Saturday, 12 July 2025
Politics

‘หมอวาโย’ ชงมาตรการรองรับ นทท.จีน แนะ เร่งฉีดเข็มกระตุ้น – เปลี่ยนวัคซีน - สุ่มตรวจเชื้อ

‘วาโย’ เสนอมาตรการรับนักท่องเที่ยวจีน แนะรัฐระดมฉีดเข็มกระตุ้น อัปเดตเป็นวัคซีน bivalent สต๊อกยาให้พร้อม เปลี่ยนจาก molnupiravir เป็น Paxlovid และสุ่มตรวจเชื้อนักท่องเที่ยว-น้ำเสียเครื่องบิน ชี้ ยังไร้แหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือยืนยันโควิดระบาดแรงในจีนหรือไม่ แต่เข้าใจความกังวลของประชาชน ไทยควรเตรียมการรองรับ

วันที่ (6 ม.ค. 66) วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เสนอมาตรการป้องกันเพื่อรองรับการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีความกังวลว่าอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิดที่มีเชื้อรุนแรงกว่าปัจจุบัน โดยระบุว่าจากการสืบค้นและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหลายคน พบว่าข้อมูลที่มีการพูดถึงกันว่ามีการติดเชื้อโควิดอยู่ในประเทศจีนสูงมากและยังเป็นสายพันธุ์ที่มีความรุนแรง เป็นข้อมูลที่ยังไม่มีการยืนยันออกมาจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือใด ๆ แต่ความกังวลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากประเทศจีนไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ดังนั้น ประเทศไทยก็ควรจะมีมาตรการป้องกันเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ทั้งมาตรการด้านวัคซีน การลดอัตราการเสียชีวิต และมาตรการเกี่ยวกับการเข้าเมือง

วาโยกล่าวว่า สำหรับมาตรการวัคซีน รัฐบาลควรเร่งฉีดวัคซีนบูสเตอร์หรือเข็มกระตุ้นที่ 3 - 4 ให้แก่ประชากรเพิ่มโดยเร็วที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีคนไทยได้รับวัคซีนเข้มกระตุ้นไม่ถึง 50% หากรู้ว่าจะมีการรับนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา ก็ควรเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตั้งแต่ก่อนปีใหม่แล้ว อย่างไรก็ตาม การเร่งฉีดตอนนี้อาจยังทันอยู่ เนื่องจากวัคซีนบูสเตอร์ใช้เวลาเพียง 5 วันเท่านั้นในการกระตุ้นภูมิต้านทาน ต่างจากวัคซีนเข็มหลักสองเข็มแรกที่ใช้เวลา 2 - 4 เดือน โดยควรฉีดให้ได้อย่างน้อย 80% ของประชากรทั่วไป และไม่น้อยกว่า 90% ของกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งมีอัตราการเสียชีวิตจากโควิดสูงกว่าคนทั่วไป

วาโยกล่าวต่อว่า ส่วนประเภทของวัคซีนนั้น อย่างแย่ที่สุดต้องเป็นวัคซีน mRNA แต่ถ้าจะให้ดีที่สุดควรต้องเป็นวัคซีนรุ่นใหม่ที่ผสมสายพันธุ์โอไมครอนลงไปด้วย หรือที่เรียกว่าวัคซีนแบบ Bivalent ซึ่งยังไม่มีการนำเข้ามาในประเทศไทยแม้แต่เข็มเดียว แต่หากไม่สามารถจัดหาได้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังสามารถเอาวัคซีน Monovalent มาฉีดกระตุ้นก่อนได้ แต่หลังจากนี้ไม่ควรสั่งซื้อวัคซีนแบบ Monovalent มาใช้อีกแล้ว ควรปรับมาใช้วัคซีน Bivalent แทน

วาโย กล่าวด้วยว่า สิ่งที่น่ากังวลสำหรับโควิดในปัจจุบัน ไม่ใช่การติดเชื้อ แต่คือการเสียชีวิต ปัจจุบันอัตราการเสียชีวิตในประเทศไทยอยู่ที่ 0.1 - 0.2% หรือประมาณ 15 คนต่อสัปดาห์ ซึ่งยังเป็นอัตราที่น้อยมาก และผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง ทั้งนี้ เราสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ด้วยการใช้ยา ซึ่งปัจจุบันยาที่มีหลักฐานทางการแพทย์ออกมาแล้วว่าลดอัตราการเสียชีวิตได้อย่างดีที่สุด คือยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ที่ประเทศไทยใช้เป็นยาหลักอยู่ตอนนี้ หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าลดอัตราการตายได้น้อยกว่า ดังนั้น รัฐบาลควรต้องสั่งซื้อ Paxlovid มาใช้เป็นยาหลักหลังจากนี้ และควรจะทำให้บุคลากรสาธารณสุขที่อยู่หน้างานสามารถจ่ายยาให้กับผู้ป่วยได้ง่ายขึ้นกว่าระบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันด้วย

