Monday, 28 April 2025
Politics

ศรีสุวรรณ’ บุกสน.ทุ่งสองห้อง แจ้งความเอาผิด ‘มือชก’ เพิ่ม ชี้ ทำให้เสียชื่อเสียง-ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง-ได้รับความอับอาย

(16 พ.ค.66) นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า เมื่อเย็นวันที่ 15 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ตนได้เดินทางไปยังสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง เพื่อพบพนักงานสอบสวนเพื่อมอบหลักฐานประกอบคดีเพิ่มเติมให้กับ สว.(สอบสวน) สน.ทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ หลังจากที่ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานทำร้ายร่างกายต่อชายสูงอายุอดีตอาจารย์ ม.เอกชน ที่เข้ามาทำร้ายร่างกายที่บริเวณหน้าสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อวันที่ 11 พ.ค. ที่ผ่านมาหลังจาก กกต.เชิญไปให้ถ้อยคำกรณีร้องเรียนให้ตรวจสอบนโยบายหาเสียงแจกเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ ได้ยืนยันต่อพนักงานสอบสวน พร้อมมอบพยานหลักฐานเป็นใบรับรองแพทย์และคลิปวิดีโอที่ผู้ถูกกล่าวหาได้เจตนาพูดดูหมิ่นเหยียดหยามตนต่อบุคคลที่สามหรือธารกำนัล (ผู้สื่อข่าวและประชาชน) โดยประการที่ทำให้ตนนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง และได้รับความอับอาย หลังจากที่ทำร้ายตนแล้ว ทั้งๆที่บริเวณดังกล่าวเป็นสาธารณสถานอันเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.393 และ ม.397 วรรคสอง ประกอบ ม.59 ซึ่งมีอัตราโทษ จำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อย่างไรก็ตาม แม้โทษทางอาญาจะมองดูไม่มากนัก แต่ทว่าเมื่อศาลมีคำวินิจฉัยหรือคำพิพากษาในคดีอาญาแล้ว จะส่งผลต่อคดีในทางแพ่งที่ตนได้เรียกค่าเสียหายไปพร้อมด้วยเลยในคดีเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาท เนื่องจากการกระทำของผู้ถูกกล่าวหา เป็นการละเมิดกฎหมายในที่รโหฐาน เป็นสาธารณสถาน ไม่เกรงกลัวกฎหมายทั้งๆที่เคยเป็นถึงครูบาอาจารย์สอนคนมาก่อน

นอกจากนี้การกระทำดังกล่าวอาจมีผู้อยู่เบื้องหลังที่เป็นฝ่ายการเมืองที่ผู้ต้องหาได้ไปคลุกคลีร่วมกิจกรรมทางการเมือง และอาจนำมาซึ่งเจตนาพิเศษต่อการทำร้ายร่างกายตนได้ที่ไปร้องเรียนพรรคการเมืองที่บุคคลดังกล่าวมีปฏิสัมพันธ์ด้วย ซึ่งตนเป็นบุคคลที่เป็นที่รู้จักกันของสังคมไทย และทำงานเพื่อประโยชน์ของแผ่นดินมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี การที่ผู้ต้องหาคนดังกล่าวมาทำร้ายร่างกาย และดูหมิ่นเหยียดหยาม เป็นที่น่าอับอาจ จึงน่าจะเป็นเหตุผลทางคดีที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ศาลมีคำพิพากษาทั้งทางอาญาและทางแพ่งตามคำขอท้ายคำฟ้องที่ตำรวจและอัยการจะดำเนินการยื่นฟ้องต่อไปได้

'ชวน' แนะ 'พิธา' อย่าก้าวก่ายพรรคการเมืองโหวตเลือกนายกฯ ชี้!! ทุกพรรคการเมืองมีสติปัญญาพิจารณาเองได้

(16 พ.ค. 66) ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายชวน หลีกภัย อดีตประธานสภาฯ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงสิทธิ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ขณะที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์  หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้เรียกร้องให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ร่วมโหวตให้ตนเป็นนายกฯ นายชวนกล่าวว่า ตนคิดว่าอย่าไปก้าวก่ายคนอื่นเขาเลย แต่ละพรรคคิดอย่างไรก็ให้เขาคิดเอา และมีมติของเขาเอง ดังนั้นอย่าไปก้าวก่ายหรือลุกล้ำ ไม่ควรให้คนอื่นเขาคิดเหมือนตัวเอง แต่ละพรรคเขาคิดเองได้ และเขามีสติปัญญาที่จะคิดเองได้

เมื่อถามว่ามองบทบาทของนายพิธาอย่างไร นายชวนกล่าวว่า ยังไม่ได้ตั้งรัฐบาลเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่าในเสียงที่เขาชนะมา เขาก็ต้องให้ความเห็นเอง แต่เท่าที่ประเมินดูในเวลาที่เราออกไปหาเสียง จะพูดได้ว่าในท่ามกลางของการยิงด้วยเงิน พรรคกาวไกลไม่มีครหาเรื่องนี้ แต่เขาใช้เรื่องการสร้างกระแสในโซเชียลมีเดียในการหาเสียง

‘ลีน่าจัง’ แนะ ‘สาวกส้ม’ สงบปากสงบคำ-เลิกแขวะประยุทธ์ ชี้!! 8 ปีที่ผ่านมาผลงาน 'บิ๊กตู่' ชัด ต้องให้ความเป็นธรรม

(16 พ.ค.66) ผู้ใช้ติ๊กต๊อกบัญชี ‘ccc.team’ ได้โพสต์คลิปวิดีโอ ‘ลีน่าจัง’ โต้เดือดสาวกพรรคส้มกับผลงาน 8 ปีที่ผ่านของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างอะไรไว้บ้าง โดยระบุว่า…

