Sunday, 27 April 2025
Politics

'หมอวรงค์' ขึ้นศาลสู้คดีกรณี 'ธนาธร-พิธา' ฟ้องหมิ่นประมาท ซัด!! ชอบอ้างสิทธิเสรีภาพ แต่ถึงเวลาก็ยก กม.มาปิดปากผู้อื่น

(2 พ.ค.66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี Live ผ่านเฟซบุ๊ก 'วรงค์ เดชกิจวิกรม-Warong Dechgitvigrom' ขณะเดินทางไปที่ศาลอาญา รัชดา พร้อมทีมทนาย เพื่อให้การคดีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ฟ้องร้อง โดยระบุว่า ขณะนี้อยู่ศาลอาญารัชดา ขออนุญาตลาหาเสียง 1 วันเพราะต้องขึ้นศาลคดีที่พรรคก้าวไกลฟ้องร้อง โดยหลายคนอาจจะแปลกใจว่าพรรคก้าวไกลฟ้องเรื่องอะไร ถ้าพี่น้องจำได้ช่วงวันที่ 10 สิงหาคม 2563 กลุ่มธรรมศาสตร์จะไม่ทน ประกาศปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งจะมีการยกเลิกมาตรา 112 ยกเลิกธรรมนูญรัฐ มาตรา 6 ห้ามพระมหากษัตริย์มีพระราชดำรัสในที่สาธารณะ หลาย ๆ เรื่องตนมองว่าขบวนการนี้เป็นขบวนการล้มล้าง เป็นการด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่นายพิธาบอกว่าเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่เป็นการจาบจ้วง ไม่ใช่เป็นการล่วงละเมิดซึ่งพวกเราเห็นหลักฐานที่ชัดเจนแต่ปรากฏว่าการที่เราแสดงออกแบบนี้เขาฟ้อง

นพ.วรงค์ กล่าวว่า การฟ้องร้องคดีนี้ มีการเรียกค่าเสียหาย ทั้งหมด 24,062,475 คือฟ้องทั้งอาญาและแพ่ง ประมาณ 24 ล้านเศษ ๆ ก็คือ การสื่อถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งเอามาเชื่อมโยงกัน และไม่เพียงแต่นายพิธา จากพรรคก้าวไกล ก็ยังมีหมายศาลของนายธนาธรซึ่งฟ้องในเวลาใกล้เคียงกัน ฟ้องคดีคล้าย ๆ กัน เพราะเนื่องจากว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับปฏิรูปสถาบัน และตนกล่าวหาว่า นายธนาธรสนับสนุน แต่เขาปฏิเสธก็ไม่เป็นไร มาสู้กันที่ศาล แต่สิ่งที่อยากจะเล่าให้พี่น้องฟัง พี่น้อง คนพวกนี้พยายามอ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพ เมื่อคนฝ่ายตนเองถูกดำเนินคดีก็กล่าวหาเอากฎหมายมาปิดปาก แต่ตนเชื่อว่าพี่น้องประชาชน ที่ไปดำเนินคดีนั้น เพราะพี่น้องเห็นหลักฐานข้อเท็จจริงที่มีเด็กเยาวชนหรือประชาชนกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมทนไม่ได้ก็ไปดำเนินคดี แต่สำหรับของเราเป็น การต่อสู้ทางความคิดกลายเป็นว่าพวกนี้มาฟ้อง ถึงบอกว่าพวกคุณชอบอ้างว่าคนอื่นเอากฎหมายไปปิดปาก แต่เอาเข้าจริง ๆ แล้วพวกคุณนั่นแหละที่เอากฎหมายมาปิดปากพวกเรา เฉพาะตนถูกฟ้องแล้ว 3 คดี คดีเมเดย์ เมเดย์ เป็น 1 คดี ตนชนะ ตอนนี้ยังเหลืออีก 2 คดี ดังนั้นต้องเรียนให้พี่น้องประชาชนได้รับทราบว่าคนพวกนี้ปากกับใจไม่ตรงกัน พยายามที่จะพูดอย่างแล้วก็ทำอย่าง และสิ่งที่สำคัญตนก็พึ่งทราบ เพิ่งได้รับหนังสือจาก สถานีตำรวจภูธรขอนแก่น ปรากฎแกนนำกลุ่ม 3 นิ้วไปฟ้องตน มาตรา 112 ในกรณีที่ตนมีคำแถลงเกี่ยวกับเรื่องราชประชาสมาสัย เจตนาตนไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลย ไม่ได้ดูหมิ่น ไม่ได้หมิ่นประมาท ไม่ได้อาฆาตมาดร้าย แต่พวกนี้เอา มาตรา 112 มาเล่นงานตน โชคดีที่ทางอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง

