Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

พท.พ้อ ปชช.อยู่กับรบ.ทิพย์ เหน็บมีแต่กลาโหมขยันจะซื้อแต่เรือดำน้ำ

ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า นอกจากการล็อกดาวน์ประเทศ จะล็อกดาวน์ประชาชน ล็อกดาวน์พื้นที่ ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลกำลังล็อกดาวน์บทบาทหน้าที่การทำงานของตัวเองด้วยหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผอ.ศบค.รับผิดชอบภาพรวมการแก้ไขสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของประเทศ และตั้งตัวเองเป็นผอ.ศูนย์แก้โควิด-19 กรุงเทพฯ และปริมณฑล ก็ล้มเหลว ผิดพลาด ไร้ประสิทธิภาพแทบทุกตำแหน่ง สะท้อนผ่านการประกาศยกระดับ 13 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม และมีแนวโน้มอาจต้องประกาศยกระดับจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นอีก ทั้งหมดล้วนเป็นความรับผิดชอบของพล.อ.ประยุทธ์ แทนที่จะเพิ่มไอคิว ดันเพิ่มไอโอ จนต้องปั่นไอโอสู้กันเองระหว่างทหารกับพรรคร่วมรัฐบาล เหมือนทหารเหยียบตาปลาหมอ อุตส่าห์ยึดอำนาจมารวมศูนย์ไว้ที่ตัวเอง แต่กลับล็อกดาวน์บทบาทหน้าที่ตัวเอง ไม่ทำงาน ไม่ตั้งสติ ตรวจสอบ แทนที่จะยอมรับผิดแล้วเดินหน้าปรับปรุงแก้ไข แต่ก็ละทิ้งโอกาสและไม่ทำ แทบทุกกระทรวงหายไปจากสารบบของการดูแลเยียวยาแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน ปล่อยให้ประชาชนต้องดูแลเยียวยาตัวเอง 

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า มีรัฐบาลก็เหมือนมีรัฐบาลทิพย์ ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ กระทรวงดีอีเอส แทนที่จะบริหารจัดการเชื่อมโยงข้อมูลในระบบบิ๊กดาต้า เพื่อให้สามารถเข้าถึงการเยียวยาประชาชนที่เดือดร้อน แต่กลับไปเน้นหนักในการทำหน้าที่ไล่ฟ้องประชาชน ปกป้องอำนาจรัฐกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ควรจะมีบทบาทหลักในการดูแลประชาชนกลุ่มเปราะบาง กลับล็อคดาวน์ตัวเอง กระทรวงศึกษาธิการที่ควรเป็นเจ้าภาพในการงดหรือลดค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในช่วงที่นักเรียนต้องเรียนออนไลน์ให้ผู้ปกครอง ก็ไม่สามารถทำได้ ที่ขยันผิดกระทรวงอื่น คือกระทรวงกลาโหมที่ยังคงดำรงความมุ่งหมายในการจ้องจะซื้อเรือดำน้ำอันเป็นความปรารถนาอย่างสูงสุดของกองทัพ

“รัฐบาลทิพย์ รัฐมนตรีล็อกดาวน์บทบาทตัวเอง คนเปราะบาง ประชาชนเดือดร้อนทั่วทุกหย่อมหญ้า เยียวยาไม่พอยาไส้ แต่ให้ประชาชนดูแลกันเอง จิตใจทำด้วยอะไร” นายอนุสรณ์ กล่าว 

กล่องรอดตาย! ช่วยคนป่วยติดเชื้อโควิดรักษาตัวเองที่บ้าน

สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ (สนจ.) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับ สถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง กรมควบคุมโรค มูลนิธิส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะไทย และภาคีเครือข่าย ขอชวนพี่น้องนิสิตเก่าจุฬาฯ และผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบริจาคยาและเวชภัณฑ์เพื่อจัดทำ “กล่องรอดตาย” (Survival Box) พร้อมระบบติดตามอาการสำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ทราบผลจากการตรวจเชิงรุกของรถวิเคราะห์ผลด่วนพิเศษพระราชทาน (Express Analysis Mobile Unit) เพื่อใช้ดูแลรักษาตนเองที่บ้านขณะรอเตียง

สามารถสมทบทุนจัดทำกล่องรอดตาย กล่องละ 500 บาท บริจาคเงินผ่านมูลนิธิส่งเสริมและอนุรักษ์ศิลปะไทย บัญชี ธ.กสิกรไทย เลขที่ 017-2-88191-2 (ส่งหลักฐานการบริจาคเพื่อขอลดหย่อนภาษีมาที่ LINE ID : @donatesurvivalbox) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คุณแมค โทร. 096-991-6363 และคุณโอม โทร. 093-698-9336


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

ตำรวจบุกถึงบ้าน จับมือปล่อยเฟคนิวส์ ‘ศพโควิด’ ถูกทิ้งเรียงราย ระบุเหตุเกิดในต่างประเทศ พร้อมขอความร่วมมือประชาชน อย่าแชร์ อย่าปล่อยข่าวเท็จ หลังศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบข้อมูลเท็จระบาดหนัก

เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.ต. ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข่าวบิดเบือน เป็นภาพผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 นอนเรียงราย ไร้การดูแลจากภาครัฐ แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นภาพเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ได้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.1 ได้นำหมายศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา เข้าตรวจค้นบ้านพักของผู้โพสต์ภาพดังกล่าว ใน อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา หลังการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวอีกว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ยังตรวจพบการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จเรื่อง “ธนาคารออมสินปล่อยสินเชื่อธนาคารประชาชนสุขใจ ให้กู้ยืม 200,000 บาท ผ่อนเพียง 1,666 บาท” ได้รับการยืนยันจากธนาคารออมสิน และกระทรวงการคลัง ว่า เป็นข่าวปลอม

และกรณีการแชร์ข้อความว่า “ประชาชนอายุต่ำกว่า 60 ปี สามารถโทร.นัดหมายฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อได้แล้ว” ทางกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ยืนยันว่า เป็นข่าวปลอมเช่นกัน

จึงขอความร่วมมือประชาชนอย่าแชร์ข่าวดังกล่าว ซึ่งการผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน และยังเสี่ยงถูกดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีโทษทั้งจำและปรับ

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

หวั่นเศรษฐกิจเจอผลกระทบล็อกดาวน์หนักสูญ 1.2 แสนล.

