Monday, 30 June 2025
Politics

นับถอยหลัง ‘สุชาติ’ คว้าเก้าอี้ประธานสภาฯ ‘ทิม  พิธา’ เต็งหาม ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ

28 มิ.ย. เห็นนสพ.(ไทยโพสต์  รายวัน)พาดหัวตัวเป้ง..”14+1 หักก้าวไกล” พร้อมคำขยายว่า..เพื่อไทย ล็อกเก้าอี้ประธานสภา  ก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น..”เล็ก  เลียบด่วน” ไม่ได้โม้...ประเด็นนี้ได้ฟันธงมานานแล้ว  และไม่แต่เก้าอี้ประธานสภาฯเท่านั้น ยังได้ฟันธงว่า..ที่สุดของที่สุด คุณพิธา  ลิ้มเจริญรัตน์   ก็จะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่างหาก..

งานนี้พรรคก้าวไกลก็คงได้ลิ้มรสชีวิตจริงทางการเมืองมากขึ้น...ความฮึกเหิมทางการเมืองที่คิดจะกินรวบประเภท 14+2  คือ  กวาด 14 รัฐมนตรีว่าการ  กับอีกสองเก้าอี้ใหญ่คือ นายกรัฐมนตรีและเก้าอี้ประธานสภาฯ ในขณะที่คะแนนต่างกับเพื่อไทยแค่ 10 เสียงนั้นเป็นเรื่องที่น่าจะอ่านออกมาแต่ต้นว่าพรรคเพื่อไทยไม่น่าจะยอมได้...

ท่าที ท่วงทำนองฮึกเหิมห้าวหาญของพรรค”ด้อมส้ม” ไม่อาจมองเป็นอย่างอื่นได้นอกจากมองว่า..พวกเขาเชื่อมั่นใน 14 ล้านเสียงจนมากเกินไป และเบื้องลึกผู้ทรงอิทธิพลในพรรคหรือโปลิตบูโรพรรคอาจจะกดปุ่มให้เดินเกมได้เสีย   คือถ้าได้ต้องได้ทั้งสองเก้าอี้ใหญ่  ถ้าไม่ได้ก็จะเป็นฝ่ายค้านสร้างความเชื่อมั่นรอส้มทั้งแผ่นดินในการเลือกตั้งครั้งหน้า...

อย่างไรก็ตาม..สงครามยังไม่จบ “เล็ก  เลียบด่วน” ก็ยังไม่อยากนับศพทหาร..ฟังมาว่าวงเจรจาเก้าอี้ประธานสภาวันสองวันนี้ก็ต้องเลื่อนออกไปก่อน    จะเปิดอกคุยกันอีกครั้งในวันที่ 30 มิ.ย.  คุณหมอชลน่าน  ศรีแก้ว  หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าแม้พรรคจะยืนยันในหลักการ 14+1  แต่ยังไม่ใช่มติพรรค...ต่อเมื่อไปคุยกับพรรคก้าวไกลอีกครั้งถ้ายังตกลงกันไม่ได้ก็จะใช้มติพรรคว่าเดินหน้าต่ออย่างไร...

นั่นคือท่าทีเชิงเทคนิคของคุณหมอชลน่าน...

ในส่วนของพรรคก้าวไกลนั้นยังไม่มีอะไรแหลมคมออกมามากไปกว่าตอนทุ่มเศษที่มีการเปิดตัว “หมออ๋อง”  ปดิภัทธ์  สันติภาดา   ส.ส.สมัยที่สองจากพิษณุโลก   ซึ่งหลายคนบอกว่าเขาคือสัตวแพทย์ปากจัด..  เป็นตัวชิงเก้าอี้ประธานสภาฯ หลังจากพรรคเพื่อไทยเปิดเกมแถลงยืนยันสูตร 14+1 ตอน5โมงเย็น...เรียกว่าสองพรรคเริ่มเปิดฉากออกอาวุธชิงไหวชิงพริบกันแล้ว    ทั้งนี้ในส่วนของพรรคเพื่อไทยนาทีนี้หวยล็อกเก้าอี้ประธานสภาฯยังไม่เปลี่ยนไปจาก “พ่อมดดำ” สุชาติ  ตันเจริญ   ส.ส.9 สมัย  เป็นรัฐมนตรีมา 2 สมัย  รองประธานสภาฯมา 2 สมัย..

ครับ..สุดท้ายถ้าสองพรรคใหญ่เจรจาตำแหน่งประธานสภาฯกันไม่ได้ก็ต้องนำไปสู่การฟรีโหวตโดยที่ประชุมสภา  ซึ่งก็เดาไม่ยากว่าพรรคก้าวไกลจะแพ้หลุดลุ่ย...และหลังจากนั้นก็แทบจะพูดได้ว่าจบเกม..หรือที่คุณหญิงสุดารัตน์  เกยุราพันธ์  หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทยบอกกว่า “จบเห่” นั่นเอง...หรือแม้แต่คุณหมอชลน่านก็ยอมรับว่าถ้าสถานการณ์ลากไปถึงขั้นฟรีโหวตมันจะไม่เป็นผลดีกับการเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล  ไม่เป็นผลดีกับฝ่ายประชาธิปไตยด้วยประการทั้งปวง...

สุด..ไม่ว่าจะฟรีโหวตไม่ฟรีโหวตก็ฟันธงว่า เพื่อไทยจะคว้าเก้าอีกประธานสภาฯมาครอง...คำถามใหญ่กว่าที่รอยู่เบื้องหน้ามีอยู่สองประการคือ...หนึ่ง) รัฐบาลใหม่จะยังมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลหรือไม่   สอง)ใครจะเป็นนายกฯ ซึ่งในชั้นนี้เขียนชื่อแปะไว้ข้างฝาเป็นครั้งที่สิบว่า..ถ้าไม่ใช่ชื่อ ป้อม  ประวิตร ก็ จะเป็น  นิด  เศรษฐา  หรืออุ๊งอิ๊ง  แพทองธาร...

