Tuesday, 8 July 2025
Politics

กมธ.พัฒนาการเมือง รับเรื่องตรวจสอบ ‘วีระกร’ หลังปชช. ร้องเรียน ช่วยผู้สมัครนายกฯ อบต. หาเสียง

กมธ.พัฒนาการเมือง สรุปผลการประชุม เผย ปชช. ร้องเรียน ‘วีระกร คำประกอบ’ สส.นครสวรรค์ ช่วยอบต.หาเสียง เข้าข่ายผิด พรบ.การเลือกตั้งท้องถิ่น พร้อมตั้งคณะทำงานจับตาการเลือกตั้งนายกอบต. ทั่วประเทศ 

เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา ส.ส.นครปฐม เขต 3 พรรคก้าวไกล ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมของประชาชน สภาผู้แทนราษฎร แถลงต่อสื่อมวลชน ถึงสรุปผลการประชุมของคณะกรรมาธิการ พร้อมด้วยข้อเรียกร้องจากประชาชนต่อกรรมาธิการ ในประเด็นให้ตรวจสอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ช่วยหาเสียงผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) 

สุทธวรรณ กล่าวว่า คณะกรรมาธิการได้มีการประชุมครั้งที่ 69 เมื่อวันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา เพื่อพิจารณาศึกษาในการมีส่วนร่วมของประชาชน ในการเป็นอาสาพัฒนาการเมืองและส่งเสริมการเลือกตั้ง โดยมีผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งผู้แทนสถาบันพระปกเกล้า ผู้แทนกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผู้แทนองค์กรภาคประชาชน ได้แก่ เครือข่าย We Watch ผู้แทนโครงการ ELECT เข้าร่วมประชุม โดย คณะกรรมาธิการได้คำนึงถึงบทบาทของภาคประชาชนในระบอบประชาธิปไตย 

จึงมีแผนจะดำเนินโครงการอาสาพัฒนาการเมืองและส่งเสริมการเลือกตั้ง เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบการเลือกตั้งให้มีความโปร่งใส สุจริต และเที่ยงธรรม โดยสร้างเครือข่ายผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้มีการดำเนินการตรวจสอบการเลือกตั้งด้วยกระบวนการนับผลคะแนนการเลือกตั้งแบบคู่ขนาน (Paralle! Vote Tabulation: PVT) โดยจะนำมาใช้ในการเลือกตั้งในระดับต่าง ๆ คณะกรรมาธิการ จึงต้องการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมขับเคลื่อนโครงการดังกล่าว

สุทธวรรณ กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวว่า ข้อจำกัดในการเข้าไปสังเกตการณ์การเลือกตั้งของประชาชน ตามกฎหมายจะไม่อนุญาตให้เข้าไปสังเกตการณ์เลือกตั้งภายในหน่วยเลือกตั้งได้อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันอยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขระเบียบในเรื่องดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะแก้ไขให้แล้วเสร็จได้ก่อนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในปี พ.ศ. 2564 โดยสำนักงานฯ มีความยินดีที่จะให้ความร่วมมือในการดำเนินโครงการอาสาพัฒนาการเมืองและส่งเสริมการเลือกตั้ง

ในส่วนของ ผู้แทนเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า สถาบันพระปกเกล้ามีพันธกิจในการส่งเสริมงานวิชาการของรัฐสภา และส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง ทั้งนี้ สถาบันพระปกเกล้ามีความยินดีที่จะร่วมให้ข้อมูลและร่วมกับคณะกรรมาธิการในการดำเนินโครงการอาสาพัฒนาการเมืองและส่งเสริมการเลือกตั้ง

จากการทำให้การเลือกตั้งมีความโปร่งใส จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นจากสังคม ทำให้การเข้าสู่ตำแหน่งผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ถูกตั้งคำถามจากประชาชน และสถาบันพระปกเกล้า มีการดำเนินโครงการเลือกตั้งสมานฉันท์และไม่ซื้อสิทธิขายเสียง เพื่อส่งเสริมบทบาทภาคประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการเลือกตั้ง ซึ่งจะช่วยลดความขัดแย้งและการซื้อสิทธิขายเสียงได้ในระดับหนึ่ง

