Monday, 9 June 2025
NewsFeed

รวมพลคนชื่อ ‘โจ้’

สนั่นโลกโซเชี่ยลตอนนี้ คงหนีไม่พ้น ‘ผกก.โจ้’ หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนพล หนึ่งในผู้ร่วมลงมือนำถุงคลุมศีรษะผู้ต้องหาจนถึงแก่ความตาย ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเร่งติดตามตัวมาดำเนินคดีอย่างเร่งด่วน

ไหน ๆ ‘ชื่อโจ้’ ก็เต็มหน้าฟีดซะขนาดนี้ THE STATES TIMES เลยไปรวบรวมบรรดา ‘คนชื่อโจ้’ ในแวดวงการอื่น ๆ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่า แต่ละคน ดัง ๆ ทั้งนั้น!!


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อีอีซี กระชับความร่วมมือระดับสูง ไทย-กวางตุ้ง ให้เกิดเป็นรูปธรรม ย้ำเดินหน้าความร่วมมือ 5 สาขาหลัก อุตสาหกรรมEV, ดิจิทัล5G, สุขภาพ, Smart City และเศรษฐกิจสีเขียว เสริมแกร่งเศรษฐกิจไทย 

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายหม่า ซิงรุ่ย ผู้ว่าการมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นประธาน การประชุมความร่วมมือระดับสูง ไทย-กวางตุ้ง (High Level Cooperation Conference: HLCC) ครั้งที่ 1 หัวข้อ Stronger Strategic Synergy between GBA and the EEC for a Better Future โดยมี นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) นายวีรชัย มั่นสินทร ประธานสถาบันความร่วมมืออุตสาหกรรมไทย-จีน (สภาอุตสาหกรรม) นายโจว ย่าเหว่ย สมาชิกถาวรพรรคคอมมิวนิสต์จีน นครกว่างโจว (เทียบเท่ารองนายกเทศมนตรีกว่างโจว) นายเถา หย่งซิน รองนายกเทศมนตรีเซินเจิ้น และนายจู เหว่ย รองผู้อำนวยการ คณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปมณฑลกวางตุ้ง และสำนักงาน GBA เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล  

การประชุม HLCC ครั้งนี้ ถือเป็นเวทีหารือเฉพาะด้านเศรษฐกิจและการเชื่อมโยงระหว่างเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี และการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ Greater Bay Area (GBA) ของจีน ซึ่งประกอบด้วยมณฑลกวางตุ้ง, ฮ่องกง และมาเก๊า เพื่อยกระดับความร่วมมือระหว่าง อีอีซี กับ GBA ให้มีความเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์ในการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กรอบบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย

นายคณิศ แสงสุพรรณ ได้กล่าวถึง ความก้าวหน้าการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่อีอีซี ให้แก่ทางมณฑลกวางตุ้ง ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, สนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก, ท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในด้านการพัฒนา 5G ในพื้นที่อีอีซี พร้อมความก้าวหน้าการส่งเสริม 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย 

โดยอีอีซี จะให้ความสำคัญกับ 3 คลัสเตอร์ ประกอบด้วย (1) Digital and 5G (2) Smart Logistics (3) Health and Wellbeing ซึ่งมี BCG (Bio-circular-Green) เป็นแนวทางการลงทุนและประกอบธุรกิจสำหรับทุกคลัสเตอร์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการเป็น Net Zero Emission ในภาคอุตสาหกรรมของพื้นที่อีอีซี 

ทั้งนี้ ยังได้หารือถึงโอกาสการเชื่อมโยงการพัฒนาเชิงพื้นที่ระหว่างอีอีซี และ GBA ผ่านเส้นทางบกและทางรางผ่านทาง สปป.ลาว และไทยมายังปลายทาง อีอีซี จากแผนการพัฒนาท่าเรือบก (Dry port) ซึ่งจะเชื่อมโยงกับท่าเรือบกประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงจีนตอนใต้ เช่น ฉงชิ่ง และคุนหมิง การเชื่อมโยงขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามันในอนาคตผ่าน Land bridge ไปยังท่าเรือน้ำลึกระนอง ซึ่งจะเชื่อมโยงกลุ่มประเทศเอเชียใต้และยุโรป และโอกาสการเชื่อมโยงทางอากาศกับสนามบินอู่ตะเภา ที่สามารถรองรับทั้งการขนส่งสินค้าและผู้โดยสาร รวมถึงเป็น Connectivity Hub เชื่อมโยงพื้นที่ GBA กับกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงได้เป็นอย่างดี โดยได้เน้นย้ำถึงศักยภาพของอีอีซี ในการเป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อกับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ASEAN รวมถึงการเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับ Belt & Road Initiative

นายคณิศ ย้ำถึงความร่วมมือระหว่างอีอีซี กับ GBA ในด้านการลงทุนและอุตสาหกรรม 5 สาขาหลักที่กวางตุ้งมีศักยภาพ ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่และยานยนต์อัจฉริยะ EV (2) ดิจิทัลและ 5G (3) อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ (4) Smart City และ (5) อุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ Green and Circular Economy 

ซึ่งสอดคล้องกับประเด็นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ประธานการร่วมประชุมฝ่ายไทย ได้เสนอให้ทั้งสองฝ่ายเร่งรัดส่งเสริมความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิต (Supply Chain Connectivity) ในสาขาอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยานยนต์พลังงานใหม่และยานยนต์อัจฉริยะ ปัญญาประดิษฐ์ เกษตรสมัยใหม่ และพลังงานสะอาดและพลังงานทางเลือก การพัฒนาศักยภาพและเครือข่ายของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs และ Startups และการพัฒนา Smart City และ 5G  

อย่างไรก็ดี ที่ประชุมฯ ได้รับรองความร่วมมือ 6 สาขา ที่ทั้งสองฝ่ายจะเร่งดำเนินการ ได้แก่ (1) อุตสาหกรรมสมัยใหม่ (2) เศรษฐกิจ การค้าและการลงทุน (3) การเกษตร (4) วัฒนธรรม การท่องเที่ยวและการดูแลสุขภาพ (5) การแลกเปลี่ยนฉันมิตรระหว่างท้องถิ่น (6) ความร่วมมือด้านอื่น ๆ อาทิ พลังงานสะอาด วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรม รวมถึงการเงินและตลาดทุน 