ส่วน ทิม  พิธา  นั้น  เป็นเต็งจ๋าเก้าอี้ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร  -เอวัง

เปิดตัว ‘ดนัย’ คนรับซื้อที่ดิน 14 ไร่ ที่ปราณบุรี ของ ‘พิธา’ เจ้าตัวเผย ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน ยัน!! เป็นการซื้อขายตามปกติ

เปิดตัว ‘ดนัย ศุภการ’ คนรับซื้อที่ดินมรดก 14 ไร่ 6.5 ล้าน อ.ปราณบุรี ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ โพรไฟล์ธุรกิจ กรรมการถือหุ้น บริษัทอสังหาฯ ใน อ.หัวหิน 6 แห่ง ก่อนหน้าแจงทำธุรกรรมปกติ ไม่รู้จัก หัวหน้าก้าวไกลมาก่อน เคยเสนอมากกว่า 10 ล้าน ต่อรองหลายครั้ง

เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 กรณีที่ดินตามโฉนดหมายเลข 13543 ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งแจ้งยื่นแสดงในบัญชีรายการทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอนรับตำแหน่ง ส.ส.ปี 2562 ระบุเป็นทรัพย์ที่ ‘ได้รับมรดก’ มูลค่าปัจจุบัน (ขณะนั้น) 18 ล้านบาท นำข้อมูลมารายงานแล้วว่า ที่ดินแปลงนี้ปัจจุบันเปลี่ยนมือไปแล้วโดยทำสัญญาซื้อขายเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 ในราคา 6,500,000 บาท (หลังจากหลังยุบสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 20 มี.ค. 66 ประมาณ 7 วัน) ในขณะที่ราคาที่ดินที่เจ้าหน้าที่ประเมินราคาที่ดินแปลงนี้อยู่ที่ 8,777,185 บาท เท่ากับนายพิธาจดทะเบียนขายในราคาต่ำกว่าราคาประเมิน 2,277,185 บาท โดยนายพิธาอ้างว่าที่ดินบางส่วนมีสภาพเป็นบ่อน้ำ

ขณะที่ผู้ซื้อชี้แจงว่า เป็นการซื้อขายตามปกติ เนื้อที่ดินตามจริงอาจน้อยกว่าจำนวนที่ระบุในโฉนด เนื่องจากพื้นที่ติดคลอง และมีบ่อ ส่วนราคาประเมินที่เขาแจ้งไว้สมัยก่อนอาจจะสูง แต่ซื้อขายจริงอาจจะไม่ถึง และไม่รู้มาก่อนว่าเป็นที่ดินของนายพิธา

โดยข้อมูลเบื้องต้นก่อนหน้านี้ ที่ออกมาว่า ‘ผู้ซื้อ’ ที่ดินแปลงนี้ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีชื่อเป็นกรรมการถือหุ้นธุรกิจอสังหริมทรัพย์อย่างน้อย 5 บริษัท ล่าสุดได้มีการตรวจสอบข้อมูลพบว่า นายดนัย ศุภการ ผู้ซื้อที่ดินมีชื่อเป็นกรรมการและ/หรือถือหุ้น 6 บริษัท รายละเอียดดังนี้

1.) บริษัท สมาร์ทเฮ้าส์ วิลเลจ หัวหิน จำกัด จดทะเบียนวันที่ 15 มกราคม 2550 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบกิจการ การให้เช่า การขาย การซื้อ อสังหาริมทรัพย์ ที่ตั้งเลขที่ 100 หมู่ 1 ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายประวัติ ศิริพรสกุล และนายดนัย ศุภการ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุม 9 มีนาคม 2566 นายดนัย ศุภการ ถือหุ้นใหญ่ 50,000 หุ้น บริษัท ดรากอนริชลี่ จำกัด 45,000 หุ้น จากผู้ถือหุ้น 3 ราย รวมทั้งหมด 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท

2.) บริษัท สมาร์ทเฮ้าส์ วัลเล่ย์ หัวหิน จำกัด จดทะเบียนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2551 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบการเช่าและการดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งเลขที่ 100 หมู่ 1 ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายประวัติ ศิริพรสกุล และ นายดนัย ศุภการ เป็นกรรมการ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 30 เมษายน 2566 นายดนัย ศุภการ 8,000 หุ้น บริษัท ดรากอนริชลี่ จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 84,000 หุ้น จากผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 ราย รวมทั้งสิ้น 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท

3.) บริษัท เอส เอช วี หัวหิน จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 กรกฎาคม 2550 ทุน 2 ล้านบาท ประกอบกิจการซื้อ ขาย ดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่ตั้งเลขที่ 100 หมู่ 1 ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายประวัติ ศิริพรสกุล และ นายดนัย ศุภการ เป็นกรรมการ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุม 30 เมษายน 2565 นายดนัย ศุภการ ถือหุ้นใหญ่ 100,000 หุ้น บริษัท ดรากอนริชลี่ จำกัด 90,000 หุ้น และ น.ส.เรณู ปั่นเทพ 10,000 หุ้น รวมทั้งหมด 200,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท

4.) บริษัท หัวหิน เรสซิเด้นท์ เรียลเอสเตท จำกัด จดทะเบียนวันที่ 28 ตุลาคม 2548 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบการซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ ที่ตั้งเลขที่ 359 หมู่ 7 ตำบลหินเหล็กไฟ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นายดนัย ศุภการ และ นายประวัติ ศิริพรสกุล เป็นกรรมการ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุม 30 เมษายน 2566 นายดนัย ศุภการ 35,500 หุ้น บริษัท ดรากอนริชลี่ จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 58,050 หุ้น จากผู้ถือหุ้นทั้งหมด 3 ราย รวมหุ้นทั้งหมด 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท

5.) บริษัท ดีน่า โฮม ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 22 มีนาคม 2566 ทุน 2 ล้านบาท ประกอบกิจการซื้อ ขาย เช่า ให้เช่าที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง พัฒนา จัดสรร และแบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อย เป็นตัวแทนซื้อ ขายในกิจการอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ทุกชนิด ที่ตั้งเลขที่ 299/1 หมู่ 1 ตำบลเขาน้อย อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

6.) บริษัท ไทยคันทรีโฮม หัวหิน จำกัด จดทะเบียนวันที่ 25 มีนาคม 2559 ทุน 2 ล้านบาท ประกอบการซื้อและการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นของตนเอง เพื่อการพักอาศัย ที่ตั้งเลขที่ 100 หมู่ 1 ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นางจันทรา บีแชม นายแกรแฮม จอห์น บีแชม นายประวัติ ศิริพรสกุล นายเอกรัตน์ ศุภการ เป็นกรรมการ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันประชุม 30 เมษายน 2566 นายดนัย ถือ 1,000 หุ้น จากผู้ถือหุ้นทั้งหมด 6 คน จำนวนหุ้นทั้งหมด 20,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท (ไม่มีชื่อนายดนัยเป็นกรรมการ)

