Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

ติดตามภารกิจ ‘บิ๊กเล็ก-ณัฐพล’ ลงพื้นที่ติดตามการทำงานไม่หยุดพัก ประสานงาน ‘ศปช.ส่วนหน้า’ ใกล้ชิด เร่งคือสาธารณูปโภคพื้นฐาน

(8 ต.ค. 67) พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะปรึกษาศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม หรือ ศปช.ส่วนหน้า ได้ลงพื้นที่ในตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย เพื่อสำรวจผลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในภารกิจ ‘30 วันกอบกู้แม่สาย’

พล.อ.ณัฐพล เปิดเผยว่า ปัจจุบันภารกิจในพื้นที่คืบหน้าไปมากกว่าร้อยละ 60 ประชาชนในพื้นที่เริ่มทยอยกลับเข้าอยู่อาศัย แต่อย่างไรก็ตามยังติดขัดในส่วนปัญหาสาธารณูปโภค เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า ซึ่งเสียหายไปพร้อม ๆ กับเหตุการณ์ดินโคลนถล่ม

ตนจึงได้ประสานงานไปยังนางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะประธาน ศปช.ส่วนหน้า ให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้น โดยประธษน สปช.ส่วนหน้า ได้เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาสาธารณูปโภคโดยเร็ว

OR มอบรางวัล การประกวด 'Green Innovation Contest' ประจำปี 2567 ตอกย้ำภารกิจ ‘เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน’ บนโลกเดียวกันที่ยั่งยืน

(8 ต.ค. 67) นางสาวราชสุดา รังสิยากูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกิจการพิเศษ 1 บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR มอบรางวัลและแสดงความยินดีแก่ทีมแข่งขันจากการประกวดโครงการ 'Green Innovation Contest' ประจำปี 2567 ณ ห้อง The Synergy Hall ชั้น 6 ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคารซี กรุงเทพมหานคร

นางสาวราชสุดา เปิดเผยว่า OR ได้จัดโครงการ 'Green Innovation Contest' เป็นครั้งแรก ในหัวข้อ 'นวัตกรรมสีเขียวเพื่อโลกที่ยั่งยืน' โดยมุ่งหวังสนับสนุนให้เยาวชนไทยแสดงศักยภาพในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมผ่านการสร้างสรรค์นวัตกรรมและสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถต่อยอดให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และประเทศชาติต่อไป

ในโดยในปีนี้ OR ได้เปิดรับสมัครเยาวชนจากกลุ่มนิสิต นักศึกษา และอาชีวศึกษาจากทั่วประเทศ มีทีมเข้าร่วมการแข่งขันกว่า 100 ทีม การคัดเลือกแบ่งออกเป็น 3 รอบ คัดเหลือ 15 ทีมสุดท้ายที่ผ่านเข้ารอบชิงถ้วยพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ โดยทีมที่ชนะการประกวด มีดังต่อไปนี้

รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ทีม C-dots Coating Cell ผลงาน นวัตกรรมสเปรย์ฟิล์มเคลือบผิวโซลาร์เซลล์สำหรับเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยอนุภาคนาโนคาร์บอนดอทจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตร

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ ทีม Plankton collector ผลงาน หุ่นยนต์เก็บแพลงก์ตอนอัจฉริยะพลังงานแสงอาทิตย์

รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ ทีม Bio-Farmer ผลงาน ถังน้ำหมักชีวภาพจากขยะครัวเรือนด้วยระบบอัตโนมัติ (Bio-Auto Fermenter)

โดยทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ จะได้รับถ้วยพระราชทานจาก สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พร้อมประกาศนียบัตรและทุนการศึกษา 30,000 บาท ส่วนรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และ 2 จะได้รับเหรียญทอง เหรียญเงิน ประกาศนียบัตรและทุนการศึกษา 20,000 บาท และ 10,000 บาท ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีรางวัลชมเชย 12 ทีมที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ โดยได้รับเหรียญทองแดง ประกาศนียบัตร และทุนการศึกษา 5,000 บาท 

กิจกรรมเด่นภายในงาน นอกจากการนำเสนอผลงานของทั้ง 15 ทีมที่ผ่านเข้ารอบแล้ว ยังมีบูธนิทรรศการแสดงนวัตกรรมของแต่ละทีม รวมถึงบูธเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ของ OR ซึ่งสะท้อนการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นการสร้างคุณค่าให้แก่สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อีกทั้งยังมีกิจกรรมสร้างความสนุก อาทิ การร่วมแสดงความคิดเห็น และกิจกรรมคีบของรางวัล เพื่อร่วมลุ้นรับของรางวัลรักษ์โลก การจัดงานทั้งหมดออกแบบเพื่อลดการสร้างขยะให้น้อยที่สุด โดยขยะที่เกิดขึ้นบางส่วนจะถูกนำไปกำจัดอย่างถูกวิธี เช่น ขวดน้ำและฝาขวดจะถูกคัดแยกและส่งต่อไปยังโครงการ 'แยกแลกยิ้ม x GC Youเทิร์น' เมื่องานเสร็จสิ้น 

