Monday, 9 June 2025
NewsFeed

ผู้โดยสารติดเชื้อโควิด-19 เสียชีวิตบนเรือสำราญ ทั้งที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว

ผู้โดยสารรายหนึ่งของบริษัทเดินเรือสำราญ "คาร์นิวัล ครุยส์ ไลน์ (Carnival Cruise Line)" เสียชีวิตหลังติดเชื้อโควิด-19 จากการยืนยันของบริษัทในวันอังคาร (24 ส.ค.) ถือเป็นผู้เสียชีวิตรายแรกนับตั้งแต่เรือสำราญกลับมาล่องเรือในแคริบเบียน และสหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน

คาร์นิวัล ครุยส์ ไลน์ เปิดเผยว่า เหยื่ออยู่บนเรือคาร์นิวาล วิสตา ที่ออกเดินทางจากเมืองกัลเวสตัน รัฐเทกซัส เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม เพื่อมุ่งหน้าสู่เบลีซ ผู้โดยสารรายนี้ได้รับการรักษาพยาบาลบนเรือ และต่อมาได้รับการอพยพจากเบลีซกลับมารักษาตัวยังสหรัฐฯ พร้อมเชื่อว่าผู้โดยสารรายนี้ไม่น่าจะติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่บนเรือ

"เราเสียใจอย่างยิ่งที่ได้ยินข่าวการเสียชีวิตของแขกคนหนึ่งซึ่งล่องเรือกับคาร์นิวาล วิสตา" คาร์นิวัล ครุยส์ ไลน์ ระบุในถ้อยแถลง "เราจะคอยให้การสนับสนุนครอบครัวของเธอ และไม่ขอแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมที่จะเป็นการซ้ำเติมความเศร้าโศกของพวกเขา"

คณะกรรมการด้านการท่องเที่ยวของเบลีซ ระบุว่า หลังจากล้มป่วย ผู้โดยสารรายนี้ได้รับอนุญาตให้ลงจากเรือเพื่อรับการรักษาอย่างเร่งด่วนในประเทศ ก่อนอพยพทางอากาศพาเธอกลับไปยังสหรัฐฯ โดยเครื่องบินพยาบาล

นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ยังไม่สามารถติดต่อกับครอบครัวของผู้โดยสารรายนี้ได้ แต่ระบุว่าผู้โดยสารรายดังกล่าวซึ่งเป็นผู้หญิงวัย 77 ปี จากโอคลาโฮมา เสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม

ข่าวคราวการเสียชีวิตของเธอมีขึ้นไม่กี่สัปดาห์ หลังจากเรือคาร์นิวาล วิสตา แจ้งว่าผู้คนบนเรือ 27 รายติดเชื้อโควิด-19 โดยทางคณะกรรมการด้านการท่องเที่ยวของเบลีซเผยว่า หลังจากเรือคาร์นิวาล วิสตา เดินทางมาถึง เรือได้รายงานว่ามีลูกเรือ 26 คน และผู้โดยสาร 1 คนมีผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นบวก และทั้งหมดที่ติดเชื้อนั้นล้วนแต่ฉีดวัคซีนแล้ว

เรือลำนี้บรรทุกผู้โดยสารเกือบ 3,000 คนและลูกเรือ 1,441 ราย ตอนที่เดินทางถึงเบลีซ

เทกซัสเป็นหนึ่งในหลายรัฐที่ห้ามภาคธุรกิจบังคับใช้พาสปอร์ตวัคซีนหรือข้อพิสูจน์ว่าบุคคลนั้น ๆ ฉีดวัคซีนแล้ว อย่างไรก็ตาม ทางคาร์นิวัล ครุยส์ ไลน์ ยืนยันในวันอังคาร (24 ส.ค.) ว่านับตั้งเริ่มล่องเรืออีกครั้งในกรกฎาคม มากกว่า 95% ของผู้โดยสารล้วนแต่ฉีดวัคซีนแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ทางคาร์นิวัล ครุยส์ ไลน์ ยังได้ปรับนโยบายโควิด-19 เริ่มบังคับสวมหน้ากากสำหรับผู้โดยสารที่อยู่ในลิฟต์ พื้นที่บันเทิงในร่มที่กำหนด ร้านค้าปลีกและในคาสิโน ในวันที่ 7 สิงหาคม นอกจากนี้แล้วพวกเขายังเริ่มบังคับผู้โดยสารที่ฉีดวัคซีนแล้วมอบผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นลบก่อนขึ้นเรือแล้วด้วย


(ที่มา : เอ็นบีซีนิวส์)
https://mgronline.com/around/detail/9640000083681


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สืบสวน ตม.1 สนธิกำลังทลาย ‘แก๊งเจ๊หวาน’ ลักลอบขนคนลาวส่งชายแดน ปิดล้อมสกัดจับขบวนรถ รวบได้ทั้งคนขับ ผู้ร่วมขบวนการ พร้อมคนต่างด้าวรวม 34 ราย