ทั้งหมดเป็นโพรไฟล์ธุรกิจของผู้รับซื้อที่ดิน 14 ไร่ 6,500,000 บาทจากนายพิธา

เลขาสภาฯ ยังไม่มีหนังสือเชิญ ส.ส. ประชุมนัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาฯ คาดรอความพร้อมจาก ‘พรรคก้าวไกล’ และ ‘พรรคเพื่อไทย’ หารือกันให้ลงตัวก่อน

นางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ลงนามในหนังสือ แจ้งสมาชิกรัฐสภาทั้ง ส.ส. และ ส.ว. ขอเชิญเข้าร่วมพิธีเปิดประชุมรัฐสภาวันที่ 3 ก.ค. เวลา 17.00 น ณ ห้องโถง พิธีชั้น 11 อาคารรัฐสภา ซึ่งตามกำหนดการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี จะเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปิดประชุมรัฐสภา และจะมีนายกรัฐมนตรีคณะรัฐมนตรี คณะ ทูต ทูตานุทูตประเทศต่างๆ ประธานศาลฎีกาและประธานองค์กรอิสระเข้าร่วม กว่า1,000 คน ทั้งนี้ได้แนบคำแนะนำสำหรับสมาชิกรัฐสภาในพิธีเปิดประชุม ทั้งขั้นตอน ต่างๆ และเครื่องแบบการแต่งกายด้วย

ส่วนวันที่ 4 ก.ค.เดิมที่วางไว้เป็นกำหนดวันประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก เพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาฯ ทั้ง2 คน จนถึงขณะนี้ทางสำนักงานเลขาฯ ยังไม่มีการทำหนังสือเชิญสมาชิกเข้าร่วมประชุม โดยมีรายงานว่า สภาฯจะขอประเมินสถานการณ์ความพร้อมในการเลือกประธานสภาฯ อีกครั้งก่อน เนื่องจากขณะนี้ทั้ง 2 พรรคที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ทั้งพรรคตก้าวไกลและพรรคเพื่อไทย ยังไม่ลงตัวในตำแหน่งนี้ คาดว่าต้องรอการหารือของ 8 พรรคการเมืองในวันที่ 2 ก.ค.นี้ และตามขั้นตอนสภาฯจะต้องทำหนังสือแจ้งสมาชิกให้รับทราบล่วงหน้า 3 วันก่อนที่จะมีการประชุม และตามกรอบเวลาตามระเบียบ วันประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกจะต้องเปิดประชุมภายใน10 วัน นับตั้งแต่มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา ซึ่งจะตรงกับวันที่ 12 ก.ค. 

นายอลงกรณ์ พลบุตร รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่าวันนี้ว่าได้ตัดสินใจลงสมัครเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ในการประชุมใหญ่พรรควันที่ 9 กรกฎาคมนี้

นายอลงกรณ์กล่าวย้ำว่า วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ต้องการก้าวใหม่ของตัวเองและโอกาสใหม่จากประชาชนด้วยการแสดงออกถึงภาวะผู้นำที่เข้มแข็งและกล้าหาญบนจุดยืนประชาธิปไตยที่ชัดเจนนำประเทศออกจากกับดักความขัดแย้งและวงจรอุบาทว์ด้วยหลักนิติรัฐและธรรมาภิบาลสู่เอกภาพและศักยภาพใหม่ของประเทศเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของทุกคน โลกเปลี่ยนเร็วและแข่งขันแรงทั้งการเมือง เศรษฐกิจและเทคโนโลยี ประเทศไทยต้องมีพรรคการเมืองที่ทันสมัยก้าวหน้าทันโลกทันเกมและก้าวใหม่ประชาธิปัตย์คือคำตอบ”

“ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยวิสัยทัศน์ความรู้และอุดมการณ์ที่มั่นคงกับพรรคประชาธิปัตย์ตลอด 30 ปีรวมทั้งประสบการณ์เป็นรองหัวหน้าพรรค4สมัยเป็น ส.ส.6สมัยและเป็นรัฐมนตรีมาแล้วจะสามารถนำพรรคสู่ก้าวใหม่ด้วยการปฏิรูปพรรคเป็นสถาบันทางการเมืองของประชาชนด้วยแนวทางเสรีนิยมก้าวหน้าภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หากได้รับความไว้วางใจจากสมาชิกพรรคและส.ส.ของพรรคเลือกเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 9” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด

นายอลงกรณ์ พลบุตร เมื่อครั้งเป็น ส.ส. และรองหัวหน้าพรรคเคยเสนอให้ปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2556 และเคยลงสมัครชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแข่งขันในระบบไพรมารี่ในปี 2561แต่ไม่ได้รับเลือกตั้ง.

ประวัติและผลงาน
นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ 4 สมัยและอดีต ส.ส. เพชรบุรีและ ส.ส. บัญชีรายชื่อ6สมัย 
.
>จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูงจากหลายประเทศเช่นสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น ปอร์ตุเกส ฯลฯ 
>เป็น ส.ส.สมัยแรกในปี 2535
>เป็นเลขานุการผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรและเลขานุการนายกรัฐมนตรี(ชวน หลีกภัย) ปี 2539-2544
>ได้รับฉายา”มิสเตอร์เอทานอล” ปี 2543-2544 ในฐานะประธานโครงการเอทานอลทำให้มีน้ำมันแก๊ซโซฮอลล์จำหน่ายทั่วประเทศ
>เป็น”ดาวเด่นแห่งปีของรัฐสภา”ปี 2546จากผลงานการปราบปรามคอรัปชั่น
>ได้รับรางวัล”คนดีสังคมไทย”และรางวัล”บุคคลดีเด่นประจำปี 2548-2549”
>เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์และทำหน้าที่รมต.เศรษฐกิจอาเซียน ปี 2551-2554
>ได้รับการโหวตให้เป็นรัฐมนตรีที่มีผลงานดีเด่น2ปีซ้อน ปี 2552-2553
>เป็นรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปี 2558-2560
>เป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ที่ประชุมการตั้งถิ่นฐานมนุษย์ของสหประชาชาติ (UN-GFHS) ปี2660-2561
>เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯ.กับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(2562-2566)
>เป็นผู้บรรยายพิเศษปริญญาเอก ปริญญาโทและปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง
>เป็นผู้บรรยายพิเศษหลักสูตรผู้บริหารระดับสูงภาครัฐและเอกชนเช่น บยส. นธป.วตท. Tepcot สวปอ. นบส. วกส. วพน. วิทยาการตำรวจ สถาบันพระปกเกล้า  ฯลฯ
>มีผลงานเขียนหนังสือ 4 เล่มด้านต่างประเทศ วิทยาศาสตร์และการเมือง
 