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า หลังจากสถานการณ์โควิด-19 มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ซึ่งหอการค้าไทยมีความเป็นห่วงสถานการณ์อย่างมาก โดยเฉพาะการขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดอีก 3 จังหวัด รวมเป็น 13 จังหวัด คือ พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่สายการผลิตเพื่อการส่งออก โดยต้องการให้รัฐบาลแยกผู้ติดแยกออกมาให้ได้ และเร่งกระจายการฉีดวัคซีนควบคู่ไปกับการเยียวยา โดยหากดูตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อในปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงว่ารัฐบาลจะต้องขยายล็อกดาวน์เพิ่มมากกว่า 14 วัน 

นายสนั่น กล่าวว่า หากมีการขยายล็อกดาวน์ออกไปมากกว่า 14 วัน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ล่าสุดหอการค้าประเมินความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจเบื้องต้น คาดว่า จะเพิ่มจากเดิมที่ประมาณไว้ 2,000-3,000 ล้านบาทต่อวัน เป็นวันละ 3,000-4,000 ล้านบาทต่อวัน ถ้าคำนวณผลกระทบ 1 เดือน ประมาณ 90,000-120,000 ล้านบาท 

อย่างไรก็ตามเพื่อให้การล็อกดาวน์ มีประสิทธิภาพมากขึ้น คนลดการเคลื่อนย้ายจริง ต้องมีมาตรการช่วยลดค่าใช้จ่ายและเสริมรายได้ในช่วงนี้ เงินกู้ที่เตรียมไว้ 500,000 ล้านบาท จำเป็นต้องนำมาเร่งใช้ในช่วงนี้ หรือภายในไตรมาส 3 และหากไม่พอรัฐบาลก็สามรถกู้เพิ่มเติมได้ เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลมีแผนจะกู้เพิ่ม 7 แสนล้านบาท แต่กู้เพิ่มล่าสุด 5 แสนล้านบาท ก็ยังมีกรอบที่จะดำเนินการเพิ่ม

ศบค. ย้ำ ข้อกำหนดเข้ม ลดการเดินทาง “ให้ลดผดส.-ขนส่งสาธารณะ ทั่วประเทศไม่เกิน 50เปอร์เซ็นต์” แนะ รอฟังประกาศแต่ละจ.กำหนดเพิ่มเติม

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.กล่าวว่า สำหรับข้อกำหนดเรื่องการเดินทางของประชาชนใน 13 จังหวัดควบคุมสูงสุดและเข้มงวด(สีแดงเข้ม) ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่21 ก.ค.นี้ ให้กระทรวงคมนาคม กทม.จังหวัด หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบกำกับดูแลการให้บริการขนส่งสาธารณะทุกประเภทในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และการขนส่งสาธารณะทุกประเภทระหว่างจังหวัดทั่วราชอาณาจักร
ให้จำกัดจำนวนผู้โดยสารที่ใช้บริการไม่เกินร้อยละ 50 ของความจุผู้โดยสาร คือให้ลดการเดินทางทั้งประเทศ ไม่เฉพาะ 13 จังหวัด โดยเดินทางได้ แต่ต้องลดพื้นที่ขนส่งลง 50 เปอร์เซ็น ให้เว้นระยะห่าง และให้บริการเพียงพอต่อความจำเป็นในเวลาที่เหมาะสม โดยเฉพาะอำนวยความสะดวกรับส่งผู้โดยสารไปฉีดวัคซีน  ขณะที่สำนักงานการบินพลเรือนขอความร่วมมือสายการบิน จากดอนเมือง และสุวรรณภูมิ ได้งดเที่ยวบินที่ออกจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดสีแดงเข้มให้มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ก.ค.เป็นต้นไป ดังนั้นเพื่อลดความแออัดขอความร่วมมืออย่าเดินทางในเวลานี้

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า นอกจากนั้นยังคงมาตรการเคอร์ฟิว ตั้งแต่เวลา 21.00 น.-04.00ของวันรุ่งขึ้นเป็นเวลา 14 วัน และยังควบคุมการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มให้ซื้อกลับที่บ้านได้จนถึงเวลา 20.00 น. และห้ามขายแอลกอฮอล์ ส่วนการเปิดห้างจะเข้มข้นขึ้น โดยให้เปิดบริการได้เฉพาะซุปเปอร์มาร์เก็ต แผนกยาและเวชภัณฑ์เท่านั้น และพื้นที่จัดให้บริการฉีดวัคซีน เปิดได้จนถึงเวลา 20.00 น. และปิดกิจการร้านขายวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้าง ธนาคาร สื่อสารฯ ในห้างใหญ่ ด้านร้านสะดวกซื้อ ตลาดสด ให้เปิดได้จนถึงเวลา 20.00 น. และให้เแต่ละจังหวัดพิจารณาสั่งปิดได้ตามความจำเป็น หากมีผู้ติดเชื้อสูงขึ้น ส่วนโรงแรมให้งดจัดกิจกรรมประชุม สัมมนาหรือจัดเลี้ยง และห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน หากเป็นการรวมกลุ่มของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับอนุญาตไปก่อนหน้านั้น ให้มาขออนุญาตอีกครั้งเพื่อตรวจสอบและทบทวนให้เป็นไปตามมาตรการ นอกจากนั้นให้ภาครัฐสั่งการให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรปฎิบัติงานนอกสถานที่หรือเวิร์กฟรอมโฮมขั้นสูงสุด โดยใช้วิธีประชุมทางอิเล็กทรอนิกส์ และขอความร่วมมือเอกชนปฎิบัติงานนอกสถานที่ตั้งให้มากที่สุดเช่นกัน

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมและกิจการอื่น เช่น สถานที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง สวนสาธารณะ สามารถทำได้หรือไม่ทางศบค.ให้แต่ละจังหวัดออกประกาศข้อกำหนดของตัวเองให้สอดคล้องกับมาตรการหรือเข้มข้นมากขึ้น ขอให้ประชาชนรอฟังประกาศของจังหวัดนั้นๆอีกครั้ง

นอกจากนั้นสถานที่อนุญาตให้เปิดได้ตามความจำเป็น ได้แก่  โรงพยาบาล สถานพยาบาล คลินิกแพทย์รักษาโรค ร้านขายยาและเวชภัณฑ์ ร้านค้าทั่วไป โรงงาน ธุรกิจหลักทรัพย์ ทุรกรรมการเงิน ธนาคารเอทีเอ็ม การสื่อสารคมนาคมไปรษณีย์และพัสดุ ร้านจำหน่ายอาหารสัตว์ ร้านจำหน่ายเครื่องมือช่างและอุปกรณ์ก่อสร้าง ร้านจำหน่ายสินค้าเบ็ดเตล็ด ที่อยู่นอกห้าง รวมถึงสถานที่จำหน่ายแก๊สหุงต้ม เชื้อเพลิง ปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส รวมทั้งบริการสินค้าและอาหารตามสั่งสามารถเปิดได้ตามความจำเป็น 

