Monday, 30 June 2025
Politics

‘นิพนธ์’ แนะ กระจายอำนาจ หนุนท้องถิ่นมีส่วนร่วมทางการเมือง เชื่อมั่น!! “เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศไทยก็เข้มแข็ง”

เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. 66 นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเวทีเสวนา การติดตามนโยบายการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ของพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้ง หัวข้อ ‘ท้องถิ่นมั่งคั่ง ประเทศมั่นคง’ ในการประชุมและการสัมมนาทางวิชาการสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1/2566 ประจำปี พ.ศ.2566 ระหว่างวันที่ 21-23 มิถุนายน 2566 ณ อาคารชาเลนเจอร์ อาคาร 2 อิมแพ็ค ชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี โดยมีผู้แทนจาก พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคก้าวไกล พรรคชาติพัฒนากล้า พรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย สมาคมสันนิบาตแห่งประเทศไทย เข้าร่วมรับฟังจำนวนมาก

นายนิพนธ์ กล่าวตอนหนึ่งว่า การทำงานของถิ่นในบางภารกิจยังมีอุปสรรคในการบริหาร ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้การสนับสนุน และแก้ไขอุปสรรคในการดำเนินการภายใต้กติกาที่กำหนดไว้ เพื่อให้งานเดินต่อไปได้และไม่เกิดปัญหาภายหลัง

สำหรับเรื่องจัดเก็บภาษีนั้น ก็ควรมีการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีพร้อมทั้งพิจารณาจัดเก็บฐานภาษีอื่นๆ เพิ่มเติมที่ทำให้ท้องถิ่นมีรายได้เพิ่มมากขึ้นสามารถนำมาพัฒนาพื้นที่รับผิดชอบ สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้ประชาชน

ในส่วนความคืบหน้าเรื่องกระจายอำนาจ ในขณะนี้อยู่ในแผนที่ 3 แต่ขณะเดียวกัน แผนที่ 1 และ 2 ก็ยังถ่ายโอนไม่หมด ซึ่งควรพิจารณาว่าภารกิจใดที่ท้องถิ่นทำได้ก็ให้เร่งรัดถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณพร้อมบุคลากรให้ท้องถิ่นได้ดำเนินการ เพราะการถ่ายโอนภารกิจใดไปและดำเนินการไม่ได้อาจจะถูกดึงภารกิจกลับ ซึ่งเรื่องกระจายอำนาจนั้นสามารถทำได้ทันทีโดยนายกรัฐมนตรี ต้องนั่งเป็นประธานคณะกรรมการกระจายอำนาจฯ กำหนดนโยบายการถ่ายโอนภาระกิจ ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน

นายนิพนธ์ยังกล่าวด้วยว่า การป้องกันการทุจริต ปัจจุบันมีการพัฒนาในกระบวนการตรวจสอบที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เช่น การให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนการตรวจรับงานจ้าง รวมถึงการสร้างความโปร่งใสในการบริหารงานท้องถิ่น ดังนั้น จึงไม่ควรนำเรื่องทุจริตมาปิดกั้นการกระจายอำนาจ เพราะการกระจายอำนาจ คือการสร้างการมีส่วนร่วมการเมืองภาคประชาชนได้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่า “เมื่อท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศไทยก็เข้มแข็ง”
 

‘ชัช เตาปูน’ รายงานตัวที่สภาฯ จ่อดัน ‘กาสิโน’ ให้ถูกกฎหมาย เพื่อหารายได้เข้าประเทศ แก้หนี้ให้ประชาชน

วันที่ 23 มิ.ย. 2566 – เมื่อเวลา 11.20 น. ที่รัฐสภา นายชัชวาลล์ คงอุดม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เข้ารายงานตัว ต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

จากนั้น นายชัชวาลล์ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกดีใจ และขอบคุณประชาชนที่ไว้วางใจให้พรรครวมไทยสร้างชาติ และทำให้ตนได้กลับเข้ามาทำงานรับใช้ประชาชนอีกครั้ง ทั้งนี้มีความตั้งใจที่จะผลักดันกาสิโนให้ถูกกฎหมาย ในรูปแบบสถานบันเทิงแบบครบวงจร (Entertainment Complex) ให้สำเร็จ ซึ่งหวังว่าสภาฯ ชุดที่ 26 นี้จะนำรายงานของคณะกรรมาธิการฯ ที่พิจารณาศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้กลับเข้ามาพิจารณาในสภาอีกครั้ง เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยมีกาสิโนที่ถูกกฎหมายต่อไป เพื่อหารายได้จากการท่องเที่ยวเข้าประเทศไทย และแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน รวมถึงให้เด็กได้มีโอกาสเรียนหนังสือฟรี

‘อนุรัตน์’ ส.ส.พะเยา พรรคพลังประชารัฐ เร่งแก้ปัญหาถนนชำรุด กระทบการขนส่งพืชผล ของเกษตรกร

นายอนุรัตน์ ตันบรรจง ส.ส.เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) จ.พะเยา กล่าวภายหลังการรายงานตัวรับรองเป็น ส.ส.ว่า ตนจะเข้ามาแก้ไขปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขมาอย่างยาวนานให้พี่น้องประชาชน เช่น ปัญหาถนนชำรุด ปัญหาการเกษตร ในจังหวัดพะเยาเป็นพื้นที่ทางการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าว รวมถึงผลไม้ต่างๆ เช่น มะม่วง ลำไย และลิ้นจี่ แต่ถนนเพื่อการเกษตรยังขาดการดูแล ทำให้การขนส่งพืชผลมีภาระต้นทุนสูงขึ้น เพราะว่าถนนนั้นยังชำรุดอยู่ หรือทางเข้าออกยากลำบาก การจะนำพืชผลทางการเกษตรออกมาขายได้ต้องใช้เวลานาน จึงทำให้เกิดการเสียหาย 