โครงการ 'Green Innovation Contest' นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งโครงการสำคัญที่ OR ผลักดันและส่งเสริมให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรมแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจหลักของ OR ที่มุ่ง “เติมเต็มโอกาส เพื่อทุกการเติบโตร่วมกัน ในการแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมเพื่อยกระดับสู่นวัตกรรมในแบบฉบับของ OR” นอกจากนี้ ยังเป็นการวางรากฐานเพื่อพัฒนาเยาวชนที่มีศักยภาพ เพื่อสนับสนุนให้ OR บรรลุเป้าหมายที่มุ่งเน้นการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Healthy Environment) ซึ่งรวมถึงการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาด การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในสถานประกอบการ และการลดปริมาณขยะ มุ่งสู่การบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2030 ทั้งนี้ เป้าหมายดังกล่าวจะเป็นพื้นฐานสำคัญสู่การเป็นองค์กรที่มีการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2050 นางสาวราชสุดา กล่าวเสริมในตอนท้าย

ตชด.23 ตามสืบเครือข่ายยาบ้า จับกุมต่อเนื่องได้กว่า 200,000 เม็ด

ตามนโยบายเน้นหนักของรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันปราบปรามยาเสพติด โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน โดยให้เพิ่มความเข้มงวดและเพิ่มมาตรการในการปราบปราม เพื่อมิให้มีการขนย้ายยาเสพติดเข้าสู่ตอนในของประเทศ

เมื่อวานนี้ (7 ต.ค.67) เวลา 11.30 น. ที่ กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23 ค่ายศรีสกุลวงศ์ อ.เมือง จ.สกลนคร นายชูศักดิ์ รู้ยิ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร พร้อมด้วย  พล.ต.ต.สมจิตร เหล่ามงคลนิมิต ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสกลนคร, ว่าที่ร้อยตรีรวยรุ่ง ใครบุตร ปลัดจังหวัดสกลนคร,  พ.ต.อ.วุทธยา สิงห์กิ้ง ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 23, ผู้แทนจากกองกำลังสุรศักดิ์มนตรี, ผู้แทน ปปส.ภ.4 ได้ร่วมกันแถลงข่าวจับกุม ผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) รวม 200,000 เม็ด ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สกลนคร

การจับกุมครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการจับกุม นายอัษฎาวุธกับพวก พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 170,000 เม็ด เมื่อวันที่ 12 ส.ค. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงได้ขยายผล ตามสืบ จนพบว่ายังมีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอีก 1 คน คือ นายธเนศพล แก้วก่อง อายุ 20 ปี จึงให้สายลับติดตามพฤติการณ์ จนเมื่อวันที่ 6 ต.ค. เวลา 15.00 น. ได้รับแจ้งจากสายลับว่า จะมีการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดนด้าน จ.เลย เข้ามาพักไว้ที่บ้านเช่าของ นายธเนศพล เพื่อรอลำเลียงเข้าพื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์ ฮอนด้า ซีวิค ป้ายทะเบียน 8 กจ 157 กรุงเทพมหานคร เป็นพาหนะในการลำเลียงยา จึงได้รายงานผู้บังคับบัญชาและแจ้ง นปส.นครพนม, เจ้าหน้าที่ข่าวกรอง กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี และหน่วยความมั่นคงในพื้นที่

จนเมื่อเวลา 23.20 น. เจ้าหน้าที่จับกุมพบรถยนต์ คัน ดังกล่าว บริเวณแยกบ้านธาตุ อ.เมือง จ.สกลนคร จึงได้สะกดรอยตามไป เมื่อไปถึงบ้านเช่าแห่งหนึ่ง พบนายธเนศพลกับนายรัฐภูมิ  (ทราบชื่อภายหลัง) กำลังช่วยกันยกห่อวัตถุลงจากท้ายรถ จึงได้แสดงตัวเข้าจับกุม และเข้าตรวจสอบ พบเป็นยาบ้าจำนวน 100 มัด ประมาณ 200,000 เม็ด จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ในกลุ่มประชาชนและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ก่อนจะนำส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี และดำเนินการสอบสวนขยายผลต่อไป 

‘ณัฐวุฒิ’ เปลือยเบื้องลึกหวนคืนสู่เส้นทางสายการเมือง รับบท ‘กุนซือการเมือง’ เคียงข้าง ‘แพทองธาร’

(8 ต.ค. 67) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกฯ ให้สัมภาษณ์นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ผู้ประกาศข่าว ผ่านเพจ 'สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว' ว่า

กรณีที่นายสรยุทธ สอบถามว่าถือเป็นการกลืนน้ำลายตัวเองหรือไม่ที่กลับมาช่วยพรรคเพื่อไทยทั้งที่ในปี 2566 ได้ประกาศออกจากหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เพราะไม่เห็นด้วยที่พรรคเพื่อไทยจับมือกับ 3 ลุง โดยนายณัฐวุฒิ ตอบนายสรยุทธว่า ไม่ เพราะตนมีเหตุผล เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองเปลี่ยนไป การเมืองเป็นเรื่องของการจัดสรรอำนาจซึ่งสถานการณ์ขณะนั้นเป็นหมากล็อก ถึงต้องตั้งรัฐบาลแบบนี้

ที่ถอยออกมาเพราะได้ประกาศกับประชาชนไปแล้วและหวังว่าเมื่อเกิดรัฐบาลแบบนี้ก็น่าจะประคับประคองและแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้ในหลายเรื่อง แต่เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี นายเศรษฐา ทวีสิน กลับพ้นตำแหน่งคือทุกอย่างเกิดขึ้นภายในสัปดาห์เดียว คือพรรคก้าวไกลถูกยุบตามด้วยนายเศรษฐาพ้นตำแหน่ง พอตนเห็นแบบนี้ก็เป็นห่วงนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร

ตนไม่คิดว่านายเศรษฐาจะอยู่แค่ปีเดียว เมื่อเป็นแบบนี้ก็เลยเป็นห่วงน.ส.แพทองธาร แล้วทางนี้ก็อยากให้ตนเข้ามาช่วยด้วย

