Thursday, 10 July 2025
Politics

‘สุริยะ’ ปัดตอบ ‘สามมิตร’ ย้ายตามบิ๊กตู่ ย้อนถามสื่อ “ถามหลายครั้งไม่เบื่อเหรอ”

(10 ม.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์หลังประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงความชัดเจนทางการเมือง จะไปร่วมงานกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ที่พรรครวมไทยสร้างชาติหรือไม่ และที่ยังตัดสินใจไม่ถือว่าช้าเกินไปหรือไม่ 

‘อนุสรณ์’ จวก ‘ประยุทธ์’ หักหลังประชาชน เป็นนายกฯ ของพปชร. แต่ดันสมัครเข้า รทสช.

(10 ม.ค. 66) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีพรรครวมไทยสร้างชาติจัดอีเวนต์เปิดตัวพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เข้าเป็นสมาชิกพรรคว่า

พล.อ.ประยุทธ์อาจจำไม่ได้ หรือเลือกไม่จำว่า 8 ปีที่แล้วเกิดอะไรขึ้น 8 ปีที่แปดเปื้อน พล.อ.ประยุทธ์ทำประเทศชาติและประชาชนเสียโอกาสไปมากแค่ไหน ก่อนจะรวมไทยสร้างชาติในวันนี้ ทำไมวันนั้นต้องชัตดาวน์ประเทศ ไหนม็อบนกหวีด กปปส. บอกว่าไม่ปฏิรูป ไม่ยอมให้เลือกตั้ง 8 ปีที่ผ่านมาปฏิรูปอะไรสำเร็จไปแล้วบ้าง นอกจากทำการเมืองล้าหลังย้อนยุคไปสู่ Money Politics ธนกิจการเมือง ประชาธิปไตยแบบแจกกล้วย จับปลาจากบ่อเพื่อน พล.อ.ประยุทธ์จะตอบประชาชนที่เขาสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐอย่างไร เป็นนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ ดันสมัครเป็นสมาชิกพรรคอื่น แต่ขอเป็นนายกฯต่อ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถือเป็นการทรยศหักหลังประชาชนหรือไม่ 

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า ความรับผิดชอบทางการเมืองอยู่เหนือความรับผิดชอบทางกฎหมาย นโยบายที่พล.อ.ประยุทธ์ขึ้นเวทีประกาศตอนอยู่พรรคพลังประชารัฐ แล้วทำไม่ได้จะรับผิดชอบอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งคนในพรรครวมไทยสร้างชาติมารับตำแหน่งในรัฐบาลแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่คำนึงถึงหลักคุณธรรมจริยธรรม ไม่มีธรรมาภิบาล คนในพรรคพลังประชารัฐ พรรคร่วมรัฐบาล จะคิดอย่างไรไม่สนใจ พล.อ.ประยุทธ์หมดตัวเล่น แต่ก็ยังเดินหน้าตั้งคนหน้าเดิม ๆ ที่ใกล้ชิดตัวเองมารับเงินเดือนจากภาษีประชาชน เหมือนตอนเป็นหัวหน้าคสช. มีมาตรา 44 จะทำอะไรก็ได้ แบบนี้ถูกต้องหรือไม่

‘เพื่อไทย’ ไม่ให้ค่า ‘ประยุทธ์’ เปิดตัวกับ รทสช. เหน็บ!! ไม่สำนึกทำปชช. เอือมระอาตลอด 8 ปี

(10 ม.ค. 66) น.ส.ชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) และผู้ซึ่งประสงค์สมัครรับเลือกตั้งส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ เปิดตัวสมัครเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมาว่า ไม่ปัง พรรคใหม่ของพล.อ.ประยุทธ์มีนักการเมืองหลายคนที่เคยเป็น กปปส.เป่านกหวีดเรียกร้องการรัฐประหาร วันนี้ผู้เคยเรียกร้องการรัฐประหารกับหัวหน้าคณะรัฐประหารมาทำงานร่วมกันอีก การเปิดตัวของพล.อ.ประยุทธ์ พรรคเพื่อไทยไม่หวั่นไหว ส่วนตัวไม่ให้ราคา ขอให้มาสู้กันในสนามเลือกตั้งให้พี่น้องประชาชนตัดสิน ทั้งนี้ ตนมีข้อสังเกตดังนี้ 