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า เมื่อปีที่แล้วมีการคาดการณ์ว่าจะติดเชื้อ 16.9ล้านคน ถ้าไม่ทำอะไรก็จะมีจะมีการคาดการณ์อาจจะติด9แสนคนหรือ9ล้านคน หรือ4แสนคน วันนี้เห็นเป็นรายวันที่บอกวันละ1 หมื่น2หมื่น 3หมื่นคน แต่เราไม่อยากให้เป็น วันนี้แตะหมื่นหลายวัน จึงอยากให้ลดลงไปโดยทุกคนต้องช่วยกันช่วยกันได้ ความสามัคคีที่จะช่วยกันได้ ข้อกำหนดออกมาเหมือนกติกาที่จะอยู่ร่วมกันเพื่อดึงกราฟตัวเลขลงมาได้ เพื่อให้เห็นพลังและจิตใจของคนไทยนอกจากช่วยตัวเองและญาติพี่น้องก็ยังช่วยชาวไทยทุกคนด้วยจึงขอกราบขอความร่วมมือประชาชนทุกคนแล้วเราจะผ่านความทุกข์ยากไปด้วยกัน

“โฆษกพปชร.” แนะ “ศุภชัย”  อย่าติดกับคนผู้ไม่หวังดี ชี้ ภาวะวิกฤตต้องมีสติ-หนักแน่น จับมือแก้ปัญหา

น.ส.พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ส.ส. กทม.ในฐานะโฆษกพรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) กล่าวกรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ตัดพ้อถึงการทำงานของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ว่า การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม รวมถึง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีทุกกระทรวง ทุ่มเทแก้ปัญหาการระบาดของโควิด-19 เต็มที่ การบริหารจัดการสถานการณ์ปัจจุบันในภาวะวิกฤต ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก มีทั้งข้อจำกัดและแรงกดดันมากเป็นทวีคูณ การตัดสินใจดำเนินการสิ่งใด ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อเกิดประโยชน์แก่ประเทศและประชาชนอย่างสูงสุด แต่สิ่งที่ยากก็คือข้อจำกัดที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น การกลายพันธุ์ของโควิด-19 ทำให้อาจจะไม่สามารถทำอย่างที่เราต้องการได้ทั้งหมด

น.ส.พัชรินทร์ กล่าวว่า เมื่อรัฐบาลถูกโจมตีจากผู้ไม่หวังดีและบิดเบือนความจริงจำนวนมาก ยิ่งต้องรับแรงกดดันด้วยสติ และแก้ปัญหาต่อไปโดยไม่กล่าวโทษไปมา เพราะทุกการตัดสินใจผ่านคณะที่ปรึกษา และคณะรัฐมนตรี ร่วมตัดสินใจด้วย จึงอยากให้มีความหนักแน่น เพื่อพาประเทศผ่านพ้นวิกฤตนี้โดยเร็วที่สุด และนำความปกติสุขคืนสู่ประชาชน ไม่หวั่นไหวไปกับการกระพือข่าวสร้างความแตกแยกของผู้ไม่หวังดีต่อชาติ แต่หากเสียงสะท้อนนั้นสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ก็นำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นได้

นายจิตกร บุษบา คอลัมนิสต์ ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย และการจัดสรรวัคซีนโควิด ที่ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไข

นายจิตกร บุษบา คอลัมนิสต์ ชื่อดัง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในประเทศไทย และการจัดสรรวัคซีนโควิด ที่ยังเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องแก้ไขว่า...

เรื่องโรคโควิด และวัคซีนโควิดตามข้อมูล ณ ปัจจุบัน คือ

1.) ตอนนี้ประเทศไทยมีการระบาดมาก คนตายวันละหลายสิบราย ระบาดมากใน กทม.และปริมณฑล เตียงรับผู้ป่วย โดยเฉพาะ ICU ไม่พอ

2.) เชื้อไวรัส มีการกลายพันธุ์เรื่อย ๆ ปัญหาของการกลายพันธุ์คือ ทำให้มีการแพร่เชื้อและติดได้ง่ายขึ้น มีการดื้อต่อวัคซีนทุกชนิด

3.) วัคซีนที่กระตุ้นภูมิได้สูงกว่า ก็จะต้านการดื้อต่อวัคซีนของเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีกว่า ถ้าพูดถึงความสามารถในการกระตุ้นภูมิของวัคซีนที่มีในตลาดปัจจุบัน

mRNA สูงกว่า viral vector และ viral vector สูงกว่า เชื้อตาย

ซึ่งภูมิที่สูงกว่า ล้อไปกับ ผลข้างเคียงที่มากกว่า

แต่ผลข้างเคียงของวัคซีนทุกชนิด ยังเกิดในอัตราต่ำมาก การฉีด มีประโยชน์มากกว่าการกลัวผลข้างเคียงแล้วไม่ฉีด

4.) สายพันธุ์ที่ระบาดใหญ่ในประเทศไทยเดือนเมษา คือ แอลฟา ตั้งแต่มิถุนายนเริ่มมีเดลตามากขึ้น (ซึ่งติดง่ายและดื้อต่อวัคซีนเพิ่มขึ้น) ตอนนี้เดลตาครองพื้นที่ กทม.แทนแอลฟาแล้ว และกำลังจะครองทั่วประเทศในอีกไม่นาน

5.) วัคซีนที่มีใช้ในประเทศไทยตอนนี้ คือ แอสตร้าฯ และซิโนแวค ตัวที่โดนบูลลี่มาก ๆ คือ ซิโนแวค

ผลการใช้ซิโนแวค ในสถานการณ์จริงของไทยต่อเชื้อสายพันธุ์แอลฟา พบว่าป้องกันการติดเชื้อได้ดี 70-90% ซึ่งสูงกว่าตัวเลข 51% ที่พูด ๆ กันมาหลายเดือน

6.) ข้อมูลเฟส 3 Pfizer ป้องกันติดเชื้อ 95%, ซิโนแวคป้องกันติดเชื้อได้ 51% ดูเหมือนช่องว่างเยอะ แต่เราจะเอาการศึกษาที่ต่างเวลา ต่างสถานที่ ต่างสายพันธุ์ ต่าง criteria ในการเก็บข้อมูลมาเทียบกันโดยตรงไม่ได้

ที่พอเทียบกันได้ คือ การใช้ในสถานการณ์เดียวกันที่ชิลี ดังนี้

ลดโอกาสการตาย PZ 91.8%, SV 86.4%

ลดโอกาสเข้า ICU PZ 98.4% SV 90%

ลดโอกาสติดเชื้อแบบมีอาการ PZ 90.9%, SV 63.6%

7.) การมาของเดลตา ทำให้ซิโนแวคป้องกันการติดเชื้อได้ลดลง (ลดลงทุกวัคซีน แต่วัคซีนเชื้อตาย ต้นทุนในการกระตุ้นภูมิต่ำกว่าตัวอื่น จึงด้อยลงมากที่สุด) แต่ยังป้องกันอาการหนัก ป้องกันตายได้ดีเหมือนเดิม