โดยทั้งสองฝ่ายยินดียกระดับความร่วมมือระหว่าง สกพอ. กับสำนักงาน GBA และเขตนำร่องการค้าเสรีของกวางตุ้ง และเห็นพ้องให้จัดตั้งคณะทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดการทำงานที่เป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง และมีการร่วมมือและประสานงานกันอย่างใกล้ชิด โดยจะเจาะลึกถึงการลงทุนในกิจการและอุตสาหกรรมสำคัญ รวมถึงร่วมพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างมีเป้าหมายร่วมกัน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘พิธา’ ยืนยัน พร้อมสู้ทุกกติกาเลือกตั้ง ด้าน 2 ส.ส.เขต ‘ก้าวไกล’ ซัด ออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ แต่กลับให้ย้อนใช้ระบบเก่า ชี้ ผ่านมาแล้ว 24 ปี บริบทเปลี่ยนแล้วสิ้นเชิง ควรพัฒนาเป็นระบบ ‘บัตรสองใบ’ ที่สะท้อนเสียงของประชาชนถูกตามสัดส่วนจริง

แบบปี 40 ก็ไม่กลัว ‘พิธา’ ยืนยัน พร้อมสู้ทุกกติกาเลือกตั้ง ด้าน 2 ส.ส.เขต ‘ก้าวไกล’ ซัด ออกแบบระบบเลือกตั้งใหม่ แต่กลับให้ย้อนใช้ระบบเก่า ชี้ ผ่านมาแล้ว 24 ปี บริบทเปลี่ยนแล้วสิ้นเชิง ควรพัฒนาเป็นระบบ ‘บัตรสองใบ’ ที่สะท้อนเสียงของประชาชนถูกตามสัดส่วนจริง กระทุ้ง ‘หน้าที่ ส.ส.’ คือใช้อำนาจ ‘นิติบัญญัติ’ แทนประชาชน ไม่ใช่แย่งงานดูแลถนน น้ำ ไฟ ของ ‘ท้องถิ่น’ ไปทำเอง

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 ที่อาคารรัฐสภา นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ได้ร่วมอภิปรายญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 แก้ไขมาตรา 83 กล่าวว่า น่าเสียดายที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ ไม่สามารถเปิดทางให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. มาทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้ เพราะการมี สสร. จะเป็นการเปิดพื้นที่ ที่สังคมไทยจะสามารถมาร่วมกันหาฉันทามติใหม่ มาหาทางออกร่วมกันจากประชาชนทุกกลุ่ม ทุกความฝัน เพื่อมาสะสาง หาทางออกจากปัญหาที่ต้นตอได้อย่างแท้จริง

“เมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ประชาชนเรียกร้อง ได้ถูกลดทอนลงเหลือแค่ การแก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะเรื่องระบบเลือกตั้ง อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ต้องเสนอทางออกที่ดีที่สุดให้สังคมในเรื่องนี้ด้วย ทั้งนี้ บัตรเลือกตั้งแบบ 2 ใบ เป็นสิ่งที่พวกเราต้องการตั้งแต่แรก หากจะแก้ไขระบบเลือกตั้งใหม่ให้เป็นแบบบัตร 2 ใบ ก็จำเป็นต้องสรุปบทเรียนจากปัญหาระบบเลือกตั้งที่เคยใช้มาแล้วในอดีต ที่มีข้อบกพร่องด้วย แล้วพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมโดยใช้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเมื่อปี 2540 เป็นรากฐาน” นายพิธา กล่าว

นายพิธา กล่าวต่อไปว่า รัฐธรรมนูญปี 40 ได้นำระบบบัตรเลือกตั้งสองใบมาใช้ โดยการมี ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อนั้น ได้กระตุ้นให้พรรคการเมืองแข่งขันกันในเชิงนโยบายที่ตอบสนองประชาชนทั้งประเทศมากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนความเป็นสถาบันทางการเมืองให้แก่พรรคการเมืองด้วย ด้วยเหตุนี้จึงเห็นด้วยหากจะแก้ไขให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบ ประชาชนสามารถเลือกคนที่ใช่ และเลือกพรรคที่ชอบ และสนับสนุนให้คงสัดส่วนจำนวน ส.ส. แบบเขตกับแบบบัญชีรายชื่อเป็น 350 ต่อ 150 เพื่อส่งเสริมให้การทำงานของผู้แทนราษฎรในเขตเลือกตั้งได้สัดส่วนเหมาะสมกับการทำงานของผู้แทนราษฎรในเชิงนโยบาย นอกจากนี้เรายังสามารถที่จะปรับปรุงระบบเลือกตั้งแบบบัตรสองใบในอดีตให้ดีขึ้นได้อีก ด้วยการออกแบบวิธีการคำนวณ ส.ส. ของแต่ละพรรคการเมืองในสภาอย่างเป็นธรรม ให้สะท้อนเสียงทุกเสียงของประชาชนได้มากขึ้น

“ตลอดเกือบ 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยผ่านการรัฐประหารมาแล้ว 2 ครั้ง ผ่านวิกฤตการเมืองอีกหลายครั้ง ประเทศของเราเผชิญกับโจทย์ใหญ่ที่สำคัญและยังหาทางออกไม่ได้ คือเรายังไม่สามารถหาข้อยุติว่าระบบการเมืองแบบไหนที่ทุกฝ่ายยินยอมพร้อมใจที่จะอยู่ร่วมกันได้ และระบบเลือกตั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของระบอบการเมืองด้วย” นายพิธา ระบุ

หัวหน้าพรรคก้าวไกล ยังระบุด้วยว่า เรื่องนี้ต้องมองให้ยาว ซึ่งการออกแบบระบบเลือกตั้ง จำเป็นต้องตอบโจทย์ปัญหาการเมืองที่ประเทศที่กำลังเผชิญอยู่ขณะนี้ และต้องเป็นระบบที่ออกแบบสำหรับระยะยาว ไม่ใช่มองแค่ปัญหาระยะสั้นเท่านั้น