ตรวจสอบได้!! เปิดงบดนตรีในสวนยุค 'ชัชชาติ' 52 ครั้ง เกือบ 9 ล้าน จ้าง 'อินฟลูฯ-ซื้อสื่อ' 8 หมื่น

เผยงบจัดงานดนตรีในสวน กทม.ยุคชัชชาติ 52 ครั้ง 8.9 ล้าน จ้างวงดนตรี 4 วง 1 แสน แสงสีเสียง 4 หมื่น เช่าเครื่องปั่นไฟ 2 เครื่อง 3 หมื่น ซื้อสื่อออนไลน์-จ้างอินฟลูเอนเซอร์ 4 ครั้ง 8 หมื่น จ้างผู้ทรงคุณวุฒิ 3 คน 4.5 หมื่น พบโยงยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 

(7 ม.ค.66) จากกรณีที่นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงการเดินเรือคลองผดุงกรุงเกษมซึ่งได้หยุดเดินเรือไปก่อนหน้านี้ ในการแถลงข่าวที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ว่า ที่ผ่านมามีผู้โดยสารน้อยมาก แต่ค่าจ้างเดินเรือยังมีอยู่ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 2.4 ล้านบาทต่อเดือน มีผู้ใช้บริการเพียง14,000 คนต่อเดือน ค่าบริการต่อคนค่อนข้างสูงมาก ประมาณ 171 บาทต่อคน จะมีการพิจารณาว่าจะทำต่อไหม ถ้าทำต่อจะคุ้มค่าไหม หรือเอาเงินที่จ่ายไปทำอย่างอื่นที่คุ้มค่ากว่านี้ อาจเป็นรูปแบบใหม่ที่กระตุ้นให้คนใช้บริการมากขึ้น เช่น Shuttle Bus หรือทำเรื่องท่องเที่ยว

เรื่องดังกล่าวเรียกเสียงวิจารณ์จากโลกโซเชียลฯ เหราะเห็นว่าการเดินเรือคลองผดุงกรุงเกษมของอดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนก่อนทำไว้ดีอยู่แล้วกลับยกเลิก ขณะเดียวกัน ยังหยิบยกกรณีที่กรุงเทพมหานครเพิ่มงบโครงการสัมมนาพาคนไปเที่ยวในหลายสำนักงานเขต มีถึง 72 โครงการ ใน 26 เขต รวมวงเงินสูงกว่า 111 ล้านบาท ที่มีผู้ร้องเรียนต่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก่อนหน้านี้ ภายหลังนายชัชชาติอ้างว่าทำต่อ แต่ต้องประเมินสถานการณ์ เพราะค่าใช้จ่ายต่อหัวแพงมาก จึงต้องประเมินทางเลือกอื่นที่ทำให้ค่าใช้จ่ายถูกลง

ล่าสุดเฟซบุ๊กเพจ ‘ซึ่งต้องพิสูจน์’ โพสต์ข้อความระบุว่า "เปิดเอกสาร งบจัดงานดนตรีในสวน กทม.ยุคชัชชาติ 52 ครั้ง8.9 ล้าน เป็นค่าออกแแบบ จัดทำเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ทางสังคมออนไลน์ เช่น ทีวีออนไลน์ หนังสือพิมพ์ออนไลน์เว็บ อินฟลูเอนเซอร์ ไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง 8 หมื่นบาท นอกจากนี้ ยังมีค่าตอบแทนวงดนตรี 100,000 จำนวน 52 ครั้ง5.2 ล้าน ค่าตอบแทนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 3 ท่าน ท่านละ 15,000 บาท 3 ท่าน 45,000 บาท ค่าอุปกรณ์ จัดการแสดงไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง 40,000 บาท จำนวน 52 ครั้ง 2 ล้าน" พร้อมแนบ http://www.oic.go.th/FILEWEB/CABINFOCENTER9/DRAWER020/GENERAL/DATA0004/00004427.PDF

เมื่อผู้สื่อข่าวพิจารณาเอกสาร พบว่า ระบุชื่อโครงการ ‘ค่าใช้จ่ายในการจัดกิจกรรมดนตรีในสวนกรุงเทพมหานคร’ หน่วยงานที่รับผิดชอบ กองการสังคีต สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ปีงบประมาณ 2566 โดยพบว่าค่าใช้จ่ายในการจ้างเหมาจัดกิจกรรมดนตรีในสวนกรุงเทพมหานคร จำนวนเงิน 8,965,000 บาท จำนวน 52 ครั้ง ประกอบด้วย

1. ค่าออกแบบ จัดทำ เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์ กิจกรรมสู่กลุ่มเป้าหมายทางสื่อสังคมออนไลน์ เช่น ทีวีออนไลน์หนังสือพิมพ์ออนไลน์ เว็บไซต์ หรืออินฟลูเอนเซอร์ เป็นต้น ที่ได้รับความนิยม หรือมีผู้ติดตามไม่น้อยกว่า 500,000 คนจำนวนไม่น้อยกว่า 4 ครั้ง (20,000 บาท x 4 ครั้ง) รวม 80,000 บาท