8.) ในไทยมีบุคลากรทางการแพทย์ที่รับวัคซีน 2 โดสแล้ว (ส่วนใหญ่เป็น SV) เกิด breakthrough infection (คาดว่าเป็นผลจากเชื้อเดลตาดื้อวัคซีน และระดับภูมิคุ้มกันหลังฉีดวัคซีน ก็เริ่มต่ำลงตามเวลาที่ผ่านไป) ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่ต้องกักตัวรักษา และขาดกำลังคนทำงาน ยังไม่ทราบตัวเลขในภาพรวมที่แน่ชัด คงรอรวบรวมข้อมูล

มีเสียงเรียกร้องขอกระตุ้นภูมิ (เข็ม 3)ให้บุคลากรการแพทย์ด้วยวัคซีน "ดี ๆ" ซึ่งการศึกษาการกระตุ้นเข็ม 3 ยังไม่เรียบร้อย แต่ใกล้ได้ข้อสรุปภายใน 1 เดือน

ทั่วโลก ก็มีรายงาน vaccine breakthrough infection กันทุกยี่ห้อ แต่ mRNA น่าจะ breakthrough น้อยสุด

9.) เมื่อ 3 วันก่อนมีการแชร์เอกสาร note การประชุมของคณะกรรมการด้านวิชาการ "ชุดเล็ก" 3 คณะ เรื่องการใช้ PZ บริจาค 1.5 ล้านโดส เบื้องต้น เสนอให้ระดมฉีดเข็ม1 ให้กลุ่มเสี่ยงก่อน (โดยยังไม่ฉีดกระตุ้นเข็ม 3 ให้ HCP)

เมื่อวาน อ.อุดม ในฐานะที่ปรึกษาแก้ไขสถานการณ์โควิดของนายก แถลงหลังประชุมกรรมการ "ชุดใหญ่" ว่าถ้าผลการศึกษาได้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับการกระตุ้นภูมิ จะกระตุ้นภูมิให้ HCP เป็นกลุ่มแรก ด้วย AZ หรือ PZ

10.) เกิด Dilemma ขึ้น ในการบริหารทรัพยากรที่มีจำกัด ระหว่างการฉีดกระตุ้นเข็ม 3 เพื่อกันติดให้ HCP กับ ฉีดเข็ม 1 ให้กลุ่มเสี่ยง เพื่อกันตาย ต่างคนต่างมีเหตุผล แล้วแต่มุมมอง แต่ถ้าพูดในฐานะบุคลากรทางการแพทย์ ย่อมมีประเด็น conflict of interest แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยุติแล้ว โดยการแถลงของ อ.อุดม

11.) ผู้เชี่ยวชาญของโลกและของไทย พูดตรงกันว่า หน้าที่หลักอันดับแรกของวัคซีนโควิด คือ ป้องกันการตายและอาการรุนแรง ซึ่งปัจจุบัน วัคซีนทุกชนิดยังทำหน้าที่หลักของมันได้ดีมาก คือประมาณ 90% แม้เชื้อจะกลายพันธุ์

12.) ประเทศไทยเตรียมแผนวัคซีน"ฟรี"สำหรับปีนี้ไว้อย่างต่ำ 100 ล้านโดส คร่าว ๆ คือ

AZ 61, PZ 20, JJ 5*2, Sputnik V น่าจะประมาณ 5, SV มากขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนวัคซีนไม่ฟรี คือ Moderna ที่รัฐเป็นตัวกลาง ช่วย รพ.เอกชน ซื้อมาขายต่อให้คนที่อยากมีทางเลือกเพิ่มขึ้น (เพราะผู้ผลิตยืนยันไม่ขายให้เอกชนโดยตรง) บริษัทบอกขายให้ได้ 5 ล้านโดส เริ่มทยอยส่งให้ได้เร็วสุดปลายปีนี้

และ Sinopharm ที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์นำเข้ามาขายราคาทุนให้หน่วยงานต่าง ๆ ซื้อไปฉีดให้ประชาชนฟรี นำเข้ามาแล้ว 2 ล้านโดส และน่าจะมีมาอีก

13.) ทั่วโลกขาดแคลนวัคซีนประเทศต่าง ๆ ใช้ทุกสรรพกำลังในการต่อรองแย่งชิงวัคซีนกัน วัคซีนแทบทุกชนิด ส่งล่าช้ากว่าสัญญาที่ทำไว้ทั่วโลก ประเทศที่ไม่ขาดแคลน คือ ประเทศมหาอำนาจที่ร่ำรวย และเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ที่กักตุนยอดวัคซีนไว้ตั้งแต่ช่วงวิจัย ใช้ไม่ทัน มีบางส่วนใกล้หมดอายุ หรือหมดอายุไปแล้วโดยไม่ได้ฉีด และเริ่มมีการบริจาควัคซีนมากขึ้น

14.) ประเทศไทยก็โดนผลกระทบจากการเลื่อนส่ง เช่น AZ วัคซีนหลัก เดิมคาดว่าจะได้ 61 ล้านโดสภายในปีนี้ โดยคาดว่าจะได้เดือนละ 10 ล้านโดส ตอนนี้บริษัทแจ้งว่าจัดสรรให้ได้เดือนละ 5-6 ล้านโดส ส่วน Pfizer บริษัทแจ้งว่าส่งได้อย่างเร็วสุด ปลายปีนี้

15.) ที่ผ่านมา ในบรรดา 5 วัคซีนในแผนวัคซีนฟรีของไทย มีซิโนแวคยี่ห้อเดียว ที่สามารถขยายจำนวน และเร่งเวลาส่งให้เร็วขึ้นได้ เป็นเหตุให้ต้องสั่งมาเติมส่วนที่ล่าช้าของวัคซีนอื่น

16.) ตอนนี้ตลาดวัคซีนเป็นของผู้ขาย ผู้ซื้อต้องยอมทำสัญญาตามเงื่อนไขที่เสียเปรียบผู้ขาย เช่น ผู้ขายมีสิทธิ์เลื่อนส่งได้, ส่งช้ากว่ากำหนดไม่มีค่าปรับ, ถ้ารอไม่ไหว ยกเลิกได้ แต่ไม่คืนเงิน ถ้าเราไม่รับเงื่อนไข ผู้ขายไม่ง้อ มีแต่ต้องพยายามเจรจาให้เสียเปรียบน้อยที่สุด ผู้ขาย (หรืออาจจะประเทศผู้ขาย) กำหนดคิวเอง ไม่ใช่ระบบบัตรคิวที่เรียงลำดับก่อนหลังเพียงอย่างเดียว ทั่วโลกมีข่าวแซงคิว ข่าวทางลัด