โฆษกรัฐบาล เผย “นายก” จี้ ฝ่ายความมั่นคง สางปม แรงงานเถื่อนข้ามชาติ ควบคู่ ป้องโควิด-19 รองรับ เปิดประเทศ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดตามแนวชายแดน เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงทั้ง ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เพิ่มความเข้มงวด  เฝ้าระวัง สกัดกั้นขบวนการขนย้าย ค้าแรงงานต่างด้าว ที่แอบลักลอบเข้าประเทศไทยตามแนวชายแดนโดยผิดกฎหมาย หลังพบการรายงานการจับกุมการลักลอบขนย้ายแรงงานเถื่อนผ่านชายแดนมีความถี่มากขึ้น โดยให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพิ่มมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทุกประเภท

ทั้งการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การค้าอาวุธเถื่อนและยาเสพติด  ควบคู่ไปกับมาตรการป้องกันและควบคุมโรค Covid-19  บริเวณชายแดน รวมทั้งใช้กลไก ศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านจังหวัด ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดบูรณาการการทำงาน ร่วมกันและนำเทคโนโลยีมาใช้เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และให้สถานที่กักกัน (OQ) ให้เพียงพอเพี่อรองรับการลักลอบข้ามแดนที่มากขึ้น เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของ Covid-19 อย่างมีประสิทธิภาพ 

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับการจับกุมการลักลอบขนย้ายแรงงานเถื่อนผ่านชายแดนหลายคดีในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เช่นวันที่ 3 พ.ย. 64  เจ้าหน้าที่จับกุมกลุ่มบุคคลต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 17 คน ที่บริเวณจุดตรวจ ต.แม่งอน อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ วันเดียวกันในพื้นที่อ่างเก็บน้ำห้วยงู บ.ห้วยหมากเลี่ยม ต.ม่อนปิ่น อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ พบผู้ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สัญชาติเมียนมา 19 คน  และเมี่อวันที่  31 ตุลาคมที่ผ่านมา  ได้จับกุมชาวเมียนมา บริเวณช่องทางธรรมชาติช่องสิบศพ อ.เมืองประจวบคีรีขันธ์ ได้ 45 คน  เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ทำการตรวจคัดกรองโควิด -19 ตามมาตรการเฝ้าระวัง ก่อนนำตัวส่งเจ้าหน้าที่ ตม. เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

“นายกฯ”กำชับ ดูแลชาวนา บรรเทาราคาข้าวตกต่ำ

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ไม่ได้นิ่งนอนใจ ต่อกรณีที่ชาวนาร้องเรียนราคาข้าวตกต่ำจนถูกกว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และกำชับกระทรวงพาณิชย์ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.)เร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ที่ได้รับผลกระทบทั้งโควิด-19 น้ำท่วม ราคาข้าวตกต่ำ จึงต้องหาทางบรรเทาความเดือดร้อนโดยเร็ว ขณะนี้ธ.ก.ส. แจ้งว่าระบบจะโอนเงินให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวในโครงการประกันรายได้ งวดแรกในวันที่ 9 พ.ย.นี้ 

นายธนกร กล่าวถึงราคาข้าวที่ลดต่ำลงในช่วงนี้ ว่า มาจากปัจจัยหลายด้าน เช่น การส่งออกข้าวไปต่างประเทศ การบริโภคในประเทศที่ลดลง ปริมาณฝนตกชุก ปัญหาน้ำท่วมส่งผลต่อคุณภาพข้าว โดยกระทรวงพาณิชย์ รายงานว่าคำสั่งซื้อข้าวจากต่างประเทศมีมากขึ้นในช่วง 6 เดือนหลัง และค่าเงินบาทอ่อนตัวลง จึงเพิ่มความสามารถในการแข่งขันข้าวไทยและคาดว่าปีนี้ จะส่งออกได้ราว 6 ล้านตันตามที่ตั้งเป้าไว้ ขณะที่ความต้องการบริโภคในประเทศมีสัญญานดีขึ้น และสถานการณ์น้ำท่วมเริ่มคลี่คลาย มาตรการที่กระทรวงพาณิชย์เข้าไปแก้ไขปัญหาจะช่วยให้ราคาข้าวเปลือกในตลาดดีขึ้นเป็นลำดับ