นายพิธา กล่าวว่า เราควรออกแบบระบบการเมือง รวมถึงระบบการเลือกตั้ง ให้สนับสนุนประสิทธิภาพของระบบรัฐสภา สร้างความเข็มแข็งของสถาบันพรรคการเมือง พร้อม ๆ กับสามารถโอบรับความแตกต่างหลากหลายทางความคิด ความฝัน ของคนในชาติได้ด้วย ทำให้รัฐสภาเป็นพื้นที่ปลอดภัย แปรเปลี่ยนทำให้ทุกคะแนนเสียงจากทุกความฝัน ทุกพื้นที่ มีความหมาย ถูกคิดคะแนนอย่างเป็นธรรม ให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้เสียที ตรงกันข้าม เราไม่ควรออกแบบระบบที่ผลักให้ประชาชนรู้สึกว่า ระบบรัฐสภาไม่ใช่พื้นที่ของพวกเขา ไม่ใช่พื้นที่ที่เสียงของพวกเขาจะมีความหมาย แม้ว่าจะเป็นเสียงที่ขัดหูขวางตาของชนชั้นนำผู้มีอำนาจ

“ในท้ายที่สุดผมเชื่อว่าหากระบบเลือกตั้งสามารถสะท้อนเสียงของประชาชนได้อย่างแท้จริง อำนาจของประชาชนที่เป็นอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ จะสามารถปรากฏกายขึ้นในรัฐสภาแห่งนี้ สามารถเข้าไปใช้อำนาจนิติบัญญัติ สามารถเข้าไปใช้อำนาจบริหารจัดตั้งรัฐบาล และเมื่อนั้นเสียงของประชาชนจะไม่มีวันอนุญาตให้ระบอบที่กดหัวประชาชนดำรงอยู่ได้อีกต่อไป”

“พวกผม พรรคก้าวไกลทุกคน ทุกจังหวัด ทุกเขตเลือกตั้ง พร้อมที่จะต่อสู้ผ่านสนามการเลือกตั้ง ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะพยายามออกแบบระบบการเลือกตั้งให้ตนเองได้เปรียบอย่างไร เพราะพวกผมมั่นใจว่า เสียงของประชาชนส่วนใหญ่จะมีความหมายมากที่สุด มีพลังมากที่สุด และมีความชอบธรรมมากที่สุด พวกผมจะนำเสียงของผู้ทรงอำนาจสูงสุดของประเทศนี้ มาปรากฏในสภาผู้แทนราษฎรให้ได้อย่างแท้จริง” นายพิธา กล่าวทิ้งท้าย

‘ปดิพัทธ์’ ย้ำ ระบบเลือกตั้งต้องออกแบบอย่างประณีต

ด้าน ปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.เขต 1 จังหวัดพิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวว่า เรื่องระบบเลือกตั้งในรายละเอียดเป็นเรื่องเทคนิคและเป็นผลประโยชน์พรรคการเมือง ดังนั้น แต่ละประเทศที่จะออกแบบระบบการเลือกตั้งจะต้องมาจากบริบททางสังคมว่า อยากจะออกแบบระบบรัฐสภาอย่างไร ออกแบบสัดส่วน ส.ส.แบบไหน จะแก้ปัญหาของกลุ่มประชากรต่าง ๆ อย่างไร จึงไม่ใช่การมาคุยกันเรื่องตัวเลข ซึ่งไม่แก้ปัญหาว่าจะมีระบบเลือกตั้งที่ดีได้อย่างไร 

“เราจึงไม่เสนอเรื่องนี้ในชั้นกรรมาธิการ เพราะการออกแบบระบบเลือกตั้งจำเป็นต้องถกเถียงในชั้น สสร. จำเป็นต้องมีนักวิชาการมาร่วม หรือแม้แต่ควรมีการทดลองใช้ เช่น ในการเลือกตั้งท้องถิ่นหรือการเลือกตั้งบางอย่างมาก่อน เพื่อออกแบบระบบอย่างประณีต เพราะเรื่องนี้จะมีผลต่อพรรคการเมืองและคุณภาพของสังคมไทยโดยรวม” 

ปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปว่า แต่เมื่อทุกคนรับรู้กันดีว่า รัฐธรรมนูญ 60 มีปัญหาและอาจมีการเลือกตั้งเร็ว ๆ นี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องยอมรับความจริงและต้องพูดคุยกันเรื่องระบบเลือกตั้ง แต่สิ่งที่พรรคก้าวไกลพยามยามผลักดัน แม้จะมีข้อจำกัดคือ การออกแบบระบบเลือกตั้งควรต้องคิดไปข้างหน้าไม่ใช่มีปัญหาแล้วจะกลับไปใช้ระบบเมื่อ 24 ปีก่อน อย่าลืมว่า 2 ปีที่แล้วคนไทยยังไม่รู้จักโควิด 10 ปีที่แล้วยังไม่มีสมาร์ทโฟน ดังนั้น ระบบเลือกตั้งเมื่อ 24 ปีที่แล้วจึงไม่มีทางที่จะตอบโจทย์ทางการเมืองในปี 64 ได้ 

“หลักการที่สภารับมาได้กำหนดตัวเลขสัดส่วน ส.ส.เขตและปาร์ตี้ลิสต์ไว้ แต่หากคิดแค่เรื่องการคำนวณตัวเลขก็คงเถียงกันไม่จบ เพราะบางประเทศไม่มี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เลยก็มี แต่นั่นเพราะ ส.ส.เขตทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติได้อย่างดี ไม่ต้องไปดูแลเรื่องถนนหนทาง ไฟส่องสว่าง น้ำประปา เพราะตรงนั้นคือหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการ เพราะฉะนั้นจะมี ส.ส.เขต ทั้งหมดก็ได้ หากทำหน้านิติบัญญัติได้โดยถ้าไม่หลงทางเรื่องการทำหน้าที่ของ ส.ส.ว่าคืออะไร”