17.) จำนวนและกำหนดส่งวัคซีน mRNA ที่เราจองไว้ กำหนดไว้แล้ว ว่า PZ 20 ล้าน, MDN 5 ล้าน เริ่มทยอยส่งปลายปี การดีลเริ่มต้นนับ 1 มาตั้งแต่ต้นปี ไม่ใช่รอนับ 1 หลังเซ็นสัญญาซื้อ แล้วบวกไปอีก 4 เดือนอย่างที่บางคนพูด

การเซ็นสัญญาต่าง ๆ มีกรอบระยะเวลาแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะเซ็นเดือน พ.ค. มิ.ย. ก.ค. หรือ ส.ค. ก็ได้ของปลายปีเหมือนเดิม มีการต่อรองเพื่อให้เสียเปรียบน้อยที่สุด

18.) สัญญาซื้อ PZ เริ่มจากคุยกันเบื้องต้น แล้วลงนามใน

- confidential disclosure agreement เซ็นแล้ว

- binding term sheet เซ็นแล้ว

- Manufacturing and supply สัญญาสุดท้าย เมื่อวาน ครม. มีมติให้ลงนามแล้ว

สัญญา confidential disclosure agreement เป็นตัวเปิดทาง ไม่เซ็นก็ไม่ขาย เซ็นแล้วก็ห้ามเปิดเผยข้อมูล เพราะผู้ขายเค้าเจรจากับแต่ละประเทศไม่เหมือนกัน ราคา ผลประโยชน์ ต่างกัน ที่ผ่านมา เราจึงแทบไม่รู้ข้อมูลเชิงลึกเลย คนทำงานอยู่ในภาวะพูดไม่ได้

แต่ละประเทศก็มีแนวทางเจรจาของตน เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ จำนวนดีลต่างกัน ดีลเล็กของประเทศประชากรน้อย ดีลได้ง่ายกว่าดีลใหญ่ ๆ ของประเทศประชากรเยอะ, ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างกัน และการดำเนินนโยบายการเมืองโลกของประเทศมหาอำนาจ ก็มีส่วนอย่างยิ่ง

ประเทศไหนดีลได้ด้วยข้อเสนอแลกผลประโยชน์ใดบ้าง คือสิ่งที่เราไม่อาจรู้ แต่มีข้อสังเกตว่า บางประเทศเจรจาซื้อ mRNA มานาน ไม่คืบหน้า พอมีข่าวสั่งซื้อขีปนาวุธ และฝูงบินจากมหาอำนาจ ดีลก็เร็วขึ้น

19.) (ความเห็นส่วนตัว) ตอนนี้คนไทยติดเชื้อวันละหลายพัน ตายวันละหลายสิบ ถ้าเลือกสิ่งที่ดีที่สุดได้ ก็ต้องหาวัคซีนกันติดมาให้มาก ๆ และเร็ว ๆ แล้วทุกอย่างจะดีตาม แต่นั่นมันความฝัน ความจริงคือ วัคซีนที่ให้ผลกันติดที่ดีที่สุดตอนนี้ ยังไม่บินมาช่วยเรา ในจำนวนและเวลาที่ทันต่อสถานการณ์

และทุกวัคซีนจะเสื่อมประสิทธิภาพกันติดไปเรื่อย ๆ เพราะไวรัสกลายพันธุ์อยู่เสมอ Herd immunity ไม่ใช่ว่าจะสร้างขึ้นได้ด้วยวัคซีนใดที่มีอยู่ในตอนนี้ แต่วัคซีนทุกชนิดยังป้องกันป่วยหนักได้ดี

ถ้าเรียงลำดับความสำคัญตามสถานการณ์ สิ่งที่ทำได้จริง คือต้องเร่งลดคนอาการหนักก่อน คนตายก็จะลด, ภาระ ICU ก็จะลด ต่อให้ติด ก็มักจะอาการน้อยซึ่งแพร่เชื้อได้น้อยกว่าคนอาการมาก ดังนั้น จึงไม่ควรต่อต้านหรือด้อยค่าการซื้อวัคซีนกันตายที่ส่งมาช่วยเราได้จริง จนกว่าทุกคนจะได้รับการกันตาย และควรจะรับรู้ร่วมกันว่า อย่าฝากความหวังไว้กับวัคซีนทั้งหมด หน้ากาก ล้างมือ ปรับวิถีชีวิต ตั้งสติ ความร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเราได้มาก ๆ

ส่วน mRNA ก็อยากให้รัฐพยายามต่อรองเอาเข้ามาเพิ่มเท่าที่ทำได้ ภายใต้เงื่อนไขที่เราไม่เสียเปรียบเกินไป ทำได้หรือไม่ได้ ก็ต้องพยายามสื่อสารสร้างความเข้าใจให้ดีกว่าที่ทำมา (แต่ประชาชนควรเข้าใจด้วยว่า การพูดอะไรล่วงหน้าต่อสาธารณะ ก่อนที่การเจรจาจะคืบหน้า จะทำให้การเจรจายากขึ้น) ปัญหาตอนนี้คือ คนส่วนหนึ่ง ไม่เชื่อใจว่ารัฐได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่หรือยัง ในการเอา mRNA เข้ามา รัฐต้องพยายามชี้แจงจุดนี้ให้มากขึ้น

แล้วปีหน้าค่อยไปมองหาวัคซีน generation ใหม่ รวมถึงวัคซีนสัญชาติไทย ที่กำลังพัฒนากันอยู่

20.) (ความเห็นส่วนตัว) วัคซีนทุกชนิดสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยชีวิตคนจากโรคระบาด แต่เรากลับเอาวัคซีนมาเป็นเหตุทะเลาะกัน บางคน แค่อาจารย์ผู้ใหญ่บางท่านพูดไม่ถูกใจ ผสมโรงกับสื่อเสี้ยม ก็ไปคุกคาม เหยียดหยามอาจารย์ซะแล้ว

อยากชวนให้พวกเราขับเคลื่อนประเทศด้วยวิธีสร้างสรรค์ ใช้พลังเชิงบวก การใช้พลังบวก ไม่ใช่สิ่งเดียวกับการทำเป็นโลกสวย โลกสวยคือ การแสร้งมองสิ่งต่าง ๆ ว่าดีงาม น่าเห็นใจ แต่ไม่อยู่ในข้อเท็จจริงและเหตุผล

พลังบวก เช่น ความรัก ความสามัคคี ความเสียสละ ความรอบคอบ ความมีเหตุผล ความสุภาพ ความอดทน การให้อภัย การให้เกียรติ ความซื่อสัตย์ ความยั้งคิด การยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของผู้อื่น พลังเหล่านี้ จะช่วยให้เราแก้ปัญหาในภาวะวิกฤติซึ่งเป็นภัยธรรมชาติได้ดีที่สุด

