอุดมศึกษาฯ ได้หารือกับรมช.คลังที่กำกับกรมธนารักษ์ เพื่อจัดหาพื้นที่รองรับที่จะมีการย้ายออกต่อไป ส่วนที่นักศึกษา 2 สถาบันตีกัน เราได้มีการตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุเฝ้าระวังระงับเหตุร้ายในสถาบัน ผมเองก็ได้กำชับฝ่ายความมั่นคง ให้ดูแลเป็นพิเศษ เพิ่มกำลังเป็นพิเศษในวันที่เราคาดการณ์ว่าจะมีการทะเลาะกัน ยอมรับว่า มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงมาตรการป้องกัน แต่ไม่ได้แก้ที่วัฒนธรรมความเชื่อของนักศึกษาที่สืบทอดกันมาเป็นค่านิยม ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่เรายืนยันว่า เป็นค่านิยมที่ผิด ไม่เหมาะสม ไม่ถูกต้อง เราต้องตัดปัญหาโดยการย้ายสถานที่ ลดการกระทบกระทั่ง ปรับลดค่านิยมรุ่นพี่แกนนำปลูกฝังรุ่นน้อง ตัดวงจรวัฒนธรรมที่ไม่ถูกต้อง ก็จะได้กำชับให้กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ดำเนินการต่อไป” นายกฯ กล่าว

ขณะที่ รมว.การอุดมศึกษาฯ ชี้แจงประเด็นที่มีการงดรับนักศึกษาใหม่ของอุเทนถวายว่า ยืนยันว่าอุเทนถวายยังคงเปิดรับนักศึกษาใหม่เหมือนเดิม แต่ให้มีการบริหารจัดการการเรียนการสอนให้สอดรับกับแผนการย้ายไปยังสถานที่ใหม่เพื่อให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฯ ที่จะต้องย้ายออก และคืนพื้นที่ให้จุฬาฯ และเปิดรับนักศึกษาใหม่ในวิทยาเขตอื่นๆ แทน ซึ่งทางอุเทนถวายได้ทำแผนการย้ายเข้าที่ประชุมที่มีตนเป็นประธาน ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และมีข้อเสนอร่วมกันให้อุเทนถวายย้ายสถานที่ไปยัง 1.วิทยาเขตบางพระ จ.ชลบุรี 2.วิทยาเขตจักพงษภูวนารถ ถนนวิภาวดีรังสิต กทม. 3.พื้นที่ที่มีผู้ที่สนใจจะบริจาคให้ บริเวณมีนบุรี และ 4.พื้นที่ราชพัสดุ ในจ.สมุทรปราการ ขณะที่ในเรื่องงบประมาณ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ ประสานกับอุเทนถวายจัดทำรายละเอียดในการจัดทำคำของบฯ และประสานสำนักงบประมาณเพื่อให้ความช่วยเหลือสนับสนุนด้านต่างๆ รวมถึงประสานกับจุฬาฯ ในด้านการจัดการศึกษา รวมถึงการชำระค่าเสียหายจากการขนย้ายสถานที่อีกด้วย

ขณะที่นายกฯ ลุกขึ้นกล่าวอีกครั้งว่า ตนขอบคุณนายชวน ที่ได้ย้ำให้ความสำคัญเรื่องการศึกษาไทย ยืนยันว่า รัฐบาลต้องการยกระดับการศึกษา และจะพยายามจัดหาสถานที่เรียนอย่างเหมาะสม ที่ผู้ดูแลโดยกรมธนารักษ์ ซึ่งตนในฐานะรมว.คลัง จะรับไปดูให้เป็นพิเศษ ตนขอขอบคุณทุกข้อเสนอแนะ และข้อเตือนใจทุกข้อ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top