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.สมพงษ์  ชิงดวง ผบช.สตม.  พร้อมด้วย พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ภัทรภณ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา รอง ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ศุภณัฏฐ์ เจริญเรืองสกุล รอง ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดสืบสวนฯ ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

สืบเนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชากรณีให้ติดตามขบวนการนำพาช่วยเหลือซ่อนเร้นบุคคลต่างด้าวให้เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายหรือให้ที่พักพิง ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้กระจายกำลังลงพื้นที่หาข่าวทั้งจากสายลับ และโซเชียลมีเดีย พบกลุ่มแก๊งหนึ่งคือแก๊งเจ๊หวาน มีพฤติกรรมในการใช้รถบัสขนส่งขนาดใหญ่แบบไม่ประจำทาง ให้บริการกับกลุ่มบุคคลต่างด้าวต่างสัญชาติลาว โดยในการสำรองที่นั่ง จะมีการติดต่อชักชวนผ่าน Facebook โดยมีผู้ใช้ Facebook ที่ใช้ชื่อว่า“พักก่อน” ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการรับจองตั๋วและนัดหมายเวลาที่จะขึ้นรถกับคนต่างด้าว โดยระบุค่าใช้จ่ายกับบุคคลต่างด้าวรายละ 1700 บาทถึง 2200 บาท ในการไปรับคนต่างด้าวแต่ละคนตามจุดที่นัดหมาย โดยใช้ทั้งรถแท็กซี่ และรถตู้ ตระเวนรับบุคคลต่างด้าวทั่วกรุงเทพมหานคร และนำไปรวมกันไว้ในที่ลับตาคน เพื่อเตรียมจัดขึ้นรถทัวร์และลักลอบนำส่งบุคคลต่างด้าว กลับออกไปตามด่านพรมแดนต่าง ๆ จำนวน 4 จุดหมายปลายทาง คือ ด่านพรมแดนจังหวัดมุกดาหาร นครพนม อุบลราชธานี และ หนองคาย  ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งการให้ทีมสืบสวนใช้สายลับในการติดต่อสอบถาม และนัดหมายการเดินทาง จนทราบว่าขบวนรถจะออกเดินทางในวันใด พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 จึงได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ทั้งหมดเพื่อวางแผนประกอบกำลังในปฏิบัติการครั้งนี้ทันที

ในช่วงเช้ามืด ซึ่งเป็นวันปฏิบัติการ ได้มีรถตู้โดยสารไม่ประจำทาง หมายเลขทะเบียน นข 4xxx ปราจีนบุรี และ แท็กซี่สีเหลือง ทะเบียน ทส 3xxx กรุงเทพมหานคร เดินทางมารับสายลับตามที่ได้มีการนัดหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการติดตามดูพฤติกรรมของรถทั้งสองคันดังกล่าวไปห่าง ๆ พบว่าได้มีการทยอยแวะรับบุคคลต่างด้าวตามที่ต่าง ๆ ทั่วกรุงเทพมหานครอีกหลายจุด จนกระทั่งในช่วงสาย จึงได้ทราบว่า รถทั้งสองคันพาสายลับไปพักคอยที่บริเวณใกล้เคียงกับองค์การบริหารส่วนตำบลคลองข่อย มีลักษณะเป็นที่โล่ง มีพื้นที่ประมาณ 5 ไร่ มีขอบเขตแนวที่ดินชัดเจน แต่ไม่มีรั้วหรือประตูกั้นสามารถสังเกตการณ์เข้าไปด้านในได้ง่าย ภายในเปิดเป็นอู่ซ่อมสีรถยนต์ มีการตั้งเต็นท์บังแดด และสุขาชั่วคราว เพื่ออำนวยความสะดวกในการให้บุคคลต่างด้าวทั้งหมดนั่งพักคอย ผู้บังคับบัญชาจึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเดินทางไปซุ่มรอตามจุดต่าง ๆ

โดยรอบบริเวณดังกล่าว เวลาประมาณ 12:00 น. มีรถโดยสารปรับอากาศหมายเลขทะเบียน 10-2xxx กรุงเทพมหานครขับเข้ามาจอดในพื้นที่ และมีการเรียกคนต่างด้าวและขนสัมภาระขึ้นรถ ก่อนจะตั้งขบวนเดินทางออกจากจุดดังกล่าวในเวลา 12:40 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจที่แฝงตัวสังเกตการณ์ในบริเวณใกล้เคียงจึงให้สัญญาณเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำหน้าที่ชุดจับกุม ในการติดตามเรียกรถหยุดเพื่อตรวจสอบ ในขณะเดียวกันกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เหลือเข้าตรวจสอบในพื้นที่พักคอยก่อนขึ้นรถ ผลการตรวจสอบทั้งบนรถทัวร์ รถตู้ รถแท็กซี่ และบริเวณจุดพักคอย พบบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาว 51 คน และคนไทย 5 คน ผลการสอบปากคำและตรวจสอบเอกสารเบื้องต้น จำแนกได้ว่าในที่เกิดเหตุมีบุคคลต่างด้าวสัญชาติลาวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย 16 คน อยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด 13 คน และในจำนวนนี้ยังมีบุคคลต่างด้าวที่ทำงานให้กับอู่ซ่อมสีรถยนต์ดังกล่าว โดยไม่มีใบอนุญาตทำงานอีก 2 คน

จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาให้บุคคลต่างด้าวทั้งหมดทราบ และแจ้งข้อกล่าวหาให้กับคนไทยในที่เกิดเหตุอีก 5 คน คือนายตรี อายุ 35 ปี, นายทูน อายุ 37 ปี, นายชัย อายุ 50 ปี ทำหน้าที่พนักงานขับรถ, นายบอย อายุ 35 ปี ทำหน้าที่เก็บเงินและติดต่อประสานงาน และนายเก๋ อายุ 50 ปี เจ้าของอู่รถดังกล่าว จึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาคนไทยทั้งหมดทราบในความผิดฐาน “ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ ให้บุคคลต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย พ้นจากการถูกจับกุม” พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหา ให้แก่นายเก๋ฯ ทราบอีกส่วนหนึ่งว่า “เป็นนายจ้างรับบุคคลต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ชัยพฤกษ์ ดำเนินคดีตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อนึ่ง ในส่วนของผู้ร่วมขบวนการอื่นๆ ทั้งชาวไทยและชาวลาว กก.สส.บก.ตม.1 จะได้ดำเนินการติดตามจับกุมต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507  ซ.สวนพลู  แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์สายด่วน 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

สืบ ตม.2 รวบหนุ่มจีน! รับจ้างอุ้มบุญ พร้อมปลอมเอกสารพาเด็กออกนอกประเทศ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ,พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี  เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ หรือทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ        

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. , พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.วีรพล เจริญศิริ ผบก.ตม.2 , พ.ต.ท.เชิงรณ ริมผดี รอง ผบก.ตม.2, พ.ต.อ.รุ่งศักดิ์ แสงเสียงฟ้า รอง ผบก.ตม.2 และ พ.ต.อ.ชัยธนันท์ จิรปิยเศรษฐ์ ผกก.สส.ปป.บก.ตม.2 ร่วมแถลงข่าว สืบ ตม.2 ร่วมกับ ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวคือ ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา ในระดับสำนักตำรวจแห่งชาติ และ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ให้หน่วยงานในสังกัดบูรณาการปฏิบัติระหว่างกัน เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามขบวนการอุ้มบุญข้ามชาติไม่ให้ลักลอบกระทำความผิดในราชอาณาจักร

นายเอ สัญชาติจีน แสดงตนต่อเจ้าหน้าที่ ฝ่าย ตม.ขาออก ด่าน ตม.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วย ด.ช.บี (เกิดในประเทศไทย) อายุประมาณ 1 ปี 2 เดือน เพื่อขอรับการตรวจออกนอกราชอาณาจักร ไปยังเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน โดยสายการบินไชน่าอิสเทิร์นแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ MU542 เมื่อเจ้าหน้าที่ ฝ่าย ตม.ขาออกฯ ตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับ จึงประสานเจ้าหน้าที่ กก.สส.ปป.บก.ตม.2 ตรวจสอบและจับกุม ตามหมายจับข้อหา “ร่วมกันดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนเพื่อประโยชน์ทางการค้า” และนำส่ง พนังานสอบสวนเจ้าของคดีเพื่อดำเนินคดีต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

ปลูกกัญชาไม่ยุ่งยาก เอื้อต่อวิถีการปลูกในชุมชน 

สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เผย ประชาชนสามารถขออนุญาตปลูกกัญชาได้ 3 รูปแบบ 

ส่วนจะมีวิธีการและขั้นตอนอย่างไรบ้างไปดูกัน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘นฤมล’ ไฟเขียว ขับเคลื่อน 2 อุตสากรรมฯ “หุ่นยนต์เพื่อการอุตสาหกรรม-การบินและโลจิสติกส์” เร่งผลิตแรงงานป้อนเป้าหมาย S-Curve