‘สื่ออาวุโส’ เตือน ‘ธนาธร’ นับจากนี้ก่อนการเลือกตั้ง อย่าเลือกขึ้นเวทีดีเบตที่มี ‘คุณอภิสิทธิ์’ อยู่ด้วยอีก

เมื่อวันที่ 2 พ.ค.66 นายเถกิง สมทรัพย์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตนายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ไทย โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ระบุว่า...
.
ในประเด็นเรื่อง มาตรา 112 นั้น จะหาคนมาดีเบตกับชาวคณะก้าวไกลยากมาก…นอกจากอาจมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ไม่แน่นเพียงพอแล้ว
.
คนส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเผชิญหน้าถกเถียงกับชาวคณะก้าวไกล เพราะมันอ่อนไหว..
.
แต่คุณธนาธร กลับเลือกที่จะมาดีเบตเรื่องนี้กับคุณอภิสิทธิ์…และพลาดท่ากลางอากาศให้คุณอภิสิทธิ์ ‘จับไต๋’ ได้ว่า คุณธนาธรพยายามซ่อนเร้นประเด็นการ ยกเลิกมาตรา 112 ต่อหน้าสื่อมวลชน

คุณธนาธร โกยคะแนนจากการออกสื่อมาโดยตลอด แต่ทำไมคราวนี้พลาดท่า…

ผมลองหาเหตุผลได้ 7 ข้อ…

1.) คุณอภิสิทธิ์ ไม่ได้แม่นเพียงข้อมูลเรื่องมาตรา 112 เท่านั้น แต่ผ่านการทำงานเรื่องแก้ปัญหามาตรา 112 มานาน จึงมีความเข้าใจแทบทุกมิติของปัญหา

2.) คุณธนาธร ไม่แม่นข้อมูลเรื่องกระบวนการเคลื่อนไหวมาตรา 112 ของคนในพรรคก้าวไกล จึงพูดสับสนระหว่าง “แก้ไขมาตรา 112” กับ “ยกเลิกมาตรา 112” ว่า ก้าวไกลจะแก้ไขหรือยกเลิก เพราะ พิธาไปพูดว่ายกเลิก (ช่อ ก็พูดชวนคนมากองเพื่อยกเลิก) แต่คุณธนาธรพยายามจะเน้นแค่ว่า “แก้ไข”

3.) แต่คุณอภิสิทธิ์… ทั้ง ๆ ที่อยู่นอกพรรคก้าวไกล… กลับจดจำข้อมูล ขั้นตอน คำพูด ของคนในพรรคก้าวไกล (รวมไปถึงสมัยเป็นอนาคตใหม่) ได้ละเอียดว่า ใครพูดอะไรเอาไว้อย่างไรในเรื่อง มาตรา 112 จึงสามารถหยิบข้อเท็จจริงต่างๆที่สำคัญ ๆ มายันใส่คุณธนาธรทุกดอก

4.) คุณธนาธรมีความไม่มั่นใจในการนำเสนอเรื่องมาตรา 112 จึงแสดงความสับสนออกมาและออกอาการ ‘แถ’ ว่า เรื่องการยกเลิกมาตรา112 เป็นความเห็นส่วนตัวของคุณพิธาในฐานะหัวหน้าพรรค และคุณธนาธรไปเสียบคุณอภิสิทธิ์นอกเรื่องว่า เลือกตั้งคราวก่อนคุณอภิสิทธิ์พูดอะไรไว้ คุณอภิสิทธิ์ก็เสียบคืนทันทีว่า “ก็ลาออกแล้ว..คุณพิธาจะลาออกไหมถ้าไม่ยกเลิก”…คุณธนาธรก็ออกอาการสะดุด

