Wednesday, 21 May 2025
NewsFeed

‘อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ เรียกร้องรัฐใช้กฎอัยการศึก ย้ำจำเป็นต้องใช้ความเด็ดขาด ระบุประเทศไทยต้องใช้ปืนควบคุม ถึงเวลาทหารออกมารักษาระเบียบวินัยคนไทย ก่อนระบบสาธารณสุขล่ม

ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า สถานการณ์โควิด-19 ในตอนนี้ รัฐบาลจำเป็นต้องประกาศกฎอัยการศึก เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้ได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยข้อความระบุว่า

อำนาจรัฐนั้นก็อยู่ที่ปลายกระบอกปืน รัฐประหารโควิดจำเป็นครับ

อีกไม่กี่วันก็สองหมื่น จะมีคนตายเกินกว่าวันละ 200 ระบบสาธารณสุขจะล่ม ถ้ายังไม่ทำอะไรให้เด็ดขาด

อัยการศึกต้องประกาศใช้ครับ ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง ทำไงก็ต้องมีคนตาย ความเด็ดขาดจำเป็นแล้ว ไม่มีปืนคุมอะไรไม่ได้หรอกครับ สำหรับประเทศไทย

ในวิกฤติมหาโรคระบาดเช่นนี้ หากปราศจากความเด็ดขาดในการควบคุม สุดท้ายจะตายกันเกลื่อน โรงพยาบาลระบบล่ม คนจะนอนตายตามบ้านมากมาย

ไม่มีกฎอัยการศึก คนไทยไม่กลัว เรื่อง social media ก็ต้องทำให้สงบด้วยกฎอัยการศึก

ภาวะนี้ผมยืนยันว่าการประกาศกฎอัยการศึกจำเป็น เรากำลังอยู่ในมหาสงครามโรคระบาด

พ.ร.บ. กฎอัยการศึก ใช้ในภาวะสงคราม มีภัยอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ในเวลานี้จำเป็นและเหมาะสมที่สุดแล้ว

ทหารต้องออกมารักษาระเบียบวินัย ชาติจะรอดต้องรอดด้วยวินัยเท่านั้นครับเวลานี้ วินัยคือวัคซีนที่ดีที่สุดครับ


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

‘หมอประกิต’ แนะ คนไทยใช้สติให้ความยุติธรรม ‘วัคซีนซิโนแวค’ หลังสังคมด้อยค่าเกินจริง ชี้หากไม่ฉีดช่วงที่ผ่านมา คนไทยอาจตายมากกว่านี้ ระบุวัคซีนทุกชนิด ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต แม้ว่าจะไม่ 100%

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ศาสตราจารย์นายแพทย์ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ได้ทวิต หัวข้อ ‘ให้ความจริงและความเป็นธรรมกับวัคซีนซิโนแวค’ โดยมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้

ผมคิดว่าจะไม่เขียนเรื่องวัคซีนโควิด-19 แล้วเชียว เพราะมีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากสื่อสารกับสังคมตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่เมื่อคืนก็ยังมีคนโทรมาปรึกษา ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวค ควรจะไปฉีดหรือ ‘ควรรอวัคซีนที่ดีกว่านี้’

ผมจึงขอแสดงความคิดเห็นที่อาจจะเป็นประโยชน์ โดยเฉพาะ ‘ให้ความจริง และความเป็นธรรมกับวัคซีนซิโนแวค’ รวมทั้งให้ความสบายใจกับคนที่ได้รับการฉีด หรือกำลังจะได้รับการซิโนแวคในอนาคต

ผมเป็นแพทย์โรคทางเดินหายใจ แต่ด้วยอายุมากจึงไม่ได้เป็นแพทย์ ‘ด่านหน้า’ ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่ผมก็ติดตามการทำงานงานของลูกศิษย์ โดยเฉพาะหมอทางโรคปอดด้วยความเป็นห่วง เพราะลำบากสาหัสทั้งคนไข้ และทีมแพทย์ พยาบาล ที่ดูแลผู้ป่วย โควิด-19 อาการหนักในไอซียู

ในภาวะวิกฤตที่สังคมไทยกำลังเผชิญ ผมพยายามช่วยสิ่งที่จะลดจำนวนคนไข้ที่จะติดโควิด-19 ด้วยการเชียร์ให้คนไปฉีดวัคซีน ผมเองได้รับการฉีดแอสตราเซเนกาเมื่อปลายเดือนมี.ค. ตามเกณฑ์สำหรับคนอายุมากกว่า 60 ปี

ผมรู้สึกว่า คนในสังคมไม่น้อย มีอคติกับวัคซีนซิโนแวคมาก อย่างไม่ได้สัดส่วนกับความเป็นจริง ถึงขนาดบอกว่าเป็นวัคซีนประสิทธิภาพต่ำ ไม่อยากรับ คนได้รับแล้วก็เสียดายที่ได้วัคซีนนี้

เมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวว่า จนถึงวันที่ 10 ก.ค. มีบุคลากรทางการแพทย์ได้รับการฉีดวัคซีนซิโนแวคไปแล้ว เกือบ 700,000 ราย มีคนที่ติดเชื้อโควิด-19 รวม 880 ราย

ในจำนวนนี้เสียชีวิต 7 ราย

- 5 รายยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีน

- 1 รายได้รับการฉีดซิโนแวค 1 เข็ม

- 1 รายที่ได้รับซิโนแวค 2 เข็ม

นั่นหมายความว่า เสียชีวิต 1 ราย จากจำนวนคนที่ได้รับการฉีดครบ 2 เข็ม เกือบ 7 แสนคน