พลังลบ เช่น ความคิดอคติ ความโกรธ ความเกลียด ความเห็นแก่ตัว ความหยาบคาย ความกร้าวร้าว ความใจร้อน ความไม่ยั้งคิด ความบิดเบือน ความคดโกง ความชวนทะเลาะ พลังเหล่านี้ไม่ช่วยอะไร และทำลายทุกฝ่าย

เราอาจจะเข้าใจผิด ว่าพลังการด่าของเราช่วยขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้น ซึ่งไม่จริงเลย การด่า ดูเหมือนจะได้ผลในบางเรื่อง แต่ที่มันได้ผล ไม่ใช่เพราะความกร้าวร้าวหยาบคาย มันได้ผลเพราะพลังบวกอื่น เช่น ความพร้อมเพรียงในการแสดงออก หรือคนรับฟังเค้ามองข้ามเสียงด่าของเรา แล้วเก็บเอาเนื้อความที่ซ่อนอยู่ในคำด่าไปพิจารณา

ในขณะที่เราด่าใคร ถ้าคนที่เราด่า ศีลเสมอหรือต่ำกว่าเรา สิ่งที่เราจะได้รับคือ การด่ากลับ โดยไม่มีใครสนใจเนื้อหา แถมเราก็ยุยงกัน เช่น ดี ๆ ฟาดอีก, ฟาดมากแม่ เอาอีก ๆ

หลาย ๆ ครั้ง เราด่า เพราะเราถูกปั่นให้โกรธ ความโกรธทำให้เราปิดรับข้อมูล ด่าไปโดยที่ตัวเองยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ซึ่งทุกวันนี้ มีสื่อเสี้ยมและบิดเบือนเต็มโลก social

ถ้าเราเชื่อว่าการด่าจะขับเคลื่อนสังคมให้ดีได้ เราก็คงต้องเชื่อว่าการดุด่า ประชดแดกดัน หรือทุบตีเด็ก จะช่วยให้เด็กรับฟังสาระที่เราต้องการบอก และปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ ซึ่งไม่จริง

เราสามารถวิจารณ์ ตำหนิ เสนอแนะได้ตามเหตุผล และข้อเท็จจริงรอบด้าน โดยเลี่ยงการใช้ hate speech ก็สื่อสารได้รู้เรื่อง และดีกว่าการด่าหรือประชดแดกดันกันอย่างแน่นอน


ที่มา : https://www.facebook.com/226733814031758/posts/4304807856224313/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นพ.พงศกร เปิด 10 มุมมอง ความจำเป็นต้องฉีดวัคซีนโควิดเข็ม 3 ระบุ วันนี้ วัคซีน mRNA รับมือเชื้อกลายพันธุ์ได้ดี พร้อมแนะจับตา Novavax ยกเป็นวัคซีนตัวหลักในอนาคต รวมถึงวัคซีนรุ่นที่ 2 ของทุกยี่ห้อ

นพ.พงศกร จินดาวัฒนะ ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการสื่อสาร โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ Pongsakorn Chindawatana กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการฉีดวัคซีนโควิด ว่า วัคซีนเข็มที่สาม นี่มันยังไงกันนะ มาครับ ผมจะเล่าให้ฟัง

1.) เรื่องนี้เกิดขึ้นเนื่องจากการฉีดวัคซีนแบบเชื้อตาย จนครบโดสไปแล้วสองเข็ม กลับพบว่าไม่สามารถป้องกันเชื้อที่กลายพันธุ์ได้ หลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อหลายคน เมื่อตรวจภูมิคุ้มกันก็พบว่าระดับของภูมิคุ้มกันลดลงอย่างรวดเร็ว

2.) เลยเป็นที่มาว่าควรฉีดวัคซีนกระตุ้นดีหรือไม่ ถ้าฉีด ควรฉีดอะไร คำตอบก็ออกมาว่าการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่สามน่าจะช่วยได้ แต่มีข้อแนะนำว่าควรฉีดวัคซีนที่ผลิตกันคนละวิธี จากการวิจัยเล็ก ๆ ของอาจารย์แพทย์หลายท่าน พบว่าเมื่อฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นเข็มที่สาม ภูมิคุ้มกันจะอยู่ในระดับที่สูงและป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีขึ้น

3.) หลักการของวัคซีนเข็มที่สามนี้มีการวิเคราะห์โดยอิงจากหลักวิชาการ และมีเพียงไม่กี่ประเทศในโลกที่ตัดสินใจใช้วิธีนี้กับบุคลากร จึงยังเป็นอะไรที่ใหม่มากเกินกว่าจะให้คำตอบว่า มันเพียงพอแล้วจริง ๆ หรือไม่ ต้องมีเข็มสี่อีกหรือเปล่า อันนี้ต้องดูกันต่อยาว ๆ และฟังข้อมูลอย่างมีสติ พิจารณาว่าข้อมูลไหนเชื่อได้ ข้อมูลไหน fake นะครับ

4.) สำหรับประเทศไทย ส่วนมากแล้วบุคลากรทางการแพทย์เกือบทั้งหมด ฉีดซิโนแว็กซ์ไปครบสองเข็มตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก-ไตรมาสที่สองของปี ดังนั้นเข็มที่สามของบุคลากรจึงมีวัคซีนให้เลือกใช้สองชนิด คือ AZ (Virus vector) หรือ Pfizer (mRNA)

สำหรับ AZ เรามีวัคซีนอยู่แล้ว บุคลากรที่เลือกเข็มสามเป็นตัวนี้ จึงสามารถฉีดได้เลย ขณะนี้ก็มีแพทย์ พยาบาล และบุคลากรหลายท่าน ได้ฉีดเข็มที่สามไปเรียบร้อยแล้ว Pfizer นั้น ในวันนี้ก็ยังมาไม่ถึง และยังกำหนดวันแน่นอนไม่ได้ว่าจะมาเมื่อไร

เดิมที Pfizer 1.5 ล้านโดสนี้ มีแผนจะฉีดให้กับประชากรกลุ่มเสี่ยง แต่เมื่อสถานการณ์ในประเทศกำลังเข้าขั้นวิกฤติ ศบค. จึงมีการแบ่งโควตาบางส่วนมาให้บุคลากรด่านหน้า ซึ่งเป็นผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดและต้องดูแลคนไข้ที่ติดเชื้อ

5.) ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าซิโนแวคไม่ดีนะครับ วิจัยทางการแพทย์เกือบทุกแห่งพูดตรงกันว่า สามารถลดความรุนแรงของการติดเชื้อลงและลดอัตราตายได้อย่างชัดเจน แต่การที่ไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ เป็นเพราะวันนี้ไวรัสได้กลายพันธุ์ไปไกลแล้ว

