Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

ตัวแทนกลุ่มเกษตรกรปลูกมะพร้าวน้ำหอมคาบสมุทรสทิงพระ และตัวแทน”คลองไทย” พบ สว.สงขลา

เมื่อวันที่ (6 ต.ค. 67) ที่สำนักงาน ศูนย์ประสานงานสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดสงขลา นายณรงค์ ขุ้มทอง ผอ.ศูนย์ประสานงานคลองไทย 5 จังหวัดภาคใต้ พร้อมด้วยนายทศพล ยอดศรี นายณรงค์ นวลพรหม กรรมการประสานงาน ได้เข้าพบนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ตัวแทนวุฒิสภาชิก จ.สงขลา เพื่อให้เป็นผู้ประสานงานกับวุฒิสภาในการผลักดันการขุดคลองไทย ซึ่งคณะกรรมการประสานงานการขุดคลองไทย ได้มีการขับเคลื่อนผ่านวุฒิสมาชิกรัฐสภาชุดที่แล้วจนมีความก้าวหน้าไปแล้วระดับหนึ่ง จึงขอให้วุฒิสภาชุดปัจจุบันพิจารณาทำการขับเคลื่อนให้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อการศึกษาการขุดคลองไทยอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้เห็นถึง ข้อดี ข้อเสีย และโอกาสในการ ขุดคลองไทย เพื่อการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต

ต่อมานายเจริญกิจ มีศิริ อนุกรรมการกองทุนฟื้นฟูเกษตรกรจังหวัดสงขลา ได้เดินทางมายื่นหนังสือกับนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ตัวของ สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 5 คนของ จ.สงขลา  เพื่อของให้ สมาชิกวุฒิสภา เป็นปากเสียง นำความเดือดร้อนของเกษตรกรที่ปลูกมะพร้าวน้ำหอมใน คาบสมุทรสทิงพระ อ.พื้นที่อื่นๆของ จ.สงขลา ที่ได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากผลผลิตตกต่ำ ขายได้เพียงลูกละ 3 บาท สร้างความเดือดร้อนให้กับเกษตกรอย่างยิ่ง เพราะเจอทั้งปัญหาการ โขมยพืชผลการเกษตกรจากกลุ่มผู้ติดยาเสพติด และยังมาพบกับราคาที่ตกต่ำเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงขอให้ สว.นำเรื่องความเดือดร้อนของเกษตกรสวนมะพร้าวไปบอกกับรัฐบาลด้วย

โดยนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล ตัวแทนสมาชิกวุฒิสมาชิก จ.สงขลา ได้กล่าวว่าจะนำเอาเรื่องที่ตัวแทนของประชาชนทั้งสองกลุ่มไปดำเนินการ แจ้งให้กับ สมาชิกวุฒิสภา จ.สงขลาได้รับทราบ และดำเนินการให้เป็นตามวัตถุประสงค์ของกลุ่มตัวแทนประชาชน โดยเฉพาะเรื่องของ มะพร้าวน้ำหอม ใน จ.สงขลา นั้น นายไชยยงค์ กล่าวว่า ได้หารือกับ กงสุลใหญ่ สาธารณประชาชนจีน จ.สงขลา มาแล้วเมื่อเร็วๆนี้ ทราบว่าทางมณฑลไหหลำของ ประเทศจีน มีความต้องการ มะพร้าวน้ำหอมของ จ.สงขลา เป็นจำนวนมา ซึ่งเกษตกร จ.สงขลา น่าจะมีการรวมกลุ่มกันเพื่อหาแนวทาง ติดต่อประสานงานกับหน่วยงานราชการและเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาลูกทางในการส่งออกไปยังมณฑลไหหลำ ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ทางการค้า ที่มีความต้องการสินค้าทางการเกษตรกรของภาคใต้

นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา

สรุปเหตุการณ์ฟ้าผ่า! หลัง ‘Miss Grand International’ ยกเลิกกองประกวดกัมพูชา บอสณวัฒน์สรุปเหตุการณ์ หวั่นไม่เกิดความปลอดภัย ย้ำไม่ใช่เรื่องของประเทศเป็นเรื่องของตัวบุคคล

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงกลางดึกที่ผ่านมาทางกองประกวด Miss Grand International ได้มีการประกาศว่าได้ยกเลิกการจัดประกวด Miss Grand International ส่วนที่จะมีการจัดขึ้น ณ ประเทศกัมพูชา โดยออกประกาศผ่านทางเฟซบุ๊ก ว่า 