ปดิพัทธ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนสาเหตุที่ต้องมี ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์นั้น หากจำได้คือ ก่อนปี 40 เอาเฉพาะในจังพิษณุโลกที่ตนเกิดมา นักการเมืองมีแค่ 3 แบบ  คือ เจ้าพ่อ มาเฟีย และนายทุนเกษตร คนธรรมดาที่มีความรู้ความสามารถเข้าไปในระบบการเมืองไม่ได้ การชนะการเลือกตั้งได้ต้องเป็นนายทุนเกษตรที่ผูกขาดเศรษฐกิจได้หรือเป็นผู้มีอิทธิพลที่มีลูกน้องมากมาย จึงมีการคิดเรื่องระบบปาร์ตี้ลิสต์และสามารถทำให้พรรคการเมืองหาเสียงด้วยนโยบายได้ เป็นมรดกอันดีของรัฐธรรมนูญ 40 แต่มรดกอันดีนี้ได้พิสูจน์ผ่านการเลือกตั้งมมาแล้ว 2 ครั้งคือ ปี 44 และ 48 ทำให้พบว่า สัดส่วนการคิดคำนวณคะแนนแบบนี้ยังมีข้อผิดพลาดคือ จำนวนเก้าอี้ ส.ส.ที่เกินความเป็นจริงจากคะแนนนิยมของพรรคการเมืองนั้น ๆ ที่ประชาชนเลือกมา เพราะคำนวณจากคะแนนเสียงแบบคู่ขนานที่คิดแยกกัน ถ้าถอยกลับไปก็เหมือนเราไม่เรียนรู้ข้อผิดพลาดอะไรเลย 

“ทำไมจึงไม่คิดหาวิธีการคำนวณคะแนนที่ถูกต้องเป็นธรรม ทำไมเราจึงไม่คิดหาวิธีถ่วงดุลตรวจสอบในสภาให้ได้ดีขึ้น แต่การยืนยันเพื่อความถูกต้องนี้กลับถูกนำไปบิดเบือนว่า พรรคก้าวไกลกลัวการเลือกตั้งแบบ MMM หรือแบบคู่ขนาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่จริง พรรคก้าวไกลพร้อมเข้าสู่ระบบการเลือกตั้งทุกรูปแบบแต่ไม่สบายใจเลยที่จะเดินกลับไปสู่ระบบที่มีข้อผิดพลาดแบบนี้โดยการเห็นชอบของสภา สิ่งที่ผมพยายามผลักดันบรรยากาศทางการเมืองพิษณุโลกให้มีเปลี่ยนแปลงคือบทบาทหน้าที่ของ ส.ส. 

จนตอนนี้เวลาไปลงพื้นที่ เช่น จะไปแก้ปัญหาน้ำประปาสีแดง ประชาชนเริ่มไล่ให้ไปทำหน้าที่ในสภาโดยบอกว่านี่คือหน้าที่ของ อปท. หลายครั้งที่ไปพบประชาชน เขาจะถามว่ากฎหมายที่สัญญาไว้ตอนเลือกตั้งผลักดันถึงไหนแล้ว รัฐสวัสดิการผลักดันหรือยัง กฎหมายความเท่าเทียมทางเพศผลักดันหรือยัง เขาไม่ได้บอกให้ไปดูหลังคาเสียหายอีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เราพยายามพัฒนาและเปลี่ยนแปลงเพื่อทำให้หน้าที่ ส.ส.เป็น ส.ส.จริง ๆ แต่กลับไปแบบเดิมและบอกว่า ควรมี ส.ส.เขต เพิ่มขึ้นจาก 350 เป็น 400 เพื่อจะได้ไปดูแลประชาชนได้ทั่วถึงนั้น ต้องขอโทษที่ต้องบอกว่า หากคิดคำนวนแล้วเท่ากับ ส.ส.ที่เพิ่มขึ้นลดจำนวนการดูแลประชาชนลงไปได้แค่ 20,000 คนเท่านั้น เหตุผลนี้จึงไม่หนักแน่นพอในการยืนยันให้ผ่านสัดส่วนแบบนี้” ปดิพัทธ์ ระบุ 

ดูแลพื้นที่คืองานท้องถิ่น ‘จิรัฏฐ์’ เทียบ ส.ส.เพิ่มอีกแค่ 50 จะดูแลใกล้ชิดกว่าบุคลากร 3,000,000 ได้อย่างไร

จิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ ส.ส.เขต 4 จังหวัดฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ขอแปรญัตติในมาตรา 83 เพื่อขอให้คงจำนวน ส.ส. เขต 350 ต่อจำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน เอาไว้ ด้วยเหตุผลประการแรกคือ มิติด้านการเแข่งขันของพรรคการเมือง เพราะการแก้ไขให้เพิ่ม ส.ส.เขต เป็น 400 คน และปาร์ตี้ลิสต์เหลือ 100 คน หมายความว่าต้องขีดเส้นแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่ ซึ่งผู้เป็นคนขีดเส้นจะได้เปรียบและยืนยันว่าการขีดเส้นมีผลต่อการเลือกตั้งมาก ไปดูเขตตนก็ได้เพราะหากดูจากแผนที่เทียบกับจำนวนประชากรจะรู้ทันทีว่าการขีดเส้นแบ่งเขตจะต้องไม่มีขีดอย่างที่เป็นตอนนี้แน่นอน 

“ประการต่อมา คือเอาหลักการมาจากอะไรไปบอกว่า ส.ส. 400 เหมาะกว่า 350 และอ้างว่าจะดูแลแลประชาชนได้ใกล้ชิดมากขึ้น ใกล้แค่ไหนคือดี ถ้าใช้หลักการนี้ไม่คงต้องมีปาร์ตี้ลิสต์เพราะไม่ใกล้ชิดประชาชนเลย แต่เจตนาของการแบ่งเขตเลือกตั้งคือ การกระจายตัวแทนของประชาชนให้มาจากทุกเขตพื้นที่ แต่ไม่ได้หมายความว่า ผู้แทนราษฎรมีหน้าที่ดูแลสารทุกข์สุกดิบหรือดูแลเฉพาะเขตของตัวเอง เมื่อเป็นผู้แทนราษฎร หมายถึงการเป็นตัวแทนของคนทั้งประเทศ และหน้าที่ของผู้แทนก็คือ การใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนประชาชน ส.ส. ไม่ได้มีหน้าที่ในการใช้อำนาจบารมีเพื่อทำให้เขตตัวเองดีขึ้นโดยดึงงบประมาณไปลงเขตเลือกตั้งของตัวเอง ไม่มีหน้าที่ใช้อำนาจบารมีไปดึงเอาหน่วยราชการไปช่วยในเขตพื้นที่ตัวเอง ถนนพัง น้ำไม่ไหล ไฟดับ ก็ไม่ใช่งานหลักของผู้แทนราษฎร เพราะเรามี อปท.อยู่แล้วถึง 7,850 แห่งทั่วประเทศ 