2. ค่าตอบแทนวงดนตรี เช่น วงสตริงคอมโบ้ วงแจ๊ซ วงบราสควินเต็ท วงเครื่องสาย วงออร์เคสตรา วงซิมโฟนิกแบนด์วงวนด์อองซอมเบิล วงสตริงอองซอมเบิล หรือวงดนตรีที่เหมาะสม จำนวนไม่น้อยกว่า 4 วงต่อครั้ง จำนวน 52 ครั้ง(100,000 บาท x 52 ครั้ง) รวม 5,200,000 บาท

3. ค่าตอบแทนคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน (15,000 บาท x 3 ท่าน) รวม 45,000 บาท

4. ค่าจัดหาระบบแสงพร้อมอุปกรณ์ไฟแอลอีดี ไฟซูเปอร์สแกน ไฟส่องสว่าง โครงสร้างสำหรับติดตั้งไฟ สายเมนไฟเครื่องควบคุมและเครื่องสำรองไฟฉุกเฉินให้เพียงพอกับการใช้งานในสถานที่แสดงและบรรยากาศโดยรอบ จำนวน52 ครั้ง โดยจะต้องติดตั้งและทดสอบให้เสร็จก่อนการจัดแสดงไม่น้อยกว่า 4 ชั่วโมง (40,000 บาท x 52 ครั้ง) รวม2,080,000 บาท

5. ค่าจัดหาเครื่องปั่นไฟ ขนาด 100 เควีเอ จำนวนไม่น้อยกว่า 2 เครื่อง พร้อมน้ำมันให้เพียงพอสำหรับการจัดการแสดง และการซ้อมก่อนการแสดง จำนวน 52 ครั้ง (30,000 บาท x 52 ครั้ง) รวม 1,560,000 บาท

สำหรับหลักการและเหตุผล ระบุว่า นโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์) 9 มิติ ที่ต้องการให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน มุ่งเน้นให้คนกรุงเทพฯ มีชีวิตที่มีความปลอดภัย เป็นสุข สุขภาพกายใจดี ได้แก่ ปลอดภัยดี เดินทางดี สุขภาพดี สร้างสรรค์ดี สิ่งแวดล้อมดี โครงสร้างดี บริหารจัดการดี เรียนดี และเศรษฐกิจดี และโดยเฉพาะด้านสร้างสรรค์ดี มีนโยบายในการเปิดพื้นที่ในสวนสาธารณะของกรุงเทพมหานคร สร้างความสุขให้กับประชาชนได้รับความสุนทรีย์จากการชมการแสดงดนตรี

กองการสังคีต สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว พิจารณาเห็นว่าการนำกิจกรรมดนตรีในสวนมาเป็นสื่อสร้างความสุขในวันหยุดของคนเมือง พร้อมเปิดให้ชมฟรี ร่วมสร้างบรรยากาศและเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวซึ่งกิจกรรมดนตรีในสวนเป็นหนึ่งในนโยบาย 214 ข้อด้านสร้างสรรค์ดี คือ กรุงเทพฯ พื้นที่แห่งดนตรีและศิลปะการแสดง เป็นส่วนหนึ่งของการบริการสังคมของกรุงเทพมหานคร ที่ประชาชนจะได้เข้าไปพักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกายในสวนอันร่มรื่น ได้ชมดนตรีในบรรยากาศที่อบอุ่นในวันหยุดสุดสัปดาห์ โดยไม่ต้องเดินทางไปพักผ่อนที่ต่างจังหวัดปลูกฝังให้เด็กมีจิตใจร่าเริงและชื่นชอบในดนตรี เป็นการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้น

‘ศาลฎีกา’ สั่ง ‘อนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์’ พ้น ส.ส.เพื่อไทย พร้อมเพิกถอนสิทธิ์สมัคร ส.ส. ตลอดชีวิต ปมรับเงิน 5 ล้าน

เมื่อวานนี้ (6 ม.ค.66) ‘ศาลฏีกา’ ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีสำคัญ ซึ่งมีนักการเมืองที่กำลังเตรียมลงทำศึก ‘เลือกตั้ง66’ ติดบ่วงรอฟังคำตัดสินคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ร้องต่อศาลว่า ‘นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์’ ส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณีการเรียกรับเงินจำนวน 5 ล้านบาท จาก ‘นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์’ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล เพื่อแลกกับการผ่านงบประมาณ
.
‘ศาลฎีกา’ มีคำพิพากษาว่านายอนุรักษ์ ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยให้พ้นจากตำแหน่งส.ส.มุกดาหาร พรรคเพื่อไทย นับตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค. 2564 ซึ่งเป็นวันที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ ให้เพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งตลอดไป และไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ และเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งเป็นเวลา 10 ปี   

.