นพ.โสภณ ยังให้ข้อมูลที่เปิดเผยโดยศูนย์ควบคุมโรค CDC สหรัฐอเมริกาว่า จนถึงวันที่ 25 มิถุนายน 2564 มีคนอเมริกาที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม เสียชีวิต 750 ราย โดยที่อเมริกาใช้แต่วัคซีน mRNA เกือบทั้งหมด นั่นคือ คนที่ฉีดซิโนแวคหรือคนที่ฉีดวัคซีน mRNA ก็มีการเสียชีวิตเหมือนกัน

ที่สรุปกันตอนนี้คือ วัคซีนทุกชนิด ลดการป่วยหนักและเสียชีวิต แม้ว่าจะไม่ 100% และวัคซีนซิโนแวคจะป้องกันการติดเชื้อ/แพร่เชื้อได้น้อยกว่าวัคซีนที่ทำด้วยเทคนิคแบบใหม่

จะไม่พูดถึงการเมืองเรื่องการจัดหาวัคซีน เพราะมีคนพูดกันมากอยู่แล้ว

แต่อยากให้ลองคิดว่า หากในช่วงเวลาที่ผ่านมา หากประเทศไทยไม่ได้มีวัคซีนซิโนแวค ฉีดให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ และประชาชนอื่น ๆ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งประชากรกลุ่มอื่น ๆ จะเป็นอย่างไร จะมีคนตายมากกว่านี้อีกเท่าไร

ลองคิดดูว่าวัคซีนที่เราจะมีโอกาสได้มาใช้ในจำนวนที่มากพอและเร็วที่สุด คือ แอสตราเซเนกา เราหามาได้เร็วและมากเท่าซิโนแวคที่เราใช้ไปแล้วหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงว่าวัคซีนพวก mRNA เราจะได้มาเมื่อไร และเท่าไร

เราจึงควรให้ความยุติธรรม และยอมรับคุณค่ากับสิ่งที่วัคซีนซิโนแวคได้ทำประโยชน์แก่สังคมไทยส่วนรวมไปแล้ว ในสภาพการณ์และสถานการณ์จริงในช่วงเวลานั้น ๆ

ส่วนเมื่อสถานการณ์การระบาดของโรคเปลี่ยนไป เชื้อโรคมีการกลายพันธุ์ ทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนเปลี่ยนไป วัคซีนที่เหมาะสมในสถานการณ์ใหม่ จะเป็นตัวไหนอย่างไร เป็นเรื่องที่เราต้องว่ากันไปตามเหตุและผล เพื่อแสดงถึงวุฒิภาวะของสังคมไทยว่า เราใช้สติ ไม่ใช่เพียงอคติในการวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทย


ที่มา : https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2835786


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

รพ.ทบ. สนับสนุนรัฐบาลดูแลผู้ติดเชื้อสีเขียวแบบ Home isolation เฉพาะรพ.พระมงกุฎเกล้า ดูแลกว่า 176 ราย ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

พ.ท.หญิง พัชรินทร์ บุศยกุล ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อจำนวนมากขึ้น ทำให้การเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาลเป็นไปอย่างจำกัด รัฐบาลจึงมีนโยบายให้ผู้ป่วยติดเชื้อสีเขียว ใช้มาตรการแยกกักตัวที่บ้าน (Home isolation) ซึ่งพลเอก ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้จัดตั้ง “ศูนย์ประสานงานดูแลผู้ป่วยโรคโควิด-19 โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบก” ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.64 ที่ผ่านมา โดยให้ 37 โรงพยาบาลสังกัดกองทัพบกทั่วประเทศ ดูแลรักษาผู้ป่วยติดเชื้อโควิด โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อสีเขียว(ไม่แสดงอาการ) สามารถกักตัวรักษาได้ที่บ้านภายใต้การดูแลติดตามอาการอย่างใกล้ชิด จากโรงพยาบาลสังกัดกองทัพบก โดยกรมแพทย์ทหารบกรับผิดชอบบริหารจัดการในภาพรวมและกำหนดแนวทางการปฏิบัติ เพื่อสอดรับนโยบายให้การทำงานเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับกระทรวงสาธารณสุขและเกิดประสิทธิภาพในการรักษาอย่างดีที่สุด

โดย 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนตั้งแต่จัดรถรับผู้ติดเชื้อจากบ้าน เพื่อให้ทีมแพทย์ตรวจประเมินอาการ แยกประเภทผู้ป่วย หากเป็นผู้ป่วยติดเชื้อสีเขียวและมีความประสงค์จะรักษาที่บ้าน จะให้ยาต้านไวรัส และมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการตรวจเบื้องต้น เช่น ปรอทวัดไข้ เครื่องวัดออกซิเจนในเลือด เครื่องวัดความดัน พร้อมส่งอาหาร 
3 มื้อ และติดตามอาการอย่างต่อเนื่องผ่านระบบสื่อสารต่างๆ หากมีอาการรุนแรงขึ้น จะรับผู้ป่วย
มารักษาต่อในโรงพยาบาลโดยทันที ซึ่ง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยแยกกักตัวในความดูแล จำนวน 176 ราย ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐ ที่ช่วยให้ผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาอย่างทั่วถึง และสามารถช่วยให้การบริหารจัดการเตียง มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ผู้บัญชาการทหารบกได้ส่งมอบของเยี่ยมและสิ่งของจำเป็นในการกักรักษาตัวที่บ้านของผู้ป่วยติดเชื้อในความดูแลของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าเป็นการส่งผ่านความห่วงใยและกำลังใจให้กับผู้ป่วยสามารถดูรักษาตัวเองให้ปลอดภัยและกลับมาดำเนินชีวิตอย่างปกติสุขต่อไป