ซิโนแวคที่ใช้ฉีดกันในวันนี้ ผลิตมาจากไวรัสรุ่นเก่า ตั้งแต่เริ่มมีการระบาด ถ้าวันนี้ไวรัสไม่กลายพันธุ์ ยังเป็นไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม หน้าตาเดิม ๆ ซิโนแวคก็ยังมีประสิทธิภาพที่ดีครับ

6.) การที่ mRNA vaccine เช่น Pfizer และ Moderna ยังรับมือกับเชื้อกลายพันธุ์ได้ดี เป็นเพราะมีการนำเอาไส้ในของไวรัส หรือสารพันธุกรรมมาทำวัคซีน จึงยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายให้จดจำเชื้อกลายพันธุ์ได้ดีกว่าวิธีอื่น แต่ถ้าไวรัสยังกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ก็มีแนวโน้มว่าในอนาคต ก็อาจจะป้องกันไม่ได้เช่นกัน และอย่างไรก็ตามวัคซีนที่ผลิตด้วยวิธีนี้ยังใหม่มาก ๆ จริง ๆ เราก็ต้องติดตามดูผลข้างเคียงในระยะยาวกันต่อไปด้วยครับ

7.) คำตอบที่แท้จริง จึงอยู่ที่วัคซีนรุ่นที่สองของทุกยี่ห้อ ทุก Platform ที่มีการนำเอาไวรัสกลายพันธุ์มาผลิตเป็นวัคซีนเวอร์ชั่นใหม่ กระบวนการนี้ทำได้ไม่เร็วครับ แต่น่าจะรับมือเชื้อไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ดีขึ้น เป็นเรื่องที่เราก็ต้องรอลุ้นกันต่อไปเช่นกัน

8.) สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้วัคซีนอีกหนึ่ง Platform กลายมาเป็นวัคซีนที่ทุกคนต้องจับตามองนั่นก็คือ Novavax

Novavax ผลิตด้วยวิธีที่สี่ เรียกกันว่า Protein subunit คือดึงเอาโปรตีนจากไวรัสมาทำวัคซีน ซึ่งโปรตีนนี้เป็นสารพื้นฐานที่ไวรัสดั้งเดิม หรือไวรัสที่กลายพันธุ์ไปแล้ว ต่างก็มีเหมือน ๆ กัน จากการทดลองในอาสาสมัครพบว่ารับมือกับไวรัสกลายพันธุ์ได้ดี

แถมยังมีผลข้างเคียงน้อยมาก แม้ว่าในอนาคต ไวรัสอาจจะกลายพันธุ์ไปอีก การปรับเปลี่ยนสูตรโปรตีนในวัคซีนก็จะทำได้รวดเร็วและรับมือกับการกลายพันธุ์ได้ดี ดังนั้น นี่จึงเป็นวัคซีนที่อาจจะกลายมาเป็นวัคซีนตัวหลักในอนาคตครับ

9.) แล้ววันนี้ล่ะ สำหรับประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบสองเข็มไปแล้วจะต้องทำอย่างไรบ้าง ควรจะต้องลงทะเบียนรับวัคซีนเข็มที่สามหรือไม่ จากข้อมูลล่าสุดของศบค. บอกมาว่าเข็มที่สามสำหรับประชาชน ยังไม่เปิดลงทะเบียน เนื่องจาก อยากให้ผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเลยแม้แต่เข็มเดียว มีโอกาสได้รับวัคซีนก่อนครับ

อย่างไรก็ตาม ขอให้ติดตามข้อมูลกันต่อไปนะครับ เพราะเรื่องวัคซีนเป็นอะไรที่ใหม่มากจริง ๆ และข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน วันนี้บอกว่า ประชาชนยังไม่ต้องลงทะเบียนเข็มที่สาม แต่อีกสักหน่อยอาจจะมีประกาศให้ลงทะเบียนก็เป็นได้ ยังไงผมจะคอย update ข้อมูลให้ทราบกันเป็นระยะครับ

10.) และสรุปสุดท้ายครับ แม้ว่าในอนาคตเราจะมีโอกาสได้รับวัคซีนเข็มที่สามแล้วก็ตาม แต่วัตถุประสงค์ของวัคซีนทุกชนิดก็คือ ลดความรุนแรงหากบังเอิญติดเชื้อ และลดอัตราการเสียชีวิต วัคซีนไม่สามารถป้องกันโรคได้ 100% เราจึงควรป้องกันตัวเองให้เต็มที่ต่อไปครับ


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

อ.กิตติธัช โพสต์เฟซบุ๊ก สะท้อนสังคมไทยที่กำลังหิวข้อมูลเท็จแบบไม่ลืมหูลืมตา

กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระ และอาจารย์ด้านสถาปัตยกรรม สอนพิเศษด้าน ปรัชญาการเมือง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง โพสต์เฟซบุ๊ก 'Kittitouch Chaiprasith' สะท้อนสังคมไทยที่กำลังหิวข้อมูลเท็จแบบไม่ลืมหูลืมตาว่า...

วันนี้ผมเห็นโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา ทำในสิ่งเดียวกับที่ผมทำมาโดยตลอด คือ การเอาข้อเท็จจริงมาให้สังคมดู โดยไม่เกี่ยวว่าจะเป็นใครฝ่ายไหน ใครจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ข้อเท็จจริงก็คือข้อเท็จจริง

-----------------

เพราะบรรดาสื่อและ Influencer ที่เชียร์ม็อบและอยากล้มรัฐบาล-สถาบันกษัตริย์นั้น เอาเรื่องกรณีที่บริษัท Food Panda ไล่พนักงานที่ไปเผารูปในหลวงกับเผาสิ่งของในม็อบ ไปเล่าให้มวลชนฟังว่า

"Food Panda ไล่พนักงานออก เพราะไปชุมนุมขับไล่รัฐบาล" ซึ่งทำให้มีกระแสแบน Food Panda

โดยที่สื่อและ Influencer เหล่านี้ไม่บอก เล่า หรือแสดงคลิปการเผารูปในหลวงและสิ่งของข้างทางให้มวลชนและสังคมดู หรือง่าย ๆ คือ เขาพยายามเล่าความจริงครึ่งเดียว/เสี้ยวเดียวแบบที่เขาทำมาตลอดหลายปี

ซึ่งพอโบว์นำความจริงตรงนี้มายืนยัน!! บรรดา 'กลุ่มสามนิ้ว' และคนที่อ้างตัวว่าเป็น 'ฝ่ายประชาธิปไตย' (แต่ทำทุกอย่างตรงข้าม) ก็ไม่พอใจและเข้าไปรุมถล่มเธอ

-------------------

ผมชอบประโยคที่โบว์คอมเมนต์ว่า...