การไปแทรกแซงงานของ อปท.ต่างหากที่จะทำให้การแก้ปัญหาพื้นที่ยากขึ้นเพราะต้องใช้อำนาจบารมีที่ให้คุณให้โทษเขาได้ ตามหลักก็คือการลุแก่อำนาจ ซึ่ง อปท.ก็เลือกตั้งมา การทำแบบนั้นจึงดูเหมือนใหญ่กว่าประชาชนเกินไป ไม่เบื่อหรือที่การเมืองจะมีแต่บ้านใหญ่เข้าไปได้เท่านั้น ถ้าใช้วิธีแบบนี้คนธรรมดาไม่มีโอกาสเข้ามา อาชีพนี้จะจำกัดไว้แค่คนหน้าเดิม 

"ที่จะเพิ่มเป็น 400 คน บอกว่าเพราะดูแลไม่ทั่วถึง หมายความ อปท. 7,850 แห่ง ที่มีบุคลากรกว่า 3,000,000 กว่าคนดูแลไม่ทั่วถึงหรือ ต้องตอบตรงนี้ก่อน ถ้าแบบนี้ยังไม่ทั่วถึง การเพิ่มผู้แทนอีก 50 คนจะทั่วถึงได้อย่างไรถ้าเทียบกับสามล้านคน แต่ถ้าห่วง กลัวไม่มีคนดูแลสารทุกข์สุกดิบประชาชนก็มีวิธีอื่นอีกมากที่ทำได้โดยไม่ต้องแก้รัฐธรรมนูญมาตรานี้และทำได้ทันที เช่น ใช้หน้าที่ กมธ.ไปตรวจสอบการใช้งบประมาณให้เป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน วันนี้ทำได้เลย ไม่ควรเอาเวลาของสภาไปทำอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์เพียงแค่เพื่อแสวงหาความได้เปรียบทางการเมืองเท่านั้น 

สำหรับจำนวนปาร์ตี้ลิสต์เวลานี้ เรื่องดีที่เกิดขึ้นก็มีมากมายในสภาแห่งนี้ วันนี้ เรามีผู้แทนที่มาจากกลุ่มแรงงานที่พูดเรื่องแรงงานโดยเฉพาะ ยังมีเรื่องคนพิการ ชาติพันธุ์ LGBT ที่มีตัวแทนของเขาในสภามาผลักดันเรื่องความเท่าเทียมโดยเฉพาะ เมื่อก่อนเราไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ และเราทิ้งไม่ได้ ต้องคิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง การเลือกตั้งผลต้องมาจากการตัดสินใจของประชาชนเป็นสำคัญ ตัวแปรต้องไม่ใช่กติกา ถ้าอยากชนะการเลือกตั้งก็ไปทำงาน ถ้าไม่ยอมทำงานที่ตัวเองควรจะทำแต่ไปแก้กติกามันไม่ถูกต้อง และถ้าอยากแก้ปัญหาประเทศนี้จริง ควรไปตั้ง สสร. ให้ได้ นั่นต่างหากคืการแก้ปัญหาจริง ๆ และจะได้แก้ระบบการเลือกตั้งที่ท่านต้องการด้วย"


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ผอ.ศรชล.จังหวัดพังงาในฐานะพ่อเมืองพังงา ชวนรักษ์ทะเลไทย นำคณะเก็บขยะบริเวณหมู่เกาะไข่ เตรียมรับ นักท่องเที่ยวโครงการเชื่อมต่อจังหวัดท่องเที่ยวนำร่อง (7+7 Phuket Extension)

ศรชล.ภาค 3 โดย ศรชล.จังหวัดพังงา ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 6 เทศบาล ต.พรุใน องค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ (IUCN)  สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพังงา สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา และกลุ่มจิตอาสา นักดำน้ำอาสาสมัคร  ร่วมกันจัดกิจกรรมดำน้ำเก็บขยะใต้ทะเลและเก็บขยะบนเกาะ บริเวณหมู่เกาะไข่ ต.พรุใน อ.เกาะยาว จว.พังงา โดยมีนายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผอ.ศรชล.จังหวัดพังงาและผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา เป็นประธาน พร้อมด้วย พล.ร.ต.สุรัชฎ์ ศิริวรรณนาวี รอง ผอ.ศรชล.ภาค 3  นายธราธิป ทองเจิม นายก อบจ.พังงา  นายพงศ์ศักดิ์ กีรติกรพิสุทธิ์ นายอำเภอเกาะยาว สาธารณสุขอำเภอเกาะยาว องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต.พรุใน ผู้แทนหน่วยงานต่าง ๆ และประชาชนในพื้นที่ ต.พรุใน และอาสาสมัคร รวมจำนวน 45 คน ร่วมกันจัดกิจกรรมเก็บขยะทั้งบนเกาะไข่ และนักดำน้ำอาสาสมัคร จำนวน 35 คน รวมทั้งกำลัง ศรชล.ภาค 3 และทัพเรือภาคที่ 3  ร่วมกันเก็บขยะในทะเลบริเวณแปลงฟื้นฟูปะการังหมู่เกาะไข่ ซึ่งผู้ร่วมกิจกรรมฯ ได้รับวัคซีนครบโดส และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 ของจังหวัดพังงา 


โดยกิจกรรมฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันทำความสะอาดและลดปริมาณขยะ ส่งเสริมการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมทั้งเป็นการประชาสัมพันธ์พื้นที่ท่องเที่ยวจังหวัดพังงา เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวตามโครงการเชื่อมต่อจังหวัดท่องเที่ยวนำร่อง (7+7 Phuket Extension) ตามนโยบายของรัฐบาล และจากการคัดแยกประเภทขยะที่จัดเก็บได้และปริมาณขยะที่จัดเก็บได้บนเกาะไข่ มีดังนี้


- ขยะทั่วไป : ประเภท ถุงพลาสติกชนิดต่าง ๆ หลอด /ช้อน / ถ้วย/จาน กล่องอาหาร (Single-use) จำนวน 56 กิโลกรัม
- วัสดุรีไซเคิล : ขวดพลาสติก ขวดแก้ว กระป๋องอลูมิเนียม  จำนวน 145 กิโลกรัม
- ขยะอินทรีย์ : เป็นการจัดเก็บกิ่งไม้ขนาดต่าง ๆ ที่ลอยมาที่หาด  นำมาจัดการให้เรียบร้อยที่ภายในเกาะไข่ เพื่อความสะอาดของพื้นที่หน้าหาด