‘Miss Grand International เสียใจที่จะแจ้งให้ทราบว่าประเทศกัมพูชาจะไม่ทำหน้าที่เป็น
ประเทศเจ้าภาพอีกต่อไป 

เนื่องจากเจ้าภาพผู้จัดการประกวดไม่สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดตามที่ระบุไว้ในสัญญาการเป็นเจ้าภาพได้

น่าเสียดายที่ทางเจ้าภาพไม่สามารถให้บริการที่เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ของ Miss Grand International (MGI) ได้

เราขอขอบคุณสำหรับความเข้าใจของคุณและหวังว่าจะได้รับ
การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากคุณ
องค์กร MISS GRAND INTERNATIONAL

นอกจากนี้เฟซบุ๊กแฟนเพจยังประกาศต่ออีกว่า กิจกรรมของกองประกวดทั้งหมดจะจัดขึ้นที่ประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2567 เป็นต้นไป 

ขณะเดียวกันด้าน Miss Grand Cambodia ได้มีการออกประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กแฟนเพจเช่นเดียวกันว่า 

เราเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่จะแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า Miss Grand Cambodia ไม่มีใบอนุญาตในการจัดประกวด Miss Grand International อีกต่อไป

เนื่องจาก Miss Grand International ไม่เคารพกัมพูชาในฐานะเจ้าภาพและไม่ให้ความร่วมมือ 

นอกจากนี้ทางนายณวัฒน์ อิสรไกรศีล ผู้อำนวยการกองประกวด Miss Grand International ได้ออกมาไลฟ์สดเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมาว่า 

การตัดสินใจย้ายเกิดจากมีโอกาสที่ผู้จัดการกองประกวดมีการข่มขู่ทำร้ายร่างกาย จึงกังวลว่าจะเกิดความไม่ปลอดภัยกับทั้งทีมงาน และสาวงามผู้เข้าประกวด 

“ตนขอย้ำว่าไม่ใช่ปัญหาของประเทศ แต่ทางเขา(กองประกวด Miss Grand Cambodia) กำลังจะเอาประเทศมาพัวพันกับปัญหา เพราะจริง ๆ มันเป็นปัญหาของคน 5 คน แล้วพยายามพูดให้เป็นเรื่องใหญ่” 

สำหรับรายละเอียดจะมีการแจ้งอีกครั้งเมื่อทีมงานทั้งหมดเดินทางถึงประเทศไทย และได้ยืนยันว่าจะมีการจัดการประกวด Miss Grand International โดยเริ่มใหม่ทั้งหมดตั้งแต่การจัดงานแถลงข่าว

‘บอย ธัชพงศ์’ ออกมาร่ายยาวถอดบทเรียนช่วงนำ ‘ม๊อบสามนิ้ว’ ชี้ข้อผิดพลาดของตน คือ ‘ด้อยค่าความคิดต่าง’

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายธัชพงศ์ แกดำ หรือ บอย หนึ่งในแกนนำม๊อบสามนิ้วเมื่อช่วง พ.ศ. 2562 ได้ออกมาร่ายยาวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ถอดบทเรียนจากการเคลื่อนไหวเมื่อช่วง พ.ศ. 2562 ว่า

ช่วงสถานการณ์ม็อบ ความผิดพลาดของผม คือ ใช้วิธีการด้อยค่าความคิดต่าง 

ทั้งทางโซเชียลและตอนขึ้นเวทีปลุกระดม ด่าหยาบคาย ประชดประชัน เสียดสี ร่างกาย ความคิดผมพร้อมปะทะ ต่างกรรม ต่างวาระของแต่ละสถานการณ์ 

ผมมาสรุปบทเรียนว่า “ผมขยายความคิดให้คนคิดต่างทดลองเชื่อ หรือ คิดตามไม่ได้เลย และบางครั้งก็ผลักมิตรเป็นศัตรู” 

น่าเสียดายเวลา กลับกลายเป็นว่า ผมทำเพื่อตนเองเท่านั้น คือ เพื่อแค่ยืนหยัดเหตุผลและหลักการตัวเองให้กับคนที่คิดเหมือนกันอยู่แล้ว ยอมรับในตัวผมเท่านั้น หรือ บางครั้งก็หลุดหัวร้อนประจานตัวเอง ผลักมิตรเป็นศัตรู ขยายความคิดกับคนเห็นต่างไม่ได้เลย