'เพื่อไทย' จวก 'ประยุทธ์' ภาวะผู้นำเสื่อมถอย ทำโมโหกลบเกลื่อน หลังถูกจี้ถามปมหลานชายเอี่ยวทุจริต

(7 ม.ค. 66) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ โมโห ฉุนเฉียว หลังถูกจี้ถามปมที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตหัวหน้าพรรครักประเทศไทย หลังเปิดโปงหลักฐานแฉโยงชื่อหลานชายของ พล.อ.ประยุทธ์เข้าไปเอี่ยวคดีตู้ห่าวหรือไม่ว่า ดูเหมือนพล.อ.ประยุทธ์ตอนถูกถามเรื่องหลานชายเอี่ยวคดีตู้ห่าว กับตอนพูดเรื่องจะไปเปิดตัวกับพรรครวมไทยสร้างชาติจะเป็นคนละคนกัน สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล 8 ปีที่ผ่านมาคนไทยต้องรับสภาพพล.อ.ประยุทธ์ที่ภาวะผู้นำเสื่อมถอย พอนึกได้ก็บอกว่าจะปรับปรุงตัวให้ดีขึ้น แต่พอเรื่องไหนจวนตัวเสี่ยงจะเขวี้ยงงูไม่พ้นคอ ก็ออกอาการโมโหฉุนเฉียวพาลใส่ประชาชน สภาพเหมือนคนควบคุมตัวเองไม่ได้ 

สื่อมวลชนถามว่าหลานชายมีเอี่ยวคดีตู้ห่าวหรือไม่ก็ตอบไป ไม่เห็นต้องโมโหฉุนเฉียวเกรี้ยวกราดอะไรขนาดนั้น ประชาชนตั้งคำถาม 8 ปีที่ผ่านมาข้าราชการระดับสูงหลายคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ได้รับอิทธิพลหรือถูกครอบงำจากพล.อ.ประยุทธ์หรือไม่ ศึกอภิปรายเป็นการทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 ภายใต้ยุทธการถอดหน้ากากคนดีย์ 4 ปีแปดเปือน นอกจากจะมีประเด็นเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชัน การจัดซื้อจัดจ้างผิดปกติมีปัญหา เชื่อว่าประเด็นภาวะผู้นำเสื่อมถอยของพล.อ.ประยุทธ์ จะต้องถูกนำมาตั้งคำถามด้วย

'เพื่อไทย' ซัด 'ประยุทธ์' 8 ปีปราบโกงแค่คำหลอกลวง ชี้!! คนใกล้ตัวมีข่าวเอี่ยวทุจริต แต่ยังเมินเฉยไม่ตรวจสอบ

(7 ม.ค. 66) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า ขณะนี้การทุจริตคอร์รัปชันกลายเป็นปัญหาพัวพันในทุกแวดวง ทั้งราชการ การเมืองและธุรกิจสีเทาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ มีท่าทีเมินเฉย ไม่เร่งรัดให้มีการตรวจสอบอย่างเร่งด่วน ซ้ำยังแสดงท่าทีฉุนเฉียวเมื่อถูกสื่อสอบถามกรณีนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เปิดโปงข้อมูลโยงถึงหลานชายของพล.อ.ประยุทธ์ ว่ามีความเกี่ยวข้องกับทุนจีนสีเทานายตู้ห่าวอีกด้วย 

ที่ผ่านมาฝ่ายค้านและพรรคเพื่อไทยพยายามเปิดโปงการทุจริต คอร์รัปชันต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้การบริหารงานของพล.อ.ประยุทธ์อย่างต่อเนื่อง คู่ขนานไปกับความเข้มแข็งของภาคประชาชน ที่แฉข้อมูลกดดันให้กระบวนการตรวจสอบต้องเดินหน้า แต่หลายเรื่องเมื่อเข้าสู่กระบวนการของรัฐ กลับทำให้ประชาชนเกิดคำถามและข้อสงสัยว่าเหตุใดหน่วยงานด้านการตรวจสอบ ไม่กล้าทำหน้าที่เป็นที่พึ่งของประชาชนอย่างที่ควรจะเป็น    

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์เคยให้คำมั่นต่อประชาชนว่าจะเข้ามาปราบโกง ขจัดนักการเมืองไม่ดีออกไป แต่จนถึงขณะนี้สถานการณ์ปราบโกงที่พล.อ.ประยุทธ์มุ่งมั่นจะทำกลับเลวร้ายลง ยืนยันได้จากดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perceptions Index หรือ CPI) ประจำปี 2564 ไทยได้เพียง 35 คะแนน อยู่ในอันดับที่ 110 ของโลกอันดับแย่ที่สุดนับตั้งแต่จัดอันดับมา 

‘เสี่ยโจ้’ บี้ ‘ลูกท็อป’ ลาออกรมว.กระทรวงทรัพยฯ ปมเซ็นตั้งอธิบดีกรมอุทยานฯ แซะอย่าหน้าหนาอยู่ต่อ คาดได้ซักฟอก รบ.ต้นเดือนก.พ.