กองทัพบกอนุเคราะห์ฌาปนสถานในการประกอบพิธีฌาปนกิจแก่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ช่วยคลายความเดือดร้อนให้ประชาชน

พันโทหญิง นุชระวี แจ่มจำรัส ผู้ช่วยโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่นี้ มีความรุนแรงมากกว่าครั้งที่ผ่านมา ส่งผลให้มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มมากขึ้น และจำนวนผู้เสียชีวิตเริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ท่ามกลางสถานการณ์วิกฤตครั้งนี้ กองทัพบกขออาสาเป็นส่วนหนึ่งสู้วิกฤตเคียงข้างประชาชนตราบจนวาระสุดท้าย ในการอนุเคราะห์ฌาปนสถานเพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจให้แก่ผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 รวมถึงอำนวยความสะดวกให้กับญาติและครอบครัว ในการรับศพและเคลื่อนย้ายศพจากโรงพยาบาลมายังฌาปนสถาน เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจสวดหน้าไฟและบังสุกุลให้แก่ผู้เสียชีวิตตามหลักพุทธศาสนา

ทั้งร่วมบริจาคหีบศพและถวายปัจจัยอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้วายชนม์ พร้อมวางพวงหรีดเพื่อแสดงความเคารพและไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตเป็นครั้งสุดท้ายโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งศาสนสถานของกองทัพบก ประกอบไปด้วย วัดอาวุธวิกสิตาราม, วัดโสมมนัสวรวิหาร, วัดศิริพงษ์ธรรมนิมิต และวัดสุทธจินดา (ทภ.2) นั้น มีความพร้อมด้านบุคคลากร และสถานที่ที่สามารถปฏิบัติได้ตามมาตรการที่กรมควบคุมโรคกำหนด โดยตั้งแต่ 4 พ.ค. 64 ที่ผ่านมากองทัพบกได้อนุเคราะห์ฌาปนสถานในการประกอบพิธีฌาปนกิจให้กับผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 414 ราย และจะให้การอนุเคราะห์ต่อไปเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และคลายความโศกเศร้าให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างดีที่สุด 
 

ทั้งนี้ หากครอบครัวผู้เสียชีวิตมีความประสงค์จะประกอบพิธีฌาปนกิจในศาสนสถานของกองทัพบก สามารถติดต่อผ่านศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิด ทบ. ได้ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-270-5685-9 ตลอด 24 ชม. ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตให้ก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกัน

ไอติม พริษฐ์ โพสต์ข้อความ 10 ข้อที่รัฐบาลต้องยอมรับต่อประชาชน ย้ำ ต้องลาออกและแก้รัฐธรรมนูญ

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือไอติม อดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ ปัจจุบันเป็นแกนนำกลุ่ม Re-Solution ที่เคลื่อนไหวด้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก ถึงการทำงานของรัฐบาล ว่า

หมดเวลาของรัฐบาลที่ไร้ความรับผิดชอบทางการเมือง : “ขอโทษ” ไม่พอ / ต้อง “ลาออก” และ “แก้รัฐธรรมนูญ” เท่านั้น

คงไม่มีใครคาดหวัง ว่ารัฐบาลใด ๆ ก็ตาม จะสามารถการแก้ไขทุกปัญหาได้อย่างไร้ข้อผิดพลาด

แต่สิ่งที่เราควรจะคาดหวังได้จากทุกรัฐบาลคือ “ความรับผิดชอบ” ทางการเมือง ซึ่งเป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน และรัฐบาลชุดปัจจุบัน ขาดมาโดยตลอด

“ความรับผิดชอบ” ขั้นพื้นฐานที่สุดที่รัฐบาลควรจะมี คือการสำรวจตัวเองว่าทำอะไรลงไปบ้าง หากผิดพลาดก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าตัวเองทำอะไรพลาดไป และปรับแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้น

ในขณะที่รัฐบาลมัก “สั่งสอน” ประชาชนอยู่เสมอ ว่าการแก้ปัญหาต่าง ๆ ต้องให้ประชาชน “เริ่มต้นที่ตัวเอง” แต่รัฐบาลนี้ไม่เคย “เริ่มต้นที่ตัวเอง” เลยสักครั้ง ในการบริหารทั้งวิกฤตสาธารณสุข วิกฤตเศรษฐกิจ และวิกฤตการเมือง ที่ประเทศเรากำลังเผชิญอยู่

1.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ข้อเสนอจากหลายฝ่ายในช่วงแรก ๆ ของการระบาด ให้สรรหาวัคซีนหลากหลายยี่ห้อตั้งแต่ต้นเพื่อกระจายความเสี่ยง...

...รัฐบาลก็มัวแต่ไปไล่ฟ้องคนที่ออกมาทักท้วงเพียงเพราะเขามาจากขั้วตรงข้ามทางการเมือง และไม่เอาเวลาไปพิจารณาอย่างถี่ถ้วนถึงข้อดีของการเข้าร่วมโครงการ COVAX

2.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าตัวเองดำเนินการล่าช้าและบริหารอย่างผิดพลาดมหาศาลในการตกลงสัญญากับ AstraZeneca เพื่อให้สามารถฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่ประกาศกับประชาชน...