‘โชติวุฒิ’ ส.ส.พปชร.เผย ได้งบซ่อมบำรุงเขื่อนกั้นน้ำวัดปราสาท พร้อมจัดรอบเวรสูบน้ำแจกจ่ายให้เกษตรกรสิงห์บุรีอย่างทั่วถึง

(29 มิ.ย. 66) นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.สิงห์บุรี เขต 1 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า ตนได้รับเกียรติจากเทศบาลตำบลอินทร์บุรี เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ‘เทศบาลเคลื่อนที่’ ซึ่งต้องขอชื่นชมเทศบาลตำบลอินทร์บุรีที่จัดกิจกรรมดีๆ เพื่อให้บริการประชาชนในด้านต่างๆ เป็นการอำนวยความสะดวก การมีส่วนร่วม และการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน

นายโชติวุฒิ กล่าวต่อถึงความคืบหน้าในการซ่อมแซมเขื่อนกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ชำรุดเสียหายบริเวณวัดปราสาทว่า ขณะนี้ได้รับงบประมาณการซ่อมแซมมาแล้ว และจะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนแผนงานของหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ได้กำหนดไว้

นอกจากนี้ นายโชติวุฒิ ยังกล่าวถึงปัญหาของเกษตรในพื้นที่ว่า ตนได้ไปร่วมประชุมกับพี่น้องเกษตรกรตำบลห้วยชัน รวมถึงผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำฯ ชันสูตร หัวหน้าฝ่ายส่งน้ำฯ ที่ 2 บรมธาตุ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยชัน และผู้นำหมู่บ้าน ในเรื่องการจัดรอบเวรการสูบน้ำหลังจากที่ทางชลประทานได้นำเครื่องจักรสูบน้ำมาติดตั้งแล้ว เพื่อเป็นการแจกจ่ายน้ำให้แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึง จึงต้องมีการจัดรอบเวร พร้อมกำหนดกติกาการสูบน้ำของเกษตรกรผู้ใช้น้ำให้เข้าใจตรงกันและเกิดเท่าเทียมกันด้วย

‘อานนท์’ ลั่น!! ถ้า ‘ก้าวไกล’ ถอยเรื่องแก้โครงสร้างการเมือง เลือกตั้งคราวหน้าก็เตรียมตัวสูญพันธุ์เหมือนกับพรรคอื่นๆ

วันที่ (30 มิ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอานนท์ นำภา นักเคลื่อนไหวการเมือง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยระบุว่า…

“ถ้าก้าวไกลถอยเรื่องการแก้ไขโครงสร้างอำนาจของสถาบันการเมือง ก็ไม่ต่างอะไรกับพรรคการเมืองอื่นๆ เลือกตั้งครั้งหน้าก็เตรียมสูญพันธุ์เช่นกัน

การจะแก้ไขโครงสร้างอำนาจมันก็ต้องทำในสภา ถ้าไม่ได้ตำแหน่งประธานสภา ก็ยากที่จะทำได้ สักพักไปเจอการเตะถ่วงร่างกฎหมาย การเบรคไม่ให้อภิปราย ทุกอย่างก็จบ

ถ้าเพื่อไทยเห็นจุดนี้และอยากร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นประชาธิปไตยก็ควรถอยเรื่องประธานสภา ให้ก้าวไกลเป็นหัวหอกเรื่องนี้ โดยมีเพื่อไทยเป็นกองหนุนและทำงานด้านปากท้องแบบที่เพื่อไทยอ้างว่าถนัดและทำเป็น แบบนี้สังคมจะได้ประโยชน์กว่า

เว้นเสียแต่ว่าเราไม่มีความฝันร่วมกัน สภาพมันจึงเป็นเช่นที่เราเห็นตอนนี้”
 

‘พิธา’ จบข่าว.. ‘ป้อม-เศรษฐา-อนุทิน’ ชิงชัย ถอดรหัส ‘พีระพันธุ์’ ทิ้งเก้าอี้ ส.ส. ลุ้นเก้าอี้ใหญ่

ย่างสู่วันแรกของเดือนใหม่..กรกฎาคม เดือนแห่งความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  เริ่มหลักกิโลเมตรใหม่ทางการเมือง   มีประธานรัฐสภาคนใหม่  นายกรัฐมนตรีคนใหม่...ซึ่งจนถึงวินาทีนี้ยังฟันธงให้ขาดผึงไม่ได้ว่าเป็นใคร...เพียงแต่น่าเชื่อว่า..

ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นประธานรัฐสภา  ตัวเต็งคือ “พ่อมดดำ”สุชาติ  ตันเจริญ จากพรรคเพื่อไทย   “ตัวตึง”คือ ปดิพัทธ์    สันติภาดา  หรือ”หมออ๋อง”จากค่ายก้าวไกล...ซึ่งต้องรอดูคำตอบสุดท้ายจากการเจรจาของสองพรรคใหญ่ในวันพรุ่งนี้มะรืนนี้ว่าจะยอมกัน ณ จุดไหน อย่างไร..