โดยตนจะเข้ามาร่วมกับทีมงานในการคิดประเมินสถานการณ์ทางการเมือง ออกความเห็นทางการเมืองรายงานต่อนายกฯ รวมถึงเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารออกสู่ประชาชน ซึ่งหลายคนในทีมงานก็จะมีประสบการณ์มาช่วยคิดอ่านสถานการณ์ทางการเมืองกัน

เมื่อถามว่ามาช่วยวิเคราะห์กับดักนายกฯ นายณัฐวุฒิ ไม่ปฏิเสธ พร้อมขยายความว่ามาช่วยสื่อสารกับสังคม มีทีมทำงานอยู่ซึ่งเป็นปกติของทุกนายกฯ ที่จะมีทีมงานแบบนี้

เมื่อถามต่อว่าแล้วทีมงานบ้านพิษณุโลก 5-6 ท่านถือว่าเป็นทีมเดียวกันหรือไม่ นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ภารกิจจะไม่ได้เกี่ยวเนื่องกัน เพราะบ้านพิษณุโลกเน้นนโยบายและเอกสารที่จะขับเคลื่อนนโยบาย ส่วนตนจะเกี่ยวข้องกับตัวนายกฯ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่แวดล้อมนายกฯ อยู่

เมื่อถามว่าถือเป็นพี่เลี้ยงนายกฯ นายณัฐวุฒิ ปฏิเสธว่าไม่ใช่พี่เลี้ยงนายกฯ นายกฯไม่จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยง เพราะมีศักยภาพ มีความชัดเจนเด็ดขาดแบบที่น.ส.แพทองธารเป็น

เมื่อถามต่อว่า พรรคเพื่อไทยโดนข้อหาตระบัดสัตย์ เมื่อนายณัฐวุฒิกลับเข้ามาทำให้ภาพตระบัดสัตย์นี้กลับมาอีกครั้ง นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ไม่ เราจะไปห้ามไม่ให้พูดไม่ได้ ตนคิดว่าอย่าไปเปลืองเวลา เพียงแต่เราต้องบอกเหตุผลกับตัวเราเองให้ได้ก่อน เมื่อบอกเหตุผลกับตัวเองได้แล้วก็จะบอกสาธารณะได้ ส่วนว่าจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพของคนฟัง

หนุ่มอังกฤษหัวใจจีน เผยประสบการณ์ทำงานสุดหฤโหดในประเทศจีน เข้างาน 9 โมงเลิก 3 ทุ่ม 6 วัน ชี้ตัวการทำหนุ่ม-สาวหมดไฟทำงาน

(8 ต.ค. 67) แจ็ค ฟอร์สไดค์ หนุ่มอังกฤษวัย 28 ปีที่แจ้งเกิดอย่างไม่ได้ตั้งใจ ด้วยการแชร์ประสบการณ์ชั่วโมงการทำงานสุดโหดในจีน ที่เรียกว่าระบบ 996 (ทำงาน 9 โมงเช้า - 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์) ในบริษัทเกมส์ยักษ์ใหญ่ของจีน จนกลายเป็นไวรัลในสื่อโซเชียลจีน และมีชาวจีนเข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก

แจ็ค ฟอร์สไดค์ หนุ่มอังกฤษหัวใจจีน จากเมืองยอร์กเชอร์ ผู้เรียนจบจาก University of Manchester โดยเลือกเรียนวิชาภาษาจีน และเคยมาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ปักกิ่ง 1 ปีและตกหลุมรักเมืองจีนเข้าเต็มเปา จึงตัดสินใจ ย้ายข้ามทวีปมาหางานทำในประเทศจีน หลังจากเรียนจบ 

และได้งานใน NetEase หนึ่งในบริษัทเกมส์ยักษ์ใหญ่ของจีนในเมืองกวางโจวเมื่อปี 2022 ซึ่งในช่วงแรกเขาทำงานแปลภาษา ที่ไม่จำเป็นต้องทำงานล่วงเวลา ชีวิตการทำงานในจีนถือว่าสุขสบายราบรื่น จนกระทั่งเมื่อมกราคม 2024 เขาถูกย้ายมาอยู่ในแผนกออกแบบเกม ที่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 ไปโดยปริยาย

เนื่องจากแผนกที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเกม จำเป็นต้องรับมือกับการแข่งขันสูง งานทุกชิ้นมีเส้นตายเพื่อออกงานบี้กับบริษัทคู่แข่ง ทุกคนในทีมล้วนทำงานหนักเพื่อส่งงานให้ทัน และบางครั้ง แจ็ค และเพื่อนในทีมต้องทำงานมากกว่า 80 ชั่วโมงต่อสัปดาห์

"พวกเราเริ่มงานกันตอน 10 โมงเช้า ตั้งแต่เดือนเมษายน และเวลาเลิกงานตามมาตรฐานคือ 4 ทุ่ม บางวันทำงานหามรุ่งกันยันเที่ยงคืน วันเสาร์แทบไม่ใช่วันหยุดอีกต่อไป ผมเคยต้องมาทำงานวันเสาร์ติดกัน 3 สัปดาห์รวด" แจ็ค ฟอร์สไดค์ หนุ่มอังกฤษผู้ผ่านประสบการณ์ Culture Shock ของการทำงาน 996 กล่าวผ่านสื่อโซเชียลจีน และมียอดผู้ชมสูงถึง 265,000 วิว เลยทีเดียว 