...รัฐบาลกลับเลือกปกปิดข้อมูลและ “โกหก” ต่อหน้าประชาชนกลางสภา จนกระทั่งความจริงถูกเปิดโปงจากจดหมายระหว่าง AstraZeneca กับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข

3.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าวัคซีน Sinovac ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพที่ต่ำกว่าวัคซีนชนิด mRNA และรีบทำทุกวิถีทางให้วัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ถูกฉีดเข้าร่างกายบุคลาการทางการแพทย์ด่านหน้าได้เร็วที่สุด...

...รัฐบาลกลับดึงดันที่จะสั่ง Sinovac เข้ามาเพิ่ม แถมใช้เวลาไปมากมายกับการงัดสารพัดเหตุผล เพื่อพูดถึงข้อดีของวัคซีนที่แม้กระทั่งประเทศเจ้าของอย่างจีน ยังไม่เลือกที่จะใช้เพิ่ม

4.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ความจริง ว่าการล็อกดาวน์อาจมีความจำเป็น แต่ต้องมาควบคู่กับแผนการเยียวยาที่เพียงพอ ครอบคลุม และทันท่วงที เพื่อชดเชยผลกระทบทางเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนจำนวนมาก...

...รัฐบาลกลับขาดความชัดเจนในการประกาศมาตรการ ขาดความรวดเร็วในการวางแผนการเยียวยา และขาดความเข้าใจในความยากลำบากของประชาชน ยังไม่รับการจงใจเลี่ยงบาลีไม่ใช้คำว่า “ล็อกดาวน์” เพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบของรัฐบาลในการเยียวยาประชาชน

5.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าระบบสาธารณสุขของเรากำลังขาดแคลนทรัพยากรอย่างสาหัส ทั้งจำนวนเตียง ปริมาณยา และบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งทำให้งบประมาณสาธารณสุขต้องได้รับความสำคัญที่สุดในการักษาความมั่นคงของประเทศ...

...รัฐบาลกลับยังคงใช้ข้ออ้างเรื่องความมั่นคงรูปแบบเดิม ๆ เพื่อจัดสรรงบประมาณมาให้กับ “ของเล่น” ต่าง ๆ ของกองทัพที่ไม่จำเป็น หรือ “โครงการเชิงวัฒนธรรม” ต่าง ๆ ที่อยู่รอดมาได้จากความเคยชิน แต่ไม่ได้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชน

6.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าการตนเองดำเนินการอย่างไร้ความโปร่งใส คัดเลือกบุคลากรมาดำรงตำแหน่งสำคัญที่ขาดความสามารถและเต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน และเผชิญข้อครหาเรื่องการทุจริตที่ไม่น้อยไปกว่ารัฐบาลก่อน ๆ ที่ตนเองชอบต่อว่า...

...รัฐบาลกลับมัวแต่ไปป่าวประกาศอย่างไร้ประโยชน์ ให้การกำจัดการทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ แถมใช้เวลาในสภาไปกับการกระแนะกระแหนรัฐบาลก่อน ๆ มากกว่าการชี้แจงคำถามต่อการทำงานของตนเอง

7.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าอำนาจที่ตนเองมีอยู่ในทุกวันนี้ ไม่ได้มาจากการแข่งขันที่เป็นธรรมในการครองใจประชาชน แต่มาจากรัฐธรรมนูญที่ตนเองเขียนขึ้นมาเองเพื่อสืบทอดอำนาจตนเอง ผ่านองค์กรที่ไร้ศักดิ์ศรีอย่างวุฒิสภา ที่มีทั้งอำนาจทั้งเลือกนายกฯ และอำนาจแต่งตั้ง กกต. ให้เข้ามาบิดสูตรคำนวน ส.ส. เพื่อพลิกผลเลือกตั้ง...

...รัฐบาลกลับอ้างอยู่เสมอว่าตนเองมาจากการเลือกตั้ง ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญเรายังเขียนให้ ส.ว. 250 คน มีอำนาจมากกว่าประชาชน 19 ล้านคน

8.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าตนเองมีส่วนสำคัญในการตั้งใจลากหรือปล่อยให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไหลเข้ามาในความขัดแย้งทางการเมือง ผ่านการกล่าวอ้างและผูกขาดความจงรักภักดี หรือผ่านความไม่กล้าหาญของนายกรัฐมนตรีที่จะถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์ เมื่อมีการกระทำใดที่สุ่มเสี่ยงจะขัดกับหลักระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข…

...รัฐบาลกลับเลือกปราบประชาชนด้วยกฎหมายอาญามาตรา 112 และผลักไสไล่ส่งหลายคนที่ออกมาเรียกร้องการปฏิรูป ว่ามีเจตนาล้มลางสถาบันฯ

9.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าตนเองตัดสินใจพลาดในหลาย ๆ เรื่องเกี่ยวกับการบริหารจัดการโควิด จนทำให้ชีวิตประชาชนจำนวนมากยังต้องอยู่บนเส้นดาย ที่ล้อมรอบไปด้วยทั้งโรคระบาดและพิษเศรษฐกิจ และทำให้สถานการณ์ของประเทศไทยทรุดโทรมกว่าอีกหลายประเทศทั่วโลก…