'รัฐ' ไฟเขียว กำหนดภาชนะพลาสติกอุ่นไมโครเวฟ ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน มอก. ยกระดับความปลอดภัย ลดสารเคมีปนเปื้อน

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 ระบุว่า จากปัจจุบันนี้ ประชาชนนิยมนำพลาสติกบรรจุอาหารมาใช้กับเตาไมโครเวฟ ซึ่งภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารบางประเภทเหมาะสำหรับใช้อุ่นอาหารเพียงครั้งเดียว หากนำกลับมาใช้ซ้ำโดยอุ่นในเตาไมโครเวฟ จะทำให้สารเติมแต่งที่สร้างความคงทนในภาชนะพลาสติกแพร่กระจายปนเปื้อนสู่อาหารและก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้น ครม.จึงอนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับเตาไมโครเวฟ สำหรับการอุ่น ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ เพื่อให้ประชาชนได้ใช้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับการอุ่นด้วยเตาไมโครเวฟที่มีคุณภาพและปราศจากสารเคมีปนเปื้อน อันจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยและป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน สำหรับสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงมีดังนี้

1.กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะพลาสติกบรรจุอาหารสำหรับเตาไมโครเวฟ สำหรับการอุ่น ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 2493 เล่ม 1-2554 ต้องมีคุณสมบัติ อาทิ 1)ภาชนะพลาสติกรวมฝา ที่ต้องสัมผัสโดยตรงกับอาหารที่อุ่นในเตาไมโครเวฟ และต้องทนอุณหภูมิได้ไม่ต่ำกว่า 100 องศาเซลเชียส 2)ผลิตจากพลาสติก 4 ชนิด คือ พอลิพรอพิลีน (PP) พอลิเอทิลีนเทเรฟแทเลต (PET) พอลิเมทิลเมทาคริเลต (PMMA) พอลิเมทิลเพนทีน (PMP) 3)สีที่ใช้พิมพ์/ผสมในเนื้อพลาสติกต้องเป็นสีชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร มีความปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

2.กำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมภาชนะพลาสติก บรรจุอาหารสำหรับเตาไมโครเวฟ สำหรับการอุ่นครั้งเดียว ต้องเป็นไปตามมาตรฐานเลขที่ มอก. 2493 เล่ม 2-2556 ต้องมีคุณสมบัติ อาทิ 1)ภาชนะพลาสติก ฝา และส่วนประกอบอื่นที่สัมผัสอาหาร สำหรับใช้อุ่นในเตาไมโครเวฟ ทนอุณหภูมิได้ไม่ต่ำกว่า 100 องศาเซลเชียส ทำขึ้นเพื่อใช้ครั้งเดียวจากวัสดุชั้นเดียวหรือหลายชั้น 2)ผลิตจากพลาสติก 3 ชนิด คือ พอลิพรอพิลีน (PP) พอลิเอทิลีนเทเรฟแทเลต (PET) พอลิสไตรีน (PS) 3)สีที่ใช้พิมพ์/ผสมในเนื้อพลาสติกต้องเป็นไปตาม มอก.1069 หรือเป็นสีชั้นคุณภาพสัมผัสอาหาร มีความปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 

“โฆษกรัฐบาล” วอนอย่าบิดเบือนเจตนาดี "บิ๊กตู่” แจงแนะปลูกผักชีในค่ายทหาร เพราะอยากให้ทุกส่วนราชการใช้ทุกโอกาส-พื้นที่ แก้ปัญหาให้ประชาชน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสโซเชียลที่นำคำปรารภของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในที่ประชุมครม. แนะแก้ปัญหาราคาผักชีแพง ให้ปลูกผักชี ในพื้นที่ทหารเพราะผักชีกำลังแพง ว่า เป็นการตัดตอนคำพูดโดยไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีเจตนาดีตั้งใจช่วยเหลือประชาชน สั่งการให้ทุกส่วนราชการ ใช้ทรัพยากรของตนเองที่มีอยู่ ช่วยเหลือพี่น้องประชาชน  ซึ่งปกติพี้นที่ทหารที่ว่าง ก็จะมีการนำมาใช้ประโยชน์อยู่แล้ว เช่น ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น