‘อัษฎางค์’ เผย ทำไมรัฐบาลลุงไม่จัดการขั้นเด็ดขาดกับเด็กล้มเจ้า เพราะต่อให้หลงผิดแค่ไหน พ่อแม่ก็ ‘ตบตี-เข่นฆ่า’ ลูกหลานไม่ลง

(3 พ.ค.2566) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊ก ‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์ ยมนาค’ ระบุว่า...

“ทำไมรัฐบาลลุงไม่จัดการขั้นเด็ดขาดกับเด็กล้มเจ้า”

คำถามที่ได้ยินบ่อยๆ คือ ทำไมรัฐบาลไม่จัดการขั้นเด็ดขาด ผมคิดว่าคำตอบคือ …..

ลุงตู่ที่เด็กๆ เข้าใจว่า “เป็นผู้ใหญ่ที่เกรี้ยวกราด” ความจริงลุงตู่และรัฐบาล 3 ลุง ที่มีพรรคร่วมรัฐบาลฝ่ายจงรักภักดี มีเมตตาต่อเด็กๆ มาก 

รัฐบาลลุงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มองเด็กๆ ที่แม้จะมีความเห็นต่าง และเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นลูกหลาน

ที่โดนคนไทยที่ขายวิญญาณให้ต่างชาติและชาติมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ยุยง ปลุกปั่น ล้างสมอง ให้เด็กๆ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นคนดีเป็นโจร และเห็นโจรเป็นคนดี  

ดังนั้น รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงใช้วิธีแก้ปัญหานี้อย่างละมุนละม่อมอย่างที่สุด 

ถ้าใครยังนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงถึงภาพครอบครัวของเราเองทุกคน ที่เราอาจจะมีลูกที่เกเร หรือหลงผิด เราจะตบตี เข่นฆ่า ผลักไสไล่ส่ง ลูกหลานของเราด้วยวิธีหักดิบ 

หรือเราจะตั้งสติ ใจเย็น เอาน้ำเย็นเข้าลูบ ให้เวลาและใช้เวลา เพื่อดึงสติให้ลูกหลานเรากลับมาสู่อ้อมอกของเรา 

ดังนั้น รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ใช้วิธีเดียวกันนั้น  

ความจริงเราตัองขอบพระคุณรัฐบาลลุง อันประกอบด้วยพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรค ที่ใช้ความพยายามตลอด 8 ปีที่ผ่านมา 

และขอถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ที่ยืนอยู่ข้างคนไทย และพยายามอย่างสุดความสามารถ อย่างละมุนละม่อม เพื่อพาลูกหลานของพวกเราทุกคนกลับสู่อ้อมอกอ้อมใจของเรา

‘วิษณุ’ ชี้!! หลากโพลมีส่วนทำกระแสเปลี่ยน ยัน!! อยากเห็นรัฐบาลเสียงข้างมากตั้งแต่ต้น

(3 พ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการหาเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายที่เริ่มดุเดือดมากขึ้น ว่า เป็นธรรมดาของการหาเสียงเลือกตั้งที่เหมือนทุก ๆ ครั้งที่ผ่านมา เมื่องวดเข้ามาต่างต้องพยายามที่จะทำอย่างไรให้ผู้คนจำเบอร์ให้ได้ จำชื่อให้ได้ ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ก็รู้อย่างนี้จึงได้มีกฎหมายห้ามทำโพลก่อนวันเลือกตั้งช่วงโค้งสุดท้าย เนื่องจากจะมีผล เป็นธรรมดาที่อาจจะดุเดือดรุนแรงหน่อย อย่างไรก็ตาม โพลต่าง ๆ จะมีส่วนทำให้กระแสเปลี่ยนหรือไม่นั้น เชื่อว่าคงมีส่วน