จนเมื่อช่วงหลังผมได้มีโอกาสเรียนรู้กระบวนการของ “ฟาสามัญชน” และได้เป็นวิทยากรนำกระบวนการ ไปใช้ปฏิบัติ เพื่ออำนวยความสะดวกในที่ประชุมและการอบรมบ่อยๆ 

ผมได้ทบทวนตัวเองว่า “ผมควรใช้ท่าทีนอมน้อมรับฟังและประคับประคองความคิดต่าง ให้เกียรติและแลกเปลี่ยนอย่างมีวุฒิภาวะ เพื่อโอกาสแห่งความเป็นไปได้ ในการทำให้คนคิดต่างจะทดลองเชื่อและคิดตามเราในอนาคต หรือ บางสถานการณ์ก็เพื่อรักษามิตรที่มีเป้าหมายเดียวกัน เพียงแค่วิธีคิดต่างกันให้ร่วมทำงานเดินไปด้วยกันต่อได้“

ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้คนที่คิดเหมือนเราอยู่แล้วยอมรับเหตุผลหลักการเราเท่านั้น แต่เราต้องช่วยรักษาคุณค่าของหลักการและขยายความคิดให้กับคนเห็นต่างให้ได้ เพื่อให้การแสดงความคิดเห็นของเราไม่เสียของไปกับปรากฏการณ์นั้นๆ

แต่ผมก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ ยังต้องปรับปรุงตัวเองและทำต่อไป เพราะยังมีรายละเอียดหลากหลายวิธีการที่น่าสนใจ และต้องศึกษาอีกเยอะ

โดยเฉพาะจัดการวุฒิภาวะทางอารมณ์ตัวเอง เพื่ออดทนต่อความคิดต่างให้ได้ ก่อนที่จะออกไปแลกเปลี่ยนกับคนคิดต่างได้อย่างมีวุฒิภาวะ ผมยังต้องปรับปรุงตัวเองอีกเยอะเลย

‘สันติสุข มะโรงศรี’ วิจารณ์แรงถึงเหตุการณ์สูญเสียช้างไทย จี้ปางช้าง ‘เมื่อจุดขาย กลายเป็นจุดตาย จึงต้องบิดประเด็น ?’

(7 ต.ค. 67) นายสันติสุข มะโรงศรี ผู้ประกาศข่าวชื่อดังได้โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีการสูญเสียช้างไทยจากอุทกภัย ที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ว่า 

เมื่อจุดขาย (จะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม) กลายเป็นจุดตาย จึงต้องบิดประเด็น ?

1. ปางช้างเดียวที่มีช้างตาย มีวิธีการเลี้ยงที่แตกต่าง เป็นจุดขาย คือ โชว์การให้อิสระเสรีกับช้าง ทำกรงกว้างใหญ่ ไม่ล่ามโซ่ ไม่ให้ควาญใช้ตะขอฝึกควบคุมช้าง 
พอถึงเวลาวิกฤติ ปางอื่นมีควาญควบคุมช้าง ย้ายไปที่ปลอดภัยหมด แต่ปางนี้ไม่สามารถควบคุมช้างเพื่อย้ายออกได้ หรือไม่มีแผนเผชิญเหตุ จนควาญช้างปางอื่นๆ ต้องมาช่วย (ทั้งที่เคยถูกด้อยค่า) ทีมคชบาลระดมกันมาช่วย ฯลฯ (ผมก็ออกข่าวช่วย) 

2.ผู้บริหารปางนี้ ให้สัมภาษณ์สื่อ “ถ้าล่ามโซ่สิ ช้างตายแน่ๆ เพราะขาไม่อิสระ ฯลฯ” 

สะท้อนว่า ไม่ได้คิดทบทวนอะไรเลย หรือเจตนาบิดเบือนประเด็น
ประเด็น ไม่ใช่แค่ล่ามโซ่ แต่มันคือการเลี้ยงช้างที่ต้องให้ควาญฝึกช้าง ควบคุมช้าง และยามวิกฤติก็สามารถควบคุมจัดการได้ (ไปอ่านบันทึกของทีมหน้างานที่เข้าไปช่วยช้างหนีน้ำที่ปางนี้ เขียนไว้ชัดเจน) 