ที่ผ่านมาพื้นที่ในหน่วยทหาร ก็ถูกนำไปใช้ประโยชน์หลายครั้งในหลายโอกาส เช่น ตั้ง โรงพยาบาลสนาม ในค่ายทหาร ช่วงวิกฤตโควิด-19 ทั้งนี้ เชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่เข้าใจดี ปัญหาที่ประชาชนเดือดร้อนนายกรัฐมนตรีพยายามแก้ไขให้ทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของพี่น้องประชาชน นายกฯใส่ใจทุกปัญหาของประชาชน และที่ผ่านมาทุกปัญหานายกฯจะสั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ปัญหาโดยเร่งด่วนและให้ทำทันที

นายธนกร กล่าวว่า ขณะนี้หน่วยงานอื่นๆ ก็มีมาตรการคู่ขนานออกมาเพื่อช่วยแก้ปัญหาราคาสินค้าพีชผักแพง เช่น กระทรวงพาณิชย์ เปิดโครงการ Mobile พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน โดยจัดรถเคลื่อนที่จำนวน 50 คัน เพื่อจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค และผัก ราคาถูก  ทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล  กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กำลังพิจารณาแนวทางแก้ปัญหาแม่ปุ๋ยราคาแพง   เป็นต้น  ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาลยังได้มีมาตรการต่างๆ ในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน กระตุ้นกำลังซื้อ  ทั้งโครงการคนละครึ่ง โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ  โครงการยิ่งใช้ ยิ่งได้ ด้วย 

'จีน' หนุน งบฯ ให้ อว. กว่า 2.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ขับเคลื่อน 7 โครงการ ผ่าน กองทุนพิเศษแม่โขง – ล้านช้าง

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ครม.วันที่ 4 พฤศจิกายน 2564 เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ประจำปี พ.ศ.2564 (Memorandum of Understanding on the Cooperation on Projects of the Mekong - Lancang Cooperation Special Fund 2021) ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ซึ่งมีผลบังคับใช้ 5 ปี

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการโครงการภายใต้กองทุนพิเศษแม่โขง - ล้านช้าง ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อันจะนำไปสู่การสร้างชุมชนแห่งการแบ่งปันเพื่อให้เกิดสันติภาพและความมั่งคั่งในอนาคตต่อสมาชิกแม่โขง - ล้านช้าง สำหรับในปี 2564 ไทยได้รับการอนุมัติสนับสนุนเงินงบประมาณภายใต้ร่างบันความเข้าใจจำนวน 7 โครงการ รวมเป็นเงิน 2,396,800 ดอลลาร์สหรัฐ ดังนี้

1.โครงการแนวทางใหม่เพื่อการเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างยั่งยืนในสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง วงเงิน 420,000 ดอลลาร์สหรัฐ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
2.โครงการควบคุมความเสี่ยงด้านความปลอดภัยและความมั่นคงด้านอาหารด้วยการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับชีวิตวิถีใหม่ วงเงิน 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
3.โครงการยกระดับการเลี้ยงผึ้งของเกษตรกรผู้เลี้ยงผึ้งในภูมิภาค แม่โขง - ล้านช้าง ครบวงจรและการสำรวจสุขภาพของแมลงผสมเกสร เพื่อความมั่นคงทางอาหาร วงเงิน 416,100 ดอลลาร์สหรัฐ (มหาวิทยาลัยเชียงใหม่)
4.โครงการเทคโนโลยีและนวัตกรรมสำหรับการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตสัตว์และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และการเพิ่มมูลค่า โดยใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นเพื่อความมั่นคง และความยั่งยืน วงเงิน 339,200 ดอลลาร์สหรัฐ (มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี) 
 

'ซูเปอร์โพล' เผยปชช. วอนหยุดโหน ม.112 อย่าดึงสถาบันฯ - แก้ม.112 เป็นเกมการเมือง

'ซูเปอร์โพล' เผยผลสำรวจประชาชนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องการให้นำสถาบันพระมหากษัตริย์ และการแก้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือการเมือง จำเป็นต้องปกป้องการล้มล้างสถาบันฯ จากกลุ่มไม่หวังดี