...แต่รัฐบาลกลับชอบอ้างว่าประเทศอื่นก็เผชิญวิกฤต และชอบหาสารพัดสถิติมาใช้ในแถลงการณ์ ศบค. เพื่อทำให้สถานการณ์ในประเทศไทยดูดีกว่าที่เป็นจริง โดยไม่เคยเอ่ยปากขอโทษประชาชน เหมือนกับผู้นำในอีกหลายประเทศทั่วโลก ที่อาจเคยตัดสินพลาดบ้างในบางครั้ง

10.) แทนที่รัฐบาลจะ “ยอมรับ” ว่าตนเองกำลังทำลายความฝันของประชาชนจำนวนมากที่ต้องการเห็นบ้านเมืองที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้าง และใช้เวลานั่งคิดกับตัวเองบ้าง ว่าทำไมประชาชนจำนวนมาก จึงยอมเสี่ยงชีวิตตนเอง เพื่อออกมาต่อสู้บนท้องถนน…

...รัฐบาลกลับเลือกที่จะตอบโต้ด้วยวิธีการอำมหิต ที่ขัดหลักสากล ขาดความเป็นมนุษย์ และขาดความจริงใจในการรับฟังหรือแก้ไขปัญหาร่วมไปกับประชาชนจำนวนมากที่เป็นเจ้าของประเทศนี้เช่นกัน

ถ้าหากนายกฯ และรัฐบาล เคยแสดงให้เห็นมาก่อนถึง “ความรับผิดชอบทางการเมือง” ขั้นพื้นฐาน ที่พร้อมจะยอมรับข้อผิดพลาด ปรับปรุงตนเอง และเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้วยความเห็นอกเห็นใจ คำว่า “ขอโทษ” อาจพอซื้อเวลาพวกท่านได้ ก่อนที่พวกท่านจะต้องถูกตัดสินโดยประชาชนในสนามเลือกตั้ง ที่ต้องเสรีและเป็นธรรม และต้องปราศจากกลไกการสืบทอดอำนาจอย่าง ส.ว. 250 คน หรือ กกต. ที่พวกท่านแต่งตั้งเอง

จนมาถึงวันนี้ คำว่า “ขอโทษ” ไม่เคยออกจากปากพวกท่าน

ถึงคำขอโทษ ยังจำเป็นอยู่ต่อการรักษาเกียรติของตัวท่านเอง แต่มันไม่เพียงพออีกต่อไปแล้วต่อการรักษาบาดแผลที่ท่านได้สร้างให้กับประเทศและประชาชน

การลาออกของพวกท่าน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยเท่านั้น ถึงจะเพียงพอ ต่อการที่ประเทศเดินไปข้างหน้า ด้วยการเมืองที่ช่วยชีวิตประชาชน

 

ที่มา : https://www.facebook.com/254171817929906/posts/6359189010761459/


โปรเด็ด! ถึง 31 ก.ค. นี้ Ford Ranger, MG ZS, Mazda 2 และ Nissan อัลเมร่า ทักไลน์ @THESHOPSTIMES

คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“อดีตรองโฆษกปชป.” เสนอรัฐ เจรจาร้านสะดวกซื้อ แปลงเป็นคลังอาหารชุมชน กระจายอาหาร-ยา ช่วงล็อกดาวน์  ชี้ ถึงเวลาคืนกำไรให้ ปชช. ช่วยชาติยามวิกฤต เผยชุมชนโรงปูน ห้วยขวาง ติดเชื้อหนัรอเตียง 58 คน

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊กว่า ให้ใช้ร้านสะดวกซื้อ เป็นคลังอาหารให้ชุมชน ทั้งนี้ตนเห็นด้วยว่ารัฐบาลต้องกำหนดมาตรการที่เข้มข้นขึ้น หลังจำนวนผู้ติดเชื้อพุ่งทะลุหลักหมื่น ยอดผู้เสียชีวิตทะลุหลักร้อย และมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงแบบนี้ต่อไปไม่น้อยกว่าสองเดือน สิ่งที่ต้องเร่งทำให้เกิดขึ้นเพื่อให้นโยบายรัฐบาลสัมฤทธิ์ผลคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนเกิดความไว้วางใจภาครัฐ พร้อมร่วมมือทำตามทุกนโยบายที่กำหนดออกมา ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้ ภาครัฐต้องมีความชัดเจนในเรื่องการดูแลปากท้องของประชาชน นอกเหนือไปจากการเยียวยาที่ออกมาด้วย โดยเฉพาะชาวชุมชนที่กลายเป็นพื้นที่ระบาดในวงกว้าง และยากต่อการควบคุม เมื่อห้ามทุกกิจกรรม ก็ต้องดูแลปากท้องคนเหล่านี้ด้วย  
         