ตำแหน่งประธานสภาฯ จะบอกเล่าเรื่องราวและเรื่องยาวได้ชัดเจนว่า  หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 จะเป็นใคร  แต่ในชั้นนี้ “เล็ก  เลียบด่วน” ฟันธงด้วยการข่าวว่าให้ตัดชื่อ..พิธา   ลิ้มเจริญรัตน์  ออกไปได้เลย  แม้จะถูกเสนอชื่อและอีก7พรรคร่วมชะตากรรมโดยเฉพาะเพื่อไทยจะยืนยันนอนยันเป็นครั้งที่555 แล้วว่าจะหนุนจนสุดตัวสุดทาง...และแม้จะมีกระแสข่าวเล็ดรอดออกมาว่ามีการทุ่มทุนล็อบบี้ส.ว.กันอย่างเอาการเอางานก็ตาม..

ต้องทำความเข้าใจให้ชัดว่า..กรณีการใช้ยุทธปัจจัยจากกลุ่มทุนบางกลุ่มล็อบบี้ส.ว.นั้นเป็นการล็อบบี้ให้กับตัวเต็งนายกฯที่ชื่อ “เศรษฐา” หรือ “อุ๊งอิ๊ง”  เป้าหมายเพื่อสกัดพรรคภูมิใจไทย ซึ่งบัดนี้คนในสภาสูงจำนวนหนึ่งที่ใจแกว่งกะจะหาโบนัสส่งท้ายก่อนสิ้นวาระกลางปีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนใจร้องเพลง..ถอยดีกว่า ไม่เอาดีกว่า..กันเป็นแถว..

สรุปรวมความ..เต็งจ๋านายกฯตอนนี้ยังคงเป็น “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร  วงษ์สุวรรณ  ที่ลูกน้องดันหลังเต็มแม็กซ์ แต่เสียงสนับสนุนจากส.ว.ยังไม่แน่นหนาเท่าที่คนภายนอกนึกคิด

เต็งสอง  ห้ามมองข้ามก็คือ..เศรษฐา ทวีสิน  จากเพื่อไทย นาทีนี้ภาษากายบ่งบอกชัดเจนว่า..พร้อมมาก..พร้อมที่จะเป็น...ซึ่งโอกาสมีไม่น้อยถ้าเพื่อไทยไม่ผูกขาไว้กับพรรคก้าวไกลแบ่บว่า..ไปไหนไปด้วยกัน..

เต็งสาม   แม้จะชื่อ”หนู” แต่ก็อาจเป็นหนูที่อาจช่วยราชสีห์..เป็นทางเลือกให้กับบ้านเมืองเดินหน้าไปได้..ใช่แล้ว..เขาคืออนุทิน  ชาญวีรกูล   หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย  ที่ “เล็ก   เลียบด่วน” ขอยืนยันว่าคนในสภาสูงเขาอยากโหวตให้มาก...

...ส่งท้าย ด้วยปริศนาการเมือง จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อย่าว่าแต่คนภายนอกเลยที่ออกอาการงงเต้ก..คนในพรรคเองก็มึนตึ้บไปตามๆกัน  กรณี”บิ๊กตุ๋ย”พีระพันธุ์  สาลีรัฐวิภาค”  หัวหน้าพรรค ไม่ไปรายการตัวเป็นส.ส.ซึ่งเท่ากับสละตำแหน่งส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ อันดับ 1 ของพรรคไป..

ดูเฟซบุ๊กพีระพันธุ์ วันที่ 30 มิ.ย.ระบุว่าเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.เคยบอกว่าจะไม่มีวันทิ้ง”ลุงตู่” วันนี้วันที่ 30 มิ.ย.ขอยืนยันอีกครั้งว่าจะทำหน้าที่เลขาธิการนายกรัฐมนตรีช่วยลุงตู่จนวินาทีสุดท้าย...ก่อนที่จะตบท้ายว่า  “ในฐานะหัวหน้าพรรคผมไม่ได้หายไปไหน  ผมยังคงทำหน้าที่กองทุนและดูแลการทำงานของพรรค  ของส.ส.และของสมาชิกพรรคให้ดีที่สุดเพื่อประเทศชาติของเราตลอดไป”

สายข่าวของ “เล็ก  เลียบด่วน” แจ้งว่าวันที่ 3 ก.ค.พีระพันธุ์จะไปยืนเข้าเฝ้ารับเสด็จฯร่วมรัฐพิธีเปิดสมัยประชุมรัฐสภาในฐานะตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี..ในขณะที่มีการคาดหมายกันว่า..อนาคตฉากต่อไปเขาอาจรับบทรัฐมนตรีหรือตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง...ซึ่งเราๆท่านๆยังไม่รู้

แต่”บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กตุ๋ย” รู้แล้ว..!!??

นักเขียนดังค่ายพระอาทิตย์ ชวนรู้จักตัวตน ‘ไพศาล พืชมงคล’  ผู้อยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล ชู ‘ชัยธวัช’ เป็นประธานสภาฯ ดัน ‘พิธา’ เป็นนายกฯ

แน่นอนว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลก็ย่อมจะต้องเป็นไปตามครรลองของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีจะต้องได้เสียงจากรัฐสภา 376 เสียงขึ้นไป ส่วนใครจะเป็นไม่ใช่ปัญหาที่ผมจะพูดถึงไม่ว่าจะเป็นพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หรือแพทองธาร ชินวัตร หรือเศรษฐา ทวีสิน หากว่าคนนั้นได้การยอมรับจากเสียงข้างมากของรัฐสภ

ภาพของไพศาลที่เคยแสดงออกมาโดยตลอดนั้นเหมือนจะเป็นคนที่ยึดมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์ หากว่าคำพูดและการแสดงออกที่ผ่านมานั้นไม่ใช่น้ำกลิ้งบนในบัว

ไพศาลยังพยายามแสดงให้คนทั่วไปเห็นว่า มีสายสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ในรัฐบาลจีน แสดงให้เห็นชัดว่าตัวเองยืนอยู่ข้างจีน รัสเซีย อิหร่าน และต่อต้านยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐอเมริกาและต่อต้านรัฐไทยที่จะเอาตัวเองเข้าไปผูกพันกับอเมริกา หากที่เห็นไม่ใช่เป็นการเล่นละครในบทบาทของสายลับสองหน้า นั่นคือไพศาลที่เราเห็นผ่านตัวอักษรและการแสดงความเห็นในวาระต่างๆ

แต่วันนี้การแสดงออกของไพศาลนั้นทำให้เกิดคำถามว่าแท้จริงแล้วไพศาลมีตัวตนที่แท้จริงอย่างไร