สำหรับวัสดุรีไซเคิลที่คัดแยกได้ จะนำขนส่งมารวมกับที่ชุมชน ต.พรุใน จัดเก็บเพื่อนำไปส่งสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป
ในส่วนของขยะในแนวปะการัง มีขยะประเภทต่าง ๆ ที่เก็บได้ ดังนี้
- เครื่องมือประมง(อวน) จำนวน 350 กิโลกรัม
- ประเภท เชือก ยางรถจักรยานยนต์ ถุงพลาสติก ท่อน้ำ จำนวน 100 กิโลกรัม 
- ประเภทและอื่น ๆ เช่น ขวดเครื่องดื่ม กระสอบ และเหล็ก จำนวน 50 กิโลกรัม

แถลงการณ์ เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ปสม.1 ประณามการซ้อมทรมานอันขัดหลักสิทธิมนุษยชน กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครสวรรค์

จากกรณีที่มีข่าวเผยแพร่ภาพจากกล้องวงจรปิด ภาพเหตุการณ์ที่กลุ่มชายฉกรรจ์ ร่วมกันทำร้ายร่างกายและข่มขู่ชายคนหนึ่งด้วยวิธีการใช้ถุงพลาสติกคลุมหัวเพื่อทรมานให้ต้องยินยอมทำตามความประสงค์ ซึ่งภายหลังได้ข้อยุติว่าเป็นเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกันซ้อมทารุณผู้ต้องหา เกิดที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครสวรรค์ โดยชายผู้ถูกทำร้ายเสียชีวิต​การกระทำดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง โดยการการทรมาน(Torture)​ ซึ่งเป็นสิทธิเด็ดขาด  (Absolute Right) ปรากฏใน "อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมหรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี(Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment : CAT)”ที่ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญา โดยการภาคยานุวัติเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๐ และมีผลบังคับใช้กับประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เป็นต้นมา การลงโทษกับเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการใดที่มีลักษณะการทรมานมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นการเฉพาะและไม่สามารถจะยกขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้  เพื่อให้พ้นจากความรับผิดได้

​นอกจากนี้ยังพบเห็นการร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่ชอบ ทั้งการรับแจ้งความ การสืบสวน การสอบปากคำและรวบรวมพยานหลักฐาน การจับกุมผู้ต้องหา ซึ่งมักมีข้อกังขาในการใช้อำนาจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน การซ้อมการทรมานเพื่อให้ผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยรับสารภาพ การประจานผู้ต้องหาต่อสาธารณชน การวิสามัญฆาตกรรม รวมถึงการใช้อำนาจ กำลัง และอาวุธในการปราบปรามผู้เห็นต่าง เหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาที่ควรแก่การแก้ไขปรับปรุงโดยเร็ว
​เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ปสม.๑ โดยผู้มีรายชื่อท้ายแถลงการณ์นี้ ขอประณามการกระทำดังกล่าว และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตระหนักในความพยายามหาทางแก้ไข ป้องกัน มิให้ประชาชนต้องถูกกระทำดังกล่าวโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ในฐานะที่เป็นต้นน้ำแห่งกระบวนการยุติธรรม ขอเรียกร้องให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจริงใจในการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง โดยปราศจากการแทรกแซงช่วยเหลือ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับสังคมโดยเร็วที่สุด

พร้อมกันนี้ เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ปสม.๑ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร เร่งดำเนินการปฏิรูปตำรวจ และแก้ไขปัญหากระบวนการยุติธรรมทางอาญา โดยปรับงานสอบสวน งานพิสูจน์หลักฐาน ออกจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อลดปัญหาการรวบอำนาจการดำเนินคดีอาญาชั้นต้น อันส่งผลให้เกิดปัญหาการทุจริต การเรียกรับผลประโยชน์ การสร้างพยานหลักฐานเท็จ รวมทั้งการผลักดันร่างพระราชบัญญัติป้องกันการซ้อมทรมาน ที่ค้างการพิจารณาในคณะกรรมาธิการ และอื่น ๆ ที่เป็นปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน เป็นปัญหาของกระบวนการยุติธรรมของไทยมาช้านานให้หมดสิ้นไป
​เครือข่ายพิทักษ์สิทธิมนุษยชน ปสม.๑ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะตระหนักและให้ความสำคัญต่อการแก้ปัญหาดังกล่าวในระยะยาวอย่างจริงใจ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และประชาชน และการเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สืบไป

25 สิงหาคม 2564

รายชื่อผู้ร่วมลงชื่อท้ายแถลงการณ์
1. นายกฤษณ์ ขำทวี
2.นายสมชาย จรรยา
3. นายนรเทพ  บุญเก็บ
4.นายศุภมา จิตต์เที่ยง
5.นายพิสุทธิ์ รัตนวิลัย
6.นายศิริพันธุ์ เรืองจินดา
7.นายสุทัศน์ ประสิทธิกุล
8. นายภาวุฒิ สุกทอง
9. นางพรทิพย์ เตชะสมบูรณากิจ
10.นายสมิษฐิ์ มหาปิยศิลป์
11. นายสันติพงษ์ มูลฟอง
12. นางเฉลียว ศาลากิจ
13 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ
 