วันที่ 25 สิงหาคม 2564 ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมายเอสเคิร์ฟ ครั้งที่ 4/2564 ผ่านระบบ Video Conference  เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน และพิจารณาแผนพัฒนาแรงงานและประสานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย (พ.ศ.2565 – 2570) ประกอบด้วยอุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์  โดยมีหม่อมหลวงปุณฑริก สมิติ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน / นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล รองปลัดกระทรวงแรงงาน / นางสาวจิราภรณ์  ปุญญฤทธิ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เข้าร่วมประชุม และนายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ทำหน้าที่เลขานุการ ณ ห้องประชุมสมชาติ เลขาลาวัณย์ ชั้น 10 อาคารกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวว่า การประชุมในวันนี้เป็นการขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ของ 2 อุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้ผ่านการ Workshops สำรวจความต้องการ และประชุมหารือกับผู้ที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว อุตสาหกรรมแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม ประกอบด้วย กลุ่มผู้ผลิตหุ่นยนต์ กลุ่มผู้ใช้หุ่นยนต์ กลุ่มนักบูรณาการระบบ และกลุ่มผู้สร้างเครื่องจักรกลอัตโนมัติ  ส่วนอุตสาหกรรมที่สอง ได้แก่ อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ ประกอบด้วย ด้านบริการลูกค้า ด้านการวิเคราะห์และวางแผน ด้านคลังสินค้าและการกระจายสินค้า ด้านการจัดซื้อและจัดหา ด้านเทคโนโลยีโลจิสติกส์ และด้านการขนส่ง โดยจะได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนและประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานที่ดำเนินการด้าน New Skills / Up Skills / Re Skills ตลอดจนหน่วยฝึกอบรม เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ต่อแรงงานได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งที่ประชุมได้เห็นชอบกับแผนพัฒนาแรงงานฯ ดังกล่าว และได้เสนอให้นำข้อสังเกตบางประการจากคณะอนุกรรมการฯ ไปปรับปรุงข้อมูล เพื่อให้มีความสมบูรณ์และเกิดประโยชน์ต่อการดำเนินงานตามแผนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ยังได้เสนอให้มีการทบทวนข้อมูลจำนวนความต้องการแรงงานในแต่ละปีจากส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานต่อไป

“แม้ว่าสถานการณ์ของโควิด-19 จะยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง แต่แรงงานก็ยังคงต้องได้รับการพัฒนา เพื่อยกระดับฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพ มีทักษะที่สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และมีโอกาสในการประกอบอาชีพได้ทันทีตามความต้องการของตลาดแรงงาน” รมช.แรงงาน กล่าวทิ้งท้าย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสภากาชาดไทย จัดพิธีลงนามความร่วมมือ “เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED)” สนับสนุนภารกิจช่วยเหลือประชาชนในภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการบริจาคเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ร่วมกับสภากาชาดไทย จากการทำกิจกรรมตามโครงการ “วิ่งกระตุกหัวใจ 125 ปี สภากาชาดไทย” และกิจกรรม “กระตุกหัวใจ Virtual Run 2,000,000 km” เพื่อจัดซื้อเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) สนับสนุนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 262 เครื่อง

พล.ต.ต. ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล / โฆษกกองบัญชาการตำรวจนครบาล เปิดเผยข้อมูลว่า ในวันพุธ ที่ 25 ส.ค. 64 เวลา 13.20 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.อ.อ.สุบิน  ชิวปรีชา กรมวังผู้ใหญ่ในพระองค์ฯ พร้อมด้วย นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย, พล.ต.อ.ปิยะ  อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, นางสุทธารักษ์  ปัญญา ผู้อำนวยการสำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย, พล.ต.ท.ภัคพงศ์  พงษ์เภตรา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และผู้บังคับบัญชาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือโครงการบริจาคเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) ระหว่างสภากาชาดไทย กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ นายเตช บุนนาค เลขาธิการสภากาชาดไทย เป็นผู้แทนลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ

ซึ่งการลงนามความร่วมมือ ดังกล่าว เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสภากาชาดไทยที่จัดหารายได้เพื่อซื้อเครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าอัตโนมัติ (AED) เป็นอุปกรณ์ช่วยชีวิต กู้ชีวิตประชาชนที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ซึ่งนำรายได้จากการจัดกิจกรรมโครงการ “วิ่งกระตุกหัวใจ 125 ปี สภากาชาดไทย” และกิจกรรม “กระตุกหัวใจ Virtual Run 2,000,000 km” เพื่อบริจาคให้กับกระทรวงสาธารณสุข ไว้ใช้ในภูมิภาคต่าง ๆ ทั้ง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,100 เครื่อง และมอบให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 262 เครื่อง เพื่อติดตั้งในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ สำหรับในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นผู้รับผิดชอบดูแล

โดยได้มีการจัดแบ่งจุดต่าง ๆ เพื่อติดตั้งอุปกรณ์ ดังนี้

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จำนวน 27 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 9 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 18 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวน 25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 3 จำนวน 26 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 15 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 4 จำนวน 19 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ  8 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 11 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  5 จำนวน 54 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 9 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 45 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 6 จำนวน 38 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 8 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 30 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  7 จำนวน  25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล  8 จำนวน  25 จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 11 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 14 จุด