นายอนุรัตน์ กล่าวต่อถึงเรื่องของบุคลากรอย่าง อสม.ว่า อสม.เป็นหน่วยงานที่ส่งสริมเรื่องของสุขภาพ ที่ผ่านมา อสม.ถือเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง แต่ตอนนี้ยังขาดอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อที่จะเข้าไปดูแลสุขภาพของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นในตำบอล ในหมู่บ้าน ตนจึงอยากจะผลักดันเรื่องของเงินเดือนของ อสม.ให้มีเงินเดือนสูงขึ้น อสม.เป็นจิตอาสา ทำงานอย่างหนัก แต่ได้รับค่าตอบแทนที่ยังไม่คุ้มค่ากับการลงแรงทำงาน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความปลอดภัยในพื้นที่ ที่มี อปพร.กับ ตำรวจบ้าน ทำงานร่วมกันแต่ก็ไม่ได้รับค่าตอบแทนเช่นกัน

นายอนุรัตน์ กล่าวต่อว่า ตนยังมองถึงแผนงานที่จะเพิ่มรายได้ให้ชาวบ้านได้ ก็คือส่งเสริมอาชีพพื้นบ้าน เช่น สินค้าหัตถกรรม โดยเป็นสินค้าที่ทางชุมชนเราผลิตหรือสร้างเอง และนำออกไปขายได้ อย่างเช่น กว๊านพะเยา เป็นแหล่งน้ำที่จะมีผักตบชวา ชาวบ้านจะนำผักตบชวามาตากแห้ง เพื่อเอามาทำเป็นงานจักสานผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก็จะสามารถสร้างรายได้ 

"อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญมากในพื้นที่จังหวัดพะเยา คือ เรื่องของแหล่งน้ำ เพราะในช่วงฝนตกหนักจะไม่มีพื้นที่รองรับน้ำ ดังนั้น เราจะต้องเร่งประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างเขื่อนหรือฝาย หรืออ่างเก็บน้ำเพื่อเก็บน้ำ เพราะปัจจุบันอ่างเก็บน้ำมีจำนวนน้อย ดังนั้นเวลาฝนตกลงมาก็จะมีปัญหาน้ำท่วมอยู่เสมอ"นายอนุรัตน์ กล่าว

‘ป้อม-สุชาติ’ เต็งหามสองผู้นำ ‘อภิสิทธิ์’ รอสัญญาณฉันทามติ คัมแบ็ค ปชป..

เลียบการเมือง สุดสัปดาห์..”เล็ก  เลียบด่วน”  รายงานตัว ณ วันที่ 24 มิ.ย.2566  ตรงกับวันครบรอบ 91 ปี การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข...จริงๆแล้วคณะราษฎรอยู่ในอำนาจในห้วงปี 2475 -2500 รวม 25 ปี..ข้อดีก็มีไม่น้อย แต่ข้อด้อยข้อผิดพลาดก็มีมาก..อย่างน้อยก็เป็นต้นตำรับของการรัฐประหารชิงอำนาจ...แต่ข้อไม่ดีของคณะราษฎรไม่ค่อยมีคนพูดถึงมากนักในยุคนี้เพราะกลัวรถทัวร์สามนิ้วมาจอดหน้าบ้าน...

เลี้ยวมาสู่การเมืองเรื่อง...ไทม์ไลน์การชิงอำนาจผ่านตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายกรัฐมนตรี..คาดว่าวันที่ 3 ก.ค.จะมีรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา  จากนั้นวันที่ 4หรือ5ไม่เกินวันที่ 6 ก.ค.ก็จะโหวตลับเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร  ก่อนที่ประมาณวันที่ 13 ก.ค.ก็จะประฃุมรัฐสภา  โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี...

ตำแหน่งประธานสภาหากว่ากันในนาทีนี้ก็พอจะเห็นเค้าชัดเจนว่า...ในที่สุดพรรคเพื่อไทยก็คว้าไปครอง โดยชื่อของสุชาติ  ตันเจริญ   ยังเป็นเต็งหนึ่ง...การหักเหลี่ยมโหดตำแหน่งประธานสภา จะ เป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่ทางแยกของพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล...แม้หลังจากเลือกประธานสภาแล้วพรรคเพื่อไทยจะทนุถนอมประคับประคองโหวตหนุนพิธาเป็นนายกฯแบบเต็มแม็กซ์  แต่เชื่อว่า”พิธา”ก็ไม่ผ่านโหวตอยู่ดี...

ถึงนาทีนั้นพรรคก้าวไกลเจอกับโจทย์ใหญ่ว่าจะเดินหน้ายังไงต่อไป  เกาะขาพรรคเพื่อไทยขอเข้าร่วมรัฐบาล  หรือประกาศตัวเป็นฝ่ายค้าน...ถ้าให้”เล็ก เลียบด่วน” ฟันธงก็ต้องเปรี้ยงว่า คงเลือกหนทางเป็นฝ่ายค้าน...บางกระแสข่าวบอกว่าดีไม่ดีพรรคก้าวไกลอาจประกาศแยกทางชักธงรบเป็นฝ่ายค้านตั้งแต่ถูกหักเหลี่ยมเก้าอี้ประธานสภาสภาฯแล้วก็ได้...

สำหรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี...นาทีนี้เต็งจ๋ายังเป็น “บิ๊กป้อม”  พล.อ.ประวิตร  วงศ์สุวรรณ    ที่จะมากอบกู้เผชิญหน้าสถานการณ์การชุมนุมการต่อต้านรัฐบาลใหม่ที่จะเกิดขึ้นตั้งแต่ยังตั้งรัฐบาลไม่แล้วเสร็จ

โดยรัฐบาลใหม่พรรคเพื่อไทยในฐานะมีเสียงสูงสุดก็คงจะได้กระทรวงสำคัญไปบริหารสร้างผลงานเพื่อขับเคี่ยวกับพรรคก้าวไกลในสมัยหน้า...ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่า..พรรคเพื่อไทยพยายามที่จะเจรจาต่อรองขอ “นายกฯคนละครึ่ง” หรือคนละ2ปีกับพล.อ.ประวิตรด้วย...