'โฆษกรัฐบาล' จวก 'ฝ่ายค้าน' ผุดแคมเปญไล่นายกฯ ไม่เหมาะสม ไม่ควรขยายผลนอกสภา จี้ ทบทวน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวเชิญชวนประชาชนร่วมลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นกลไกหนึ่งในการตรวจสอบรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นสิทธิที่ชอบธรรมและสามารถดำเนินการได้ แต่การเชิญชวนพี่น้องประชาชนให้ร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาลด้วยนั้น ฝ่ายค้านต้องทบทวนให้ดีว่าเหมาะสมหรือไม่ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลควรเป็นเรื่องที่ดำเนินการภายในที่ประชุมสภา ไม่ควรนำไปขยายผลออกไปสู่นอกสภาหากฝ่ายค้านมั่นใจว่ามีข้อมูลเพียงพอ ก็สามารถนำมาแสดงและอภิปรายต่อที่ประชุมสภาได้ จากนั้นก็ยังสามารถยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการต่อตามขั้นตอนได้อีกด้วย ตนอยากให้การอภิปรายนั้นเป็นไปด้วยเหตุและผล ไม่ใช่ใช้เป็นเวทีสาดโคลนใส่กัน โดยรัฐบาลจะถือโอกาสนี้ชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนถึงนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านระบุว่า เสียงข้างมากของ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา ค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาลและการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีนั้น ขอชี้แจงว่า การกล่าวหาดังกล่าวถือเป็นการไม่ให้เกียรติสมาชิกวุฒิสภา และเพื่อนส.ส.ในซีกรัฐบาลเกินไปหรือไม่ เพราะสมาชิกวุฒิสภาย่อมมีดุลพินิจของตัวเอง ไม่มีใครไปบังคับหรือสั่งการใดๆ ได้ ขณะที่ ส.ส.รัฐบาลนั้นก็เป็นตัวแทนของประชาชนเช่นเดียวกับ ส.ส.ฝ่ายค้าน ศักดิ์และสิทธิเท่าเทียมกัน แต่วันนี้สิ่งที่คำ้จุนรัฐบาลอยู่ก็คือ ความเชื่อมั่นและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ที่คิดนโยบายต่างๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนทุกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม วันนี้ประเทศกำลังเผชิญวิกฤตโควิด-19 รัฐบาลทุ่มสรรพกำลังแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ เชื่อว่าเมื่อพี่น้องประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอย่างทุกวันนี้ เราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้โดยเร็วอย่างแน่นอน 

พันธมิตรจิตอาสา ลุย! ”ชุมชนก้าวหน้า” ส่งต่อข้าวกล่องเต็มอิ่มเติมรอยยิ้ม ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19

เกาะติดภารกิจ เติมสุขปันอิ่ม สู้ภัยโควิด วันที่ 25 สิงหาคม ที่ชุมชนก้าวหน้า เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยพันธมิตรจิตอาสา ส่งมอบข้าวกล่อง แก่ชาวชุมชนก้าวหน้า โดยมีคุณศิริพรรณ เกิดแก่น ประธานชุมชน เป็นผู้แทนรับมอบ เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่ชาวบ้านในชุมชนต่อไป

สำหรับชุมชนก้าวหน้า เป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ริมคลองถนน มีประชาชนอาศัย 200 ครัวเรือน ประชากรกว่า 1,000 คน ในจำนวนนี้มีที่ผู้มีความเสี่ยงจากโรคติดเชื้อโควิด-19  จำนวน 9 คน เป็นเด็ก 1 คน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 1 คน จากการติดเชื้อ

การลงพื้นที่มอบน้ำใจแก่ชาวชุมชน เป็นความร่วมมือของ พันธมิตรจิตอาสา ประกอบด้วย มูลนิธิสหชาติ สำนักข่าว News Online Thailand เวปไซต์ข่าวจั่นเจา Canchaonews.com หนังสือพิมพ์ดีดีโพสต์ นิวส์ และนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.1) สถาบันพระปกเกล้า

โดยวันนี้ ยังมีตัวแทนนักศึกษา จากหลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่น 9 รุ่น11 และรุ่น12 สถาบันพระปกเกล้า มาร่วมมอบข้าวกล่องพร้อมทานให้แก่ชาวชุมชนด้วย

โดยรับข้าวกล่องมาจากจุดส่งมอบอาหาร ที่โลตัส สาขาบางกะปิ ภายใต้โครงการ "ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19" ของบริษัทในเครือซีพี เพื่อนำส่ง มอบต่อประชาชนเขตกรุงเทพและปริมณฑล ในแต่ละวัน เพื่อแบ่งเบาภาระและบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงสถานการณ์โควิด-19

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์อัญเชิญอาหารพระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

วันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2564 เวลา 09.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานอาหาร แก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดย พลเอก ศิวะ ภระมรทัต ประจำสำนักพระราชวังพิเศษ เป็นผู้อัญเชิญอาหารพระราชทาน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมี นายแพทย์โชคชัย ลีโทชวลิต ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา เป็นผู้แทนรับมอบ พร้อมทีมผู้บริหาร ทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล เข้าร่วมพิธีรับพระราชทานอาหารเบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระองค์ ยังความปลื้มปีติแก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา และพสกนิกรชาวจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ล้วนสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานอาหาร แก่บุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ทรงห่วงใยและทรงให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่ของบุคลากรทางการแพทย์ ที่เสียสละกำลังกาย และอุทิศตนในการปฏิบัติหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วยในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ซึ่งประกอบเป็นเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ได้แก่ ขนมจีนน้ำเงี้ยว และน้ำยาป่าลูกชิ้น พร้อมทั้งพระราชทาน เจลแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือ ให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยาดังกล่าวอีกด้วย  


สุจินดา อุ่นขาว รายงานจากอยุธยา


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“สิระ” แต่งชุดดำไว้อาลัย จนกว่าจะจับ “ผกก.โจ้” ได้ ฝาก สภาฯ เร่งนำ พ.ร.บ.อุ้มหายและทรมาน มาใช้ จ่อ เชิญ ผบ.ตร.-ผบช.ภ.6-ผู้การนครสวรรค์-แพทย์-ทนาย เข้าแจงกมธ. เย้ย “เสรีพิศุทธ์” ไม่ขอฟัง หลังบอกไม่มีวัฒนซ้อมผู้ต้องหา เหน็บ กดปุ่มโหวตยังผิด

ที่รัฐสภา นายสิระ เจาจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ผู้กำกับโจ้ หรือ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล ผกก.สภ.เมืองนครสวรรค์ มีคลิปฉาวรีดเงินผู้ต้องหาด้วยการคลุมถุงพลาสติกจนเสียชีวิต จนนำไปสู่คำสั่งให้ออกจากราชการและมีการออกหมายจับ รวมถึงมีกระแสข่าวลือว่าเจ้าตัวอาจจะหลบหนีไปแล้วนั้น ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตนจะแต่งชุดดำเพื่อไว้ทุกข์ให้กับผู้สูญเสียและสำนักงานแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลตำรวจ ซึ่งได้มีการกระทำซ้อมทรมานกันอย่างโหดเหี้ยมและเปิดโอกาสให้ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ หลบหนีหรือไม่ ทั้งๆ ที่มีหลักฐานเป็นคลิปชัดเจน แต่ทำไมไม่มีการอนุมัติออกหมายจับ มีแค่คำสั่งย้าย โดยตนจะแต่งชุดดำจนกว่าสตช.จะจับพ.ต.อ.ธิติสรรค์ได้และมารับกรรมกับสิ่งที่กระทำไป นอกจากนี้จะมีการตรวจสอบว่าพ.ต.อ.ธิติสรรค์ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ เนื่องจากเมื่อวานนี้ (26 ส.ค.) มีการตรวจสอบทรัพย์สิน เช่น รถ ที่ดิน บ้านและเงินสด 