ช้างปางอื่น ไม่มีใครล่ามโซ่ช้างตัวเองให้จมน้ำ เขาควบคุมได้ จึงให้ควาญพาขึ้นไปล่ามบนที่สูง จนควาญมีเวลาลงมาช่วยปางคุณป้าด้วยไงครับ

คือ ต่อให้ป้าจะเลี้ยงแบบเดิมต่อไป เพราะมันเป็นจุดขาย โรแมนติก โลกสวย ฝรั่งชอบ คนสงสารช้างชอบ ฯลฯ แต่จะไปบิดประเด็นต่อทำไม ควรขอบคุณควาญช้างที่สามารถควบคุมช้าง ที่เขามาช่วย แล้วสรุปบทเรียนหาแผนเผชิญเหตุของปางช้างคุณป้า ถ้ามีแบบนี้อีกจะทำยังไง ดีกว่ามั๊ยครับ

ด้วยความปรารถนาดีครับ

‘แพทองธาร’ ไม่กล้าพูดฟื้น ‘คนละครึ่ง’ กระตุ้นเศรษฐกิจ แง้ม รออีกนิดโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจรออยู่อีกเพียบ

(7 ต.ค. 67) ที่โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสบวกสนับสนุนรัฐบาล หลังแจกเงินหมื่น และก่อนจะแจกเฟส2 เป็นไปได้หรือไม่ที่จะนำโครงการคนละครึ่งมากระตุ้นเศรษฐกิจ นายกฯ นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนยกมือป้องปากและกล่าวว่า ไม่กล้าพูดเลย แล้วหันไปหัวเราะกับนายสรวงค์ เทียนทอง รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จากนั้นจึงระบุว่า จริง ๆ แล้วเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมีในกระเป๋าเยอะมากเลย แต่ค่อยๆ ออกมา เพราะต้องดูสถานการณ์บ้านเมืองด้วย 

นายกฯ กล่าวด้วยว่า แน่นอนว่า หลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เราทำแน่นอน เพราะฉะนั้นก็ขอให้รออีกนิดนึง อย่าเพิ่งรีบ กระทรวงไหนที่เกี่ยวข้อง ตนพยายามจะให้กระทรวงด้านนั้นมาเล่าว่าผลงานที่ตัวเองทำคืออะไร 

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับโครงการคนละครึ่งเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในสมัยที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยมีการจัดรวมกันถึง 5 เฟส มีประชาชนใช้จ่ายจริงไม่น้อยกว่า 27 ล้านคน รวมถึงมีธุรกรรมที่เกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท

‘อัครเดช’ ออกลูกอ้อน ครม.-แบงก์ชาติ เร่งหารือสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หลังกระทบอุตสาหกรรมส่งออก หวั่นทำลายขีดความสามารถในการแข่งขัน

‘อัครเดช’ ในฐานะประธานกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เสนอรัฐบาล-แบงก์ชาติ เร่งออกมาตรการสางปัญหาเงินบาทแข็งค่า หวั่นหากทิ้งไว้เรื้อรังทำเศรษฐกิจชะลอตัว ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมส่งออกถดถอยส่งผลกระทบทางลบเศรษฐกิจหลายมิติ

(7 ต.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎรได้แสดงถึงความห่วงใยต่ออุตสาหกรรมส่งออกจากปัจจัยเงินบาทแข็งค่า ว่า 

จากที่ปัจจุบันอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลบาทไทยกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ อยู่ที่ 33.33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และเคยมีอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 32.15 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐเมื่อช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา จากที่เคยอ่อนค่าที่สุดในช่วงเดือนเมษายน 2567 ที่อัตราแลกเปลี่ยน 37.17 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ 

การแข็งค่าของค่าเงินบาทเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากภายในระยะเวลาประมาณ 5 เดือนเท่านั้น และจากอัตราค่าเงินบาทแข็งค่านี้ตนได้รับทราบความเดือดร้อนของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมส่งออก เนื่องจากด้วยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทำให้การแลกเงินที่ได้รับจากการส่งออกกลับเป็นเงินบาทแลกได้น้อยลง 