ปืดท้ายกันที่พรรคเก่าแก่ที่สุด อายุ 77 ปี 2เดือนเศษ อย่างประชาธิปัตย์..นับถอยหลังวันที่ 9 ก.ค.ก็จะเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่แทนชุดรักษาการที่ จุรินทร์  ลักษณวิศิษฎ์   แสดงสปิริตลาออกหลังนำทัพพ่ายศึกเลือกตั้ง  จาก 52 เสียงเหลือ 25 เสียง...สาละวันเตี้ยลง สาละวันตกต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ....ซึ่งเมื่อไปดูกติกามารยาทการเลือกหัวหน้าพรรคของพรรคนี้แล้ว  จากบรรดาโหวตเตอร์10กว่ากลุ่มนั้น  พบว่ากลุ่มส.ส.ในปัจจุบัน 25 คนมีน้ำหนักโหวตสูงสุด  70 %  อีกสิบกว่ากลุ่มโหวตยังไงก็ได้ไม่เกิน 30 %...แน่ชัดตามกติกานี้อิทธิพลและอำนาจชี้เป็นชี้ตายอยู่ที่สองผู้ยิ่งใหญ่ เฉลิมชัย  ศรีอ่อน  รักษาการเลขาธิการพรรคที่จะไม่รับตำแหน่งอะไรอีกนอกจากผู้มีบารมีในพรรค  กับอีกคนคือ เดชอิศม์  ขาวทอง   หรือ”นายกฯชาย” รองหัวหน้าพรรคภาคใต้  ที่หุ้นกำลังพุ่งกระฉูดเป็นหนึ่งในตัวเต็งหัวหน้าพรรค และเป็นคนประกาศว่า..ถึงเวลาที่พรรคประชาธิปัตย์จะต้องเปลี่ยนแปลง 360 องศา..

ต้องบอกว่านาทีนี้เป็นยุคที่ประชาธิปัตย์หาวีรบุรุษหรือวีรสตรียากมากถึงยากที่สุด...”ดร.เอ้” หรือ “มาดามเดียร์” ที่พูดๆถึงกันนั้นก็ยังขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับพรรค  ถึงจะมีข้อยกเว้นแต่ส่วนใหญ่ก็ยังเห็นว่า สองคนนี้ต้องเป็นคิวต่อไป...ดังนั้น...กระแสในพรรคประชาธิปัตย์อีกด้านหนึ่งขณะนี้เรียกร้องให้ อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ  อดีตหัวหน้าพรรค อดีตนายกรัฐมนตรี  ออกมากอบกู้พรรค  แต่อภิสิทธิ์ยังไม่แสดงท่าทีใดๆ  กระนั้นก็เดาได้ไม่ยากว่า..อภิสิทธิ์คงพร้อมมาช่วยพรรคแต่ต้องเป็นแบบกึ่งฉันทามติ...ไม่ต้องมาแข่งกันแบบเลือดเดือดเหมือนครั้งก่อนๆ..ซึ่งหลายฝ่ายก็น่าจะเห็นด้วยกับสูตรนี้...
0 ถ้าที่สุดหวยงวดวันที่ 9 ก.ค.ออกมาว่า..อภิสิทธิ์ –หัวหน้า , เดชอิศม์ –เลขาฯ  ก็น่าจะทำให้ลูกพระแม่ธรณีสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย..!!

เรื่อง : เล็ก เลียบด่วน

‘สว.คำนูณ’ กางแผน ‘พรรคก้าวไกล’ แก้ไขมาตรา 112 ลดระดับการคุ้มครองสถาบันฯ ครั้งแรกในรอบกว่า 90 ปี

24 มิ.ย. 2566 - นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกวุฒิสภา(สว.) โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับประเด็น "ประเด็นแก้ไข 112" โดยมีเนื้อหาดังนี้

กำลังจะเปิดรัฐสภาแล้ว จะมีรัฐพิธีไม่เกินวันที่ 3 กรกฎาคม 2566 พรรคก้าวไกลหาเสียงไว้ว่าจะเสนอร่างกฎหมาย 45 ฉบับภายใน 100 วันแรก หรือทันทีที่เปิดรัฐสภา โดยจะเสนอในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หนึ่งในนั้นคือร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112

มาดูภาพรวมกันสั้น ๆ โดยสังเขปสักนิด
อาจจะทำให้พอเข้าใจเหตุผลของผู้คนในฟากฝั่งที่เห็นต่างและคัดค้าน
ตามหลักการที่พรรคก้าวไกลนำเสนอในการหาเสียง ปรากฎทั้งข้อความและแผ่นภาพ ประกอบกับร่างกฎหมายที่เคยยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรเมื่อปี 2562 แต่ไม่ได้รับการบรรจุ จะพบว่าไม่ใช่การแก้ไขกฎหมายทั่วไปมาตราหนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะกระทบทั้งระบอบและระบบ

เฉพาะเรื่องหลักคือการคุ้มครององค์พระมหากษัตริย์ ก็ยกเลิก 1 มาตราเพิ่มเติม 4 มาตรา
ยกเลิกมาตรา 112 เพิ่มมาตรา 135/5 - 135/9

สรุปโดยภาพรวมได้ว่าเป็นการลดระดับการคุ้มครองสถานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ขององค์พระมหากษัตริย์ลงมาเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 90 ปีนับตั้งแต่วันที่ 10 ธันวาคม 2475 จากการคุ้มครองเด็ดขาด เป็นการคุ้มครองอย่างมีเงื่อนไข มีทั้งบทยกเว้นความผิด บทยกเว้นโทษ และบทจำกัดผู้ร้องทุกข์