เมื่อถูกถามว่า ทำไมถึงไม่มีใครร้องเรียนบริษัท หรือ ลองหางานใหม่ ไมค์ ตอบว่า ในช่วงเวลานั้นเราทุกคนคิดแต่เรื่องการทำงานเป็นทีม หากใครทำช้า งานก็จะส่งไม่ทัน และไม่มีใครอยากเป็นตัวถ่วงของทีม 

และตั้งแต่เขาย้ายมาแผนกใหม่ แจ็คก็เริ่มโพสต์ภาพที่สุดแสนเหน็ดเหนื่อยของของลงบน Xiaohongshu แอปพลิเคชันที่คล้าย Instagram เวอร์ชั่นจีน บางครั้งมีแคปชั่น ถามลอยๆว่า เขามาทำอะไรที่นี่? หรือตั้งคำถามเกี่ยวกับการงานล่วงเวลาโดยไม่ได้รับค่าจ้างเพิ่มจึงเป็นเรื่องปกติในจีน, หรือบ่นลอยๆว่า เหนื่อยชะมัด อยากออกแล้ว!!! ซึ่งโพสต์ล่าสุดของเขามีผู้เข้าชมเกิน 3 แสนวิว

แจ็ค ฟอร์สไดค์ ที่ตอนนี้กลายเป็นเน็ตไอดอลจำเป็น กล่าวว่า ที่ชาวเน็ตจีนเข้ามาติดตามสื่อโซเชียลของเขา เพราะแรงงานต่างชาติมักไม่ค่อยบอกเล่าเรื่องราวการทำงานในองค์กรจีน ผ่านสื่อโซเชียลของจีน แต่พอมีฝรั่งสักคน มาบ่นเรื่องเดียวกับที่หนุ่ม-สาวชาวจีนทั่วไปก็เจอ เขาจึงได้รับความเห็นใจ  และรู้สึกว่าเรื่องที่เขาแชร์  เป็นเหมือนปากเสียงแทนพวกเขา 

แต่ทว่า แจ็ค ฟอร์สไดค์ ก็แชร์ประสบการณ์ทำงานแบบ 996 ของเขาได้ไม่นาน ก็ถูกทาง NetEase เลิกจ้างไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง ซึ่งการออกมาพูดเกี่ยวกับการทำงานในองค์กรอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะทางบริษัทต้นสังกัดมีแผนปรับโครงสร้าง ลดพนักงานอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่แจ็ค ต้องเจอในวัฒนธรรมการทำงานแบบ 996 ไม่ได้ทำให้เขารักที่จะใช้ชีวิตในประเทศจีนน้อยลง หลังจากถูกเลิกจ้าง เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองฮาร์บิน บ้านเกิดของภรรยาของเขา และยังคงเขียนบทความออนไลน์เกี่ยวกับการทำงานในระบบ 996 ที่จะส่งผลเสียต่อองค์กรจีนในระยะยาว เป็นสาเหตุที่หนุ่น-สาวจีนมีอันต้องหมดไฟทำงานก่อนวัยอันควร และสุดท้ายองค์กรก็จะสูญเสียทรัพยากรบุคคลไป เพราะเน้นที่ปริมาณผลงาน มากกว่าคุณภาพของการทำงาน

ส่วน แจ็ค ฟอร์สไดค์ เน็ตไอดอลจำเป็นวันนี้ ยังเข็ดขยาดกับการทำงานสไตล์ 996 อยู่ จึงขอเวลาทำใจ พักแชร์เรื่องราวเกี่ยวกับการทำงานที่ผ่านมา   ก่อนไปลุยงานใหม่ในจีนต่อไป ไม่หนีกลับประเทศแน่นอน

‘ไอออน’ ชูยุทธศาสตร์ดันไทยฮับฐานผลิตอีวี ‘อาเซียน’ เดินหน้าเร่งผลิตรุ่นใหม่ ขยายโชว์รูม - สถานีชาร์จ

(8 ต.ค.67) ‘ไอออน’ ยักษ์ใหญ่อีวีจีน ประกาศยุทธศาสตร์ขยายตลาดไทย ชูเป็นฮับหลักผลิตรถยนต์อีวีในภูมิภาค เดินหน้าเร่งเครื่องการผลิต เล็งเปิดตัว 2-3 รุ่นใหม่ วางโรดแมปขยายโชว์รูมและศูนย์บริการให้ครบ 200 แห่ง เพิ่มซูเปอร์ชาร์จให้ครบ 1,000 จุด ใน 2570 มุ่งสร้างบุคลากรอีวีไทยแข็งแกร่ง

นายโอเชี่ยน หม่า ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (AION) กล่าวในงานสัมมนา ASEAN Economic Outlook 2025:The Rise of ASEAN, A Renewing Opportunity ซึ่งจัดโดย กรุงเทพธุรกิจว่า ตลาดอาเซียนมีพลวัตและมีแนวโน้มที่ดีสุดในโลก รวมถึงดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลก 

สำหรับไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์ขนาดใหญ่สุดในอาเซียน และเป็นตลาดขนาดใหญ่อันดับ 2 มีอีโคซิสเต็มอุตสาหกรรมยานยนต์ขยายตัว รวมถึงมีภาครัฐบาลได้ร่วมสนับสนุนรถยนต์พลังงานใหม่และมาตรการทางภาษีในด้านต่างๆ อย่างครอบคลุม พร้อมมีแผน 30@30 ในการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้ 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573