1. พล.อ.ประยุทธ์กระทำผิดมารยาททางการเมืองอย่างร้ายแรง เพราะเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แต่ไปประกาศเปิดตัวอย่างเอิกเกริก สมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดทางการเมือง ไม่มีใครทำเหมือนพล.อ.ประยุทธ์มาก่อน แต่จะคาดหวังจากคนที่เคยยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรมนูญ เป็นการกระทำที่เป็นกบฏ ก็คงเป็นความคาดหมายที่สูงเกินไป พล.อ.ประยุทธ์ที่เป็นแคนดิเดตนายกฯ พปชร. มีความสำนึกต่อพี่น้องประชาชนที่เลือก พปชร.หรือไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร นโยบายที่ พปชร.หาเสียงไว้แต่ทำไม่สำเร็จ จะรับผิดชอบอย่างไร 

2. พล.อ.ประยุทธ์มีพฤติกรรมย้อนแย้งจนหยดสุดท้าย เคยบอกว่าตนเองไม่ใช่นักการเมือง แต่คนไทยรู้แล้วว่าเป็นนักการเมืองเต็มตัว เมื่อวานประกาศว่าไม่ต้องการอำนาจ แต่กลับมีพฤติกรรมเสพติดอำนาจ อยู่มา 8 ปีและยังกระเสือกกระสนจะอยู่ต่ออีก 2 ปี อ้างว่าเคารพกระบวนการประชาธิปไตย แต่จุดเริ่มต้นเข้าสู่อำนาจ คือในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร ที่ยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน บอกความสงบจบที่ลุงตู่ ตอนนี้เป็นอย่างไร

‘ชูวิทย์’ หอบหลักฐาน ‘ทุนจีนสีเทา’ ส่งต่อ ‘โรม’ ชี้!! เป็นข้อมูลชุดใหญ่ อาจโค่น ‘รัฐบาลบิ๊กตู่’ ได้

(11 ม.ค. 66) เวลา 10.30 น. ที่รัฐสภา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองไทย ยื่นข้อมูลการทุจริตกลุ่มธุรกิจสีเทาต่อนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล (ก.ก.) เพื่อพิจารณาใช้เป็นข้อมูลในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152

โดยนายชูวิทย์ กล่าวว่า มั่นใจว่ามีข้อมูลสำคัญ ไม่เคยเปิดเผยกับสื่อมาก่อน เป็นข้อมูลที่ตนคิดว่าควรที่จะนำมาพูดในสภา เพราะนายรังสิมันต์เป็นผู้แทนราษฎร ส่วนตนจะพูดอย่างไรก็ได้แค่นั้นเพราะตนพูดอยู่ข้างนอก จึงได้นำข้อมูลมาให้นายรังสิมันต์พิจารณาแต่จะรับหรือไม่ก็เป็นสิทธิ์ ซึ่งตนเป็นแค่ประชาชนเมื่อไม่มีใครติดต่อตน ตนก็มาที่นี่โดยตนเอง 

ทั้งนี้ นายรังสิมันต์พูดเรื่องตำรวจ หรือเรื่องผิดปกติของสังคมไทย หนึ่งในนั้นตนแน่ใจว่าเป็นเรื่องนี้ จึงได้นำเรื่องนี้มาให้นายรังสิมันต์พิจารณา 

ด้าน นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องชื่นชมนายชูวิทย์จริง ๆ ในการรวบรวมข้อมูลและเปิดโปงขบวนการทุนจีนสีเทา และต้องเรียนว่า พรรคก้าวไกลตั้งทีมศึกษาเรื่องนี้เพื่อที่จะเจาะลึกข้อมูลและแสวงหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ จากแหล่งข่าวต่าง ๆ จากตำรวจน้ำดีที่ยังมีอยู่ในระบบ ยืนยันว่าพวกเราทำหน้าที่อย่างเต็มที่ในการที่จะเอาเรื่องนี้มาพูดในสภาฯ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมายังไม่มีความชัดเจนว่าจะอภิปรายมาตรา 152 จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ 