ยกตัวอย่าง จากแต่เดิมส่งออกปลาทูน่ากระป๋อง 1 กระป๋องราคา 100 ดอลลาร์ เมื่อค่าเงินบาทอ่อนที่สุดสามารถแลกเป็นเงินบาทได้ 3,717 บาท แต่เมื่อเงินบาทแข็งค่าที่สุดจะสามารถแลกเป็นเงินบาทได้เพียง 3,215 บาทเท่านั้น 

การที่รายได้ของผู้ประกอบการที่ลดน้อยลง ย่อมส่งผลกระทบในอุตสาหกรรมหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นศักยภาพการแข่งขันที่ลดลงส่งผลการชะลอตัวของการจ้างงานในอุตสาหกรรม, การลดการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ และการตัดลดงบพัฒนาและวิจัย(R&D)ในอุตสาหกรรมลง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในอนาคตลดลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

และจากการที่การส่งออกเป็นหนึ่งใน 4 เครื่องยนต์ของเศรษฐกิจไทย การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าเช่นนี้ย่อมทำให้เครื่องยนต์ส่งออกอ่อนกำลังลงอย่างชัดเจนส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงโดยเฉพาะการจ้างงานที่ลดลงจะส่งผลกระทบเศรษฐกิจในประเทศทำให้ประชาชนขาดกำลังซื้อนอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่อเนื่องจากอุตสาหกรรมส่งออกอีกด้วย

ตนในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมจึงขอส่งเสียงไปยังธนาคารแห่งประเทศไทยผู้กำหนดนโยบายทางการเงิน ให้พิจารณาทบทวนอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่เหมาะสมทั้งต่อเสถียรภาพทางเงินของประเทศ และลดผลเสียที่จะเกิดต่อระบบเศรษฐกิจไทย 

รวมถึงรัฐบาลในฐานะผู้กำหนดนโยบายทางการคลังของประเทศต้องมีมาตรการที่เหมาะสมเพื่อประคับประคองอุตสาหกรรมส่งออก ให้สามารถรักษาความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลได้ต่อไป และที่ดีที่สุดทั้งรัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทยจะต้องเร่งหารือเพื่อหาทางออกของปัญหาค่าเงินแข็งตัวโดยเร็ว

นายกฯอิ๊ง จรดปากกาเซ็นตั้ง 2 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพิ่ม เซอร์ไพรส์ ชื่อ ‘ณัฐวุฒิ’ โผล่นั่งตำแหน่ง หลังเคยประกาศวางมือ

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 348/2567 ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม โดยมีเนื้อหาระบุว่า

ตามที่ได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 319/2567 เรื่อง แต่งตั้งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 16 กันยายน 2567 นั้น เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 จึงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติม เพื่อทำหน้าที่ในการให้คำปรึกษาและพิจารณาเสนอความเห็นหรือข้อเสนอแนะต่างๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย ดังนี้

1. นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส
2. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2566 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เคยประกาศยุติบทบาททางการเมือง โดยขอลาออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย หลังเชิญพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาล 

‘เจือ ราชสีห์’ ชี้!! ป่าไม้ถูกทำลาย สาเหตุหลักน้ำท่วมภาคเหนือ ฝาก ‘รัฐบาล‘ เร่งปลูกป่าอย่างจริงจัง ป้องกันน้ำท่วมซ้ำซาก

(7 ต.ค. 67) นายเจือ ราชสีห์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้เปิดเผยกรณีอุทกภัยที่เกิดขึ้นในพื้นที่ภาคเหนือ ว่า

มหันตภัย น้ำท่วมใหญ่ภาคเหนือ ภาพสะท้อนความไม่สมบูรณ์ของผืนป่า ผมขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล “อย่ามัวแต่แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” จนหลงลืมว่าปัจจัยสำคัญของมหันตภัยน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ คือ ป่าไม้ถูกทำลาย หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งแก้ปัญหา 

ถึงเวลาที่ “นายกรัฐมนตรี” ต้องขับเคลื่อนการเพิ่มพื้นที่ป่า ปลูกต้นไม้เพิ่มอย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้

“ผมอยากให้รัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายกรัฐมนตรี “ต้องแก้ปัญหาที่ต้นเหตุตั้งแต่วันนี้ ต้องช่วยกันปลูกต้นไม้เพิ่ม” ซึ่งก็ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมาย ในทางกลับกันถ้าไม่ทำ ปีหน้าหรือปีต่อๆไปน้ำก็ท่วมในลักษณะนี้อีก ต้องสูญเสียชีวิตพี่น้องประชาชน บ้านเรือน ถนนหนทางเสียหาย ต้องใช้งบประมาณมหาศาลในการฟื้นฟูและช่วยเหลือ“