ทั้งนี้บริษัทได้วางยุทธศาสตร์ลงทุนและขับเคลื่อนรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระยะยาวในประเทศไทย ที่มีความสอดคล้องกับแผนของภาครัฐ ทำให้บริษัทได้มีการสร้างโรงงานประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย และเป็นโรงงานแห่งแรกในต่างประเทศ เพื่อร่วมยกระดับภาคอุตสาหกรรมพลังงานใหม่กับยานยนต์ไฟฟ้าและร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยให้ขยายตัว

สำหรับโรงงานประกอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในประเทศไทย เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค.2567 ในโรงงานที่ระยอง อยู่ในพื้นที่อีอีซี โดยเป็นฐานการผลิตในระดับโลก และถือว่าไทยเป็นฐานผลิตหลักในภูมิภาคอาเซียน รองรับการทำตลาดในประเทศไทย ส่งออกไปในภูมิภาคและขยายตลาดประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ขณะเดียวกันโรงงานในไทย ได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตระดับเดียวกับประเทศจีน ที่เป็นเทคโนโลยีอัจฉริยะ และมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศไทยสัดส่วน 45% พร้อมมุ่งส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวรถยนต์ เข้ามาทำตลาดประเทศไทยแล้ว โดยมีรุ่นเรือธง ได้แก่ AION Y PLUS, AION ES และ Hyper HT ที่เป็นรุ่นพรีเมียม ซึ่งรถยนต์ที่ได้เปิดตัวในรุ่นต่างๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าในประเทศไทย พร้อมกันนี้มีแผนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ในไทย จำนวน 2-3 รุ่น เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างต่อเนื่องในทุกปี

เร่งแผนขยายโชว์รูม 100 แห่งในปี 2568
ขณะเดียวกันหลังเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยกว่าหนึ่งปีแล้ว มีแผนขยายช่องทางจำหน่าย ผ่านการมีตัวแทนจำหน่าย โดยปัจจุบันมีโชว์รูมและบริการหลังการขายประมาณ 50 แห่ง และในปี 2567 พร้อมขยายเป็น 70 แห่ง ส่วนในปี 2568 มุ่งขยายให้ครบ 100 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาค เพื่อทำให้กลุ่มลูกค้าคนไทยได้รับประสบการณ์ที่ดี และได้รับความสะดวก เข้าถึงมากยิ่งขึ้น

สำหรับสถานีชาร์จความเร็วสูง โดยบริษัทเป็นแบรนด์เดียวได้ที่พัฒนาในด้านนี้ โดยได้มีการลงทุนสร้างไปแล้ว 8 แห่ง พร้อมวางแผนไว้ในปี 2567 จะก่อสร้างแล้วเสร็จได้ครบจำนวน 25 แห่ง รวมถึงประเมินระยะยาว ภายในปี 2570 จะขยายเพิ่มสถานีชาร์จให้ได้ 200 แห่ง และมีหัวชาร์จรวม 1,000 จุด ครอบคลุมรวม 100 เมือง ทั่วประเทศ เพื่อทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกมากขึ้น

“แผนในระยะต่อไป บริษัทมีความสนใจขยายการลงทุนใหม่ในไทยเพิ่มขึ้น รองรับการขยายรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานสะอาดเพิ่มมากขึ้นในอนาคต”

มุ่งสร้างศูนย์พัฒนาวิจัย-บุคลากรอีวีในไทย 
พร้อมกันนี้ ยังมุ่งมั่นพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในไทย โดยส่งมอบรถยนต์ฝึกอบรมให้สถาบันการศึกษา 2 แห่ง ในไทย พร้อมฝึกอบรมพนักงานในพื้นที่จำนวนมาก เพื่อร่วมส่งเสริมการจ้างงาน ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมทำให้ประเทศไทยมีบุคลากรในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น รองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม

อีกทั้งบริษัทได้ให้ความสำคัญในการลงทุนวิจัยและพัฒนาในไทยและในภูมิภาคอาเซียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมส่งเสริมการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ล้ำหน้า พร้อมร่วมสร้าง สังคมคาร์บอนต่ำในภูมิภาคอาเซียน และทำให้ในภูมิภาคอาเซียนมีโซลูชันพลังงานสีเขียวที่มีความยั่งยืน ทั้งหมดสอดรับกับนโยบายของบริษัทที่มุ่งมั่นเป็นผู้นำในระดับโลกในด้านนี้

“ตลอดการลงทุนสร้างโรงงานในไทย ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล พันธมิตร และภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม ซึ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นว่าการลงทุนและการพัฒนาในประเทศไทยเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด พร้อมร่วมทำงานขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงและยกระดับอุตสาหกรรมรถยนต์พลังงานใหม่ของประเทศไทยต่อไป และมีส่วนสนับสนุนต่อความก้าวหน้าทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศ”

อย่างไรก็ตาม สำหรับแบรนด์รถยนต์อีวี "ไอออน (AION) ก่อตั้งขึ้นปี 2560 ในจีน โดยภาพรวมตลาดโลกครองตำแหน่งแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าอันดับ 2 ของจีนและอันดับที่ 3 ของแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าโลก 

พร้อมกันนี้สร้างสถิติการผลิตและขายรถยนต์ 1 ล้านคันเร็วที่สุดในโลก ด้วยใช้เวลา 4 ปี 8 เดือน รวมถึงบริษัทติดอันดับ Fortune Global 500 ส่วนในไทยพบว่ากลุ่มจีเอซี กรุ๊ป (GAC Group) บริษัทแม่จากจีน ประกาศแผนลงทุนผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้ามูลค่า 6,400 ล้านบาทในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) พร้อมมีแผนตั้งสำนักงานในไทยอย่างเป็นทางการ