เพราะไพศาลแสดงตัวตนชัดเจนว่า สนับสนุนการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคก้าวไกล มันอาจจะไม่ผิดอะไรที่คนคนหนึ่งจะเลือกจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง หากคนนั้นไม่ใช่ไพศาล

ถ้าไพศาล เป็นไพศาลคนเดียวกับคนที่มีจุดยืนเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ คนที่มีหูตากว้างไกลอย่างไพศาลก็ต้องรู้ว่า พรรคก้าวไกลและแกนนำพรรคทั้งที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังนั้น ล้วนแล้วมีจุดยืนที่ท้าทายต่อการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ และต้องการลดทอนบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง

นอกจากนั้นนโยบายของพรรคก้าวไกลเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงกับสหรัฐอเมริกา และตั้งเป้าหมายในการเพิ่มทรัพยากรสำหรับการฝึกร่วมคอบร้าโกลด์ที่จัดขึ้นในไทย รวมไปถึงการร่วมมือในกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก และพรรคก้าวไกลได้แสดงให้เห็นในหลายบทบาทอย่างชัดแจ้งว่ามีจุดยืนที่ยืนอยู่ข้างสหรัฐอเมริกา ทำไมคนที่เขาตั้งฉายาว่า “กุนซือสมองเพชร” อย่างไพศาลที่สร้างภาพให้คนเชื่อมาตลอดว่าต่อต้านสหรัฐอเมริกาจึงไปยืนอยู่ข้างพรรคก้าวไกลไปได้

ยังไม่ต้องพูดถึงสามจังหวัดใต้และ 4 อำเภอในสงขลาบ้านเกิดของไพศาล ต่อจุดยืนของพรรคก้าวไกล ที่แสดงออกถึงความเข้าอกเข้าใจฝ่ายที่เรียกร้องสันติภาพในรัฐปาตานี และล่าสุดมีคนออกมาเคลื่อนไหวอย่างเหิมเกริมภายหลังชัยชนะของพรรคก้าวไกลเพื่อเป้าหมายไปสู่การทำประชามติแบ่งแยกดินแดน แต่ไพศาลที่มักจะแสดงตนว่ารักชาติบ้านเมืองไม่เคยมีความเห็นต่อเรื่องนี้ออกมาเลย

ที่ไพศาลมีจุดยืนนี้อาจจะอ้างว่า เมื่อประชาชนส่วนใหญ่เลือกพรรคก้าวไกลเข้ามาเป็นอันดับ 1 ก็มีความชอบธรรมที่พรรคก้าวไกลจะเป็นแกนนำรัฐบาล ที่ไพศาลมักจะใช้คำว่าฉันทมติของประชาชนเพื่อออกมาสนับสนุนพรรคก้าวไกลเสมอ

เมื่อเร็วๆ นี้ไพศาล โพสต์เฟซบุ๊กว่า นอนฝันไปหรือไรหนอ เมื่อคืนวันที่ 23 มิถุนายนเวลา 2.00 น. นายพิธาโพสต์ว่า ผมพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 แล้ว!!! ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะละเมอตื่นขึ้นมาโพสต์ การโพสต์นี้ย่อมมีนัยความหมายแน่นอน!!! นายพิธา คุยอะไรกับใครหนอ และคุยว่าอย่างไร จึงมาโพสต์อย่างนี้!!!

เข้าไปดูเพจพิธาว่าพิธาโพสต์อย่างนั้นจริงไหม ก็ไม่มีหรอก เป็นไพศาลนี่แหละที่สร้างฝันขึ้นมาเอง

เราต้องรู้นะว่า น้องชายของไพศาลคือ พิชัย พืชมงคล นั้นตอนนี้เป็นกุนซืออยู่เบื้องหลังพรรคก้าวไกล ผมถึงบางอ้อว่าที่มาของโพสต์นั้นของไพศาล เพราะไพศาลเพิ่งจะพาชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล คนสงขลาบ้านเดียวกันไปพบกับบุคคลสำคัญคนหนึ่งที่สามารถเชื่อมโยงไปถึงขอบฟ้าได้ ก็เลยมีความเชื่อว่าตอนนี้สวรรค์เปิดทางให้กับรัฐบาลพิธาแล้ว

“นายพิธาคุยอะไรกับใครหนอ และคุยว่าอย่างไร จึงมาโพสต์อย่างนี้” ถ้อยคำที่ไพศาลโพสต์นั้น เพื่อต้องการบอกนัยว่าคนที่ไพศาลพาชัยธวัชไปพบนั้นสามารถจะแผ้วทางให้พิธาไปสู่เป้าหมายได้

ถ้าเราติดตามการโพสต์ของไพศาลเขามักจะใช้วิธีการดังนี้ คือ โพสต์เรื่องหนึ่งขึ้นมาให้คนอ่านหลงเชื่อ แล้วสื่อมักจะเอาไปเล่นข่าว พอไม่เป็นความจริง ไพศาลก็จะโพสต์ว่าแผนนั้นล้มไปแล้ว คือ เป็นการโพสต์เองปฏิเสธเองแบบนี้หลายครั้ง

ต่อมาไพศาลยังโพสต์เฟซบุ๊กว่า การประชุมเลือกนายกรัฐมนตรีจะมีขึ้นช่วงกลางเดือนกรกฎาคม 66 เป็นอำนาจของประธานในการกำหนดวิธีการเลือกและ ณ วันนี้แนวทางคือจะเปิดให้เสนอชื่อแคนดิเดตพร้อมกันทีเดียวและกำหนดให้ ส.ส.ลงคะแนนโดยเปิดเผยด้วยวิธีขานชื่อก่อน ครบจำนวนแล้วจึงให้ ส.ว.ลงคะแนนโดยเปิดเผยด้วยวิธีการขานชื่อเช่นเดียวกันใครได้คะแนนเสียง 376 ก็เป็นนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภาก็จะนำความกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งในวันนั้น อีก 2 วัน นายกรัฐมนตรีก็จะนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หลังจากนั้นราว 3 วัน คณะรัฐมนตรีก็จะเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ เข้ารับหน้าที่ คอยจับตาดูการเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ฯ “รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ในครั้งนี้!!! อาจจะได้เห็นปรากฏการณ์พิเศษที่ประดุจดังแสงอรุณยามฟ้าสาง แห่งการสร้างความสามัคคีในชาติ