5 พ.ย. 64 - ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) สถาบันวิจัยความสุขชุมชนและความเป็นผู้นำ เสนอผลสำรวจ เรื่อง ม.112 : เบื้องหลังและความจำเป็น กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศโดยดำเนินโครงการทั้งการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จำนวน 2,272 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1 - 4 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา พบว่า ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 98.5 ระบุ การมีอยู่ของสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์เชิงลึกของคนในชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์ เช่น ไทย-จีน ไทย-ญี่ปุ่น ไทย-อังกฤษ เป็นต้น

ที่น่าสนใจ คือ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.0 ระบุ สถาบันกษัตริย์เป็นสถาบันหลักของการก่อร่างสร้างชาติในการกอบกู้เอกราช ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดูแลทุกข์สุขของราษฎร และร้อยละ 96.1 ระบุ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการยกเลิก หรือ แก้ไข มาตรา 112 เพราะ การมีอยู่ ไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตปกติและสิทธิส่วนบุคคลของประชาชนทั่วไป

นอกจากนี้ เกือบร้อยละร้อย หรือ ร้อยละ 99.1 ไม่ต้องการให้ใคร หรือ ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด นำสถาบันกษัตริย์และการแก้ ม.112 มาเป็นเครื่องมือต่อสู้ทางการเมือง หาคะแนนเสียงและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวสร้างความแตกแยกขัดแย้งในชาติ ในขณะที่ร้อยละ 98.9 ระบุ จำเป็นต้องป้องกันและปกป้องการล้มล้างสถาบันฯ จากกลุ่มไม่หวังดี บิดเบือนใส่ร้ายและจาบจ้วง ร้อยละ 98.4 ระบุ ประมุขของทุกประเทศ เป็นเกียรติศักดิ์ศรีและสถาบันหลักของชาติ จำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองด้วยกฎหมาย และร้อยละ 98.4 เช่นกัน ระบุ ไม่ต้องการให้นำสถาบันกษัตริย์และ ม.112 มาเป็นเครื่องมือปลุกปั่นเยาวชน คนรุ่นใหม่ให้ล้มล้างสถาบันอันเป็นศูนย์รวมจิตใจและความศรัทธาภักดีของคนในชาติ

อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.2 ระบุมีความพยายามจากขบวนการต่างชาติมหาอำนาจ เข้ามาแทรกแซง เชื่อมโยงกับกลุ่มต่อต้านสถาบัน ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทย เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ชาติไทย และร้อยละ 96.2 เชื่อว่ามีกลุ่มต่อต้านสถาบันและแกนนำรับเงินและผลประโยชน์อื่น เป็นเครื่องมือของประเทศมหาอำนาจในการโค่นล้มสถาบัน

“แรมโบ้” เห็นด้วย สำนักวิจัยซูเปอร์โพลเรื่องไม่ต้องการให้นำสถาบันกษัตริย์และการแก้ ม. 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง อัด “เพื่อไทย- ก้าวไกล"หากนำมาชูหาเสียงอย่าหวังชนะถล่มทลาย เพราะประชาชนไม่เอาด้วย

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เห็นด้วยกับผลสำรวจสำนักวิจัยซูเปอร์โพลเรื่อง ม.112 ที่พบว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 98.5  การมีอยู่ของสถาบันกษัตริย์เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์เชิงลึกของคนในชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงประวัติศาสตร์  นอกจากนี้เกือบร้อยละ 99.1 ไม่ต้องการให้นำสถาบันกษัตริย์และการแก้ ม. 112 มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง หาคะแนนเสียงและแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว เพราะจะทำให้สร้างความแตกแยกขัดแย้งในชาติ

จึงเป็นการแสดงให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศรักและศรัทธา และมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และจะไม่ยอมให้ใครนำเรื่องสถาบันไปแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเองหรือทางการเมืองของพรรคการเมือง

นายเสกสกล ยังอยากให้ฝ่ายค้านได้รู้จักคิดและฟังเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศบ้าง ว่าประชาชนมีความต้องการอะไร และการที่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล ต้องการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นตนเองมั่นใจว่าคนไทยทั้งประเทศไม่ยอมอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันการที่พรรคเพื่อไทย- พรรคก้าวไกล จะชูเรื่อง 112 ในการหาคะแนนนิยมของพรรคนั้นก็เป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างมาก เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย หากมีการเลือกตั้งครั้งหน้ามั่นใจว่าคงไม่ชนะแบบถล่มทลายอย่างที่คุยไว้แน่นอน