12 ตุลานี้งานแห่ประจำปีวัดแขก สีลม แจ้งปิดถนน 4 เส้นทางโดยรอบ

(8 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานเขตบางรักแจ้งว่าวันที่ 12 ต.ค. 67 ที่จะถึงนี้มีการปิดจราจรใน 4 เส้นทางได้แก่ 

ถนนสีลม ตั้งแต่แยกนรารมย์-แยกสุรศักดิ์ ตั้งแต่เวลา 16.00-04.00 น.
ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ตั้งแต่แยกนรินธร-แยกนรารมย์ ตั้งแต่เวลา 17.00-02.00 น.
ถนนสาทรเหนือ ตั้งแต่แยกสาธร-แยกนรินธร ตั้งแต่เวลา 19.00-04.00 น.
ถนนสุรศักดิ์ ตั้งแต่แยกสุรศักดิ์-แยกสาทร ตั้งแต่เวลา 16.00-04.00 น.

ทั้งนี้งานนวราตรี คือ งานที่จัดขึ้นเพื่อบูชาและเฉลิมฉลองให้กับพระแม่ทุรคา หรือพระแม่ปารวตี หรือพระแม่อุมาเทวีทั้ง 9 คืน ซึ่งแปลตรงตัวจากคำว่า “นวราตรี” อย่างไรก็ดี ตามประเพณีการจัดงานจะจัดขึ้นทั้งหมด 10 คืนแทน เนื่องจากคืนที่สิบถือเป็นคืนสำคัญที่พระแม่ทุรคาปราบมหิงษาสูร อสูรควายชั่วร้ายได้สำเร็จ หรือที่เรียกกันว่า “วันวิชยาทศมี”, “วิชัยทัสมิ” หรือ “ทศหรา”

งานนวราตรีเป็นงานสำคัญในศาสนาฮินดู โดยลักษณะรูปแบบงานอาจจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมหรือความเชื่อของแต่ละพื้นที่ ซึ่งในงานนวราตรี ปี 2567 วัดแขกจะมีการทำพิธีบูชา อัญเชิญเทวรูปพระแม่อุมาเทวี รวมถึงเทวรูปอื่นๆ แห่ขบวนให้ผู้ที่ศรัทธาได้สักการบูชา

>>>งานนวราตรี 2567 จัดขึ้นวันที่ 2-14 ตุลาคม 2567 โดยมีกำหนดการ ดังนี้

วันพุธที่ 2 ตุลาคม 2567
- พิธีบูชาองค์พระพิฆเนศวร (บรมครู) พิธีบูชาเทพประจำแผ่นดิน เทพแห่งดาวนพเคราะห์ทั้งเก้า พิธีบูชาเพื่อขออนุญาตต่อองค์มหาเทวีและมหาเทพทั้งหลายที่ประดิษฐานภายในวัด เพื่อเริ่มงานพิธีนวราตรี ประจำปี 2567
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.30 น. และพิธีเย็นจัดขึ้นเวลา 17.00 น.
**หลังเสร็จพิธี อัญเชิญองค์พระพิฆเนศวร, องค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวี, องค์พระแม่ศรีมหาซูลั่มกาลี ออกแห่

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2567
- เริ่มพิธีนวราตรี ประจำปี 2567 (Navarathri2024 Day 1)
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น. บูชาองค์พระแม่ศรีมหาทุรคาเทวี, พิธีเย็นจัดขึ้นเวลา 17.00 น. บูชาองค์พระแม่ศรีมหาทุรคาเทวี และเวลาประมาณ 18.30 น. อัญเชิญธงสิงห์ขึ้นเสา

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม 2567
- พิธีบูชาองค์พระแม่ศรีมหาทุรคาเทวี
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น., พิธีเย็นจัดขึ้นเวลา 17.00 น. และพิธีบูชาใหญ่จัดขึ้นเวลา 19.30 น.

วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม 2567
- พิธีบูชาองค์พระแม่ศรีมหาทุรคาเทวี
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น., พิธีบูชาโฮมัมจัดขึ้นเวลา 17.00 น. และพิธีบูชาใหญ่จัดขึ้นเวลา 19.30 น.

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2567
- พิธีบูชาองค์พระแม่ศรีมหาลักษมีเทวี
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น., พิธีบูชาโฮมัมจัดขึ้นเวลา 17.00 น. และพิธีบูชาใหญ่จัดขึ้นเวลา 19.30 น.

วันจันทร์ที่ 7 ตุลาคม 2567
- พิธีบูชาองค์พระแม่ศรีมหาลักษมีเทวี
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น., พิธีบูชาโฮมัมจัดขึ้นเวลา 17.00 น. และพิธีบูชาใหญ่จัดขึ้นเวลา 19.30 น.

วันอังคารที่ 8 ตุลาคม 2567
- พิธีบูชาองค์พระแม่ศรีมหาลักษมีเทวี
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น., พิธีบูชาโฮมัมจัดขึ้นเวลา 17.00 น. และพิธีบูชาใหญ่จัดขึ้นเวลา 19.30 น.

วันพุธที่ 9 ตุลาคม 2567
- พิธีสยุมพรองค์พระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น. (พิธีสยุมพร), พิธีบูชาโฮมัมจัดขึ้นเวลา 17.00 น. (พิธีบูชาพระแม่นั่งชิงช้า) และพิธีบูชาใหญ่จัดขึ้นเวลา 19.30 น. (พิธีบูชาพระแม่นั่งชิงช้า)

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม 2567
- พิธีบูชาพระแม่ศรีมหาอุมาเทวีและองค์พระศิวะมหาเทพ
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น., พิธีบูชาโฮมัมจัดขึ้นเวลา 17.00 น. และพิธีบูชาใหญ่จัดขึ้นเวลา 19.30 น.