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 8 ม.ค. ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสาคาม และรองหัวหน้าพรรคพท.กล่าวกรณีที่นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ถูกจับกุมกรณีเรียกรับสินบนว่า คนที่ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้คือนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตนขอเรียกร้องให้ท่านลาออกจากตำแหน่งเลย อย่าหน้าหนา อยู่ไปก็อายเขา เพราะท่านเซ็นแต่งตั้งนายรัชฎาเป็นอธิบดีกรมอุทยาน ซึ่งไม่ได้เป็นลูกหม้อในกรมด้วย แถมยังมาทำวีรกรรมแบบนี้อีก ถูกจับคาห้องทำงาน แสดงให้เห็นว่ามีการเก็บส่วย เรียกเงินเรียกทอง ซื้อขายตำแหน่ง ซึ่งเรื่องนี้ไม่จบแน่นอน ตนจะอภิปรายเรื่องนี้ด้วยเพราะถือว่าเป็นการกระทำทุจริตชัดเจน ขัดกับนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล แสดงให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ล้มเหลวเพราะปราบโกงไม่สำเร็จ

“ประชาธิปัตย์” ไม่ใช่”ตะเกียงไร้น้ำมัน” ที่ ”พรรคการเมืองคู่แข่ง” จะเข้ามา ”ตีป้อมค่าย” เพราะ ปชป.วันนี้ไม่ใช่ปชป.ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 อย่างแน่นอน