รู้ไหม 8 ปี ที่ประยุทธ์เป็นรัฐบาล เขาสร้างรถไฟฟ้า สร้างทางยกระดับ สร้างเต็มไปหมด ไปดูซิที่รถติดหรือถนนเกะกะรุงรัง ฝีมือประยุทธ์ทั้งนั้น แล้วก็ที่ซาอุดีอาระเบียมาลงทุนที่ประเทศเรา 6 แสนล้านบาท ก็ฝีมือประยุทธ์ เขาโกรธประเทศไทยเขาไม่ทำมาค้าขึ้นกับไทยเป็นเวลาตั้งเกือบ 20 ปี รู้หรือเปล่า และประยุทธ์เนี่ยแหละไปเจรจาจนเขายอมมาลงทุนตั้ง 6 แสนล้านบาท และในช่วงที่มีโควิด-19 ก็ประยุทธ์ที่จัดการหมด แจกเงินสวัสดิการคนจน 15 ล้านคน ฉันเองยังได้รับแจกเลยเงินคนละครึ่ง เงินคนชรา เขาแจกหมด คือต้องให้ความเป็นธรรมกับประยุทธ์บ้าง ฉันไม่ได้เข้าข้างประยุทธ์นะ 

ก้าวไกลก็ได้แต่พูด ยังไม่เคยทำงานเลย คุณก็เลยยังไม่รู้ไงว่าข้อบกพร่องมันอยู่ไหน ก็ได้แค่พูด ใครๆ ก็พูดได้ แต่เมื่อมาเป็นรัฐบาลจะทำได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง เข้าใจหรือเปล่า ก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับประยุทธ์เขา เพราะเมื่อ 8 ปี ประยุทธ์เขาอยู่ เขาก็ทำให้บ้านเมืองสงบ ไม่มีม็อบ ใครมาเป็นม็อบอะไรก็โดนจับเข้าคุก ติดคุกหมด โดนเป็นร้อยคดี บ้านเมืองสะอาดสะอ้าน ไม่สกปรก ไม่มีม็อบ เข้าใจหรือเปล่า?

ไม่ใช่ว่าประยุทธ์ไม่ทำงาน เขาทำ ทำตั้งเยอะแยะ แต่เขาประชาสัมพันธ์ไม่เป็น โกหกตอแหลไม่เป็น คุยขี้โม้ไม่เป็น เข้าใจหรือเปล่า อย่างเมื่อวานพอพ่ายแพ้ ประยุทธ์ก็ไม่ให้สัมภาษณ์ก็กลับบ้าน ก็ถูกต้องแล้ว นักข่าวก็ไปด่าเขาใหญ่เลย ว่าให้รอตั้ง 4 ชั่วโมงแล้วก็กลับบ้านเลย เอ้า!! ก็เขาพ่ายแพ้ จะให้พูดไรล่ะ เดี๋ยวเขาก็ไปเป็นองคมนตรีแล้ว 

คุณก็คลั่งมากเกินไป คลั่งส้มมากเกินไป จนบอกว่า 8 ปี ไม่ทำอะไร มาดรามาใส่ รู้ไหม 60 วันยังอันตรายอยู่ เคยเห็นพรรคไทยรักษาชาติหรือเปล่า ลูกชายเจ๊ระเบียบรัตน์ ที่ลูกหล่อๆ เป็นหัวหน้าพรรค แป๊บเดียวโดนยุบพรรคเลย แป๊บเดียวลูกชายระเบียบรัตน์โดนเพิกถอนสิทธิ 10 ปี หายเข้าป่าไปแล้ว ไม่ได้ผุดได้เกิดเลย 

‘สาวกส้ม’ ต้องสงบปากสงบคำ พอชนะแล้ว ฝ่ายอำนาจเก่ากุมอำนาจเก่ามันพ่ายแพ้ ก็เฉยๆ สงบปากสงบคำ ไม่ต้องไปด่าเขา แตะไม่ได้เชียวเหรอ เดี๋ยวถ้าเกิดฝั่งนู้นเขาโมโหขึ้นมา เขาไปสั่งศาลเลยบอกตัดสินคดีเร็วๆเลยไอ้พิธาเนี่ย แล้วจะรู้สึก มันชนะไม่เด็ดขาด พิธาออกมาแถลงงี้แต่ยังจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะว่า กกต. ต้องภายใน 60 วัน รับรองอย่างเป็นทางการ 500 คน เสร็จแล้วถึงจะเลือกนายกฯ แล้วเลือกนายกฯ เสร็จถึงจะมีรัฐบาล นายกฯ เป็นคนตั้งรัฐบาล แล้วมี ส.ว.ในการเลือกนายกฯ รู้หรือเปล่า 

ใครพูดอะไรไม่ได้ ใครถามอะไรไม่ได้เลย คนพูดความจริง คนมันเวลาจะพูดอะไรก็พูดได้ ยังไม่ได้ลงมือทำ เข้าใจหรือยัง ฉันไม่ได้เข้าข้างประยุทธ์ แต่พูดถึงประยุทธ์ 8 ปีที่มาอยู่ เขาสร้างอะไรไว้ตั้งเยอะแยะเหมือนกัน

‘ชาล็อต ออสติน’ ขอโทษ ‘ทักษิณ’ ทันที หลังโดนขุดคอมเมนต์ในอดีตเมื่อ 9 ปีก่อน

16 พ.ค.66) งานงอกจังๆ สำหรับนางงามลูกรัก ‘ณวัฒน์ อิสรไกรศีล’ อย่าง ‘ชาล็อต ออสติน’ รองอันดับ 5 มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปี 2022 และมิสแกรนด์ชุมพร ปี 2022 หลังจากที่โดนมือดีขุดโพสต์เก่าเมื่อ 9 ปีก่อนมาแชร์จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์สนั่น เป็นข้อความที่เจ้าตัวเคยคอมเมนต์ถึง ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี ทำนองว่า “คนอย่างทักษิณแค่หัวหลุดยังน้อยไป”