ซึ่งอาจขัดรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 6 อันเป็นบทหลักมาตราแรกของหมวดพระมหากษัตริย์
หรือเสมือนเป็นการแก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ทางประตูหลัง นี่คือประเด็นหลักที่จะกระทบระบอบ

นอกจากนั้น ยังมีประเด็นแวดล้อมตามมาเป็นการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตราอื่นที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาทและดูหมิ่นบุคคลประเภทอื่นตามมาอีก 2 กลุ่ม 11 มาตราด้วยกัน ยกเลิก 2 เพิ่มเติม 4 แก้ไขเพิ่มเติม 5

ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเซึ่งกระทำการตามหน้าที่หลือแค่โทษปรับ
ดูหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี เหลือแค่โทษปรับ ขัดขวางการพิจารณาคดีหรือพิพากษาของศาล เหลือแค่โทษปรับ หมิ่นประมาทบุคคลธรรมดา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน 2 แสนบาท ดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา เหลือแค่โทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท ฯลฯ

เป็นการเปลี่ยนแปลงระบบการคุ้มครองบุคคลที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยเฉพาะศาลหรือผู้พิพากษาขณะพิจารณาหรือพิพากษาคดี รวมทั้งบุคคลธรรมดา โดยเป็นการลดระดับการคุ้มครองบุคคลทุกประเภทลงจากเดิมด้วยการกำหนดโทษใหม่ที่ต่ำลงมาก ส่วนใหญ่จะเหลือแค่โทษปรับ ยิ่งถ้าในอนาคตนำระบบการคิดโทษปรับตามฐานะทางเศรษฐกิจ (Day-fine) มาใช้ในระบบกฎหมายไทย ผู้กระทำความผิดทีีมีรายได้นัอยหรือไม่มีรายได้จะยิ่งมีข้อต่อสู้ให้ได้รับโทษน้อยลงไปอีก
สังคมไทยจะไม่เหมือนเดิม

พรรคก้าวไกลจัดร่างกฎหมายแก้ไขมาตรา 112 อยู่ในกลุ่มคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
แน่ละว่าด้านหนึ่ง สิทธิเสรีภาพของคนที่วิพากษ์วิจารณ์บุคคลทุกระดับได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น
แต่ในด้านตรงข้าม สิทธิเสรีภาพบุคคลทุกระดับที่ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายรวมทั้งบุคคลธรรมดาที่จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่เป็นธรรมกลับได้รับการคุ้มครองลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
จึงมีผู้เห็นต่างในหลักการ คัดค้าน และจะเป็นประเด็นสำคัญในแต่ละเหตุการณ์ทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่นี้

สำนักข่าวอิศรา พาไปดูที่ดินแปลงงามของ ‘พิธา’ 14 ไร่ แจ้ง ป.ป.ช. ไว้ราคา 18 ล้าน แต่เพิ่งขายไป หลังยุบสภาฯ แค่ 6.5 ล้าน

24 มิ.ย. 2566 - สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ประเด็นตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกทรัพย์สินในส่วนที่ดิน ตามโฉนดที่ดิน หมายเลข 13543 ต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา มูลค่าปัจจุบัน (ประมาณ) 18,000,000 บาท ของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอบรับตำแหน่ง ส.ส.ปี 2562

จากการสืบค้นแปลงรูปที่ดินของที่ดินแปลงนี้ ระบุ ตำแหน่งที่ตั้ง ระวาง 4933 I 0074-00 (4000) ตำบลวังก์พง อำเภอปราณบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เนื้อที่ 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา ราคาประเมินที่ดิน (กรมธนารักษ์) 1,550 บาทต่อตารางวา ค่าพิกัดแปลง 12.43617271,99.91907531 ซึ่งจำนวนเนื้อที่ดิน ตรงกับเนื้อที่ดินที่เอกสารหลังโฉนดที่ดินตามที่นายพิธาแจ้งต่อ ป.ป.ช. 14 ไร่ 0 งาน 62.7 ตารางวา

โดยในแผนที่ภาพระบุตำแหน่งที่ดินแปลงนี้อยู่ติดถนนสาย 2004 ติดบ้านพักแห่งหนึ่ง ด้านเหนือและด้านตะวันออก ติดคลองวังยาว ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลเบื้องต้นตามที่แสดงผลในเว็บไซต์ของกรมที่ดินเท่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลว่า ก่อนถึงมือผู้ถือกรรมสิทธิ์คนสุดท้าย โฉนดที่ดินแปลงนี้ออกเมื่อใดและกระบวนการออกเอกสารสิทธิ์มาจากหลักฐานใด?

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ลงพื้นที่ไปตรวจสอบข้อมูลที่ดินแปลงดังกล่าว ในต.วังก์พง อ.ปราณบุรี จ.ประจวบฯ เมื่อเดินทางไปถึงพบว่า เป็นที่ดินติดริมคลองวังยาว และมีถนนตัดผ่าน ในพื้นที่มีการปลูกต้นกล้วยเอาไว้หลายต้น

จากการสอบถามข้อมูลบุคคลในพื้นที่ได้รับแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ เคยมีคนจากกรุงเทพฯเดินทางมาดูที่ดินแปลงนี้แล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้ซื้อ ส่วนเจ้าของที่ดิน ทราบว่า ไม่ได้ลงพื้นที่มาดูแลมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปีแล้ว

ขณะที่ นายทหารรายหนึ่งในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงให้ข้อมูลสำนักข่าวอิศราว่า พื้นที่ดินบริเวณนี้ ถูกแบ่งออกเป็นสองแปลง มีถนนที่ตัดผ่านแบ่งที่ดิน ที่ดินฝั่งซ้ายเจ้าของ คือ นายทหารยศนายพล ส่วนที่ดินฝั่งขวาเจ้าของเป็นคนจากกรุงเทพฯ

เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา สอบถามนายทหารคนดังกล่าวเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกระบุว่ามีเจ้าของเป็นคนกรุงเทพฯว่าเกี่ยวข้องกับนายพิธาหรือไม่