ผู้สื่อข่าวถามว่า หวั่นใจอะไรหรือไม่ หลังโพลให้พรรคการเมืองที่ไม่ได้เป็นพรรครัฐบาลขณะนี้นำลิ่ว นายวิษณุ กล่าวว่า ไม่หวั่น ไม่เกรง เพราะไม่ใช่เรื่องของตน เป็นเรื่องของโพล เรื่องของประชาชน และโพลมีหลายโพล ทั้งเอกชน องค์กรของรัฐ ซึ่งตนไม่ทราบว่าอันไหนถูก อันไหนผิด อันไหนตรงหรือไม่ หรือเป็นเช่นนั้นหรือไม่ 

เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการพูดถึงขั้วทางการเมืองบ้างแล้ว นายวิษณุ กล่าวว่า ปกติเขาจะไม่พูดกันก่อนวันเลือกตั้ง แต่ในคืนวันเลือกตั้งที่ผลออกแล้วเขาถึงจะพูดกัน และเมื่อพูดแล้วมันยังไม่แน่นอน เราเห็นการจัดตั้งรัฐบาลหลายครั้งมาแล้ว ที่ทำท่าว่าขั้วจะออกมาอย่างนี้ แต่ยังไม่ได้มีการประกาศผลเลือกตั้งออกมาอย่างเป็นทางการ เพียงแต่พอรู้บ้างแล้ว เช่น เมื่อเลือกตั้งเมื่อวันที่ 23 มี.ค.62 พอเช้าวันที่ 24 มี.ค.62 เมื่อรู้คะแนนเราจึงได้เห็นการจับขั้วกันเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง แต่เมื่อถึงเวลาเอาเข้าจริง ทิ้งเวลาไปอีก 1-2 เดือน กว่าจะประกาศผลการเลือกตั้งออกมาเป็นทางการ ขั้วรัฐบาลก็เปลี่ยนแปลงไป ฉะนั้น เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่แค่รู้คร่าว ๆ พอรู้ได้หลังปิดหีบ 24 ชั่วโมง แต่ยังปักใจไม่ได้ การเมืองก็เป็นอย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา 

เมื่อถามว่า หากผลเลือกตั้งออกมาคะแนนสูสี แต่เลือกนายกรัฐมนตรี และตั้งรัฐบาลยังไม่ได้ จะเกิดสุญญากาศหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ในที่สุดต้องหาทางตั้งให้ได้ เพราะในรัฐธรรมนูญกำหนด ตามมาตรา 270 ว่าให้ทำอย่างไร ไม่เกิดสุญญากาศแน่ เพียงแต่อาจจะช้าหน่อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม อย่างแรกที่จะต้องทำคือ เลือกประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่ค่อยพลิกโผ เมื่อได้ประธานสภาฯ แล้ว จะมีการจับขั้วกัน นั่นค่อยว่ากันอีกที

นอกจากนี้ หลังปิดหีบเลือกตั้ง กกต.ยังมีเวลาที่จะประกาศผลภายใน 60 วัน ไทม์ไลน์เป็นแบบนี้ แต่ตนตอบไม่ถูกว่าจะได้เห็นรูปร่างหน้าตารัฐบาลใหม่เมื่อไหร่ เพราะผลยังไม่ออก คะแนนยังไม่ได้ อะไรก็ยังไม่รู้เลย และในรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าต้องหานายกฯ ได้ภายในกี่วัน แต่ในที่สุดต้องเลือกกันจนได้ ทั้งนี้ แม้จะยังไม่ได้รัฐบาลใหม่ แต่จะไม่เกิดสุญญากาศและไม่เกิดเดดล็อกแน่นอน เพราะในรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ให้รัฐบาลรักษาการทำอะไรได้หลายเรื่อง เช่น ขอใช้งบกลางก็ได้