ล่าสุด สาวชาล็อต ก็ได้เปิดใจถึงเรื่องนี้ พร้อมขอโทษกับความผิดในอดีตที่เคยทำพลาดจากความไม่ยั้งคิดของเด็กอายุ 14 ปีในตอนนั้น รวมทั้งได้ขอโทษทักษิณ ชินวัตร ครอบครัว และ นปช. อีกด้วย

“เรื่องที่จะชี้แจงต่อจากนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนสำหรับโพสต์ 9 ปีที่แล้ว : ก่อนอื่นหนูขอโทษที่โพสต์ดังกล่าวที่กำลังเป็นประเด็นให้เกิดความไม่สบายใจอยู่ในตอนนี้ หนูไม่มีคำใดที่จะยกขึ้นมากล่าวและแก้ตัวเพื่อให้พ้นจากความผิดในอดีตของหนูได้เลย กับสิ่งที่เคยทำผิดพลาดซึ่งเป็นความไม่รู้จักยั้งคิดของเด็กอายุ 14 ปี ณ ขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหนูน้อมรับผิดโดยไม่มีข้อโต้แย้ง

แต่ ณ วันนี้หนูโตขึ้นแล้ว หนูคิดว่าตัวเองมีความเข้าใจมากขึ้น มองเห็นและตีความเหตุการณ์ได้อย่างเป็นองค์รวมมากขึ้น คำพูดหรือการกระทำใดๆ ที่จะก่อให้เกิดความขัดเคืองต่อความรู้สึกของผู้ที่สนับสนุนบุคคลในโพสต์หรือคนอื่นๆ หรือเหตุการณ์ทางการเมืองใดๆ ก็ตาม หนูในวันนี้ซึ่งเป็นผู้ใหญ่แล้วจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำอีก และขอยืนยันค่ะว่าจะอยู่เคียงข้างความถูกต้อง ความยุติธรรม และประชาชน ขอโทษอีกครั้งสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอโทษจริงๆ ค่ะ

ชาล็อตจะเก็บไว้เป็นบทเรียนค่ะว่าควรตระหนักคิดเยอะๆ ก่อนจะพูด หรือ กระทำการใดใด เพราะอาจส่งผลต่อเราในอนาคตได้ จะระมัดระวังและรอบคอบให้มากขึ้นค่ะ ขอโทษอีกครั้งค่ะ

ทั้งนี้ ชาล็อตต้องขอโทษคุณทักษิณ ชิณวัตร ครอบครัว และนปช. ทุกท่านที่ได้โพสต์ข้อความในเชิงข่มขู่คุกคามในตอนนั้นค่ะ”

‘จตุพร’ เชื่อ ‘พิธา’ ตั้งรัฐบาล 310 เสียงไม่สำเร็จ การเมืองหน้าฉากเชื่อไม่ได้ เบื้องหลังวิ่งวุ่น จับมือกัน โดดเดียวก้าวไกล

เมื่อวานนี้ (16 พ.ค. 66) นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "คำสัญญาที่ว่างเปล่า?" ระบุ คำสัญญาร่วมตั้งรัฐบาล 310 เสียงจะมีบางพรรคจ้องหนีไปจับมือกับพรรคอื่น โดยอ้างความจำเป็นของบ้านเมือง ดังนั้นแนวโน้มส่อว่า พรรคก้าวไกลจะตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ

นายจตุพร เตือนว่า นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย เรียกร้องทุกพรรคสนับสนุนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นนายกฯ ในทางการเมืองอาจเพียงพูดให้ดูดีเท่านั้น แต่ไม่รู้ความเป็นจริงที่อยู่ฉากหลังนั้นคืออะไร อีกอย่างคำสัญญาทางการเมืองนั้น มีคุณค่าเป็นแค่ “ความจำเป็นในอดีต” ดังนั้น พรรคก้าวไกลจึงต้องระวังไว้

รวมทั้งระบุว่า อย่างไรก็ตาม การตั้งรัฐบาล 310 เสียงที่ทำสัญญาปากเปล่ากันนั้น แม้เป็นเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร (จากทั้งหมด 500 เสียง) แต่คือเสียงข้างน้อยในรัฐสภา ซึ่งมีเสียงรวม 750 เสียง ดังนั้น ส.ว. ยังยืนนิ่ง ไม่ตีไพ่โง่ไปสนับสนุนเสียงของน้อยในสภาผู้แทนราษฎรที่เหลือ 190 เสียง

อีกทั้ง เห็นว่า ในความจริงของ ส.ว. เพียงไปจับมือกับสภาผู้แทนฯ ให้ได้เสียงอีก 126 เสียงก็จะเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา คือ ส.ว. 250 เสียงบวก 126 เสียง รวมเป็น 376 เสียง ซึ่งเกินกึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 750 เสียงก็สามาตั้งนายกฯ ได้แล้ว แต่ รธน. 2560 บัญญัติเพียงให้เป็นนายกฯ ไม่ได้คุ้มครองเสถียรภาพรัฐบาล จึงมีโอกาสพ่ายแพ้ทางการเมืองในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ส.ว. จะไม่มีวันแตกแถวในการเลือกนายกฯ และความเชื่อจะปิดสวิตช์ ส.ว. จึงเป็นไปได้ยาก

นายจตุพร เชื่อว่า ในช่วงเวลา 2 เดือนหลังการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะเป็นจุดหักเหทางการเมืองในทุกเรื่องได้ เพราะมีหน้าที่วินิจฉัยคำร้องยุบพรรค และคดีของนายพิธา แม้หลายคนมั่นใจว่า กกต. จะไม่กล้าขัดขวางมติประชาชน แต่ตนมีบทเรียน จึงไม่ห้ามที่ใครจะเชื่อเช่นนั้น ถึงอธิบายก็ไม่มีใครฟัง และบทเรียนใครก็เป็นบทเรียนคนนั้น