“การลงพื้นที่ชุมชนย่านห้วยขวางพบความจริงที่น่าตกใจ เช่น ชุมชนโรงปูน เมื่อวานนี้ (18 ก.ค.)มีผู้ป่วยรอเตียงมากถึง 58 คน ยังไม่รวมกลุ่มเสี่ยงสูงต้องกักตัวหลายร้อยคนที่รอความช่วยเหลือตามยถากรรม ต้องรับปัญหา 2 เด้งทั้งต้องหายารักษาตัวเองและหาข้าวกินในแต่ละมื้อเพื่อประทังชีวิตไปวันๆ ซึ่งก็หนี ไม่พ้นที่เขาต้องดิ้นรนออกนอกบ้าน ในที่สุดก็จะแพร่เชื้อติดต่อกันไปเป็นเท่าทวีคูณ นี่คือความจริงของคนจนเมืองที่ภาครัฐต้องเร่งเข้ามาดูแล ผมเรียกร้องมาหลายครั้งให้จัดถุงยังชีพ ข้าวกล่อง และยาเวชภัณฑ์ที่เพียงพอ ในการดูแลทุกชีวิตที่ขาดรายได้ของคนกลุ่มนี้ แบบมีหน่วยบริการดูแลเฉพาะในการส่งข้าว ส่งน้ำให้ทุกวัน ซึ่งทำได้หลายช่องทาง เช่นให้ร้านสะดวกซื้อที่อยู่ตามจุดใกล้เคียงตามชุมชน ซึ่งมีข้าวกล่องสำเร็จรูปแช่แข็ง รวมทั้งยาเวชภัณฑ์จำเป็น และมีพนักงานรับส่งอยู่ในมือแล้วด้วย ผมคิดว่าแค่รัฐสั่งการลงมาก็สามารถทำได้ทันที่”นายเชาว์ กล่าว
           
อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่าขณะนี้การตั้งโรงครัวก็ทำไม่ได้เนื่องจากเป็นการรวมกลุ่มกันเกิน 5 คน ขัดต่อกฎหมายและสุ่มเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด จะรอข้าวกล่องจากกลุ่มจิตอาสาต่างๆก็มีน้อยเต็มที เพราะนาทีนี้ทุกคนก็ต่างระวังตัว ตนจึงขอเสนอให้รัฐเร่งเจรจากับร้านสะดวกซื้อที่มีสาขากระจายอยู่ทุกที่ ให้เป็นคลังอาหารของชาวชุมชน โดยนำอาหารแช่แข็งสำเร็จรูปพร้อมรับประทานที่จำหน่ายในร้าน มาขายให้รัฐในราคาย่อมเยา ช่วยลดภาระงบประมาณภาครัฐ ช่วยประชาชนอิ่มท้อง นอกเหนือจากข้าวกล่องล้านกล่องที่รองนายกฯประวิตร เตรียมดำเนินการ เพราะประชากรในกทม.มีมากกว่า 10 ล้านคน อย่างไรก็ไม่พอ ที่สำคัญต้องเลิกระบบลงทะเบียน เนื่องจากสำนักงานเขตมีข้อมูลประชาชนในแต่ละพื้นที่อยู่แล้ว และให้มอเตอร์ไซด์รับจ้าง หรือไลน์แมนส่งของในพื้นที่นั้น ๆ เป็นผู้ขนส่งกระจายอาหารให้กับชุมชน ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับคนเหล่านี้ด้วย 
         
“ในอดีตเราจ่ายเงินซื้อของในร้านโซห่วยข้างบ้าน อาจจะขายแพงกว่า แต่ในยามทุกข์สุขเจ้าของร้านยังไปร่วมดูใจให้ความช่วยเหลือ เพราะถือเป็นเพื่อนบ้าน แต่ปัจจุบันเราจ่ายเงินซื้อของในร้านสะดวกซื้อ ที่ไม่เคยเอาเงินใส่ซองคืนกลับมาให้เรา ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง งานบวช หรืองานบุญใด ๆ เมื่อบ้านเมืองพัฒนาหลายอย่างเปลี่ยนไป ก็ควรใช้พัฒนาการนั้นมาร่วมคลี่คลายวิกฤตในบ้านเมืองด้วย สโลแกน สะดวกครบ จบที่เดียว ขอให้เกิดในการช่วยเหลือประประชาชนยุคโควิด-19 ด้วยจะได้หรือไม่ เมื่อถึงวันที่ประชาชนแข็งแรง ท้องหิวเมื่อไหร่จะได้แวะไปได้” นายเชาว์ระบุ

“ประวิตร”กำชับ 5หน่วยงานหลัก  เร่งกำจัด-แปรรูป วัชพืช ปลื้มคนริมคลอง ร่วมมือแก้ปัญหา

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอำนวยการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวา ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ 

โดยที่ประชุมฯเห็นชอบแนวทางการสนับสนุนการแปรรูปผักตบชวาเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ของม.สงขลานครินทร์ ด้วยรับทราบผลการดำเนินการกำจัดผักตบชวา และวัชพืช ของ 5 หน่วยงานหลัก ได้แก่ กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมชลประทาน กรมเจ้าท่า คณะทำงานฯระดับจังหวัด และกทม.ดำเนินการจัดเก็บผักตบชวาในเดือนมิ.ย.รวมทั้งสิ้น 4,513,836 ล้านตัน และในลุ่มน้ำภาคกลางและภาคตะวันออก 19 จ.จัดเก็บได้ทั้งสิ้น 511,912 ตัน รวมทั้งกำจัดผักตบชวาโดยชมรมคนริมคลอง ซึ่งกรมการปกครอง รับผิดชอบดำเนินกิจกรรม ขณะนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 7,653 ชมรม ดำเนินกิจกรรมแล้ว 20,719 กิจกรรม โดยเรือท้องแบนติดเครื่องยนต์ จำนวน 1,582 ลำ ได้ใช้จัดเก็บผักตบชวาแล้ว จำนวน 1,899 แหล่งน้ำ ตามแผนงานโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงได้รับทราบความคืบหน้า การขอขึ้นทะเบียน สารชีวภัณฑ์ เพื่อนำมาใช้ในการกำจัดผักตบชวาโดย ม.เกษตรศาสตร์ ที่จะต้องผ่านการประเมินประสิทธิภาพ และความปลอดภัยก่อน จึงจะนำไปใช้ในพื้นที่ได้