ไพศาลต้องการสื่อให้เห็นว่า การจัดตั้งรัฐบาลที่จะมีคนเสนอชื่อพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น จะสำเร็จลงอย่างง่ายดายในการลงมติครั้งแรกเท่านั้น

และไพศาลเพิ่งจะโพสต์เฟซบุ๊กว่า ในช่วงการสมโภชศาลพระหลักเมือง เมื่อ 180 ปีก่อน พระหลักเมืองสงขลาพยากรณ์ว่า ในอนาคต จะมีคนสงขลา 3 คน มีบุญญาธิการมากมีอำนาจมากในบ้านเมือง จะได้ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสุข

คนสงขลาคนที่ 1 คือเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและประธานองคมนตรี คนที่ 2 คือพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษ และประธานองคมนตรี

มีคำร่ำลือกันว่า คนสงขลาคนที่ 3 ตามคำพยากรณ์นั้นได้อุบัติแล้ว มีบุญญาธิการมาก จะทำให้มณฑลปักษ์ใต้ทั้งหลาย กลับคืนสู่ความสามัคคีและเป็นสุขอีกครั้งหนึ่ง!!! คนสงขลาและชาวภาคใต้ กำลังรอชมบารมีนั้นให้เป็นมิ่งขวัญแก่ราษฎรสืบไป

ไม่รู้ว่า ไพศาลต้องการบอกว่า คนสงขลาผู้มากบารมีคนที่ 3 คนนั้นคือ ชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการของพรรคก้าวไกลหรือไม่

ไพศาลนั้นเป็นนักกฎหมายใหญ่และมีสำนักกฎหมายใหญ่หนุนหลัง แต่หลายครั้งความรู้ทางกฎหมายที่แสดงออกมาของไพศาลก็เป็นที่กังขา เช่นบอกว่า การยุบสภาฯ นั้นจะต้องทำเป็นมติคณะรัฐมนตรีเป็นต้น และการใช้กฎหมายแบบตัดตีนให้กับเข้าเกือกหลายครั้ง หรือว่าจริงๆ แล้วอาจไม่ใช่เพราะไพศาลสับสนในข้อกฎหมายหรอก แต่ต้องการใช้ความเป็นผู้รู้ทางกฎหมายของตนเพื่อเป้าหมายที่ซ่อนเร้นของตัวเองนั่นเอง

ย้อนดู พฤติกรรม ว่าที่ประธานสภาฯ ‘หมออ๋อง ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ ไม่ผูกเนคไท เข้าสภาฯ อภิปรายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์

‘หมออ๋อง’ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก อดีตนายสัตวแพทย์ ที่พรรคก้าวไกล ส่งชิงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร สู้กับพรรคเพื่อไทย หากเราลองย้อนดูพฤติกรรมที่ผ่านมาของหมออ๋องแล้ว ก็จะพบว่ามีพฤติกรรมหลายๆอย่างที่ไม่เหมาะสม

หมออ๋องไม่ผูกเนคไท เข้าสภาฯ 
ซึ่งประเด็นนี้ นายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ก็ได้เคยกล่าวอภิปรายในร่างข้อบังคับฯ ในประเด็นการแต่งกายของส.ส. แล้วว่าเป็นการไม่ให้เกียรติสถานที่ การแต่งกายไม่เรียบร้อยนั้นเป็นการไม่เคารพต่อประธานสภาและเพื่อนสมาชิก

หมออ๋อง ขึ้นอภิปรายเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์
โดยเมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2563 นายปดิพัทธ์อภิปรายว่า "นี่เป็นคำถามแห่งยุคสมัย ปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า จากบทสนทนาที่เราคุยกันในโต๊ะอาหาร วงเหล้า หรือในกลุ่มเพื่อนสนิท ตอนนี้กลับมาเป็นประเด็นทางสาธารณะ มันหมายความว่านี่คือคำถามแห่งยุคสมัย แทนที่ผู้ใหญ่จะใช้วิธีปิดปากปิดตา ปิดหู ทำไมเราไม่ทำหน้าที่ในการตอบ ในการถามกลับ” 

ในปี 2565 นายปดิพัทธ์ ยังได้เป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบของมาตรา 112 ที่มีต่อสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชน ในช่วงที่นักกิจกรรมจากกลุ่มทะลุวังไม่ได้รับการประกันตัวจากการถูกกล่าวหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ระหว่างเดือน พ.ค.-ส.ค. 2565

นายปดิพัทธ์ เคยกล่าวถึงบทบาทของอนุ กมธ. ชุดนี้ว่า ต้องการสร้างกระบวนการที่สามารถให้มีบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลและหาทางออกร่วมกันได้ โดยได้มีการเรียกให้หน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล ราชทัณฑ์ มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับคดี ม.112

ซึ่งในขณะนี้ทางพรรคเพื่อไทยก็ได้เตรียมจะส่งนายสุชาติ ตันเจริญ หรือพ่อมดดำ ส.ส.ฉะเชิงเทรา หลายสมัย ผู้มากประสบการณ์ ในการเดินเข้าสภาฯสมัยที่แล้ว ก็ยังได้ทำหน้าที่เป็นรองประธานสภาฯ ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

ถ้าเปรียบเชิงมวยกันแล้วก็ดูเหมือนว่า พ่อมดดำ นั้นจะได้เปรียบหมออ๋องอยู่ไม่น้อย เพราะมีเสียงสนับสนุนทั้งจากทางพรรคเพื่อไทยเอง และจากทางพรรคการเมืองอื่น

จากกำหนดการไทม์ไลน์ก็คงจะได้เปิดสภาฯกันเร็วๆนี้ ถึงตอนนั้นก็ไปลุ้นกันว่าหมออ๋อง จะได้นั่งเก้าอี้ประธานสภาฯ หรือว่าจะได้กินแห้ว

การประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ยังตกลงกันไม่ได้เรื่อง ประธานสภาฯ ‘พิธา’ บอกยังมีเวลา ขอทำงานเป็นขั้นเป็นตอน