"เราได้ผ่านความเชื่อมาแล้วว่า เสียงประชาชนไม่มีใครกล้า ซึ่งพิสูจน์แล้วไม่เคยเป็นความจริงเลย ยิ่งการเลือกตั้งหนนี้ไม่ได้เป็นตามปกติ เพราะที่สุดต้องมาเจอด่านเสียง 376 ซึ่งเป็นเรื่องยากกับพรรคที่ชนะเลือกตั้ง"

พร้อมระบุว่า นายเศรษฐา ควรไปพิจารณาประวัติศาสตร์การเมืองช่วงพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลที่มีเสียงมากถึง 377 เสียง ช่วงนั้น ส.ส. ประชาธิปัตย์เคยไปทำเนียบรัฐบาลขอให้รัฐบาลไฟเขียวให้ ส.ส. รัฐบาลลงชื่อให้ครบจำนวนจะได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ เพื่อให้สภาได้ดำเนินการตรวจสอบตามกระบวนการประชาธิปไตย แต่ถูกพรรคไทยรักไทย ด่ายับเลยว่า ไม่มีธรรมเนียมให้ ส.ส. รัฐบาลไปลงชื่อให้ฝ่ายค้าน จนนำไปสู่การเมืองบนถนนในเวลาต่อมา

"นายเศรษฐา พูดให้พรรคการเมืองแสดงสปิริตสนับสนุนนายพิธา เป็นนายกฯ พูดก็ดี แต่ผมไม่อยากทาย กลัวถูก และไม่ได้ปรามาสอะไร ผมว่าจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะพรรคเพื่อไทยฉลาดเดินเกม เขาบอกว่าหน้าที่ต่อไปนี้การจัดตั้งรัฐบาลให้เป็นหน้าที่ของพรรคก้าวไกลรวมเสียง 310 จาก 6 พรรคร่วมตั้งรัฐบาล"

นายจตุพร ย้ำว่า ในความเป็นจริงแล้ว ยังมีตัวเลขตั้งรัฐบาลที่ไม่เปิดเผยที่ผ่านการดีลลับๆ ตามการออกแบบรัฐบาล แล้วท้ายที่สุดพรรคก้าวไกลจะถูกโดดเดียว และแต่ละฝ่ายจะอ้างความจำเป็น จนทำให้เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน เนื่องจากตัวแปรสำคัญคือ ส.ว. ซึ่งเลือกเล่นเกมกับพรรคการเมืองให้แย่งกันตั้งรัฐบาล โดย ส.ว. เลือกยืนนิ่ง ๆ ไม่แสดงท่าทีใด

สิ่งสำคัญในกรณีเลือกนายพิธา เป็นนายกฯ จะต้องให้ไปหาเสียงมา 376 เสียง โดยไม่ต้องพึ่งเสียง ส.ว. โหวตให้ แต่กรณีคนอื่นเป็นนายกฯ ให้มีเสียงแค่ 251 เกินครึ่งสภาผู้แทนฯ เท่านั้น ดังนั้น การที่บางพรรคปล่อยพรรคก้าวไกลเดินหน้าตั้งรัฐบาลให้ผ่านด่านเป็นนายกฯ ย่อมมองเห็นผลลงท้ายว่า ไปไม่ได้ ตั้งรัฐบาลๆ ไม่สำเร็จเพราะบางพรรคและบางคนจ้องฉีกสัญญาทิ้งแล้วตั้งรัฐบาลกันเอง โดยไม่มีพรรคก้าวไกลเข้าร่วมด้วย

"หลังจากนั้นในพรรคร่วมสัญญา 310 เสียงจะมีคนรักชาติแบบผิดสังเกต ตีฝ่าวงล้อมออกมา ก็ไปบุกบ้านป่ารอยต่อฯ ส่วนคำสัญญาไม่เอาสองลุงที่บอกมาช่วงหาเสียงนั้น จะอ้างเป็นเรื่องความจำเป็นในอดีต แต่ตอนนี้จะไม่เกิดขึ้นแล้ว"

นายจตุพร กล่าวว่า ในสมัยก่อนในทางการเมืองจะมีข้ออ้างความจำเป็นด้วย "ข้อมูลใหม่" แต่มาสมัยนี้ หลังการหาเสียงเลือกตั้ง ทุกพรรคล้วนมีบาดแผลเต็มตัว อีกทั้งพรรคเพื่อไทยไม่ได้แพ้ใคร แต่แพ้พรรคก้าวไกล ในฐานะเป็นพรรคฝ่ายเดียวกันและกระแสการเมืองประชาชนบีบให้ต้องพูดในด้านดีเข้าไว้ จึงสนับสนุนพรรคคก้าวไกล แต่ให้เป็นหน้าที่พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาลเต็มทีในจำนวน 310 เสียง

อีกทั้ง เห็นว่า พรรคก้าวไกลเมื่อชนะเลือกตั้งก็ควรได้เป็นนายกฯ ตามกระบวนการเลือกตั้ง แต่กติกาที่เป็นอยู่ในขณะนี้มันไม่ปกติ และจะเอาเสียงประชาชนไปปิดสวิตซ์ ส.ว. ก็ยาก แล้วยังหวังให้ ส.ว. จำนวนหนึ่งแตกออกมาหนุนพรรคก้าวไกลนั้น ยิ่งเป็นความฝันในฤดูแล้ง เพราะไม่มีอยู่จริง ดังนั้น ในช่วงสองเดือนระหว่าง กกต. พิจารณา ตรวจสอบและรับรอง ส.ส. ไม่รู้ว่าเสียง 310 จะเหลืออยู่ครบกันหรือไม่

"ที่ไม่รู้ว่าจะเหลือเท่าไรนั้น ส่วนหนึ่งมาจาก กกต. อีกทั้งจะมีพรรคใดใจแข็งหรือไม่ เนื่องจากก้าวไกลเป็นพรรคใหม่พรรคเดียวที่มาเข้าพวก ส.ส. เก่าๆ โดยพรรคอื่น ๆ รู้จักกันมาดี เป็นนักการเมืองเก่าทั้งสิ้น ผ่านระบบอุปถัมภ์กันมายาวนาน ซึ่งสัมพันธ์กันในทางการเมืองได้หมด”