โพลมสธ. เผยคนกรุงฯ ชู ‘จุรินทร์’ นำโด่ง เหมาะนั่งนายกฯ คนต่อไป เหนือ 'ประยุทธ์-สุดารัตน์'

มสธ. โพล เผยผลสำรวจคนกรุงเทพ ยกให้ ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ นำโด่ง เหมาะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ระบุมีความเป็นผู้นําเฉพาะตัวเด่นชัด ตามมาด้วย ‘ประยุทธ์’ , ‘สุดารัตน์’

5 พ.ย. 64 - ศาสตราจารย์ ดร.วิทยาธร ท่อแก้ว ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการสื่อสารการเมืองและสังคม มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เปิดเผย ผลสํารวจความคิดเห็นของประชาชนในกรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับ ‘ประชาชนในกรุงเทพมหานครต้องการผู้นําที่มีคุณลักษณะแบบใดเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปแลคุณลักษณะพรรคการเมืองแบบใดที่ผู้นําสังกัดหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป’ ดําเนินการสํารวจ ระหว่างวันที่ 28 ตุลาคม-2 พฤศจิกายน 2564 กลุ่มตัวอย่าง จํานวน 12,350 คน เป็นชาย 6,820 คน (55.22%) หญิง 5,530 คน (44.78%)

ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากการสํารวจครั้งนี้ ชี้ให้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ผู้นําจากพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้ที่ประชาชนในกรุงเทพมหานครประเมินว่าเหมาะสมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ในสถานการณ์ช่วงเวลา 4-5 ปี ข้างหน้านี้ เนื่องด้วยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มีคุณลักษณะความเป็นผู้นําเฉพาะตัวเด่นชัดและมีคุณลักษณะพรรคการเมืองที่สังกัดเด่นชัด ตามรายละเอียดของผลการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไปนี้

1.) ประชาชนในกรุงเทพมหานครประเมินคุณลักษณะความเป็นผู้นําของผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

1.1) ผลสรุปภาพรวมคุณลักษณะความเป็นผู้นําของผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

จะเห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มีคะแนนโดยภาพรวมสูงสุด (54.24%) และรองลงมา คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (52.99%), คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (38.12%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (8.87%)

1.2) ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่ 1 คือ ความสามารถในการกอบกู้และแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศได้
จะเห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มีคะแนนสูงสุด (50.30%) รองลงมา คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา(41.31%), นายกรณ์ จาติกวณิช (32.02%) ตามลําดับ และนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (9.20%)

1.3) ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่ 2 คือ คุณลักษณะด้านความสามารถในการแก้ปัญหาปากท้องและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้

เห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มีคะแนนสูงสุด (50.89%) รองลงมา คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (43.44%), นายกรณ์ จาติกวณิช (30.14%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (7.72%)

1.4) ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่ 3 คือ คุณลักษณะด้านการเป็นผู้ที่มีประสบการณ์การบริหารประเทศ มีผลงานโดดเด่น เป็นที่ประจักษ์มาแล้วทั้งในอดีตและปัจจุบัน

เห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์มีคะแนนสูงสุด (59.53%) และรองลงมา คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (42.47%), คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (33.40%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (6.09%)

1.5) ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่ 4 คือ คุณลักษณะด้านการเป็นผู้ที่รอบรู้ รอบคอบ ทุ่มเท ขยัน และรู้กลไกการผลักดันงานหรือนโยบายให้สําเร็จได้

เห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ มีคะแนนสูงสุด (63.58%) รองลงมา คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (58.72%), คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (42.20%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด
(6.36%)

1.6) ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่ 5 คือ คุณลักษณะด้านการเป็นผู้ที่อ่อนน้อม ปรองดอง เข้าถึงง่าย ทํางานกับทุกฝ่ายได้

เห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์มีคะแนนสูงสุด (55.51%) รองลงมา คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (52.83%), นายอนุทิน ชาญวีรกูล (47.40%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (12.81%)