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม 2567
- พิธีบูชาองค์พระแม่ศรีมหาสรัสวตีเทวี
*พิธีเช้าจัดขึ้นเวลา 09.00 น., พิธีบูชาโฮมัมจัดขึ้นเวลา 17.00 น. และพิธีบูชาใหญ่จัดขึ้นเวลา 19.30 น.

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2567
- งานแห่ประเพณี เนื่องในวันวิชัยทัสมิ ประจำปี 2567 (Vijaya Dasmi 2024)
*ขบวนแห่เริ่มเคลื่อนออกจากวัดพระศรีมหาอุมาเทวี (วัดแขก สีลม) ในเวลาประมาณ 19.30 น. เป็นต้นไป

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม 2567
- พิธีอัญเชิญธงสิงห์ลง และพิธีอาบน้ำคณะพราหมณ์และคณะคนทรง
*พิธีเริ่มเวลา 17.00 น. ซึ่งหลังจากเสร็จพิธีคณะพราหมณ์ จะผูกข้อมือด้วยสายสิญจน์ที่ทำพิธีมาแล้วให้แก่สานุศิษย์ทุกท่านฟรี

>>>การเดินทางไปร่วมงานนวราตรี 2567 หรือวัดแขกสามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้

- รถไฟฟ้า BTS สถานีสุรศักดิ์ ทางออกที่ 3 เดินต่ออีกประมาณ 800 เมตร
- รถไฟฟ้า BTS สถานีเซนต์หลุยส์ ทางออกที่ 2 หรือ เดินต่ออีกประมาณ 750 เมตร
- รถไฟฟ้า MRT สถานีสีลม ทางออกที่ 2 เดินต่อหรือนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง

งานนวราตรี 2567 เป็นพิธีสำคัญที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ผู้ที่สนใจเข้าร่วมพิธีสามารถเดินทางเข้ามาร่วมงานได้ตลอด 9 วัน 9 คืน โดยไม่มีการจำกัดเชื้อชาติ ศาสนา หรืออายุ ทั้งนี้ แนะนำให้หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว เพื่อหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัด และศึกษาข้อมูลควรรู้ในเบื้องต้นก่อนเข้าร่วมพิธี

ราคาน้ำมันดิบ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์สู้รบในตะวันออกกลาง

(8 ต.ค.67) หน่วยธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานสถานการณ์ตลาดน้ำมันประจำสัปดาห์วันที่ 30 ก.ย. – 4 ต.ค. 67 และแนวโน้มสัปดาห์วันที่ 7 – 11 ต.ค. 67 โดยระบุราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากสถานการณ์การต่อสู้ภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง

วันที่ 1 ต.ค. 67 อิหร่านระดมโจมตีบริเวณเมือง Tel Aviv ในอิสราเอลด้วยมิสไซล์กว่า 180 ลูก ซึ่งเป็นการโจมตีเพื่อตอบโต้ที่อิสราเอลสังหารผู้นำกลุ่ม Hezbollah ทำให้ตลาดวิตกว่าอิสราเอลจะตอบโต้อิหร่านหรือไม่ ขณะเดียวกัน อิสราเอลยังคงโจมตีกลุ่ม Hezbollah อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดวันที่ 5-6 ต.ค. 67 กองทัพอากาศอิสราเอลโจมตีเขตชานเมือง Beirut เมืองหลวงของเลบานอนอย่างหนัก โดยทางการอิสราเอลกล่าวว่าการโจมตีกำหนดเป้าหมายไปที่คลังเก็บอาวุธของกลุ่ม Hezbollah ทั้งนี้ จำนวนผู้เสียชีวิตสะสมในเลบานอนตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 67 มากกว่า 2,000 ราย

วันที่ 1 ต.ค. 67 United Kingdom Maritime Trade Operations (UKMTO) รายงานกลุ่ม Houthi ในเยเมนใช้เรือผิวน้ำไร้คนขับ (Uncrewed Surface Vessel) และมิสไซล์โจมตีเรือขนส่งน้ำมันดิบ Cordelia Moon (ชนิด Suezmax ปริมาณบรรทุก 1 ล้านบาร์เรล) ติดธงสัญชาติปานามา และเรือขนส่งสินค้า Minoan Courage (ชนิด Panamax ปริมาณการบรรทุก 500,000 บาร์เรล) ติดธงสัญชาติไลบีเรีย ขณะแล่นผ่านทะเลแดง อย่างไรก็ดี เรือทั้ง 2 ลำไม่ได้รับความเสียหายรุนแรงและสามารถเดินทางต่อได้

กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานยอดจ้างงานนอกภาคเกษตร (Nonfarm Payrolls) ในเดือน ก.ย. 67 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 254,000 ราย (Reuters Poll คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 140,000 ราย) สูงสุดในรอบ 6 เดือน ขณะที่อัตราว่างงาน (Unemployment Rate) ลดลงจากเดือนก่อน 0.1% อยู่ที่ 4.1%