 ถึงแม้ “บัญญัติ บรรทัดฐาน” นักการเมืองรุ่น”ลายคราม”ของประเทศไทย และของพรรค”แม่ธรณีบีบมวยผม” จะไม่ออกมา”ร่ายกลอน” เรื่อง”ลิงกินกล้วย” หรือพูดเรื่องการเลือกตั้งในปี 2566  ที่จะถึงในอีกไม่ช้าว่า ที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นการเลือกตั้งในระบบ”ธนาธิปไตย” ที่จะมีการ”ใช้เงิน” ในการ”ซื้อเสียง” เป็นจำนวน”มหาศาล”  ประชานทั่วประเทศ ที่ติดตามการ”บริหารประเทศ”ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” ก็เห็นและรู้อย่างชัดเจนว่า ที่ผ่านมา เพื่อ”การอยู่รอด” และเพื่อการ”เอาชนะ” ต่อการ”อภิปรายไม่ไว้วางใจ” มีการ”ใช้เงิน”เป็น”ยุทธปัจจัย” จำนวน”มหาศาล” เพื่อ”ซื้อเสียง” ใน สภาผู้แทน
ดังนั้นเมื่อยังกล้าที่จะ”ซื้อเสียง” ในสภาผู้แทนอย่าง”โจ๋งครึม” แบบที่ถูก”นิยาม”ว่า”ใช้”กล้วยแจกลิง”เป็น”สวนๆ” โดยมี”กลุ่มทุน” ที่อยู่เบื้องหลัง เพื่อให้” บิ๊กตู่” ไปต่อ ในตำแหน่ง”นายกรัฐมนตรี” จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าในการ”เลือกตั้ง” ที่จะมาถึง จะมีการ”แจกกล้วย” ให้กับ”ประชาชน” เพื่อให้เลือก สส.ของ พรรคใดพรรคหนึ่ง เพื่อที่จะเป็น”นั่งร้าน” ให้”บิ๊กตู่” ก้าวขึ้นไปสู่”หอคอยงาช้าง” เป็น “นายกรัฐมนตรี” อีกครั้ง เป็นครั้งที่ 3
      โดยข้อเท็จจริง และโดยที่ไม่ต้อง”เหนียมอาย” ทั้ง”นักการเมือง” และ”ประชาชน” ที่เคย”ซื้อเสียง” และเคย”ขายเสียง” ในการ”เลือกตั้ง”ที่ผ่านมาทุกครั้ง ว่าการ”เลือกตั้ง” มีการ”ใช้เงิน” เพื่อการ”ซื้อเสียง” หารือ”แจกเงิน” ทั้งใน”รูปแบบ” การ”สัมมนา” การ”จัดเลี้ยง” และจ่ายเป็น”รายหัว” เพื่อเป็นค่า”เดินทาง” มาฟังการ”ปราศรัย” ที่ต้องยอมรับความจริงว่า การ”เลือกตั้ง” แต่ละครั้ง แต่ละพรรคการเมือง และผู้สมัครรับเลือกตั้ง ล้วนต้อง”ใช้เงิน” จำนวนมาก ในการทำผิด”กฎหมาย” การเลือกตั้ง
     เพียงแต่ ครั้งนี้การใช้เงิน การใช้”อำนาจ” จะเป็นการ”อำมหิต” กว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะเป็นการ”ต่อสู้”ของพรรคการเมือง หลายพรรค ที่ทุกพรรค ต้องการ”กวาด” จำนวน สส.ให้มากที่สุด เพื่อการสร้าง”สมการ” ของการเป็นผู้”จัดตั้งรัฐบาล” หรือการได้”เข้าร่วม” เป็น”รัฐบาล” เพราะไม่มี พรรคการเมือง พรรคไหน ที่อยากจะเป็น”ฝ่ายค้าน” ด้วย”เหตุผล” คือ”อดยากปากแห้ง” นั่นแหละ
    ดังนั้น พรรคที่”นายทุน” หรือ”กลุ่มทุน” ให้การ”อุ้มชู” จึงเป็นพรรคที่”ได้เปรียบ” ในการเข้าสู่”สนามเลือกตั้ง” ครั้งนี้ เพราะมีการเห็นถึง”ปฏิบัติการ” แจกกล้วย” ในสภาฯมาแล้ว และที่เป็นข่าวปรากฏเป็น”ระยะๆ” ของการ”ใช้เงิน” ในการสร้าง”พลังดูด” สส. ที่มี”ชื่อชั้น” มาเข้าสังกัดพรรคที่เรียกว่าเป็นการ”ตกปลาในบ่อเพื่อน”มีการใช้”ยุทธปัจจัย”ถึง 30 กิโล,50 กิโล เป็นข้อ”แลกเปลี่ยน” ในการ”เปลี่ยนพรรค”
     จึงไม่แปลก ที่หลายพรรคการเมือง ทั้งที่เป็นพรรคที่มีอยู่แล้ว และพรรคการเมืองที่”เพิ่งตั้งไข่” จึง”จัดทัพ” มุ่งหน้ามายัง”ภาคใต้” ที่เป็น”ฐานที่มั่นสุดท้าย” ของ”พรรคประชาธิปัตย์” โดยมองว่า”ภาคใต้” เป็น”จุดอ่อน” ของการ”เลือกตั้ง” ในครั้งนี้ เป็นการ”หลีกเลี่ยง” การ”แข่งขัน” ใน สนามของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ( อิสาน) และ”ภาคเหนือ” ซึ่งเป็น”ที่มั่น” ที่”เข้มแข็ง” ทั้งในเรื่อง”ทุน” และ”คน” ที่เป็น สส.
    มีบางพรรคที่เพิ่ง”ตั้งไข่” และ”ตกปลาในบ่อเพื่อน” ถึงกับออกมา”พูดว่า” ภาคใต้พรรคเราได้ สส.ตามที่ต้องการแน่  โดยประเมินว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่มี”ทั้งกระแส” และ”กระสุน” และ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” เป็น “หัวหน้าพรรค” ที่แม้แต่”คนในพรรค” ก็มองว่า”ไร้เสน่ห์” ทุกพรรคจึง”หมายมั่นปั้นมือ” ที่จะเข้ามา”แชร์ตลาด” สส. ในภาคใต้ ซึ่งมี” ที่นั่ง” อยู่ 58 ที่นั่ง
    ส่วนจะเป็นการ”ประเมิน” ที่”ถูกต้อง” หรือ”ผิดพลาด” อย่างไร ในการ”เลือกตั้ง”ครั้งนี้ ล้วนเป็นผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะ”ยิ่งมายิ่งเด่นชัด” ว่า พรรคการเมืองแต่ละพรรค ที่เข้ามาเพื่อ”ล้มประชาธิปัตย์” ใช้”กลยุทธ์” หรือ”ยุทธวิธี” แบบไหน เช่นบางพรรคที่เป็นพรรคที่เป็น”คู่แข่ง”เดิม ใช้วิธี”สะสมกระสุน” โดยไม่สนใจ”กระแส” เพื่อการ”ยิงสลุต” อย่างเดียว ส่วนพรรคใหม่”บางพรรค” ก็ใช้”บริการ”คนของ”ประชาธิปัตย์” ที่ถูก”ดูดออกไป” ทำการ”แย่งชิง” กลุ่ม”หัวคะแนน” โดยนักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์กลุ่มนี้เป็น”ไผ่กอเดียวกับประชาธิปัตย์”ที่ทำตัวเป็น”ด้ามพร้า” เพื่อ”ฆ่ากอไผ่” ที่เป็นที่มาของตนเอง และ “กลยุทธ์” ที่ใช้ใน”สนามเลือกตั้ง” ด้วยการ”ตกปลาในบ่อเพื่อน” และอาศัย” กระแสของหัวหน้าพรรค” พร้อมด้วย”กระสุน” ที่มี”บางคน” ในพรรค ออกมา”โอ้อวด” ว่ามีจำนวน “มหาศาล”
      เจ้าถิ่น อย่าง”ประชาธิปัตย์” จะแก้เกมอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในการเลือกตั้งครั้งนี้”ประชาธิปัตย์” ต้อง”ปิดประตูแพ้” ใน”ภาคใต้”ด้วยการที่จะต้องได้ สส.อย่างน้อย 35 ที่นั่ง หรือทั้งประเทศทั้ง สส.เขต และสส.บัญชีรายชื่อ จะต้องได้ 80 เป็นอย่างต่ำ  ที่สำคัญในการเลือกตั้งครั้งนี้”ประชาธิปัตย์” มีการ”ถอดบทเรียน” ของการ”พ่ายแพ้” ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ที่เป็น”บทเรียน” ที่สำคัญ และทำการปิด”จุดอ่อน” ทุกจุด ที่เคย”ผิดพลาด”มา
    