1.7) ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่ 6 คือ คุณลักษณะด้านการเป็นผู้ที่มีความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่เล่นพรรคเล่นพวก

เห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์มีคะแนนสูงสุด (54.72%) รองลงมา คือ พลตํารวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (58.74%), พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (54.13%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (9.60%)

1.8) ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่ 7 คือ คุณลักษณะด้านการเป็นผู้ที่รักษาสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์

เห็นได้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคะแนนสูงสุด (62.01%) และรองลงมา คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (60.12%), คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (57.96%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (16.34%)

1.9) ผลสรุปคุณลักษณะด้านที่ 8 คือ คุณลักษณะด้านการเป็นผู้ควบคุมกํากับความมั่นคงทางการทหารและตํารวจ

เห็นได้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีคะแนนสูงสุด (68.99%) และรองลงมา คือ พลตํารวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (40.92%) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (60.12%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (2.85%)

2.) ประชาชนในกรุงเทพมหานครประเมินคุณลักษณะพรรคการเมืองที่ผู้นําสังกัด หรือ อาจจะเป็นผู้ได้รับเสนอชื่อ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป 

2.1) ผลสรุปภาพรวมคุณลักษณะพรรคการเมืองที่เป็นผู้นําสังกัด หรือ อาจจะเป็นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป

เห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ผู้นําจากพรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนรวมสูงสุด (58.15%) และรองลงมา คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นําจากพรรคพลังประชารัฐ (45.59%), นายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้นําจากพรรคภูมิใจไทย, (40.74%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร ผู้นําจากพรรคเพื่อไทย มีคะแนนน้อยที่สุด (31.44%)

2.2) ผลสรุปคุณลักษณะพรรคการเมือง ด้านที่ 1 ยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยและระบบรัฐสภา

เห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ผู้นําจากพรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนสูงสุด (62.01%) และรองลงมา คือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ผู้นําจากพรรคภูมิใจไทย (54.20%), ตามลําดับ ส่วนนางสาว พินทองทา ชินวัตร ผู้นําจากพรรคเพื่อไทย มีคะแนนน้อยที่สุด (26.28%)

2.3) ผลสรุปคุณลักษณะพรรคการเมือง ด้านที่ 2 มีกลไกการทํางานที่เป็นระบบ เป็นพรรคการเมืองของประชาชน ไม่เป็นพรรคของใครคนใดคนหนึ่ง หรือ คณะบุคคล หรือ นายทุน

เห็นได้ว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ผู้นําจากพรรคประชาธิปัตย์ มีคะแนนสูงสุด (58.74%) และรองลงมา คือ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้นําจากพรรคพลังประชารัฐ (45.93%), นายกรณ์ จาติกวณิช ผู้นําจากพรรคกล้า (42.63%) ตามลําดับ ส่วนนางสาวพินทองทา ชินวัตร มีคะแนนน้อยที่สุด (23.46%)

'ณัฐชา' ชี้!! นายกฯ สั่งกองทัพปลูก 'ผักชีโรยหน้า' แค่หวังเบี่ยงปัญหาเสถียรภาพรัฐบาล

นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แสดงความกังวลเกี่ยวกับราคาพืชผลเกษตร โดยเฉพาะผักชีที่มีราคาแพงถึงกิโลกรัมละ 400 บาท โดยสั่งการในที่ประชุม ครม. ให้นำพื้นที่ของทหารมาปลูกผักชี เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ที่ต้องบริโภคพืชผักสวนครัวนำมาประกอบอาหาร 

โดย นายณัฐชา ระบุว่า ประเทศไทยสิ้นหวังมานานแล้วที่มีผู้นำชื่อประยุทธ์ จันทร์โอชา มีเหตุการณ์มากมายที่ตอกย้ำความสิ้นหวังของพี่น้องประชาชนในประเทศนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งให้เลี้ยงปลา ตอนที่มีน้ำท่วม หรือช่วงที่ราคามะนาวแพงก็แนะพี่น้องประชาชนให้ปลูกมะนาว มาวันนี้ก็ให้ทหารปลูกผักชี นี่คือวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีในการแก้ปัญหาสินค้าเกษตร 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top