การประชุม 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล 2 ชั่วโมง น่าจะจบลงแบบไม่ราบรื่นนัก
ที่ประชุม 8 พรรคร่วม ยังตกลงกันไม่ได้เรื่อง #ประธานสภา จะเป็นของพรรคใดระหว่างก้าวไกลกับเพื่อไทย พิธาบอกว่า ยังมีเวลา ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน อย่าเปิดประเด็นใหม่ 

ดูจากสีหน้าของทุกคู่ ไม่สดใสร่าเริงเหมือนตอนแถลงจับมือ ส่งรอยนิ้ว จับมือรูปหัวใจ แต่วันนี้ไม่ใช่ ไม่มีรอยยิ้มให้เห็น

ยังมีเวลา ทำงานเป็นขั้นเป็นตอน ถ้าพิจารณากันตามข้อเท็จจริง คือมีเวลาแค่วันนี้ เพราะพรุ่งนี้ทุกพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลจะมีการประชุม ส.ส.ของพรรค ซึ่งแน่นอนว่า จะต้องแจ้งเรื่องทิศทางในการเลือกประธานสภาว่าจะเป็นอย่างไร จะต้องเลือกใครจากพรรคไหน

พรุ่งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระราชินี เสด็จพระราชดำเนินเปิดประชุมสภา จากนั้นวันที่ 4 กรกฎาคม ก็จะเป็นการประชุมสภานัดแรกเพื่อเลือกประธานสภา และรองประธานสภาสองตำแหน่ง

หรือการโหวตเลือกประธานสภาจะย่างเข้าสู่โหมตฟรีโหวตจริงๆ แต่ถึงแม้นจะฟรีโหวต และพรรคก้าวไกลเสนอชื่อคนของพรรค ก็เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ ยังจะยกมือให้คนของพรรคก้าวไกลเป็นประธานสภา เพื่อให้การจัดตั้งเดินหน้าต่อไปได้ แบะทอดเวลาไปสำหรับการเจรจาต่อรองทางการเมือง เพราะเมื่อโหวตเลือกประธานสภาแล้ว มีเวลาอีก 10 วัน ในการกำหนดวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

เกมต่อไปคือเกมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แต่จนถึงวันนี้ ทำไมพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไทย ว่าที่นายกรัฐมนตรี ถึงยังไม่บอกกล่าวกับใครว่า “ตกลงซาวเสียง สว.แล้ว เขาจะเลือกพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีสักกี่คน”

ทำให้สงสัยได้ว่า “หรือ 1 เดือนของความพยายามในการกล่อม สว.ให้กลับใจมาเลือกพิธา ยังย่ำอยู่ที่เดิม ที่เดิมที่ 6-7 เสียง หรือ 19-20 เสียง ยังไม่ขยับเข้าไปใกล้ 64 เสียง เพื่อให้ได้ 376 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภา

หรือใจมันสั่นๆที่จะพูดความจริง ความจริงที่ว่า “เรามีเสียง ส.ส.อยู่ 312 เสียง และมีสว.ใจเต็มร้อยให้พิธาแค่ 6-7 เสียง ที่เหลือรับปาก แต่ไม่ยืนยัน แน่นอนว่าทางการเมืองใครไปหาเขาก็รับปากหมดแหละ ไม่มีใครปฏิเสธต่อหน้าหรอก

เหมือนเวลา ผู้สมัคร ส.ส.ไปพบหัวคะแนน ไปคุยกับชาวบ้าน ทุกคนรับปากจะช่วยรับปากจะเลือกทุกคน จนทำให้ผู้สมัครหลงตัวเองว่า “เสียงดี-กระแสตอบรับดี”

แต่ผลคะแนน ผลโหวตจะเป็นตัวขี้วัด ระบอบประชาธิปไตย คือระบอบการมีส่วนร่วม ทั้งทางตรง และทางอ้อม ทางตรงผ่านขบวนการเลือกตั้ง ทางอ้อม คือตัวแทนที่ได้รับเลือกเป็น ส.ส.ทำหน้าที่แทน

14 ล้านเสียงนั่นคือทางตรงที่ประชาชนออกไปเลือกพรรคก้าวไกล และเป็น 14 ล้านเสียงที่ทรงพลัง หนุนก้าวไกล หนุนพิธาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ความอ่อนด้อยในประสบการณ์ในการเจรจา ในการจัดตั้งรัฐบาล ที่ด้อยกว่าเพื่อไทยที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาหลายยุคสมัย

วันนี้ก้าวไกล 151 เสียง จึงตกเป็นรองต่อเพื่อไทย 141 เสียง ทำนอง “ขาดฉันแล้วเธอจะรู้สึก” ซึ่งข้อเท็จจริงก้าวไกลขาดเพื่อไทยก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ หันซ้ายก็เห็นศัตรู หันขวา เราก็เคยตั้งป้อมจะปลดล็อคเขา เดินไปข้างหน้าก็เห็นป้อมปราการที่มีอายุหนักเล็งอยู่

โอ้…ก้าวไกลจะเดินต่ออย่างไรดี หรือปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ บอกได้เลยครับว่า “เจ๊ง” การเมืองไม่มีธรรมชาติ มีแต่การล็อบบี้ ต่อรองทั่งนั้น

ถ้าปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ในวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เชื่อได้ว่า ฝ่ายรัฐบาลเดิมจะเสนอคนลงชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วย และชื่อคนลงชิง ถ้าพรรครวมไทยสร้างชาติเสนอ ก็จะเป็นชื่อ “พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค” ถ้าพรรคพลังประชารัฐเสนอก็จะเป็นชื่อ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ”

พีระพันธุ์ ยอมสละเก้าอี้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พร้อมกับทิ้งประโยคเด็ด “ไม่ทิ้งลุงตู่ จะอยู่ช่วยจนคนสุดท้าย” มีความหมายโดยนัยยะทางการเมืองอย่างไม่น่ามองผ่าน

วันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่า ซีก 188 เสียงต้องโหวตให้พีระพันธุ์ แล้วดันมี สว.200 คนโหวตเลือกพีระพันธุ์ จะทำให้เสียงพีระพันธุ์มี 388 เสียง “ส้มก็จะหล่น”ใส่ พีระพันธุ์แบบเต็มตีน

ไม่ใช่เชียร์พีระพันธุ์ แต่ถ้าก้าวไกลไม่ชัด คำตอบของโจทย์ยาก อาจจะมาในรูปนี้ก็เป็นได้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top