นายทหารรายนี้ กล่าวว่า เคยโทรไปคุยกับผู้ที่ประกาศขายที่ดินฝั่งนั้นแล้ว ขอยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายพิธาแต่อย่างใด และส่วนตัวก็ไม่เคยพูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องกับนายพิธาด้วย นายทหารรายนี้ ยังระบุว่า ให้ลองไปดูนอกบริเวณพื้นที่ เห็นว่ามีประกาศขายที่ดินปักอยู่

ต่อมา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้สำรวจบริเวณด้านนอกที่ดินแปลงนี้เพิ่มเติม พบว่ามีป้ายขายที่ดินวางอยู่บนพื้นในสภาพชำรุด ระบุขนาดที่ดินเนื้อหา 14-0-62.7 ไร่ เท่ากับขนาดที่ดินที่นายพิธาได้แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน

ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา รายงาน ได้ติดต่อไปยังเบอร์โทรที่ถูกระบุบนประกาศขายที่ดินแปลงดังกล่าว ที่มีเลขลงท้ายสามตัวหลังว่า 200 ในระบบแจ้งข้อมูลว่า เป็นเบอร์ของทนายความของคนชื่อว่า 'ทิม'

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา ได้พยายามสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับกรณีที่ดินแปลงนี้กับนายพิธา บุคคลปลายสายกล่าวว่า "ไม่อยู่ในฐานะที่จะให้ข้อมูลได้"

ในเวลาต่อมา ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา เดินทางไปติดต่อสำนักงานที่ดินจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ สาขาปราณบุรี ได้รับการยืนยันข้อมูลเบื้องต้นว่า ที่ดินแปลงนี้ เป็นของนายพิธาจริง แต่ได้จดทะเบียนขายที่ดินไปแล้วเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2566 ที่ผ่านมา ในราคา 6.5 ล้านบาท (หลังยุบสภาฯวันที่ 20 มี.ค.2566 ประมาณ 7 วัน)

น่าสังเกตว่า ราคาขายที่ดินแปลงนี้ ต่ำกว่าราคาที่ดิน ที่นายพิธา แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สิน ต่อสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ระบุมูลค่าปัจจุบัน อยู่ที่ราคา 18,000,000 บาท

ขอบคุณข้อมูลจากสำนักข่าวอิศรา

วิเคราะห์ทิศทาง ศึกชิง ‘หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์’  จับตาเดือด ‘อภิสิทธิ์-นายกฯชาย’ ใครจะได้นั่งตำแหน่งนี้

แทน-ชัยชนะ เดชเดโช รักษาการรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ออกมายืนยันผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ไม่มีการล็อคสเปก ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ แทนจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ที่ลาออกรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งที่ล้มเหลว

ก่อนหน้านี้มีนักวิเคราะห์ทางการเมืองออกมาระบุว่า มีการล็อคสเปก ว่าที่หัวพรรคคนใหม่ โดยอดีตกลุ่มผู้บริหารบางกลุ่ม เพื่อให้เป็นไปตามที่กลุ่มเขาต้องการ และจะสามารถเข้ามากุมทิศทางของพรรคได้

แน่นอนว่า ถึงแม้นจะมีใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งพยายามจะล็อคสเป็คว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่ แต่ไม่ใข่เรื่องง่ายในการเดินไปสู่ชัยชนะ เพราะระเบียบพรรคประชาธิปัตย์ในกำหนดเรื่องการเลือกตั้งหัวหน้าพรรค และกรรมการบริหารพรรคไว้ค่อนข้างละเอียด โดยมีโหวตเตอร์หลากหลายกลุ่ม

โหวตเตอร์กลุ่มแรกคือ ส.ส.ชุดปัจจุบัน 25 คน มีน้ำหนัก 70% ที่เหลืออีก 30 เปอร์เซนต์ เป็นอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี ประธานสาขาพรรค ตัวแทนพรรคในแต่ละจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่นที่ลงสมัครในนามพรรค อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นี้คือกลุ่มของผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่ของประชาธิปัตย์

กล่าวสำหรับกลุ่มแรก เป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่ทางภาคใต้เป็นส่วนใหญ่ นับตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ 2 คน นครศรีธรรมราช 6 คน พัทลุง 2 คน สงขลา 6 คน ปัตตานี 1 คน ตรัง 2 คน ส่วนที่เหลือเป็นแม่ฮ่องสอน 1 คน สกลนคร 1 คน อุบลราชธานี 1 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 3 คน คือ ชวน หลีกภัย บัญญัติ บรรทัดฐาน และจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ 

อาทิตย์หน้าจะเห็นภาพชัดขึ้นว่าใครจะลงสมัครเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์บ้าง แต่เบื้องหลังเห็นชื่ออยู่ 4 คน แต่เจ้าตัวเองไม่เคยออกมาพูดว่าจะลงชิงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพียงแต่นักข่าว นักวิเคราะห์เห็นร่องรอยของการเคลื่อนไหว และความพยายาม เช่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้า นายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง อดีตรองหัวหน้าพรรคภาคใต้ วทันยา บุนนาค หรือตั๊ก จิตภัสร์ กฤษดากร เป็นต้น หรือแม้กระทั่ง ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ

แต่เข้าใจว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ พรรคต้องการให้เห็นความเป็นเอกภาพ มีผู้สมัครจำนวนน้อย แต่เพื่อให้เห็นความเป็นประชาธิปไตยในพรรค ก็อาจจะมีคนลงชิง 2-3 คน แต่ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันที่ 9 กรกฎาคม หลังจากประเมินการหยั่งเสียงแล้ว น่าจะมีคนทยอยถอนตัว หรืออาจจะเกิดจากการล็อบบี้ของผู้อาวุโสที่มากบารมี 