ทั้งนี้ พรรคก้าวไกลเรามีความสนใจเป็นอย่างยิ่งในการที่จะนำไปศึกษา และหากมีข้อเท็จจริงที่หนักแน่นเพียงพอ เราก็พร้อมที่จะอภิปรายในสภาฯ ต่อไป ย้ำว่าเราจะทำหน้าที่อย่างหนักแน่นและจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่อย่างแน่นอน ทั้งนี้ เราต้องอาศัยพลเมืองดีแบบนี้ในการที่จะนำข้อมูลมาให้กับพวกเรา เพราะลำพังพวกเราที่ทำหน้าที่อยู่ในสภาฯ ไม่มีทางที่เราจะรู้เนื้อหาสาระ ความอัปลักษณ์ การทุจริตคอร์รัปชัน ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยมากเท่ากับคนที่อยู่ในระบบแน่นอน 

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ตนคิดว่านายชูวิทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทย และเชื่อว่าการอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 152 เราคงจะได้เห็นการพูดถึงเรื่องนี้อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะไม่ใช่แค่ พรรคก้าวไกลเท่านั้น แต่รวมไปถึงพรรคฝ่ายค้านอื่น ๆ ที่จะหยิบยกเรื่องนี้เข้ามาพูด รวมถึงมีหลักฐานต่าง ๆ ที่เพียงพอจะสาวไปถึงคนในรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และขอฝากถึงประธาน และรองประธานฯ ที่จะควบคุมการประชุมว่า เรื่องนี้อาจมีความจำเป็นที่จะต้องพาดพิงถึงบุคคลที่ 3 บ้าง แต่จะพยายามให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด หากท้ายสุดจะมีการฟ้องร้องก็พร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อภิปรายต่อในศาล เพราะก่อนที่จะอภิปราย ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลมาอยู่แล้ว จึงอยากให้ประธานสภาฯ และรองประธานฯ เข้าใจในการทำหน้าที่ของ ส.ส.ในสภา เพื่อประโยชน์ของประชาชน และประเทศชาติ

‘บิ๊กป้อม’ กำชับเข้ม ฝ่ายความมั่นคง เร่งขับเคลื่อนแผนรับมือก่อการร้าย - ยาเสพติด

พล.อ.ประวิตร สั่งเข้มฝ่ายความมั่นคง ขับเคลื่อนแผนฯ ปี 66-70 เน้นป้องกัน 'ยาเสพติด/อาวุธสงคราม/การก่อการร้าย/ภัยไซเบอร์/การค้ามนุษย์' สร้างเชื่อมั่นต่อเนื่อง รองรับการพัฒนาศก./ดุลยภาพระหว่างประเทศ เพื่อให้ชาติ มั่นคง ปชช.ปลอดภัย 

วันนี้ (11 ม.ค. 66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม 2 คณะ ต่อเนื่องกัน ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งชาติและ คณะกรรมการบูรณาการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ณ ห้องประชุม วิจิตรวาทการ สมช. ทำเนียบรัฐบาล

โดยเมื่อเวลา 09.30 น. เริ่มการประชุม คณะกรรมการนโยบายของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเห็นชอบ (ร่าง)แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง ปี 66-70 โดยยึดหลักความสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคง กับการส่งเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ ในพื้นที่ชายแดน และเห็นชอบ (ร่าง)แผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านการก่อการร้ายปี 66-70 โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันในการรับมือกับภัยก่อการร้าย มีขีดความสามารถในการตอบโต้และมีศักยภาพในการฟื้นตัวจากภัยก่อการร้าย รวมทั้งเห็นชอบ (ร่าง)แผนเตรียมพร้อมแห่งชาติและแผนบริหารวิกฤตการณ์ปี 66-70 ซึ่งมีเป้าหมายให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการป้องกัน ตอบสนองและบริหารจัดการเมื่อเผชิญกับวิกฤตการณ์ระดับชาติ 

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ผู้เกี่ยวข้อง ทำการปรับปรุงและพัฒนาแผน ให้มีความถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และเชื่อมโยงกับเป้าหมายให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง อย่างเป็นรูปธรรม

‘เพื่อไทย’ จี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหา 'ค่าไฟ-เงินเฟ้อ' โวลั่น นโยบายพรรคลดราคา น้ำมัน - ค่าไฟ ทำได้จริง

โฆษกทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยห่วงเงินเฟ้อทำประชาชนเดือนร้อน ชี้ค่าไฟฟ้าที่แพงยิ่งทำเงินเฟ้อเพิ่ม จี้รัฐอย่าซื้อเวลาเร่งแก้ไข โวนโยบายพรรคลดแหลกทั้งน้ำมัน-ก๊าซ-ค่าไฟทำได้จริง