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อกระแสสังคมเลือกก้าวไกลแล้ว ยกแรกทุกพรรคต้องเล่นบทพระเอกก่อน คือ สนับสนุนพรรคก้าวไกล เลือกนายพิธา เป็นนายกฯ ดังนั้น ตนจึงเตือนไว้ก่อนเลยว่า ถ้าไม่ลงสัตยาบันใน 310 เสียง จะมีคนไม่รักษาสัญญา

"อีกทั้งถ้า 310 เสียงยืนกราน 190 ยืนกราน และ 250 ก็ยืนกราน ผมรู้ว่าคนคิดกันนอกเกมนี้และทำกันตั้งแต่คืนแรก การพูด การดีลย่อมเห็นกันหมด ให้พูดตอนนี้คนก็ปฎิเสธ แต่ก็เห็นอยู่แล้ว บางคนไม่พร้อมเป็นพรรคฝ่ายค้าน บางคนพกความเครียดแค้น บางคนก็ไปตายเอาดาบหน้าแต่ขอเป็นรัฐบาลก่อน สิ่งสำคัญจะสวนความรู้สึกของคนแต่ละรุ่น"

ดังนั้น ที่กังวลกันว่า จะมีเรื่องวุ่นวาย ก็หนีไม่ออกกันจริงๆ ถ้าพรรคก้าวไกลถูกหักหลังโดยคนกันเอง ตนไม่ได้เสี้ยมและไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ขอให้ทำสัญญาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิด แต่ถ้าเกิดขึ้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่ กองเชียร์จากประชาชนถือพรรคก้าวไกลเป็นชัยชนะของพวกเขา และคนก็พร้อมจะออกมาบนถนนถ้าก้าวไกลไม่ได้ตั้งรัฐบาลและนายพิธา ไม่ได้เป็นนายกฯ

"ถ้าถามว่า คนที่จะลงมือเขากลัวหรือไม่ เขาก็ไม่กลัว แต่คนที่ไปต่อสู้ก็คิดว่าเขาจะกลัว จะไม่กล้า แต่เขาก็กล้ามาโดยตลอด อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นถ้า 310 เสียงยืนแข็ง และ ส.ว. ไม่โหวตให้ 190 แต่ผมเชื่อว่าวินาทีนี้ ส.ว. ไม่โหวตอยู่แล้ว เพื่อดำรงภาพตัวเองให้ดูดีไว้ก่อน" พร้อมระบุว่า ขณะนี้ ส.ว.เพียงยื้อเวลาไว้ได้ร่วม 2 เดือนรอให้ กกต. รับรองผล ส.ส. จนครบก่อน ท่าทีจะชัดเจนยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม หาก ทุกฝ่ายยืนแข็งในท่าทีของตัวเอง คือ 310 จับมือกันมั่นแน่น 190 ก็ไม่แตกแถว และ 250 ก็ยืนกราน ดังนั้นทั้งสามพวกนี้เป็นนักเลงจริงกันแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็อยู่ต่อ เป็นรัฐบาลรักษาการไม่มีกำหนดเวลา

"แต่มันจะมีนักเลงไม่จริง และนักเลงไม่จริงก็จะทำตัวเป็นนักเลงจริง ตอนพูดดีมาก จริงจัง แต่หลังฉากกะล่อน โดยการคิดทางการเมืองนั้น ไม่มีใครคิดถึงคุณธรรม จริยธรรม ธรรมาภิบาล แต่สังคมกลับไปเรียกร้องในสิ่งที่จากนักการเมืองที่ไม่มีกัน จึงให้ตามการเรียกร้องไม่ได้

นายจตุพร กล่าวว่า พรรคก้าวไกลไม่ได้โง่จนไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร เขารู้ เพียงแต่ใน 310 เสียงจะยึดมั่นคำสัญญา ไม่แหกไปจับมือกับอีกฝ่ายตั้งรัฐบาลหรือไม่ โดยปาดน้ำตาอ้างความจำเป็น ยิ่งคนที่โชว์เหนืออ้างสุภาพบุรุษทางการเมืองแล้ว คนนั้นตัวดีที่สุด ชอบทำให้ตายใจ และตอนนี้เสียง 310 เหมือนตกอยู่ในวงล้อม

พร่้อมทั้งย้ำว่า การเมืองขณะนี้ล้วนเป็นการแสดงหน้าฉากให้ดูดีกันทั้งนั้น แต่หลังฉากวิ่งวุ่นจับมือวนเวียนกันไปหมด ส่วนคนเป็นกองเชียร์พรรคก้าวไกลจะออกมาอย่างมากมายในวันที่พรรคก้าวไกล ไม่ได้เป็นแกนตั้งรัฐบาล

นอกจากนี้ ยังไม่รวมกลไกของ กกต.ในช่วงสองเดือนการตรวจสอบรับรอง ส.ส. ซึ่งจะเป็นตัวเร่งสถานการณ์ได้ แล้วยังอาจส่งบางเรื่องไปศาล รธน. พิจารณา โดยทั้งหมดเข้าใจว่า ให้เสร็จทันวันเลือกประธานสภา แล้วจะต่อกับการเลือกนายกฯ ในช่วงถัดกันไป

ดังนั้น ความวุ่นวายจึงหนีไม่พ้น เพราะทุกพรรคพยายามหนีจากการตกเป็นเป้าทางการเมืองของกระแสประชาชน เนื่องจากทุกพรรคเห็นแล้วว่า พรรคก้าวไกลไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ การคาดการ พล.อ.ประยุทธ์ น่าจะวางมือทางการเมือง ก็แสดงถึงการไม่ต้องการตกเป็นเป้าในช่วงการตั้งรัฐบาล โดยปล่อยให้พรรคก้าวไกลเผชิญปัญหากันก่อนและตามลำพัง