แต่ถ้าให้สวยงาม อภิสิทธิ์ เป็นหัวหน้าพรรค มีนายกฯชายเป็นเลขาธิการ ส่วนแทน-ชัยชนะ ในฐานะนำทีมนครศรีธรรมราชเข้ามาถึง 5 คน ก็ก้าวขึ้นมาเป็นรองหัวหน้าพรรคภาคใต้แทนนายกฯชาย ประเด็นคือนายกฯชายก็อยากเป็นหัวหน้าพรรคและจากการประเมินเสียงน่าจะสู้จริง ผู้ใหญ่ในพรรคคงต้องล็อบบี้กันหนัก ให้นายกฯชายไม่ลง รอหัวหน้าพรรคคนใหม่เสนอชิงเลขาธิการพรรค

ที่สำคัญทีมบริหารพรรคชุดใหม่ต้องให้เห็นภาพว่า เป็นคนรุ่นใหม่ ใหม่จริงๆ ไม่ใช่แค่ทีมใหม่ ดร.อิสระ / ดร.เอ้ / ตั๊น / วทันยา / แทน /ร่มธรรม เป็นต้น ต้องเข้ามาเป็นกรรมการบริหาร เพื่อปรับปรุงโครงสร้างพรรค กำหนดแนวทาง ทิศทางของพรรค ให้ทันสมัยขึ้น พร้อมรับฟังความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ ส่วนคนเก่าๆก็ต้องไม่ทิ้ง ตะเคียนทองที่ถูกฝังอยู่ใต้น้ำก็ต้องขุดขึ้นมาใช้งาน แล้วแต่ผู้บริหารชุดใหม่จะวางบทบาทอะไรให้ทำ ถ้าเป็นที่ปรึกษาก็ต้องปรึกษาจริง ไม่ใช่ตั้งไว้ลอยๆ แล้วไม่เคยปรึกษาเลย 

ถ้าวิเคราะห์กันอย่างตรงไปตรงมาถึงปัจจัยแพ้ชนะ ส.ส.ปัจจุบันมีสัดส่วนน้ำหนักมากถึง 70%
-ทีมนายกฯชาย ส.ส.น่าจะมีแค่ 14-16 คือ 
-ประจวบคีรีขันธ์ 2
-นครศรีธรรมราช 5
-สงขลา 3
-ตรัง 2
-พัทลุง 2 (ไม่ชัวร์ว่าฝ่ายไหน)
-ที่เหลือนึกไม่ออกว่ายังจะมีใครอีก

ทีมชวน-อภิสิทธิ์
-ชวน-บัญญัติ-จุรินทร์ (3)
-นครศรีธรรมราช 1
-สงขลา 3
-ปัตตานี 1
-อิสาน 2 (อุบลราชธานี-สกลนคร)
-แม่ฮ่องสอน 1
-ที่เหลือนึกไม่ออกว่าจะมีเพิ่มตรงไหนอีก

ถ้าพิจารณาตามข้อมูลที่ #นายหัวไทร จะเห็นว่า ทีมนายกฯชาย น่าจะมีอยู่ 14 เสียง ทีมของชวน-อภิสิทธิ์ น่าจะมีอยู่ 11 เสียง ยังอยู่ในสถานการณ์ที่เสียงเปรียบ

โหวตเตอร์ อีกกลุ่มที่น่าสนใจว่าจะอยู่สายไหน ทั้งสายตัวแทนจังหวัด / ประธานสาขา / ผู้บริหารท้องถิ่นที่ลงสมัครในนามพรรค/ อดีต ส.ส./อดีตรัฐมนตรี 90% อยู่สายชวน
แต่ต้องจับตาดูว่า นิพนธ์ บุญญามณี ที่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มนี้สูงในฐานะอดีตรองหัวหน้าพรรคฝ่ายกิจการสาขา จะช่วยทีมไหน จะเอาเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด หรือจะเอานายหัวเก่า นายหัวไทรเชื่อว่าช่วยอภิสิทธิ์

การปรากฏตัวของชวน หลีกภัย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เชาร์ มีขวด และผู้อาวุโสอีกหลายท่านในงานวันเกิดของแฟนคลับประชาธิปัตย์ผู้เหนียวแน่น ไม่ใช่เป็นการปรากฏตัวขึ้นธรรมดาแบบไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดธรรมดาเป็นแน่แท้ ต้องมีอะไรมากกว่านั้น คือการหารือถึงการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคคนใหม่

อาทิตย์หน้าบรรยากาศความเป็นประชาธิปไตยในพรรคประชาธิปัตย์จะคึกคักขึ้นกับบรรยากาศของการเดินสายหาเสียงกับโหวตเตอร์ทั้งหลาย ขออย่าให้ได้ยินเสียงอีกนะครับว่า ใช้เงินหว่านซื้อเสียงให้เข้าหูอีก เพราะนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตยสุจริต
นายหัวไทร

'กรณ์ จาติกวณิช' ประกาศลาออก จากการเป็น ‘หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า’

นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับการลาออก จากการเป็น ‘หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า’ โดยมีใจความว่า ...
.
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ผมได้เข้าพบ และยื่นจดหมายถึงประธานพรรค คุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ เพื่อขอบคุณในความไว้วางใจที่ท่านได้มอบให้ผม พร้อมกับแจ้งลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค

ในฐานะอดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า ผมขอขอบคุณพี่น้องประชาชนทุกคน ทุกคะแนนเสียงที่ได้สนับสนุนแนวคิดทางการเมืองของพวกเรา ผมจะสนับสนุนนโยบายทั้งหมดที่เราได้นำเสนอในสถานะประชาชนคนหนึ่งต่อไป 

ตลอดช่วง 18 ปีที่ผ่านมา ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสรับใช้ประชาชนและประเทศที่ผมรักในฐานะนักการเมืองคนหนึ่งที่มาจากการเลือกตั้ง 