(12 ม.ค. 66) น.ส.จุฑาพร เกตุราทร โฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปีนี้เหลือเพียง 1.7% จากเดิม 3% และเตือนว่าเศรษฐกิจโลกอยู่บนความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยก่อนหน้านี้องค์การการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ลดการคาดการณ์เศรษฐกิจโลกลงเหลือ 2.7% จาก 2.9% ซึ่งเป็นไปตามที่คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้คาดการณ์ไว้แล้ว โดยหวังว่าเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทยจะไม่ย่ำแย่และจะไม่เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง โดยไอเอ็มเอฟยังลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2566 ลงเหลือเพียง 3.7% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 4% ในขณะที่ธนาคารโลกลดคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเหลือ 3.6% จากที่คาดการณ์ไว้ 4.3% ซึ่งปรับลดค่อนข้างมาก ซึ่งหากยังบริหารแบบเดิม ๆ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยก็จะถูกปรับลดการเติบโตลงเรื่อย ๆ เหมือนตลอด 8 ปีที่ผ่านมาที่ประเทศไทยขยายตัวต่ำกว่าศักยภาพมาโดยตลอดจากที่ไอเอ็มเอฟและเวิลด์แบงก์วิเคราะห์ไว้เอง ซึ่งปีนี้การส่งออกของไทยจะขยายตัวได้น้อยมากและอาจจะถึงกับติดลบได้เลย จากที่การส่งออกได้ติดลบในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนของปีที่แล้ว

น.ส.จุฑาพรกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 5.89% ทำให้เงินเฟ้อทั้งปีของปี 2565 อยู่ที่ 6.08% เป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 24 ปี แสดงถึงราคาข้าวของที่แพงขึ้นอย่างมาก ประชาชนน่าจะต้องเดือดร้อนกันมาก เพราะรายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่าย อีกทั้งรัฐบาลได้ขึ้นค่าไฟฟ้าตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.นี้ จะยิ่งทำให้เงินเฟ้อมากยิ่งขึ้น ยังดีที่คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) และ คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทยได้ทักท้วงไว้ทำให้รัฐบาลไม่กล้าขึ้นค่าไฟฟ้าไปถึงหน่วยละ 5.72 บาท แต่การขึ้นมาที่ หน่วยละ 5.33 บาทก็ต้องถือว่าหนักมากแล้ว โดยควรต้องหาทางลดค่าไฟฟ้าลงโดยแก้ไขที่สาเหตุ ไม่ใช่แค่ซื้อเวลาเพื่อรอเวลาที่จะขึ้นราคาอีก โดยคาดการณ์กันว่าเงินเฟ้อในปี 2566 นี้จะอยู่ที่ประมาณ 3.1% ซึ่งก็ยังสูงมากพอควร

‘เพื่อไทย’ จวก ‘ประยุทธ์’ ไร้มารยาทร้ายแรง หลังแต่งตั้งคนจาก รทสช. นั่งที่ปรึกษานายกฯ

(12 ม.ค. 66) น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ลงนามแต่งตั้งนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี, นายชัชวาลล์ คงอุดม, นายชุมพล กาญจนะ และนายเสกสกล อัตถาวงศ์ เป็นที่ปรึกษาของนายกฯ หลังจากที่ก่อนหน้านี้แต่งตั้งนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในตำแหน่งเลขาธิการนายกฯ ทั้งหมดเป็นนักการเมืองในสังกัดพรรครวมไทยสร้างชาติที่พล.อ.ประยุทธ์ ไปร่วมงานการเมืองด้วยว่า การกระทำของพล.อ.ประยุทธ์แสดงเจตนาอย่างชัดเจน ว่าต้องการให้พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นนั่งร้านค้ำยันอำนาจให้กับตัวเองในการเลือกตั้งครั้งหน้า ตั้งคนเหล่านี้ให้มีอำนาจทางการเมือง เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อการเลือกตั้ง เป็นการกระทำที่ไร้มารยาททางการเมืองอย่างรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์หวังสร้างอำนาจในหมู่ข้าราชการ และคนที่แต่งตั้งเข้ามาสามารถแทรกแซงอำนาจทางการเมืองได้ ประชาชนทั้งประเทศกังขาว่าพล.อ.ประยุทธ์กลัวแพ้เลือกตั้งถึงต้องตั้งคนของตัวเองคุมกลไกภาครัฐอย่างที่เห็นอยู่ 