เมื่อถามว่า มีความเป็นห่วง กกต.หรือไม่ เนื่องจากถูกโจมตีหนักในช่วงนี้ จนต้องออกมาแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อปกป้องตัวเอง นายวิษณุ กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร ไม่ได้ติดตามข่าว เมื่อถามถึงกรณีที่มีข่าวว่า มี 2 ราย ขุดเรื่องสูตรคำนวณเลือกตั้งเมื่อปี 62 ขึ้นมา ซึ่ง กกต.กำลังจับตาอยู่ นายวิษณุ กล่าวว่า ตนเห็นจากข่าวว่าจะมีจำเลย 2 คน ขอให้ไปถาม กกต.เอาเอง เขาอุตส่าห์บอกมานิดหน่อยแล้ว แต่เรื่องอะไรตนไม่รู้

‘อดีตบิ๊ก ศรภ.’ ชี้ ‘คอนเสิร์ตอัสนี-วสันต์’ จุดรำลึกความสงบของบ้านเมือง มีทั้งวัยรุ่น-วัยเก๋า สะท้อนคนอยากได้ ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความวุ่นวาย’

(3 พ.ค. 66) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ศรภ.โพสต์ข้อความในเพจเฟซบุ๊กส่วนตัว พลโทนันทเดช เมฆสวัสดิ์ ระบุว่า...

คอนเสิร์ต อัสนี-วสันต์ กับ การเลือกตั้ง

น่าสนใจมากครับ จากผลสะท้อนของคอนเสิร์ต ‘37 ปี อัสนีและวสันต์’ เมื่อ 29-30 เมษายนที่เพิ่งผ่านไปนี้ ณ อิมแพ็ค อารีน่า ซึ่งขายบัตรคอนเสิร์ตอย่างเป็นทางการ (8 มี.ค.) เพียง 30 นาทีแรกก็ Sold Out รอบแรกหมด

จนต้องประกาศขายบัตรรอบ 2 ขึ้นในวันเดียวกัน แต่ผ่านไปเพียงแค่ 3 ชั่วโมง บัตรที่นั่งรอบ 2 ก็ Sold Out อีกเช่นกัน ราคาบัตรก็จัดว่าไม่ถูกนัก ตั้งแต่ 6 พันบาทลงไปจนถึง ที่นั่งนอกสุด ที่ดูแทบไม่เห็น ราคาก็ยัง 1,500 บาท 

อารีน่าบรรจุคนได้ทั้งหมด ประมาณ 12,000 คน แต่คราวนี้ขายตั๋วยืน ในราคา 3 พันบาท เพิ่มเข้าไปด้วย น่าจะอัดเข้าไปประมาณ 14,000 คน

ที่สำคัญ คือ กลุ่มแฟนของ อัสนี-วสันต์ นั้นส่วนใหญ่จะมีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป ไม่น่าจะออกมายื้อแย่งซื้อบัตรได้ กลุ่มคนดูก็อยู่ตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไปเป็นหลัก มีเด็กๆ ตามมาด้วยมากพอสมควร จัดว่าเป็นกลุ่มพลังเงียบตัวจริง 

‘ฟิล์ม รัฐภูมิ’ โต้ก้าวไกล ปม ม.112 หลังยกกรณีเหยียบย่ำหัวใจคนไทย

ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ ผู้สมัคร ส.ส. กทม.พรรคพลังประชารัฐ เขต 22 หมายเลข 1 บริเวณตลาดบุญเรือง เขตสวนหลวง ประเวศ (เฉพาะแขวงหนองบอน) ได้ตอบโต้ เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรคก้าวไกล หลังยกกรณีเหยียบย่ำหัวใจคนไทย ด้วยการหยิบข้อเปรียบเทียบหากตนเห็นปฏิทินที่บ้านอยู่ในถัง แล้วจุดไฟเผาเหมือนกงเต๊ก หรือถ้าทำแบงก์ที่มีรูปในหลวงแล้วเผลอไปเหยียบ จะต้องติดคุกมาตรา 112 หรือไม่ โดยอ้างเรื่องของเจตนาว่าผู้คุมกฎหมายจะรู้ได้เช่นไร ว่าใครเจตนาหรือไม่เจตนา และก้าวไกลจะช่วยทำให้การตีความกว้างจนเกินไป แคบลง