 - พื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 9 จำนวน  23  จุด แบ่งเป็นประจำสถานีตำรวจ 10 แห่ง และประจำจุดทางร่วม ทางแยก จำนวน 13 จุด

ขอนแก่นเดินหน้าปลูกฟ้าทะลายโจร สมุนไพรพื้นบ้านต้านภัยโควิด ผนึกพลังชุมชนปลูกทุกพื้นที่ นายอำเภอพระยืน ระบุ มุ่งสู่เมืองแห่งสมุนไพรไทย ที่ผลิตได้แบบครบวงจรตามความต้องการของตลาดคนรักษ์สุขภาพ

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 24 ส.ค. 64  ที่ บ.ดงกลาง ต.บ้านโต้น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น นายชินกร แก่นคง นายอำเภอพระยืน นำคณะเกษตรจังหวัด, เกษตรอำเภอ รวมทั้งผู้นำชุมชนในพื้นที่ ต.บ้านโต้น ร่วมกันปลูกต้นฟ้าทะลายโจร ซึ่งสำนักงานเกษตร อ.พระยืน ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนในพื้นที่ได้กำหนดจัดกิจกรรมขึ้น โดยมีเกษตรกรในเขตพื้นที่ บ.ดงกลาง เข้าร่วมกิจกรรมอย่างพร้อมเพรียง

นายชินกร แก่นคง นายอำเภอพระยืน กล่าวว่า ฟ้าทลายโจร พืชสมุนไพร ที่ขณะนี้ได้ถูกจัดให้เป็นยาสมุนไพรพื้นบ้านตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย ที่สามารถใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ตามที่แพทย์กำหนด ทำให้ขณะนี้กระแสสมุนไพรไทย โดยเฉพาะฟ้าทะลายโจร รวมไปถึง ขิง, ขมิ้น, ข่า, ตระไคร้, ใบมะกรูด และกระชาย เป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก ดังนั้นการที่ ชาวอ.พระยืน ได้พร้อมใจกันปลูกฟ้าทลายโจรโดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานเกษตร จ.ขอนแก่น สนับสนุนต้นกล้าฟ้าทะลายโจรมาให้กับชุมชน บ.ดงกลาง แห่งนี้ได้ทำการปลูกเพื่อสร้างเกษตรแปลงใหญ่ในกลุ่มสมุนไพรไทยให้เกิดขึ้นในพื้นที่

“บ.ดงกลาง เป็นที่ตั้งของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ต.บ้านโต้น ที่มีชื่อเสียงในการผลิตผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย ดูได้จากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้น ฟ้าทะลายโจรแคปซูล หรือชาฟ้าทลายโจร รวมไปถึงน้ำต้มสมุนไพรสูตรต่าง ๆ ที่แพทย์แผนไทยกำหนด ได้รับความนิยมและยอดการสั่งซื้อในจำนวนทีเพิ่มขึ้น เกษตรกรที่เดิมกำหนดกำลังการผลิตตามคามต้องการของตลาดที่คาดการณ์ไว้แต่วันนี้ยอดการสั่งซื้อมีมากขึ้นทุกวันและยังคงมีการผลิตฟ้าทะลายโจรแคปซูล และ ชาฟ้าทะลายโจร รวมไปถึงกลุ่มสมุนไพรต้านไวรัสที่ถูกนำมาแปรรูปในประเภทต่าง ๆ ที่ยังคงมีการยอดของการสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน”

นายอำเภอพระยืน กล่าวต่ออีกว่า การที่คนพระยืน พร้อมใจกัน สร้างพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่ ในกลุ่มสมุนไพรพื้นบ้านที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยที่ บ.ดงกลาง เป็นพื้นที่หลักของการปลูกสมุนไพรพื้นบ้านนานาชนิด ซึ่งจากนี้ไปเมื่อผลผลิตเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวตามแนวทางการปลูกที่สำนักงานเกษตร อ.พระยืนกำหนด เกษตรกรโดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโต้น จะทำการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพร ที่มีการบริหารจัดการสมุนไพรไทยพื้นบ้าน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ยกระดับสมุนไพรไทยประจำถิ่นสู่ตลาดสมุนไพรไทยในกลุ่มคนรักษ์สุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนไทยในระดับภูมิภาคที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนได้อย่างยั่งยืน


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

โฆษกรัฐคนใหม่ เผย “บิ๊กตู่” กำชับดูแลประชาชนทุกกลุ่มอย่างเต็มความสามารถ ควบคู่กับการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด “แจง” เงินช่วยเหลือ ม. 33 ใน 16 จ.โอนแล้วกว่า 600 ล้าน ส่วน ม.39 โอนแล้ว 5.6 พันล้าน ขณะที่ ม.40 รอรับระหว่าง 24 - 25 ส.ค. วันละ 2 ล้านคน จากนั้น 2