‘ก้าวไกล’ เตือน!! เดือนนี้คนไทยเสียค่าไฟเพิ่ม หลังรัฐขึ้นค่าไฟแบบเนียนๆ ไม่ยอมแก้ที่ต้นเหตุ

(12 ม.ค. 66) วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเตือนประชาชนผู้มีรายได้น้อยเตรียมจ่ายค่าไฟแพงอย่างถ้วนหน้าในเดือนมกราคม 2566 เหตุเพราะมาตรการตรึงราคาค่าไฟให้กับผู้มีรายได้น้อยของรัฐบาลหมดอายุ ซึ่งมาตรการตรึงค่าไฟเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น จะแก้ที่ต้นเหตุต้องปรับนโยบายพลังงานให้มีการกำหนดสัดส่วนค่าไฟที่เป็นธรรม

วรภพ กล่าวว่า เดือนแรกปี 2566 ประชาชนเตรียมจ่ายค่าไฟแพงกันถ้วนหน้า หลังการทบทวนค่าเอฟทีของ กกพ. แม้ได้ข้อสรุปว่าจะยังคงตรึงค่า Ft ของบ้านอยู่อาศัยไว้ที่ 93.43 สตางค์/หน่วย ในราคาเดียวกับปลายปี 2565 (ในขณะที่ภาคธุรกิจจ่ายแพงขึ้นไปอีก 61.49 สตางค์/หน่วย) แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนครัวเรือนจะต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้นกว่าเดิม เพราะรัฐบาลใจป๋าได้แค่ 4 เดือน เนื่องจาก งวดเดือน ก.ย. - ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา รัฐบาลมีมติ ครม. ใช้งบกลาง เพื่อมาช่วยเหลือค่าไฟ 8,000 ล้านบาท โดยให้ส่วนลดค่า Ft บ้านเรือนที่ใช้ไฟไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ทำให้ค่าไฟที่บ้านเรือนจ่ายในงวดสิ้นปี 65 ไม่ใช่ราคาจริง

โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 เป็นต้นไป รัฐบาลจะไม่ออกมาตรการควักเงินช่วยลดค่าไฟบ้านเรือนแล้ว นั่นเท่ากับว่าประชาชนผู้ใช้ไฟที่ใช้ไฟน้อยกว่า 500 หน่วยต่อเดือน จะต้องกลับมาจ่ายค่าไฟฟ้า Ft ในราคาจริงที่แพงขึ้น เช่น ถ้าครัวเรือนใช้ไฟฟ้า 300 หน่วย งวดสิ้นปี 65 Ft หลังส่วนลดรัฐบาล คือ 1.39 สตางค์/หน่วย แต่ต้นปี 66 Ft จะกลายเป็น 93.43 สตางค์/หน่วย ซึ่งหมายถึงทำให้ค่าไฟฟ้าจะต้องจ่ายแพงขึ้น 276 บาท/เดือน หรือ 22% คือจากเดิมที่เคยเสียค่าไฟ 1,264 บาท จะต้องจ่าย 1,539 บาทในเดือนนี้

‘เต้น’ เย้ย ‘บิ๊กตู่’ ย้ายอยู่พรรคใหม่แต่ดูไม่มีอนาคต แซะ!! แค่โกยคนที่แตกจากพรรคอื่นมาไว้รวมกัน

(12 ม.ค. 66) เมื่อเวลา 10.45 น. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทยกล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์เปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติว่า ตนนึกว่าพล.อ.ประยุทธ์จะแสดงแสนยานุภาพทางการเมืองอย่างน่าตื่นตาตื่นใจหลังจากยึดครองอำนาจต่อเนื่องมา 8 ปี แต่พบว่าไม่ใช่เหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่เป็นเหล้าเก่าในขวดแตก รวมเอาคนที่แตกออกจากพรรคต่าง ๆ ทั้งจากพรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเล็กมาอยู่ด้วยกัน และไม่พบว่ามีบุคคลที่เป็นที่รู้จักหรือเป็นที่ยอมรับกันในสังคม เป็นคนใหม่ทางการเมืองปรากฏตัวร่วมงานกับพล.อ.ประยุทธ์แต่อย่างใด จึงมองไม่เห็นอนาคต เห็นแต่อดีต เพราะเต็มไปด้วยอดีต ส.ส. อดีตรัฐมนตรี ตนจึงเชื่อว่าจะส่งผลให้พล.อ.ประยุทธ์ กลายเป็นอดีตนายกฯ ในไม่ช้า