"เข้ามาด่ากันสารพัดเพราะไม่พอใจที่เราเอาข้อเท็จจริงเรื่องการเผาข้าวของ และการระรานแบนคนเค้าไปทั่วโดยไม่สนใจข้อเท็จจริงมาวางให้ดู...เราก็รู้สึกเหมือนถูกหลอกนะ ไม่คิดว่าคำว่า ”ฝ่ายประชาธิปไตย” จะหน้าตาเป็นแบบนี้"

ขนาดเผากองข้าวของริมถนนข้างรถที่ยังติดอยู่แบบนี้ แล้วขึ้นรถถอดป้ายทะเบียนหนียังเห็นดีเห็นงามกัน แล้วมาบอกว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมแบบนี้แปลว่าต้องเข้าข้างรัฐบาล

ควรรู้ตัวได้แล้วว่าคนที่ไม่เห็นด้วยกับทั้งรัฐบาลและพฤติกรรมแบบนี้ยังมีอีกเป็นจำนวนมาก และเขาเอือมกับพฤติกรรม #อันธพาลออนไลน์ จนปิดปากกันไปหมด

ไม่รู้ตัววันนี้วันหน้าก็จะได้รู้เองว่าพากันถอยหลังไปไกลแค่ไหน ถ้าเราไม่พูดก็ไม่มีใครพูดหรอก แต่ผลของมันจะแย่แน่ ๆ"

-------------------

ซึ่งถูกต้องครับ...ที่ผ่านมาม็อบสามนิ้วทำแต่ละสิ่ง ห่างไกลจากคำว่าประชาธิปไตยไปแบบคนละทิศละทาง

ทั้งการข่มขู่ คุกคาม ตั้งแต่ประชาชนทั่วไปจนถึงสถาบันกษัตริย์ การใช้ Fake News การเล่าความจริงครึ่งเดียว แล้วปั่นกระแส การ Bully คนอื่น และอื่น ๆ อีกมาก

และตามที่โบว์บอก คือ มีคนตรงกลางอีกมากที่ไม่เอาด้วยกับทั้งขวาจัดและซ้ายจัดที่อยากให้มีความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การปะทะหรือต่อสู้กัน

เขาอาจไม่ชอบ ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาล แต่ไม่ได้แปลว่าเขาเอาด้วยกับกลุ่มสามนิ้วเช่นกัน

----------------

>> โพสท์ของโบว์ ณัฏฐา มหัทธนา

https://www.facebook.com/bow.nuttaa/posts/10158524155920819


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4310585882338871&id=100001625041497


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘หมอทวีศิลป์’ โฆษก ศบค. แจง แผนควบคุม 13 จังหวัดสีแดงเข้ม ย้ำ ถ้าไร้มาตรการควบคุมเข้มข้น หวั่น ติดสูงสุดกว่า 3 หมื่นรายต่อวัน

เมื่อวันที่ 19 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ค. ทาง พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศปก.ศบค.) ได้มีการหารือร่วมกับสื่อมวลชนวิทยุ โทรทัศน์ และออนไลน์ ซึ่งมีการสอบถาม ศบค. ถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์การติดเชื้อในประเทศ โดยมีการคาดการณ์เป็น 2 รูปแบบ จากคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คาดการณ์จุดสูงสุดหากเราไม่ช่วยกัน ปล่อยให้ติดเชื้อไปเรื่อย ๆ หย่อนยานที่สุด จะพบว่ามีผู้ติดเชื้อสูงสุด 31,997 รายต่อวัน

แต่หากเราทำอย่างดีที่สุดตัวเลขจะอยู่ 9,018-12,605 รายต่อวัน ค่ากลางจะอยู่ที่ 9,695-24,204 รายต่อวัน ขณะที่คาดการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง เป็นของธนาคารกรุงศรีอยุธยาที่องค์การอนามัยโลก (WHO) นำไปอ้างอิง คาดการณ์การฉีดวัคซีนถึงปลายปี 64 หากเราฉีดได้ดี สถานการณ์ที่ดีที่สุด ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลงมาในช่วงก่อนเดือนก.ย. คือขึ้นสูงและลงมา ตอนนี้เราเห็นภาพแล้ว ตัวเลข 10,000-15,000 รายต่อวัน ถึงในช่วงส.ค.-ก.ย. แต่กรณีสถานการณ์เลวร้ายที่สุด อาจสูงถึง 22,000 รายต่อวัน ในช่วง ส.ค.-ก.ย.

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับข้อกำหนดฉบับที่ 28 เป็นปรับระดับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดจาก 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด ขณะที่พื้นที่ควบคุมสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 53 จังหวัด จะเห็นว่าพื้นที่สีแดงครอบคลุมไปทั่วประเทศ และจากข้อกำหนดฉบับที่ 28 เป็นการให้งดภารกิจออกนอกเคหสถานโดยไม่จำเป็น คือ นอกจากประกาศเคอร์ฟิวในตอนกลางคืน ช่วงกลางวันก็ขอให้ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น

ทั้งนี้ ฝ่ายความมั่นคงจะตั้งด่านในพื้นที่ขอบนอกของ 9 จังหวัดภาคกลางที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ควบคุมสูงและเข้มงวด โดยจะมีด่านตรวจเข้มแข็งกระจายไปในบริเวณขอบนอกของ 9 จังหวัด จะมีด่านตรวจทั้งเข้าและออก ใครจะเดินทางต้องแสดงหลักฐาน 3 อย่าง คือ เอกสารที่ได้รับอนุญาตจากพนักงาน เจ้าหน้าที่ เช่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้อำนวยการเขต ต้องสแกนแอพพลิเคชั่นไทยชนะบริเวณด่านตรวจ และลงทะเบียนในเว็บไซต์ www.covid-19.in.th เพื่อจะได้รับคิวอาร์โค้ด ซึ่งที่ขณะนี้อยู่ระหว่างทดสอบระบบ

ขณะที่การเดินทางภายในพื้นที่สีแดงเข้มก็จะมีการตั้งด่านด้วยเช่นกัน โดยมาตรการนี้จะใช้กับ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่เป็นพื้นที่สีแดงเข้มด้วย จึงขอแจ้งให้ประชาชนทราบถึงความไม่สะดวกสบายที่จะเกิดขึ้น เพื่อต้องการลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น ขอให้อยู่ในเคหสถาน ตอนนี้ทั่วโลกก็ใช้วิธีการล็อกดาวน์และมาตรการเหล่านี้ ถือเป็นการหลักการสากลแล้ว ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงตำรวจ ทหาร จะทำงานเข้มข้นมากขึ้น


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top