นอกจากนี้ เป้าต่อไปต้องพิจารณา กกต. แล้วพรรคการเมืองทั้งหลาย ยกเว้นพรรคก้าวไกล ที่จะเดินสายคุยการตั้งรัฐบาลกันหมด ดังนั้น ตนจึงขอให้ประชาชนเปิดใจ กล้าฟัง โดยตนเชื่อว่า นายพิธา ตั้งรัฐบาล 310 เสียงไม่ได้

"ใน 310 เสียงนั้น ผมอยากบอกคุณพิธา ว่า เอ็มโอยู หรือสัญญาประชาคมนั้น ให้ลงบันทึก ว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น 310 เสียงใน 6 พรรคเราจะไม่ทิ้งกัน แล้วนำบันทึกมาแถลงต่อสาธารณะให้ทั้ง 6 พรรคลงนามเป็นคำมั่นว่าจะไม่ทิ้งกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น"

นายจตุพร มั่นใจว่า ถ้าไม่มีภาพทั้ง 6 พรรคมาแถลงร่วมกันแล้ว จะมีคนเลี้ยวหนีแน่นอน และได้เตรียมการเลี้ยวแล้ว เพียงรอให้สุดทางก่อนในช่วงเวลา 2 เดือนนี้ ดังนั้น ถ้าต้องการจะมัดรวมก็ต้องแถลงร่วมกันเสีย

“ถ้าไม่เป็นสัญญาประชาคม เชื่อผม อยู่ไม่ครบแน่ ไม่ได้ยุแยงตะแคงรั่ว อย่างไรก็ไป ใครไม่เซ็นให้สังเกตไว้เลย หากทำเป็นสัญญาประชาชคมมาร่วมลงนามต่อสาธารณะแล้วคุณพิธาจะปลอดภัยใน 6 พรรคการเมือง แล้วมีเวลาไปต่อสู่เรื่องอื่นๆ อีกต่อไป มิฉะนั้น จะมีพวกรับปากแล้วเบี้ยว นัดแล้วไม่มาได้”

‘อุ๊ หฤทัย’ ปัดหนุน ‘พิธา’ เป็นนายกฯ หลังเกิดกระแสคนเข้าใจผิด ชี้ แค่ยอมรับเสียงข้างมาก ย้ำ!! แต่อย่าจุดประเด็นความขัดแย้ง

(17 พ.ค. 66) จากกรณีอดีตนักร้องดัง ‘อุ๊’ หฤทัย ม่วงบุญศรี แฟนคลับและผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความคิดเห็นหลังทราบผลการเลือกตั้งในรายการโทรทัศน์ช่องหนึ่ง สรุปว่า “ส.ว.ต้องจบได้แล้ว เพราะจริง ๆ ถ้าจะขับเคลื่อนประเทศ ต้องพอกันทีกับความขัดแย้ง การที่ฝ่ายเพื่อไทย ก้าวไกล เป็นรัฐบาลก็ดี มันจะสนุก เพราะเห็นสิ่งที่เขาอภิปรายไว้ ก็ให้เขาโชว์ฝีมือบ้าง ถ้าขับเคลื่อนประเทศให้ประชาชนได้ประโยชน์ก็ดีทั้งนั้น ไม่อยากเดินถนน ยังไง เราควรให้ฝ่ายชนะการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นรัฐบาล ใจอยากให้ท่านเป็นนายกฯ (พล.อ.ประยุทธ์) แต่ฝ่ายลุงตู่แพ้ เราก็ต้องยอมรับกติกาเสียงข้างมาก เราหวังว่าหลังการเลือกตั้งจะไม่มีความขัดแย้งแล้ว ลุงตู่ควรพอ ให้ประเทศเป็นไปตามกลไกเสียงข้างมาก” และมีการเผยแพร่ในโลกโซเชียลนั้น

ล่าสุด ‘อุ๊ หฤทัย’ โพสต์ข้อความถึงกรณีดังกล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ‘หฤทัย ม่วงบุญศรี’ ดังนี้..

นักข่าวโทรมาถามอุ๊เยอะมาก ว่า พี่อุ๊สนับสนุนให้พิธาเป็นนายกฯ? และให้ ส.ว.หยุดสกัดพิธา?

‘ทักษิณ’ ลั่น เพื่อไทย ไม่เห็นด้วย ถ้า ‘ก้าวไกล’ ทำสิ่งที่กระทบกระเทือน ต่อเบื้องสูง

เมื่อช่วงค่ำวันที่ 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หรือโทนี่ วู้ดซัม ตอบคำถามแฟนคลับรายหนึ่งในเฟซบุ๊ก "care คิด เคลื่อน ไทย" ถึงกรณีมีเสียงวิจารณ์พรรคเพื่อไทยสู้ไปกราบไปว่า กราบไปคืออะไร การเคารพสถาบันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว ยังไงเนี่ยจุดยืนของพรรคเพื่อไทย และครอบครัวชินวัตร คือเราเคารพรักสถาบัน

ใครจะว่าอย่างไงผมช่วยไม่ได้ ผมเป็นของผมอย่างงี้ และยินดีต้อนรับว่า คนจะวิจารณ์ว่า เพราะผมไม่ได้สู้เพื่อไปทำอะไรไม่ดีกับสถาบัน ไม่มี ผมสู้เพื่อเอาชนะทางการเมืองเท่านั้นเอง

สถาบันนี่ ผมถือว่าผมจงรักภักดี ครอบครัวผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว รู้มั้ยว่าผมกับคุณหญิงนี่ สมรสพระราชทานนะครับ ผมอาจจะไม่ได้มีพิธีเหมือนสมัยนี้ แต่พิธีของผมคือสมรสพระราชทาน ฉะนั้นเรื่องความสำนึกอะไรพวกนี้ มันมีอยู่ นะครับมันมีอยู่ จะให้ผมไม่มีมันเป็นไปไม่ได้เลย นะครับ