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน ม. 33 ม. 39 และ ม. 40 ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้โอนเงินเยียวยาให้ผู้ประกันตน ม. 33 ลูกจ้างสัญชาติไทยคนละ 2,500 บาท ในพื้นที่ 16 จังหวัด (นครราชสีมา ระยอง ราชบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี ตาก อ่างทอง นครนายก สมุทรสงคราม สิงห์บุรี) รวม 249,235 คน เป็นเงินกว่า 623 ล้านบาท ส่วนนายจ้างในพื้นที่ 16 จังหวัด ที่จะได้รับเงินเยียวยาให้กับลูกจ้างไม่เกิน 200 คน คนละ 3,000 บาท ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้นั้น สำนักงานประกันสังคมกำลังทยอยตรวจสอบข้อมูลที่นายจ้างกรอกไว้ในระบบ E-Service และจะทำการโอนเข้าบัญชีที่ระบุไว้ทุกวันศุกร์

โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า สำหรับเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ม. 39 และ ม. 40 นั้น เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ที่ผ่านมา สำนักงานประกันสังคม ได้เริ่มโอนเงินช่วยเหลือผู้ประกันตน ม. 39 ในพื้นที่ 13 จังหวัด (กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี พระนครศรีอยุธยา) รวม 1.12 ล้านคน เป็นเงินกว่า 5.6 พันล้านบาท ส่วน ม. 40 ในพื้นที่ 13 จังหวัด มีจำนวน 4.5 ล้านคน ทำการโอนระหว่างวันที่ 24 - 25 สิงหาคม 2564 วันละ 2 ล้านคน จากนั้นวันที่ 26 สิงหาคม โอนที่เหลืออีก 5 แสนคน เป็นเงิน 22,482 ล้านบาท สำหรับกำหนดการโอนเงินให้ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ในกลุ่ม 16 จังหวัด (กาญจนบุรี ตาก นครนายก นครราชสีมา ประจวบคีรีขันธ์ ปราจีนบุรี เพชรบุรี เพชรบูรณ์ ระยอง ราชบุรี ลพบุรี สิงห์บุรี สมุทรสงคราม สระบุรี สุพรรณบุรี และอ่างทอง) จำนวน 802,397 คน จะได้รับเงินเยียวยาตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป ทั้งนี้ ผู้ประกันตน ม. 33 ม. 39 และ ม. 40 ในพื้นที่ 13 จังหวัดล็อกดาวน์ จะได้รับเงินเยียวยา ระยะเวลา 2 เดือน ส่วนผู้ประกันตน ม. 33 ม. 39 และ ม. 40 ในพื้นที่ 16 จังหวัดที่ประกาศล็อกดาวน์ภายหลังจะได้รับเงินเยียวยา 1 เดือน ซึ่งผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th/eform_news

"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม  ห่วงใยประชาชนทุกคน ทุกกลุ่ม จึงกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดูแลประชาชนทุกกลุ่มอย่างเต็มความสามารถ เร่งหาหนทางเพื่อช่วยเหลือทางด้านเศรษฐกิจกับประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มพ่อค้าแม่ค้า รวมถึงผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อมทั่วประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 ควบคู่ไปกับการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาด ซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างทุ่มเทสรรพกำลังอย่างเต็มที่ในทุกๆ ด้าน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนที่เกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด"โฆษกรัฐบาลกล่าว

ร้องต่อ! ศรีสุวรรณ จ่อยื่น ป.ป.ท. สอบแพทย์นครสวรรค์ ออกใบรับรอง การตายหนุ่มถูกถุงคลุมหัวดับ ส่อทุจริตต่อหน้าที่

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฎเป็นการทั่วไปว่า จากกรณีที่ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ โพสต์คลิปเหตุการณ์ขณะผู้กำกับโจ้ใช้ถุงคลุมศีรษะรีดเงิน 2 ล้าน ฆ่าพ่อค้ายาเสพติดจนกลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากในขณะนี้นั้น 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า ล่าสุดในสื่อออนไลน์ต่างๆยังมีการเปิดเผยเอกสารอีกหนึ่งฉบับ คือหนังสือรับรองการตายของผู้ต้องหา ที่ออกโดยแพทย์จากโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ จ.นครสวรรค์ พร้อมระบุสาเหตุการเสียชีวิตโดย สันนิษฐานว่า ผู้ต้องหาได้เสียชีวิตเพราะพิษจากสารแอมเฟตามีน ซึ่งหลังจากมีเอกสารนี้เปิดเผยออกมา จึงเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นอย่างมาก ว่าการกระทำในคลิปกับการระบุสาเหตุการตายในเอกสาร มันขัดแย้งกันหรือไม่ 