'เสี่ยเฮ้ง' กร้าว!! ถึงม็อบ 'ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ' 'แรงงานต่างชาติ' ทำผิด 112 ถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงาน

(3 พ.ค. 66) นายสุชาติ ชมกลิ่น รองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ถึงประเด็น ม็อบแรงงานต่างชาติเคลื่อนไหวเรียกร้อง ‘ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ’ โดยระบุว่า

ย้ำและ #เตือน อีกทีนะครับ... 
ถึง ม็อบ “ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ”

'แรงงานต่างชาติ' ทำผิด เข้าข่าย ม.112 
ถูกเพิกถอนใบอนุญาตทำงาน นะครับ 

ม็อบแรงงานต่างชาติเคลื่อนไหวเรียกร้อง “ปฏิรูปกษัตริย์ สร้างรัฐสวัสดิการ” เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ทางกรมการจัดหางาน ได้เตือน ไปยังแรงงานต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยทุกเชื้อชาติแล้ว

‘อนุทิน’ เย้ย ‘ชูวิทย์’ จะตั้งศูนย์ต้านกัญชาจนกว่า ‘ภท.’ จะเป็นฝ่ายค้าน สวนกลับ!! คงอีกหลายปี ชี้ กัญชาใช้เพื่อ ศก.-การแพทย์ ใครก็ต้านไม่ได้

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 66 ที่จังหวัดนครราชสีมา นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย เห็นด้วยกับนายเศรษฐา ทวีสิน ที่ออกมาโจมตีนโยบายกัญชาของพรรคภูมิใจไทย ว่า…

“ผมได้ติดตามดูแล้ว เขาไม่ได้เห็นด้วยกับทุกเรื่อง ซึ่งเป็นการพูดถึงการจับขั้วรัฐบาล 2 พรรค เรื่องนี้เราอย่าพึ่งไปผูกมัด ผมไม่ได้มีปัญหากับ น.ส.แพทองธาร ยังแสดงความยินดีด้วยซ้ำที่ได้ลูกชาย ‘น้องธาษิณ’ จึงไม่ใช่เวลาที่เราจะมาวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร แข็งแรงมาก แค่วันสองวันก็ออกมาแล้ว ออกมากอบกู้พรรคเพื่อไทย”

ส่วนที่โซเชียลเผยแพร่ศึกวิวาทะหนู-นิด นายอนุทิน ระบุ จะหนู-นิด, หนู-หน่อย, หนู-อี๊ด, หนู-แอ๊ด ก็ไม่มีปัญหา ส่วนจะมีปัญหาในการจับคู่รัฐบาลในอนาคตหรือไม่ ตนขอย้ำว่า เคยบอกไปแล้วว่าแต่ละพรรค เขารู้ว่าคนไหนคือคนที่เคาะ เราจบประเด็นนี้ได้แล้ว เพราะการที่ตนตอบโต้นายเศรษฐา เพราะเขามาโจมตีพรรคภูมิใจไทยก่อนในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง สิ่งที่เป็นเท็จเราก็ต้องออกมาตอบโต้

‘ดร.หิมาลัย’ แนะ หยุดใช้วาทกรรม ‘ชังชาติ’ หวั่นเด็กรุ่นใหม่ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ชี้!! ผู้ใหญ่ควรป้อนข้อมูลที่ถูกต้อง อย่าให้เด็กถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อวันที่ 2 พ.ค. 66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ร่วมเวทีเสวนา ‘ชังชาติ : วาทกรรมสังคม’ ซึ่งจัดโดยสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร ณ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) 

โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย นางสาวนดา บินร่อหีม รองประธานสภาเด็กและเยาวชนแห่งประเทศไทย, นายวรัญญู วอทอง ที่ปรึกษาของประธานสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร และนายณภณต์ เพิ่มความประเสริฐ รักษาการแทนนายกองค์การนักศึกษา มจธ. ซึ่งมี นายธารินทร์ เดชบุญช่วย รองประธานสภาพัฒนาเยาวชนกรุงเทพมหานคร เป็นผู้ดำเนินการ