แน่นอน สมมติว่าพรรคเพื่อไทย ร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกล สิ่งไหนที่พรรคก้าวไกลจะทำ ซึ่งคิดว่าไม่ทำนะ ทำในสิ่งที่กระทบกระเทือนสถาบันพระมหากษัตริย์ เราก็คงไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว อันนี้เป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ใช่ขวาจัด ตกขอบ ไม่ใช่ แต่เราเป็นคนไทย เราเคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ เท่านั้นเอง ชัดเจน ไม่มีบิดพลิ้ว

‘วิษณุ’ ชี้ ‘ก้าวไกล’ เสียงทะลุ 300 มั่นคงแล้ว แนะ ใช้ไมตรีแลกเสียงโหวต เชื่อ จัดตั้ง รบ.ได้

(18 พ.ค. 66) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กทม. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ห่วงจะมีปัญหาอะไรหรือไม่ ว่า ไม่ทราบ ตนตามเรื่องเท่าที่สื่อมวลชนเสนอ ไม่รู้อะไรมากกว่านั้น ตอนนี้รอดูว่าจะรวบรวมเสียงเป็นปึกเป็นแผ่นได้หรือไม่ เท่าที่ทราบปัจจุบันรวบรวม 313 เสียง มันก็มั่นคงถาวรแล้ว ซึ่งเสียงเกิน 250 ถือว่ามั่นคงแล้ว รัฐบาลที่แล้วตนยังบอกว่าเรือเหล็กเลย แต่ครั้งนี้ยิ่งกว่าเหล็กอีก

ผู้สื่อข่าวถามว่า ถึงอย่างไรต้องอาศัยเสียง ส.ว.อีก 60 กว่าเสียง นายวิษณุ กล่าวว่า อาศัยในช่วงของการโหวตนายกฯ และอาจจะต้องอาศัยอีกในตอนแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้น ตนถึงได้พูดไปก่อนหน้านี้ว่า เชื่อเถอะว่าปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดังใจจง ตนยังยืนยันแบบนี้อยู่ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันไป ยังมีเวลาอีกตั้ง 60 วัน กว่าจะประกาศรายชื่อ ส.ส. และกว่าจะถึงเวลาเลือกนายกฯ บวกเข้าไปอีกร่วม 30 วัน รวมแล้ว 3 เดือน ต้องใช้เวลาเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจ ไม่ใช่ว่าไปด่าทอกัน หรือประชดประชันกัน มันต้องพึ่งพาอาศัยกันอยู่ เพราะต่างก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของรัฐสภา มันไม่ใช่แค่ทำงานฉาบฉวย สำหรับการเลือกนายกฯ อาจจะไม่ใช่ภารกิจยุ่งยากเท่าไหร่ แต่การผ่านกฎหมาย การอะไรต่ออะไรยังมีมากกว่านี้ และหลายคนใน 6-7 พรรคนี้ก็พยายามประสาน เพราะเขามีพรรคพวกเพื่อนฝูงอยู่ ฉะนั้น ใช้เวลาตอนนี้ให้เป็นประโยชน์ อย่าลงมือด่าทอตบตีกันตั้งแต่วันแรก

เมื่อถามว่า ตอนนี้พรรคก้าวไกลสามารถรวมกับพรรคอื่นได้ 8 พรรคแล้ว นายวิษณุ กล่าวว่า กี่พรรคก็ช่าง แต่ตนเห็นว่ามันมั่นคงแล้ว เมื่อถามว่า ไม่เยอะเกินไปใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า แล้วแต่แกนนำรัฐบาลจะไปคิดกัน เราจะไปวิจารณ์เขาได้อย่างไรว่าเยอะไป ถ้าเขาได้ 500 ยิ่งดีใหญ่

เมื่อถามว่า มีคนประเมินว่าในรัฐสภาจะไม่สามารถเลือกนายกฯได้ นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่ทราบ ตนไม่ได้ประเมิน เมื่อถามว่า ในทางกฎหมาย หากโหวตชื่อแคนดิเดตนายกฯ คนใดคนหนึ่งไปแล้ว แต่ไม่ผ่าน จะสามารถนำชื่อเดิมกลับมาโหวตอีกได้หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ได้ โหวตมันทุกวันน่ะแหละ ชื่อเดิมก็ได้”

เมื่อถามว่า พรรคอันดับ 2 จะสามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ขึ้นไปก็ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ได้ทุกอย่าง มันต้องอาศัยเสียงกึ่งหนึ่งในรอบแรก เพราะว่ามาตรา 272 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ต้องมีความเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภาฯ ที่มีอยู่ ซึ่งคือ 376 เสียง แต่ถ้าไม่สำเร็จก็โหวตอีก โหวตไปโหวตมาจนกระทั่งในที่สุดจะเปลี่ยนไปใช้มาตรา 272 วรรคสองก็แล้วแต่ หรือจะโหวตซ้ำมาตรา 272 วรรคหนึ่งก็ได้ ไม่เป็นไร เพราะมันอาจจะมีเหตุผลใหม่ๆ ดีๆ และมีคนเปลี่ยนใจเพิ่มขึ้นก็ได้ สำคัญคือ วันแรก ด่านแรก ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร

ต่อข้อถามว่า มาตรา 272 วรรคสอง ที่จะใช้ได้คืออะไร นายวิษณุ กล่าวว่า แปลว่าเลิกแล้ว ไม่เอาแล้ว หาบุคคลอื่น แม้กระนั้นพอจะใช้วรรคสองที่ระบุว่า ทั้งนี้ อาจจะเสนอรายชื่อบุคคลที่อยู่ในรายชื่อนายกฯที่แต่ละพรรคเสนอได้ ซึ่งมันก็กลับมาใช้ได้อีก เห็นไหมล่ะ ขนาดใช้วรรคสองยังกลับมาใช้ชื่อเดิมได้อีก แล้วนับประสาอะไรกับแค่วรรคหนึ่ง รอบแรกไม่ผ่าน แล้ววันหลัง อาทิตย์หน้ามาใหม่ๆ ก็เสนอรายชื่อเดิมได้