วันที่ 2 ต.ค. 67 ที่ประชุม Joint Ministerial Monitoring Committee (JMMC) มีมติให้กลุ่ม OPEC+ คงแผนเพิ่มการผลิตน้ำมันดิบในเดือน ธ.ค. 67 ที่ระดับ 189,000 บาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ OPEC+ (18 ประเทศ) ผลิตน้ำมันดิบในเดือน ส.ค. 67 อยู่ที่ 34.09 ล้านบาร์เรลต่อวัน (โควตาการผลิตอยู่ที่ 33.76 ล้านบาร์เรลต่อวัน) นอกจากนี้ ที่ประชุมขอความร่วมมือให้อิรักและคาซัคสถานลดการผลิตที่เกินโควตาจากทั้ง 2 ประเทศ ประมาณ 150,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือน ต.ค. 67

‘กลุ่ม ปตท.’ ผนึกพันธมิตร ระดมสรรพกำลัง ช่วยเหลือสัตว์ เหตุอุทกภัย อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

1. มอบหญ้าฟ่อนแห้ง จำนวน 200 ฟ่อน
2. อาหารม้า Maxwin จำนวน 30 กระสอบ
3. สนับสนุนหญ้าแพงโกล่าตัดสด วันละ 1 ตัน
4. สนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ ให้กับสัตว์ที่รับผลกระทบจากอุทกภัย
5. สำรวจความต้องการอาหารม้า Maxwin ในพื้นที่อุทกภัยต่อ
6. มอบอาหารสุนัข อาหารแมว และแตงโม ให้กับศูนย์อภิบาลและอนุรักษ์ช้าง
7. ประสานและสนับสนุนการเคลื่อนย้ายสัตว์ในพื้นที่

พันธมิตรที่ร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือสัตว์ในครั้งนี้ ประกอบด้วย สมาคมกีฬาขี่ม้าแห่งประเทศไทย,กรมการสัตว์หทารบก, หน่วยม้าทรงประจำพระองค์, กองพันสัตว์ต่าง(ค่ายตากสิน), บี.กริม และ เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป

‘เอกนัฏ’ ตรวจเยี่ยมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล ชี้!! ต้องนำงานวิจัยมาต่อยอดให้อุตสาหกรรมฮาลาล

เมื่อวานนี้ (7 ต.ค. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วย นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นำทีมผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เยี่ยมชมศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (ศวฮ.) โดยมีนางสาวไพลิน เทียนสุวรรณ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่ากระทรวงอุตสาหกรรม นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม รักษาราชการแทนอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม นายกฤศ จันทร์สุวรรณ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเยี่ยมชม และมี รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการ ศวฮ. ให้การต้อนรับ 

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ขอขอบคุณทาง ศวฮ. ที่ได้ให้ความรู้ และนำเสนอผลการดำเนินงานการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล 

ตนได้มอบนโยบาย 'การปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่' ให้กับข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรม คือ ปฏิรูปที่ 1 'การจัดการกาก สารพิษ ที่ทำร้ายชีวิตประชาชน' โดยปรับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมทั้งระบบ แก้ไขกฎหมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน การเพิ่มโทษอาญา ปฏิรูปที่ 2 'Save อุตสาหกรรมไทย' สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs บังคับใช้กฎหมายกับสินค้าต่างชาติที่ไม่ได้มาตรฐาน ยกระดับขีดความสามารถให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้ ปฏิรูปที่ 3 'การสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่' รองรับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ปรับเปลี่ยนสายการผลิตและเทคโนโลยีในประเทศ ยกระดับผลิตภาพการผลิตเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมอุตสาหกรรมให้ก้าวทันโลก ยกระดับผลิตภาพด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ 

“ความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงของโลกต่อจากนี้ คือวิกฤตที่ภาคอุตสาหกรรมไทยต้องเผชิญ และยังถือเป็นโอกาสที่สำคัญและเรามีความได้เปรียบในด้านวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และความรู้ในอุตสาหกรรมฮาลาล โดยกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมสนับสนุนเพื่อให้นำวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม งานวิจัย มาทำประโยชน์แก่ภาคอุตสาหกรรม ภาคผลิตให้มากที่สุด และกระทรวงจะช่วยสื่อสารและสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทยและประชาคมโลกทราบถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของไทย“

ทั้งนี้ศวฮ. เป็นศูนย์พัฒนางานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีฮาลาล โดยมีการพัฒนาระบบมาตรฐานฮาลาล ประยุกต์ใช้นวัตกรรมในหลายขั้นตอนผ่านกระบวนการมาตรฐานฮาลาล HAL-Q การใช้นวัตกรรม H number น้ำยาดินชำระล้าง งานนิติวิทยาศาสตร์ฮาลาล วางระบบในโรงงานอุตสาหกรรม 1,112 โรงงาน ครอบคลุม 158,823 คน ตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์กว่า 188,731 ตัวอย่าง นำไปสู่การพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล การสร้าง Big Data การพัฒนาระบบ 'ฮาลาลบล็อกเชน' เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคในกระบวนการทวนสอบย้อนกลับผ่านแอปพลิเคชันในรูป Thailand Diamond Halal Blockchain และเพื่อให้ก้าวเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีดิจิทัล 

ศวฮ. ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์ม THAIs หรือ Thailand Halal Trustworthy A.I. เพื่อสร้างความไว้วางใจต่อผลิตภัณฑ์ ผ่านการประยุกต์ใช้ AI ที่ 1 Actual Implementation ซึ่งเป็นการปฏิบัติงานด้วยมือและสมองของมนุษย์  AI ที่ 2 Artificial Intelligence โดยใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่เพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรม ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นต่อผลิตภัณฑ์ฮาลาลของไทย เป้าหมายเพื่อลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน แก่ผู้ประกอบการเพื่อการเติบโตทางธุรกิจที่ยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top