ภายหลังการเสวนา ดร.หิมาลัย ได้ตกผลึกเสียงสะท้อนของผู้ร่วมเสวนาและเยาวชนที่เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าว โดยแสดงความเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมควรจะหยุดใช้วาทกรรม ‘ชังชาติ’ เพราะจะนำไปสู่ความแตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ไม่ควรจะใช้คำนี้กับเด็ก ๆ ที่มีความเห็นต่าง และควรหยุดนำเด็ก ๆ ไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองจนเกิดความแตกแยก และทำให้เกิดช่องว่างทางความคิด ซึ่งจะนำไปสู่การต่อต้านและไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นของอีกฝ่าย

ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ควรเปิดกว้างและอดทน รับฟังความคิดเห็นของเด็กรุ่นใหม่ในมุมมองแตกต่างให้มากขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อใจในการกล้าพูดกล้าคุย เพราะหากมีสิ่งใดที่เด็กสะท้อนออกมาแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ถูกหรือยังเข้าใจผิดอยู่ ผู้ใหญ่จะได้ชี้แนะในสิ่งที่ถูกที่ควรได้อย่างทันท่วงที ไม่ปล่อยให้เกิดเป็นความเชื่อผิด ๆ ที่จะส่งผลเสียต่อสังคมและตัวเด็กเองในอนาคต

อย่างไรก็ดี การชังชาติมีข้อดี คือ มันเห็นจุดบกพร่องก็เลยต้องพัฒนา ต้องแก้ไข ข้อเสียคือ เราจะมองไม่เห็นความดีที่เรามีอยู่เลย ผู้ใหญ่ต้องเปิดใจฟัง และร่วมเปลี่ยนแปลงแก้ไขมันไปด้วยกัน เราไม่จำต้องเห็นตรงกัน เราต้องทำให้ความน่าชังในสังคมนี้มันลดลง ยังไงวันนี้เราก็ยังต้องไปต่อด้วยกัน เพราะทุกคนก็รักชาติ 

ขณะเดียวกัน ในส่วนของประเด็นที่มีเยาวชนถามในเวทีเสวนาถึงการแก้ไขมาตรา 112 นั้น ดร.หิมาลัย ให้ความเห็นว่า ประเด็นนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ซึ่งก่อนอื่นต้องแยกเป็น 2 ประเด็น ข้อแรก ผู้ใหญ่ที่รู้ขอบเขตกฎหมายที่ควรทำหรือไม่ควรทำ ต้องอธิบายให้ความรู้กับเด็ก ๆ แทนที่จะใช้เด็กเป็นเครื่องมือ และข้อสอง ในบริบทของกฎหมาย ต้องยอมรับว่ากฎหมายแต่ละฉบับก็มีความล้าสมัย หรือไม่สมดุลอยู่แล้วในแต่ละยุคสมัย แต่กรอบของกฎหมายมีการออกแบบให้สามารถปรับแก้หรือยืดหยุ่นได้ด้วยตัวของกฎหมายนั้น ๆ อยู่แล้ว หากไม่มีการล้ำเส้นสิ่งที่ควรจะเป็น

เพราะฉะนั้น ผู้ใหญ่ต้องอธิบายให้เยาวชนเข้าใจ อย่าใช้เด็กเป็นเครื่องมือในทางที่ผิดหรือตกเป็นเหยื่อทางการเมือง ทุกคนควรเคารพกฏหมายและกติการ่วมกันของสังคม หากจะแก้ไขให้ใช้แนวทางการแก้ไขทางรัฐสภาสามารถแก้ไขได้ ซึ่งที่ผ่านมาได้แก้ไขกฏหมายไปแล้วไปหลายฉบับเนื่องจากเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย

‘ดร.หิมาลัย’ ชี้ ผู้ใหญ่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง ทั้งที่รู้ดีว่าอะไรทำแล้วผิดกฎหมาย

(4 พ.ค. 66) ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ อดีตนายทหารชื่อดัง และ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีผู้ใหญ่ใช้เด็กเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยระบุว่า…


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top