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การเขียนสาเหตุของการตายว่า  “สันนิษฐานว่า พิษจากสารแอมเฟตามีน” ซึ่งระบุเหตุแห่งที่ตายคือการ Overdose ซึ่งตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงที่เป็นข้อมูลข่าวสารที่ปรากฏในคลิปวิดีโอโดยชัดแจ้ง การเขียนในลักษณะนี้ชี้ให้เห็นว่า เป็นการจดข้อความอันเป็นเท็จในเอกสารราชการหรือไม่ ซึ่งหาพิสูจน์แล้วว่าเป็นการร่วมมือกันกับตำรวจในกรณีดังกล่าวจริง แพทยสภาจะต้องดำเนินการถอนถอนใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ในลำดับถัดไปด้วย เพราะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและขัดต่อจรรยาบรรณแพทย์อย่างร้ายแรง

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า แม้เป็นแค่หนังสือรับรองการตายหรือใบ ท.ร. ให้ญาตินำไปขอใบมรณะบัตรที่อำเภอ จะได้นำศพไปทำพิธีได้ ซึ่งหนังสือรับรองการตายมีความมุ่งหมายเพื่อเก็บสถิติการตาย ไม่เกี่ยวกับใบชันสูตรพลิกศพที่หมอจะออกมาให้ตำรวจเพื่อใช้ทำคดี แต่ถึงอย่างไรก็ตามเมื่อศพมาถึง รพ. การแอดมิทตรวจร่างกายทั่วไปว่าพบร่องรอยชัดเจนใดๆ ที่เป็นสาเหตุการตายหรือไม่ หรือทำแค่ฟังตำรวจให้ว่าเสพยาบ้ามาและช๊อคหมดสติไปเท่านั้น เพราะถ้าเป็นการตายผิดธรรมชาติตามระเบียบต้องมีการผ่าชันสูตรศพเท่านั้น ตาม ป.วิ.อ. มาตรา148 วรรคหนึ่งกำหนด แล้วจึงออกใบชันสูตรศพให้อีกครั้ง ว่าตายจากสาเหตุอะไรกันแน่ ซึ่งจะนำไปสู่การไต่สวนโดยศาล ตามมาตรา 150 ว.3  และ ว.5 ต่อไป แต่ประเด็นสำคัญคือ ศพได้ผ่าจริงๆหรือไม่ เท่านั้น

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวเป็นข้อพิรุธ ที่อาจเชื่อได้ว่าแพทย์จากโรงพยาบาลดังกล่าว อาจร่วมมือกับตำรวจในการจัดทำเอกสารใบรับรองการตายอันเป็นเท็จ เพื่อทำให้รูปคดีเปลี่ยนไปจากข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นอันตรายต่อกระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเหตุดังกล่าวสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย จึงจะนำความพร้อมพยานหลักฐานไปร้องเรียนต่อ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)ในวันพฤหัสที่ 26 ส.ค.64 เวลา 10.00 น. ณ สำนักงาน ป.ป.ท.อาคารซอฟต์แวร์พาร์ค ถ.แจ้งวัฒนะ เพื่อให้สอบสวนเอาผิดนายแพทย์คนดังกล่าว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง

พท. ผุด แคมเปญเชิญชวนปชช.ลงชื่อโหวตไม่ไว้วางใจ “พล.อ.ประยุทธ์” ผ่านเว็บไซต์ เชื่อศรัทธาปชช.จะชนะมือในสภา 

ที่รัฐสภา นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน พร้อมด้วยส.ส.พรรค แถลงข่าว เชิญชวนพี่น้องประชาชนร่วมลงชื่อโหวตไม่วางใจรัฐบาล ผ่าน https://www.change.org/prayutgetout  ในหัวข้อ “ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์” เพื่อร่วมแสดงพลัง และเจตจำนง ไม่ยอมรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี อีกต่อไป เพราะเป็นผู้นำที่ไร้ความสามารถ บริหารประเทศล้มเหลวซ้ำซาก ปล่อยปละละเลย ทำให้พี่น้องประชาชนประสบกับภาวะทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ซึ่งการเข้าร่วมลงชื่อในครั้งนี้จะเป็นการแสดงพลังของพี่น้องประชาชนอีกทางหนึ่งตามวิถีประชาธิปไตย ควบคู่ไปกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านในสภาที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันที่ 31 ส.ค. – 2 ก.ย.นี้  ทั้งนี้ การลงมติไม่ไว้วางใจของประชาชนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล จะได้ตระหนักว่า เสียงข้างมากของส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลในสภารวมกับเสียงของสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ไม่อาจค้ำจุนการอยู่รอดของรัฐบาล และการดำรงอยู่ในตำแหน่งของนายกฯได้ ตรงกันข้ามหากพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ขาดความเชื่อมั่น ขาดความไว้วางใจ ขาดศรัทธาที่จะให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ บริหารประเทศต่อไป ปัญหาวิกฤตของประเทศที่เผชิญอยู่จะไม่อาจแก้ไขได้ และประเทศจะจมดิ่งลึกลงจนกอบกู้แก้ไขลำบากขึ้นทุกที  