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาผักตบชวาและวัชพืช และเน้นย้ำ 5 หน่วยงานหลัก ต้องเร่งรัดกำจัดและการแปรรูป เพื่อนำกลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่า ต่อประชาชนชุมชน  และขอบคุณชมรมคนริมคลอง ที่ได้เสียสละร่วมแรงร่วมใจ มาอย่างต่อเนื่อง ที่จะช่วยกันกำจัดผักตบชวาและวัชพืช เพื่อให้หมดสิ้นไปจากประเทศไทยให้ได้ โดยเร็วที่สุด เพื่อให้สะดวกสัญจร และป้องกันน้ำท่วม พร้อมขอให้ทุกคนปลอดภัยจากโควิด-19 ในขณะปฏิบัติหน้าที่ภายใต้มาตรการที่ ศบค.กำหนด อย่างเคร่งครัด

คัดสหกรณ์ทั่วไทยระดมปลูก “ฟ้าทะลายโจร” ป้อนตลาดสู้โควิด

น.ส.มนัญญา ไทยเศรษฐ์ รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมส่งเสริมสหกรณ์ คัดเลือกสหกรณ์เข้าโครงการส่งเสริมปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจรเพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบผลิตยาสมุนไพร ให้กับกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งขณะนี้มีความต้องการวัตถุดิบจำนวนมาก แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้  จึงเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะผลักดันให้สหกรณ์เข้ามามีบทบาทเรื่องนี้ หากสามารถทำได้ดีผลเป็นที่น่าพอใจ อนาคตจะขยายไปปลูกสมุนไพรสำคัญตัวอื่น ๆ เพื่อลดการนำเข้าคือขมิ้นและขิง และสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและสหกรณ์ที่เข้าโครงการ

“โครงการปลูกฟ้าทะลายโจร จะต้องเดินหน้าจริงจัง เพราะขณะนี้มีปริมาณไม่พอต่อความต้องการ ที่สำคัญต้องเป็นชนิดที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์สูง ที่ทางการแพทย์ต้องการซึ่งกรมวิชาการเกษตรมี 2 พันธุ์ ดังนั้นเพื่อให้มีการขยายพันธุ์และขยายผลผลิตจึงต้องจับระหว่างกรมส่งเสริมสหกรณ์กับกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก ซึ่งเป็นผู้ใช้ให้เป็นคู่ธุรกิจกัน และอนาคตจะขยายไปยังสมุนไพรตัวอื่น เช่น ขมิ้น ขิง ซึ่งกรมแพทย์แผนไทยจะได้เป็นผู้ชี้ว่า ต้องการสมุนไพรตัวไหน เท่าไหร่ อย่างไร เพื่อที่จะได้คุมคุณภาพการผลิตเพราะต้องปลอดสารเคมี เนื่องจากใช้เป็นยา การจับมือกับกระทรวงสาธารณสุขจะทำให้มีความชัดเจนทั้งด้านการผลิตที่มีคุณภาพและตลาดรองรับ” น.ส.มนัญญา กล่าว

น.ส.มนัญญา กล่าวว่า ปัจจุบันมูลค่าตลาดสมุนไพรของไทยมีมูลค่ามหาศาล เพราะเทรนด์ของโลกได้หันมาให้ความสำคัญกับการรักสุขภาพมากขึ้น และการระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ จะเห็นว่าสมุนไพรฟ้าทะลายโจรมีบทบาทที่สำคัญมาก เบื้องต้นโครงการนี้ จะเริ่มประมาณต้นส.ค. 54 คาดว่าจะได้กล้าพันธุ์ดีที่กรมวิชาการเกษตรสนับสนุนประมาณ 2 แสนกล้า เพื่อเป็นต้นพันธุ์ให้เกษตรกรที่เข้าโครงการ

นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์  อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า กรมอยู่ระหว่างการคัดเลือกสหกรณ์ที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการปลูกฟ้าทะลายโจรในสถาบันเกษตรกร  4  แห่ง ภูมิภาคละ 1 แห่ง พื้นที่ดำเนินการ 500 ไร่ เมื่อได้สหกรณ์เป้าหมายแล้วจะมีการส่งเสริมให้สมาชิกสหกรณ์นั้นปลูก พื้นที่เป้าหมายเบื้องต้น 500 ไร่ ซึ่งต้นฟ้าทะลายโจรทั้งหมดของสมาชิกจะต้องขายให้สหกรณ์ทั้งหมด เพื่อให้สหกรณ์รวบรวมส่งให้กับกระทรวงสาธารณสุข  ซึ่งขณะนี้มีความต้องการมากเพื่อผลิตเป็นยาสมุนไพร แต่ยังขาดตัววัตถุดิบ 

“บิ๊กป้อม”สั่ง “ธรรมนัส-ส.ส.” ช่วยปชช. พื้นที่แดงเข้ม มอบถุงยังชีพ-ข้าวกล่อง บรรเทาผลกระทบปชช.