นายสิระ กล่าวต่อว่า พื้นเพ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ ไม่ใช่คนร่ำรวย แต่มีผู้สนับสนุนเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ทราบว่าเป็นว่าที่ลูกเขยว่าที่พ่อตากัน รวมทั้งเรื่องกระทำความผิดในการรับราชการลักษณะเดียวกัน และมีการโดนไล่ออกจากราชการ แต่ยังได้กลับมารับราชการใหม่ได้ และมีความเจริญก้าวหน้าในอาชีพข้าราชการตำรวจ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่สตช.ต้องปฏิรูปครั้งใหญ่ วันนี้ขอฝากถึงสภาฯ ขอให้ดำเนินการนำร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อุ้มหายและทรมานที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร ได้จัดทำเสร็จสิ้นเป็นปีแล้วมาใช้ เพราะหากเร่งดำเนินการจะทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องได้รับการโดนอุ้มหรือถูกทรมานเพิ่มขึ้นเพราะกฎหมายนี้มีโทษรุนแรง 

เมื่อถามว่ามีข้อมูลจากนายสันธนะ ประยูรรัตน์ อดีตตำรวจสันติบาล ในเรื่องการซ้อมรีดเอาข้อมูล ว่ามีการกระทำกันเป็นปกติอยู่แล้ว ทาง กมธ.กฎหมายฯ จะมีการเรียกมาให้ข้อมูลหรือไม่ นายสิระ กล่าวว่า วันพฤหัสบดีหน้า จะมีการออกหนังสือเชิญผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ รวมถึงนายแพทย์ที่ออกใบรับรองแพทย์ของผู้ตายว่ามีการออกใบรับรองแพทย์ผิดหรือไม่ และมีการรับผลประโยชน์กันหรือไม่ และขอเรียกร้องไปที่รัฐบาล ซึ่งกมธ.กฎหมายได้ยื่นเรื่องผ่านสภาฯ ไปแล้วเรื่องการแก้ไข ป.วิอาญาในการสอบสวน ซึ่งหากปล่อยพนักงานสอบสวนที่เป็นตำรวจทำการสอบสวนแต่ฝ่ายเดียว การได้ความยุติธรรมของประชาชนอาจจะไม่เพียงพอ จึงต้องมีการขอให้อัยการเข้ามาร่วมการสอบสวนตั้งแต่เบื้องต้น นอกจากนี้จะมีการเชิญทนายที่ได้รับคลิปแต่ไม่ยอมส่งคลิปให้กับพนักงานสอบสวน ที่มีข่าวว่าไปเรียกเงินค่าคลิป 20 ล้านบาทกับ พ.ต.อ.ธิติสรรค์ มาสอบสวนว่าเพราะอะไรทำไมถึงถือไว้กับตัวเอง 

เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ระบุว่าไม่มีวัฒนธรรมในการซ้อมผู้ต้องหา นายสิระ กล่าวว่า “ผมไม่ฟังท่านหรอก ขนาดกดปุ่มยังผิดเลย แล้วมาแก้ไขมติทีหลัง ซึ่งท่านก็รู้กฎระเบียบข้อบังคับของสภา ผมจึงได้ส่งหนังสือฝากไปที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ให้ไปแก้ไขที่สภาโจ๊ก คิดว่าสิ่งที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์พูดค่อนข้างสับสน”

“ครูมานิตย์” จี้ โยกงบสัมมนากมธ. ซื้อวัคซีน mRNA บูสเข็ม3ให้ส.ส.-เจ้าหน้าสภาฯที่ทุกคน 

ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายศุภชัย โพธิ์สุ รองประธานสภาฯคนที่ 2 เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่วาระได้เปิดให้สมาชิกหารือถึงปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่ โดยนายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ขอหารือว่า ขอเสนอให้นำงบประมาณในส่วนของการจัดสัมมนาของคณะกรรมาธิการต่างๆที่ต้องลงพื้นที่ไปจัดสัมมนากับประชาชน แต่ไม่สามารถดำเนินการได้ ให้นำงบส่วนตรงนี้ไปจัดซื้อวัคซีน mRNA เพื่อฉีดให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจสภา พ่อค้า แม้ค้า พนักงานทำความสะอาด เจ้าหน้าที่สภาฯ ส.ส.และคนติดตามให้หมด สำหรับตนฉีดซิโนแวค 2 เข็ม เหมือนฉีดน้ำใส่ตัว ลำพังสามารถซื้อฉีดเองได้ แต่ไม่รู้จะไปซื้อที่ใด เมื่อเราต้องประชุมกันแบบนี้ ทางสภาฯควรต้องมาคิดกันใหม่ 

"กมธ.ไม่มีการประชุม ภาระต่างๆ เราจำเป็นต้องงด ต้องเสียโอกาส เสียประโยชน์ จึงขอหารือ รวมทั้งส.ส.ต้องกลับลงพื้นที่ ต้องไปเยี่ยมศูนย์พักคอย สถานที่กักตัว บนแขนเราเต็มไปด้วยซิโนแวค ผมจะไปบูสเข็ม 3 ในพื้นที่โรงพยาบาลที่บ้านก็อายประชาชน เพราะบางคนยังไม่ได้ฉีดกันเลย หรือบางคนฉีดเข็มเดียวซิโนแวค ด้วยซ้ำไป หากอยู่ๆไปฉีด เข็ม 3 ก็อายเขา จึงอยากฝากทางประธานพิจารณา เนื่องจากเป็นเรื่องเร่งด่วน"นายครูมานิตย์ กล่าว 

ด้านนายศุภชัย ชี้แจงว่า ได้รับแจ้งจากทางเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรว่า ทางเจ้าหน้าที่ บุคลากร ส.ส. ฉีดวัคซีนไปแล้วรวม 5 พันกว่าคน ส่วนข้อเสนอของนายครูมานิตย์ ขอฝากเลขาสภาฯนำไปพิจารณาอีกครั้ง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top