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ดังนั้นการตัดสินใจเข้าสู่การเมืองเต็มตัวของพล.อ.ประยุทธ์ แท้จริงไม่ใช่เป้าหมายแค่การเป็นนายกฯ ต่ออีก 2 ปีตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่มี ส.ว.กลุ่มหนึ่งได้เคลื่อนไหวสับไพ่รอหรือไม่ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ได้มีกรรมาธิการ (กมธ.) พัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ได้ศึกษาการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 ระบุว่ามีปัญหาที่น่าสนใจในบทบัญญัติในมาตรา 158 ว่าด้วยวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี โดย ส.ว. กลุ่มนี้ชี้ว่าเป็นเรื่องที่ควรจะพิจารณาแก้ไข ตนได้ตั้งข้อสังเกตว่าการกำหนดบทบัญญัตินี้ในรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านมา ส.ว.ไม่เคยมีปฏิกิริยา ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ ไม่เคยมีท่าทีที่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด ส.ว. 250 คนยกมือตามสั่งมาตลอด แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ครบ 8 ปีจริง กลับมีมติเห็นตรงกันว่ามาตรานี้มีปัญหา หมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์ จะอาศัยเสียง ส.ว. 250 คนเข้าสู่ตำแหน่งนายกฯ ได้ ต้องใช้เสียงในสภาและเสียง ส.ว.แก้ไขมาตรานี้แน่นอน

‘โรม’ ซัด ตร. ยื้อ ‘พรบ.ป้องกันทรมาน - อุ้มหาย’ อ้างอุปกรณ์ไม่พร้อม - เจ้าหน้าที่ขาดความรู้

‘โรม’ จี้ นายกฯ-สตช. อย่าใช้วิชามารเลื่อนกฎหมายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน หลัง ผบ.ตร. ลงนามหนังสือขอเลื่อนปฏิบัติตาม พ.ร.บ. อุ้มหายฯ อ้างต้องจัดซื้อกล้องจำนวนมาก-เจ้าหน้าที่ขาดความรู้ ย้อนก่อนหน้านี้ ‘สุรเชษฐ์’ รอง ผบ.ตร. เคยบอกพร้อม 

(12 ม.ค. 66) ที่รัฐสภา รังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ลงนามชะลอการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2566 ว่า กฎหมายฉบับนี้ผ่านสภามาหลายเดือน แต่กำหนดให้มีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษา 120 วัน เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมตัวปฏิบัติตามกฎหมายใหม่

รังสิมันต์ กล่าวว่า กฎหมายฉบับนี้มีความสำคัญในฐานะการยกระดับกระบวนการยุติธรรมที่คุ้มครองพี่น้องประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ โดยสาระสำคัญข้อหนึ่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อ้างว่าไม่สามารถปฏิบัติตามกฎหมายฉบับนี้ได้ คือการติดกล้องบันทึกภาพระหว่างปฏิบัติภารกิจ ซึ่งจุดประสงค์ของกฎหมายต้องการให้สามารถตรวจสอบได้ว่า ระหว่างการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายหรือซ้อมทรมาน

"หากเราไปดูประเทศที่เจริญแล้ว ที่บังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและโปร่งใส อย่างสหรัฐอเมริกา หลายประเทศในยุโรป ก็จะพบว่า การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการติดกล้องประจำตัวไว้ เป็นเรื่องปกติมาก และทำให้ทราบได้ว่า การควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นการควบคุมตัวตามกฎหมายจริงหรือไม่ หากย้อนกลับมาดูที่ประเทศไทย ก็มีการกล่าวอ้างอยู่เป็นระยะว่าการควบคุมตัวของเจ้าหน้าที่ มีการซ้อมทรมาน การทำร้ายร่างกาย หรือมีการควบคุมตัวที่ไม่ได้เป็นไปตามมาตรฐานสากล ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จึงมีเจตนารมณ์ที่ดี" รังสิมันต์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top