เมื่อถามอีกว่า แบบนี้แสดงว่ามีสิทธิที่จะใช้นายกฯ นอกบัญชีได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ก็ได้ทั้งนั้น แต่อันนี้เป็นกรณีของวรรคสอง ซึ่งยาก เพราะกว่าจะได้วรรคสองมันต้องใช้เสียงถึง 2 ใน 3 ซึ่งมันยาก มันไม่เกิดได้ง่ายๆ หรอก แล้วเดี๋ยวพวกคุณก็ไปลงข่าวว่าผมชี้ช่องอีก เอาแค่วรรคหนึ่งให้มันจบและผมก็เชื่อว่าจบด้วย”

เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ามั่นใจว่าจะตั้งรัฐบาลได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า “ผมไม่มั่นใจ แต่ผมเชื่อ”

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการใช้กระแสโซเชียลมีเดียมากดดันให้โหวตนายกฯ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่อง ไม่ทราบเลย เมื่อถามว่า จะทำให้มีปัญหาตามมาหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวย้ำว่า ไม่ทราบ

‘ศูนย์ทนายฯ’ เผย ศาลเยาวชนฯ ยกคำร้อง คดี ม.112 เตรียมปล่อยตัว ‘หยก’ วันนี้ หลังถูกคุมขังมา 51 วัน

(18 พ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เปิดเผยว่า มีรายงานว่า วันนี้หลังจากตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ยื่นขอผัดฟ้องและควบคุมตัว ‘หยก ธนลภย์’ เยาวชนวัย 15 ปี ในคดี ม.112 ต่ออีกครั้ง แต่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางได้ยกคำร้องดังกล่าว ทำให้หยกจะได้รับการปล่อยตัวจากบ้านปรานีในช่วงเย็นวันนี้ รวมหยกถูกคุมขังมาแล้ว 51 วัน

ทั้งนี้ กลุ่มทะลุวังระบุว่า ได้รับแจ้งว่ามีการปล่อยหยกในวันนี้ (18 พ.ค.) โดยกลุ่มเพื่อนของหยกจะเดินทางไปรับตัวหยกที่บ้านปรานี เวลา 15.30 น.

‘พิธา’ ประกาศตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย ของประชาชน ตั้งทีมเจรจารายละเอียด พร้อมเปิดเอ็มโอยู ร่วมรัฐบาล 22 พ.ค.นี้

วันนี้ (18 พ.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ, สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย, พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย, วสวรรธน์ พวงพรศรี หัวหน้าพรรคเพื่อไทรวมพลัง, ปิติพงศ์ เต็มเจริญ หัวหน้าพรรคเป็นธรรม, และ เชาวฤทธิ์ ขจรพงศกีรติ หัวหน้าพรรคพลังสังคมใหม่ แถลงข่าวประกาศตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชน ซึ่งจากผลการเลือกตั้งที่ไม่เป็นทางการ มีจำนวนผู้แทนราษฏรรวมกันทั้งสิ้น 313 คน

นายพิธากล่าวว่า พวกเราทุกพรรคขอขอบคุณทุกเสียงที่ประชาชนมอบให้ เสียงของประชาชนทุกเสียงคือเสียงแห่งความหวัง คือเสียงแห่งการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่ออำนาจของประชาชน และเราจะเป็นรัฐบาลของคนไทยทุกคน

ทุกพรรคขอประกาศจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนร่วมกัน ด้วยความเคารพในฉันทามติของประชาชน ดังนี้

1. ทุกพรรคเห็นชอบที่จะสนับสนุนหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากจากผลการเลือกตั้งของประชาชน

2. ทุกพรรคจะร่วมกันจัดทำข้อตกลงร่วม (MOU) ในการจัดตั้งรัฐบาลเพื่อแสดงถึงแนวทางการทำงานร่วมกัน และวาระร่วมของทุกพรรค และจะแถลงต่อสาธารณะในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ เพื่อแก้ไขวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ

3. ทุกพรรคจะจัดตั้งคณะทำงานเปลี่ยนผ่านรัฐบาล เพื่อเตรียมความพร้อมให้สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อจากรัฐบาลเดิมได้แบบไร้รอยต่อ

หลังจากนั้นเปิดให้สื่อมวลชนถามคำถาม โดยนายพิธาให้ความเชื่อมั่นว่าการจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยของประชาชนจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและโดยราบรื่น จำนวน 313 เสียง มีความเพียงพอและเป็นความปกติของระบอบประชาธิปไตย

ขณะนี้ คณะทำงานทั้ง 2 ทีม ได้แก่ คณะเจรจาและคณะเปลี่ยนผ่านอำนาจ ได้เตรียมการวางแผนในหลายรูปแบบว่าจะมีฉากทัศน์ใดเกิดขึ้นบ้าง แต่ละฉากทัศน์จะบริหารจัดการอย่างไร เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนในการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงพิจารณาว่าจุดยืนและนโยบายของทุกพรรคการเมือง จะทำงานร่วมกันอย่างไรโดยยึดประชาชนเป็นที่ตั้ง กระบวนการทั้งหมดจะคำนึงถึงเสถียรภาพของรัฐบาลและการมีส่วนร่วมของทุกพรรคการเมือง เพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จลุล่วง ทุกพรรคการเมืองสามารถสานต่อนโยบายที่ได้สัญญาไว้กับประชาชน

สำหรับความเห็นของ ส.ว. หลายคนที่ออกมาแสดงจุดยืนว่าจะโหวตนายกฯ ตามเสียงข้างมากของสภาผู้แทนราษฎรนั้น นายพิธากล่าวว่าขอขอบคุณ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของใคร แต่เป็นเรื่องของระบบ ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top