'อนุทิน' ระบุ ไทยมีความพร้อมรับนักท่องเที่ยวจีน ย้ำ การท่องเที่ยวมีความหมายต่อเศรษฐกิจประเทศ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานประชุมเตรียมความพร้อมรับผู้เดินทางเข้าประเทศจากสาธารณรัฐประชาชนจีน สรุปว่า ไทยมีความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวโดยไม่เจาะจงว่าเป็นประเทศใดในทุกมิติซึ่งมาตรการที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นมาตรการที่มีความเหมาะสม ส่วนในกรณีที่ประเทศใดมีข้อกำหนดพิเศษขึ้นมา เช่นต้องตรวจ RT-PCR ให้กับนักท่องเที่ยวก่อนเดินทางกลับประเทศต้นทาง นักท่องเที่ยวต้องซื้อบัตรประกันสุขภาพก่อนเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดยต้องครอบคลุมการรักษาโรค โควิด-19 ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่เท่าเทียม เป็นธรรมทั้งประเทศที่เปิดรับนักท่องเที่ยวและประเทศต้นทาง

นายอนุทิน กล่าวว่าขณะเดียวกันก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยต้องให้นักท่องเที่ยวฉีดวัคซีนป้องกัน โควิด-19 อย่างน้อยสองเข็มหากมีอาการป่วยทางเดินหายใจควรเลื่อนการเดินทางและรักษาให้หายก่อนเพื่อลดการแพร่ระบาด ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวในช่วงเริ่มต้น ซึ่งมาตรการต่างๆจะมีการปรับเปลี่ยนและลดหลั่นได้ตามความเหมาะสม พร้อมกันนี้ในที่ประชุมได้มีการนำเสนอ ขอความร่วมมือ ให้โรงแรมที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจัดซุ้มอำนวยความสะดวกสำหรับตรวจ RT-PCRด้วย

‘หมอเก่ง วาโย’ ชี้ ‘อนุทิน’ ไม่ยอมเซ็นงบป้องกันโรคกองทุน สปสช. เป็นการตีความกฎหมายผิดพลาด ทำประชาชนเข้าถึงยาป้องกัน HIV ลำบากกว่าเดิม ถาม บ้านอยู่อวกาศหรือยังไง ถึงชอบสร้างสุญญากาศ จี้กล้าหาญเซ็นอนุมัติงบโดยเร็ว

วันที่ 8 มกราคม 2566 นพ.วาโย อัศวรุ่งเรือง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีหน่วยให้บริการด้านการป้องกันเชื้อ HIV ของภาคประชาสังคมจำนวนมาก ไม่สามารถให้บริการด้านการป้องกันเชื้อ HIV เนื่องจากงบประมาณในส่วนของการป้องกันโรคของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 4 รายการ ได้แก่ การบริการสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค (PP), ค่าบริการผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ (PP-HIV), ค่าบริการผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน (LTC) และค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) งบประมาณรวม 5,146.05 ล้านบาท ไม่ถูกอนุมัติ โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยอ้างว่าการนำงบที่เกี่ยวกับโครงการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพ (Prevention and Promotion: P&P) จากกองทุนบัตรทอง ไปใช้ดูแลทั้งผู้ใช้สิทธิบัตรทอง ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการนั้น อาจไม่สอดคล้องกับอำนาจหน้าที่และภารกิจตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ทำให้กองทุน สปสช. ต้องออกหลักเกณฑ์การให้บริการใหม่แก่หน่วยบริการสุขภาพ ให้หน่วยให้บริการร่วม จัดสรรสิทธิ์ในการป้องกันเชื้อ HIV ให้เฉพาะคนที่มีบัตรทองเท่านั้น คนที่ต้องการรับยาเพร็พหรือยาเป๊ป (PrEP, PEP) ซึ่งเป็นยาป้องกัน HIV หรือแม้แต่การแจกถุงยางอนามัยฟรี ต้องไปใช้บริการโรงพยาบาลตามสิทธิ์ โดยคนที่มีสิทธิบัตรทองและข้าราชการไปรับได้ที่โรงพยาบาล ส่วนคนที่ไม่มีสิทธิบัตรทองหรือสิทธิข้าราชการ อาจต้องจ่ายค่ายา