“พรรคเพื่อไทยขอเชิญชวนให้ประชาชนร่วมแสดงออกด้วยการร่วมลงชื่อ ลงมติในครั้งนี้ จำนวนผู้ร่วมลงชื่อมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสื่อถึงความปรารถนาของประชาชนได้มากเท่านั้น  เพราะเราเชื่อมั่นว่า มือในสภาหรือจะสู้ศรัทธาของประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้าน จะเดินหน้าทำหน้าที่เปิดโปงความล้มเหลวทุกด้านที่พล.อ.ประยุทธ์ และพวก ได้ทำไว้กับพี่น้องประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ขอให้พี่น้องประชาชนที่อดทนอดกลั้นกับรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มาตลอด 7 ปีที่ผ่านมา รอดูการเช็คบิลของพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมฝ่ายค้านในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่จะเกิดขึ้น” นายสมพงษ์ กล่าว

ด้าน นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย  กล่าวว่า การทำงานในสภากับการทำงานนอกสภา เป็นการทำงานคู่ขนานกันไป ก่อนหน้านี้เราเปิดโอกาสให้ประชาชนส่งข้อมูลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ซึ่งขณะนี้ประชาชนส่งข้อมูลมามากพอสมควร 

ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวว่า สำหรับแคมเปญเชิญชวนประชาชนร่วมลงชื่อไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้เป็นการปลุกระดม แต่เป็นการทำงานแบบประชาธิปไตยคู่ขนาน คือ ประชาธิปไตยทางตรง และประชาธิปไตยแบบตัวแทน วันนี้จำเป็นที่ทุกฝ่ายจะต้องขับเคลื่อนร่วมกัน ส่วนความพร้อมของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่กำลังจะมาถึง ตอนนี้ถือว่าพร้อมมาก และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนการปรับเนื้อหาให้คมเข้าเป้า โดยจะเน้นที่เรื่องของโควิด – 19 เศรษฐกิจ และการทุจริตคอรัปชั่น หลายเรื่องเป็นบรรยากาศที่ไม่ควรเกิด เราจะต้องชี้ให้เห็นว่าเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์ด้วยการทุจริต 

ถามต่อว่า เป็นลักษณะที่ชี้ให้สังคมเห็นเหมือนในหลายครั้งที่ผ่านมาหรือครั้งนี้จะมีใบเสร็จที่จะชี้ชัดเอาผิดทางอาญาต่อไปได้ นายสุทิน กล่าวว่า มีทั้งที่มีใบเสร็จ และบางส่วนที่มีการทุจริต ความไม่ชอบมาพากลสมัยใหม่ไม่มีใบเสร็จ เมื่อไม่มีใบเสร็จก็จะชี้ให้เห็นว่าเมื่อได้ฟังแล้วจะเชื่อได้ว่ามีการทุจริต และความผิดพลาด ไม่มีใบเสร็จหรอกสมัยใหม่ แต่พูดแล้วเชื่อ

เมื่อถามว่า การอภิปรายครั้งนี้มั่นใจว่าจะน็อครัฐบาลได้เลยหรือไม่ หรือเป็นการเปิดเนื้อหาต่างๆ ให้ประชาชนได้รับรู้ถึงความล้มเหลวเท่านั้น นายสุทิน กล่าวว่า แม้ฝ่ายค้านจะยังไม่อภิปราย ตนเชื่อว่ารัฐบาลต้องหาความชอบธรรม เพียงแต่เราได้ตอกย้ำ และชี้ให้เห็นชัดเจนเท่านั้น ส่วนจะน็อคได้หรือไม่ ตนเชื่อว่าอยู่ที่ระดับสำนึกของรัฐบาล ว่าเป็นรัฐบาลที่มีสำนึก และรับผิดชอบต่อประชาชนสูง วันนี้ประชาชนน็อครัฐบาลไปแล้ว และสังคมอภิปรายไปก่อนเราแล้ว ไม่ต้องถึงมือเราแต่เชื่อว่าหากถึงมือเราถ้าอยู่ก็คงลำบาก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแถลงข่าวของพรรคเพื่อไทยวันนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า บรรดาส.ส.ของพรรคเพื่อไทย พร้อมใจกันแต่งกายใส่สูทผูกเนคไทดำ ซึ่งนายประเสริฐ เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ในความล้มเหลวของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top