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ระบุว่า จากที่รัฐบาลยกระดับมาตรการขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด เป็น 13 จังหวัด เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงมอบหมายให้ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการ พปชร.และผู้อำนวยการ ศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉินสถานการณ์โควิด 19 (ศปฉ.พปชร.)และส.ส.พรรค ช่วยเหลือโดยมอบถุงยังชีพและสิ่งที่เป็นความจำเป็นในชีวิตประจำวัน และประสานส่งตัวผู้ป่วยเพื่อเข้ารับการรักษาในรพ.รัฐ-เอกชน รพ.สนาม และสถานพยาบาลในโรงแรม 

ซึ่งนับตั้งแต่เดือนเม.ยที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันศปฉ.พปชร. ช่วยประสานส่งต่อไปรักษากว่า 1,000 ราย มอบถุงยังชีพกล่องและข้าวกล่องไปยังพื้นที่จังหวัดต่างๆทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และลดค่าครองชีพให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง และจะเป็นศูนย์กลางส่งต่อความช่วยเหลือขยายพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนให้ครอบคลุมชุมชนต่างๆ ขณะนี้มีผู้ประกอบการ ร้านค้า และภาคเอกชน ที่ติดต่อเพื่อให้ความช่วยเหลือผ่านศูนย์ ศปฉ.พปชร.จำนวนมาก

ด้านร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ตนและทีมสมาชิกพรรคพปชร. ได้เร่งส่งมอบถุงยังชีพ และข้าวกล่อง ไปในพื้นที่ควบคุมสูงสุด และ พื้นที่เฝ้าระวัง อาทิ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี  นครปฐม ปทุมธานี  นครราชสีมา และเชียงใหม่ เป็นต้น และในสัปดาห์นี้ทางศูนย์ ศปฉ.พปชร. จะเร่งกระจายถุงยังชีพและข้าวกล่องเพิ่มเติมตามความต้องการของชุมชนในพื้นที่ต่างๆ หากประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน สามารถแจ้งความประสงค์ มาที่ ศปฉ.พปชร. ผ่านสายด่วน 02-939-1111 จำนวน 30 คู่สาย หรือ Inbox มาในเพจเฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/PPRPThailand/

พท.อัดรัฐอาการหนัก ล้มเหลวทำวิกฤตโควิดลามหนัก  เย้ยจะอยู่เป็น รบ.เพื่ออะไร

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีการล็อกดาวน์หลังผ่านการบังคับใช้มาครึ่งทางว่า ประชาชนประเมินการล็อกดาวน์ครั้งนี้ มีแนวโน้มเจ็บแต่ไม่จบ  และอาจต้องเจ็บหนักขึ้นไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ สถานการณ์ที่ต้องปิดเมืองก่อนเปิดประเทศ  เศรษฐกิจพังลามวิกฤตหนักไปอย่างรวดเร็ว แต่รัฐบาลแก้ปัญหาแบบลูบหน้าปะจมูก กดตัวเลขผู้เสียชีวิต ผู้ติดเชื้อไม่ลง ก็ยกระดับไปเรื่อยๆ ไม่เห็นแผนงานที่เป็นขั้นเป็นตอนทั้งก่อนและหลังการล็อกดาวน์ จุดเปลี่ยนสำคัญของโควิดระลอกนี้ คือการสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างโดยไม่มีแผนรองรับ กลายเป็นการส่งเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่ระบาดอย่างรวดเร็วไปทั่วประเทศอย่างเป็นทางการด้วยคำสั่งของรัฐบาลเอง หลักฐานฟ้องความล้มเหลวชัด คือการประกาศขยายล็อกดาวน์ไปยังจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นเป็น 13 จังหวัด และมีแนวโน้มว่าอาจจะต้องประกาศเพิ่มจังหวัดต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกในระยะเวลาอันใกล้ สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำในภาวะวิกฤตและเวลาเหลือน้อยมากแล้ว คือ 1.สนับสนุนให้ประชาชนเข้าถึงการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้เร็วขึ้น เพื่อแยกคน แยกโรค ลดขั้นตอนและลดภาระของประชาชน ชุดตรวจหาเชื้อด้วยตัวเอง  Rapid Antigen Test ต้องเข้าถึงง่าย ไม่เป็นภาระของประชาชน

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า 2.ต้องเร่งจัดหาวัคซีนคุณภาพ mRNA มาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าและประชาชน เปิดเผยไทม์ไลน์ที่ชัดเจนถูกต้อง เปิดเผยสัญญาอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ภาคประชาชนได้ร่วมตรวจตรวจสอบ ลดไอโอ เพิ่มไอคิว หยุดกล่าวโทษและด้อยค่าประชาชน ยุติการนำเข้าวัคซีนประสิทธิภาพต่ำแล้วเพิ่มวัคซีน mRNA 3.เร่งสำรองยาฟาวิพิราเวียร์ รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิดให้เพียงพอ เพราะแม้ต้องดูแลตัวเองที่บ้าน ถ้ามียาเพียงพอ ผู้ติดเชื้อก็สามารถดูแลตัวเองได้ในระดับหนึ่ง 4.การเยียวยาต้องถ้วนหน้า เข้าถึงง่าย ครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบทั้งภาคประชาชนและภาคธุรกิจ ทั้งนี้ อาการหนักของรัฐบาล คือไม่รู้สภาพตัวเองว่ากำลังป่วยหนัก ถ้ายังไม่สามารถแก้ไขปัญหา ล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ แล้วไม่ยอมปรับปรุงการทำงาน จะอยู่เป็นรัฐบาลไปเพื่ออะไร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top