ผมขอขอบคุณทุกๆ คนที่ช่วยผมทำภารกิจนี้มานับแต่ปี 48 

บ้านเมืองเรายังมีปัญหาอีกมากมายรอการแก้ไข ผมขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนนักการเมืองจากทุกพรรค และขอให้กำลังใจเป็นพิเศษแก่นักการเมืองที่กำลังจะเริ่มทำงานในสภาเป็นครั้งแรก อย่าให้ความต้องการเอาชนะครอบงำจิตใจและการแสดงออกของท่านจนเกินไป ทำงานด้วยการสร้างพลังบวกร่วมกันในสังคมให้ได้ ผมจะคอยเป็นกำลังใจ 

ช่วงนี้ผมขอพาครอบครัวไปพักผ่อน ติดหนี้ที่บ้านไว้เยอะครับ

ขอบคุณทุก ๆ คนจากใจ
 

‘นิพนธ์’ หนุนแนวทาง ‘อภิสิทธิ์’ เน้น ต้องทำให้พรรคมีเอกภาพ คิดถึงอนาคตเป็นหลัก

วันที่ 25 มิ.ย. 66 – นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้า การประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเลือก หัวหน้าพรรค และกรรมการบริหาร(กก.บห.) พรรคฯชุดใหม่ ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้คุยกัน แต่ส่วนตนคิดว่า หลังได้อ่านคำสัมภาษณ์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา เห็นว่า แนวทางที่ท่านเสนอมา จะทำให้พรรคฯ เดินไปข้างหน้าได้
การสร้างเอกภาพภายในพรรคฯเป็นสิ่งจำเป็น ตนจึงเห็นด้วยกับแนวทางของ นายอภิสิทธิ์ เพราะเรามีบทเรียนมาหลายครั้งแล้ว ก่อนจะพูดถึงเรื่องตัวบุคคลในประชาธิปัตย์ ใครก็ได้มีคนที่เหมาะสมอยู่แล้ว

“ดังนั้นวันนี้เราต้องคุยกันและต้องเห็นพ้องต้องกันก่อนว่า ถ้าจะแก้ปัญหาได้จะทำอย่างไร พรรคฯเรามีบทเรียนมาหลายครั้งหลายรอบแล้ว ถ้ามันไม่มีเอกภาพจะเดินไปข้างหน้าลำบาก ฉะนั้นการทำให้พรรคฯมีเอกภาพเป็นสิ่งจำเป็น

ผมยังเห็นด้วยว่า ถ้าคุยกันได้ก็ต้องคุยกัน เราไม่ใช่คนอื่นคนไกล ทุกคนเป็นคนในพรรคฯ ด้วยกัน มีอะไรก็ต้องคุยกัน และในทางการเมืองมันไม่มีใครได้อะไรร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก ทุกอย่างก็ต้องคุยกันแบบพี่แบบน้อง คุยกันฉันพี่ฉันน้อง ซึ่งเป็นเรื่องของคนภายในพรรค” นายนิพนธ์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณี สื่อมวลชนหลายสำนักวิเคราะห์ตรงกันว่า กลุ่ม นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการเลขาธิการพรรคฯ ยังกุมความได้เปรียบเรื่องเสียงโหวตตามข้อบังคับพรรคฯ อยู่ ที่ 70 ต่อ 30 เปอร์เซ็นต์ นายนิพนธ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่ฝั่งของใคร ทุกคนเป็นประชาธิปัตย์ และตนเชื่อมั่นในประชาธิปัตย์ คิดว่าทุกคนคิดถึงอนาคตของพรรคฯเป็นหลัก
ตัวบุคคลเรามาแล้วก็ไป แต่พรรคต้องอยู่ ตัวบุคคลเราเปลี่ยนมาเยอะหลายยุคแล้ว ย้อนไปตั้งแต่สมัยตนเคยเป็นยุวประชาธิปัตย์ นายพิชัย รัตตกุล เป็นหัวหน้าพรรคฯ นายพิชัย ไป นายชวน หลีกภัย มาเป็นหัวหน้าพรรคปชป. พอ นายชวน ไป นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็มาเป็นหัวหน้าพรรคฯ นายบัญญัติ ไปนายอภิสิทธิ์ ก็มา พอ นายอภิสิทธิ์ ไป นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ก็มาเป็นหัวหน้าพรรคฯ

“ตัวบุคคลไปได้ แต่พรรคจะต้องอยู่ แต่ถ้าเราคิดว่าตัวบุคคลมาก่อนพรรค อันนี้มันเป็นคนละหลักการแล้ว แต่สำหรับผมที่เคยอยู่มาตั้งแต่สมัยยุวประชาธิปัตย์ คิดว่าตัวบุคคลเปลี่ยนได้แต่พรรคจะต้องอยู่ ฉะนั้นในฐานะที่เป็นพี่เป็นน้องกันมีอะไรก็คุยกันฉันพี่ฉันน้อง คุยกันฉันท์มิตร”นายนิพนธ์ กล่าว

‘จตุพร’ เชื่อ เพื่อไทยสร้างเรื่อง เพื่อให้ ‘พ่อมดดำ’ ได้นั่งเก้าอี้ ประธานสภาฯ ชี้ ไม่มีความจริงใจ ไม่ตรงไปตรงมา กับประชาชน

เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2566 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "จบที่สภา...หรือถนน?" โดยระบุว่า หากพรรคเพื่อไทยไม่มีความจริงใจตรงไปตรงมากับประชาชนในการเลือกตำแหน่งประธานสภาแล้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นให้ประชาชนพากันลงสู่ถนนด้วยอารมณ์ไม่พอใจ

นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์ตั้งแต่ 4-13 ก.ค. นี้ สภากับมวลชนลงถนนจะสิ่งคู่กัน เพราะการเลือกประธานสภาวันที่ 4 ก.ค. และถัดไป 13 ก.ค. เลือกนายกฯ ดังนั้น จุดเริ่มต้นความวุ่นวายทางการเมืองย่อมมาจากสภา โดยขึ้นกับพรรคเพื่อไทยจะมีความตรงไปตรงมากับการโหวตลับเลือกประธานสภาหรือไม่? เป็นปัจจัยชี้ขาด

นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไปอังกฤษ หอบสังขารเดินแต่ละก้าวได้ยากลำบากยังต้องเดินทางไกลอ้างไปดูม้าแข่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกใจอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม มีกระแสคาดการณ์ถึงการไปพบกับ ทักษิณ ชินวัตร เพื่อหารือเกี่ยวพันกับการเลือกประธานสภาและนายกฯ แต่ยังไม่ใครออกมายอมรับหรือปฎิเสธในเรื่องนี้

นายจตุพร กล่าวถึงตำแหน่งประธานสภา ว่า นายสุชาติ ตันเจริญ ซึ่งย้ายจากพรรคพลังประชารัฐมาอยู่เพื่อไทยนั้น มีชื่อติดโผอันดับต้น ๆ จะได้ตำแหน่งนี้

โดยเมื่อ 24 มิ.ย. ที่ผ่าน เขาแอบไปรายงานตัวเป็น ส.ส. ที่สภาหลังเลยเวลาปิดทำการแล้ว และพยายามไม่ให้สื่อมวลชนรู้ แล้วรีบเร่งกึ่งวิ่งกึ่งเดินหนีไม่ให้สัมภาษณ์นักข่าว จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่ปกติ สะท้อนอาการทางใจที่หลบซ่อนอยู่

“สิ่งที่น่าแปลกใจคือ หากไม่มีลับลมคมนัยแล้ว นายสุชาติ หลบหน้าสื่อมวลชนทำไม ควรต้องเปิดใจให้สัมภาษณ์ในตำแหน่งประธานสภาให้ชัดเจน ตรงไปตรงมา เพื่อหมดสิ้นความกังขาว่า ถ้ามีคนเสนอชื่อขึ้นมาแข่งขันกับพรรคก้าวไกลจะรับหรือไม่รับตำแหน่งนี้ ดังนั้น พฤติกรรมแอบ ๆ หลบ ๆ ซ่อน ๆ ย่อมสะท้อนถึงความต้องการที่อยู่ภายในใจได้เป็นอย่างดี”

นายจตุพร กล่าวว่า พฤติกรรมหลบซ่อน ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้ผู้คน หากต้องการเป็นประธานสภาก็ควรบอกประชาชนตรง ๆ ดังนั้นนายสุชาติ ที่มีชื่อในตำแหน่งประธานสภา ควรแสดงความสง่างาม จะรับหรือไม่รับ ต้องบอกออกมา ทั้งที่นายชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้บอกปัดไปแล้วว่า ถ้าถูกเสนอชื่อแข่งขันจะถอนตัวทันที

สิ่งสำคัญนายจตุพร เชื่อว่า ในการโหวตลับเลือกประธานสภา ในวันที่ 4 ก.ค.นี้ หากได้นายสุชาติ เป็นประธานสภา แล้วต่อมาวันที่ 13 ก.ค. พล.อ.ประวิตร จะถูกเลือกอย่างเปิดเผยให้เป็นนายกฯ โอกาสที่มวลชนไม่พอใจจะลงมาเต็มถนนย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างแน่นอน

“ขณะนี้ยากที่จะประเมินว่า หลังจาก 4 ก.ค.แล้ว มวลชนจะชุมนุมมากน้อยแค่ไหน หากมีประชาชนลุกลามมากขึ้น และปักหลักต่อเนื่องแล้ว วันที่ 13 ก.ค. จะได้เปิดสภาเพื่อเลือกนายกฯ หรือไม่ คงไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ถูกต้อง”

นายจตุพร ย้ำว่า ชนวนใหญ่เรียกมวลชนมาลงถนนย่อมมาจากการประชุมสภาในวันเลือกประธานสภา อย่างไรก็ตาม หากพรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนตรงไปตรงมา โดยผู้บริหารพรรคกับสมาชิกพรรคตัดสินใจไปในทางเดียวกัน คนลงถนนอาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ แต่การเมืองช่วงนี้ เป็นการออกแบบให้พรรคเพื่อไทยเป็นปัญหา

ดังนั้น จึงไม่มีความตรงไปตรงมากับประชาชน โดยเสียงสมาชิกพรรคยังต้องการให้ประธานสภาเป็นของเพื่อไทย สิ่งนี้คือ แรงจะกระตุ้นให้คนมาลงถนนมากขึ้น

อีกทั้ง กล่าวว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยสร้างปัญหาไม่ตรงไปตรงมาทางการเมืองแล้ว ย่อมทำให้เกิดความวุ่นวายตามมาด้วย จึงเท่ากับเป็นอีกรูปแบบหนึ่งกับการเปิดประตูให้รัฐประหารได้ ดังนั้น 4 ก.ค. นี้ สภาจะก่อให้บ้านเมืองเข้าสู่จุดถอยหลังหรือไม่ และยังยากต่อการประเมินจำนวนประชาชนที่ออกมาลงถนนจะมากน้อยเพียงใดด้วย

“เพื่อไทยกลับไปกลับมาทางการเมืองเสมอจนยากจะเข้าใจได้ว่า เอาอย่างไรในตำแหน่งประธานสภา แต่ถ้านายสุชาติ ได้เป็นประธานสภา คงไม่แปลกใจ เพราะเสียงจากพรรคเพื่อไทยบางส่วนจำนวนมากต้องเทให้นายสุชาติแน่ ถ้าเป็นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าวันโหวตเลือกนายกฯ จะได้เข้าสภาหรือไม่ จึงอย่าประมาทกับการตัดสินใจของประชาชน

นายจตุพร เชื่อว่า ชนวนการโหวตเลือกประธานสภา จะเป็นจุดเริ่มดึงให้ประชาชนลงถนนจนนำไปสู่การโหวตเลือกนายกฯ แบบย้ายขั้วผิดคำสัญญา และไม่มีความจริงใจกับประชาชน หลังจากนั้น บ้านเมืองจะไม่มีความปกติได้เลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top