นพ.วาโย กล่าวว่า การตีความกฎหมายของอนุทิน ผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะโดยหลักการตาม พ.ร.บ.กองทุน สปสช. ถือว่าบุคคลทุกคนมีสิทธิ์ได้รับบริการตามกองทุนประกันสุขภาพแห่งชาติ กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่มีสิทธิรักษาพยาบาลตามสิทธิอื่น โดยเฉพาะประกันสังคมและสิทธิข้าราชการ ให้ใช้เงินจากสิทธิที่ตนเองมีก่อน

“การป้องกันเชื้อ HIV และโครงการป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพอื่น ไม่ครอบคลุมอยู่ในสิทธิรักษาพยาบาลของข้าราชการและกองทุนประกันสังคม ดังนั้นคนไทยที่ต้องการใช้สิทธิตรงนี้จึงอยู่ในหน้าที่ของกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอย่างชัดเจน” นพ.วาโย กล่าว

รองนายกฯ ผู้ถูกกล่าวหา ‘เป็นชู้’ ยังคงมีชีวิตอยู่ถึง 61 ท่าน!!

สืบเนื่องจากเพจ ‘ทนายตั้ม - ษิทรา เบี้ยบังเกิด’ เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โดยโพสต์ข้อความผ่านบัญชีเฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา ว่า “...ผัวช็อค เจอภาพเมียเป็นชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรี คุณ ก. มาปรึกษาผมว่า ช่วงปีที่ผ่านมา ภรรยามีท่าทีเปลี่ยนไป จึงแอบเอาโทรศัพท์มาเช็ค ปรากฎว่าเจอภาพโป๊เปลือยของภรรยา แล้วที่ช็อคยิ่งกว่าคือ คนที่ถ่ายรูปคู่เปลือยด้วยกันนั้นคือ อดีตรองนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่ใครๆ ก็รู้จัก จึงมาปรึกษาจะทำอย่างไรต่อไป?”

โดยหลังจากข้อความนี้แพร่ออกไปในโลกโซเชียลมีเดีย จึงเริ่มมีกระแสคาดเดาจากประชาชนชาวเน็ตจำนวนมากว่า ‘รองนายกฯ คนดังกล่าว’ นั้นคือใคร?

จนกระทั่งล่าสุด ทนายตั้มยังได้โพสต์ภาพข้อความแชทผ่านไลน์ของอดีตรองนายกรัฐมนตรีคนที่ว่า พร้อมข้อความ “...คดีนี้มาปรึกษาผมตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมก็ทำเรื่องฟ้องหย่าภรรยา ฟ้องชู้ที่เป็นอดีตรองนายกรัฐมนตรีไปแล้ว แต่ปรากฎว่าได้มีการข่มขู่ คุกคามคุณ ก. มาตลอด คุณ ก. เลยอยากจะให้เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ เพื่อป้องกันตัวหากเป็นอะไร และอยากให้ประชาชนได้รู้พฤติกรรมของนักการเมืองใหญ่คนนี้ จึงขอให้ผมช่วยดำเนินการให้ เรื่องนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงกับผม จึงไม่อาจทำอะไรให้ถูกใจทุกคนได้ ผมเลยต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง และพยายามให้กระทบกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด แต่ทุกคนจะได้รู้แน่นอนครับ”

ต่อประเด็นนี้ทางสำนักข่าว THE STATES TIMES ได้ตระหนักถึงความเสียหายอันอาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้ไม่เกี่ยวข้องหลายชีวิตหลายท่าน จึงได้ทำการตรวจสอบ และสืบค้นข้อมูลจนพบว่า ปัจจุบันมีอดีตรองนายกรัฐมนตรีซึ่งยังมีชีวิตอยู่ถึง 61 ท่าน เรียงตามลำดับอาวุโส ตั้งแต่มากไปหาน้อยดังนี้...

รุ่นใหญ่อายุ 90 ปีขึ้นไป มีเพียงหกท่านด้วยกัน ได้แก่ นายบุญพันธ์ แขวัฒนะ (93 ปี) นายเกษม สุวรรณกุล (92 ปี) หม่อมราชวงศ์เกษมสโมสร เกษมศรี (92 ปี) นายเสนาะ อูนากูล (91 ปี) พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ (90 ปี) และนายอำนวย วีรวรรณ (90 ปี)

รุ่นถัดมาอายุ 80 ถึง 89 ปี มี พลตำรวจเอก วิโรจน์ เปาอินทร์ (89 ปี) พลตรี จำลอง ศรีเมือง (87 ปี) นายสุขวิช รังสิตพล (87 ปี) นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล (86 ปี) พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา (85 ปี) นายมีชัย ฤชุพันธุ์ (84 ปี) พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (84 ปี) นายชวน หลีกภัย (84 ปี) นายมั่น พัธโนทัย (81 ปี) พลตำรวจเอก สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ (81 ปี) นายปองพล อดิเรกสาร (80 ปี) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน (80 ปี) พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก (80 ปี) และนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ (80 ปี)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top