‘BIG CAMERA’ เปิดตัว ‘LEICA Q3 43’ กล้องหน้าชัดหลังละลาย ภาพสวยไร้การปรุงแต่งด้วยเลนส์ใหม่ใกล้เคียงสายตามนุษย์

(7 ต.ค. 67) "BIG CAMERA Leica Authorized Dealer" ร่วมกับ "Leica Camera Asia Pacific" จัดงานเปิดตัวกล้องคอมแพคฟูลเฟรมระดับไฮเอนด์ “LEICA Q3 43” ที่เกิดมาเพื่อมอบแก่นแท้ของการถ่ายภาพที่ไร้ซึ่งการปรุงแต่ง ด้วยเลนส์ตัวใหม่ใกล้เคียงสายตามนุษย์มากที่สุด สอดผสานเข้ากับเทคโนโลยีของกล้องแห่งศตวรรษที่ 21 มาพร้อมงานดีไซน์ตัวบอร์ดี้ที่คงอัตลักษณ์แห่งไลก้า โดดเด่นอยู่เหนือกาลเวลา สง่างาม เรียบหรู พร้อมเปิดให้เหล่าไลก้าเลิฟเวอร์ได้เก็บเข้าคอลเลกชันแล้วตั้งแต่วันนี้เฉพาะที่ บิ๊ก คาเมร่า เท่านั้น ราคาเริ่มต้น 264,000 บาท

กิจกรรมครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก มร. ไบรอัน โก๊ะ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาค บริษัท ไลก้า คาเมร่า เอเชียแปซิฟิก และ มร. เคซี อิง แบร์นแอมบาสเดอร์ และ ไลก้า อคาเดมี่ ประเทศสิงคโปร์มาร่วมแนะนำ “LEICA Q3 43” โดยมี นายธนสิทธิ์ เธียรกาญจนวงศ์ กรรมการผู้จัดการ,นายชิตชัย เธียรกาญจนวงศ์ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพาณิชย์ บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยช่างภาพท็อปคลาสของเมืองไทย จอร์จ-ธาดา วารีช, โอ๊ต-ชัยสิทธิ์ จุนเจือดี และนักแสดงชื่อดัง สเตฟาน-ฐสิษฐ์ สินคณาวิวัฒน์, ฌอห์ณ จินดาโชติ รวมทั้งช่างภาพอินฟูเอ็นเซอร์จากเพจดัง อาทิ Seventeenfiftyseven, Rockhhound, Pakornograpx และ Bzsranuwat เข้าร่วมงานและร่วมเวิร์คชอปถ่ายภาพครั้งแรกกับกล้อง LEICA Q3 43 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ณ เดอะเฮาส์ ออน สาทร

กล้อง LEICA Q3 43 คอมแพคฟูลเฟรมระดับไฮเอนด์ มาพร้อมคอนเซ็ปต์ Moment, Just as Your Eye Sees ด้วยการแลกเปลี่ยนแนวคิดกับช่างภาพทั่วโลก พร้อมการพัฒนากลายเป็นกล้องที่เกิดมาเพื่อมอบความลึกซึ้งถึงแก่นแท้ของการถ่ายภาพที่ไร้ซึ่งสิ่งปรุงแต่ง ตัวบอร์ดี้เน้นงานดีไซน์ที่คงอัตลักษณ์ Leica DNA มาอย่างหมดจด โดดเด่นอยู่เหนือกาลเวลา สง่างาม เรียบหรู สะท้อนความเป็น Iconic แห่งรสนิยม ที่สอดผสานเทคโนโลยีของกล้องแห่งศตวรรษที่ 21 มาพร้อมเลนส์ APO-Summicron 43 f2 ASPH เลนส์ Leica APO ในระยะใช้งานที่ไม่เคยมีมาก่อน ให้มุมมองใกล้เคียงสายตามนุษย์มากยิ่งขึ้น ผสานคุณสมบัติของเลนส์ไวแสง ให้ความคมชัดและความละเอียด 60 ล้านพิกเซล พร้อมไฟล์ภาพแบบ 3D Pop พื้นหลังละลายและเอกลักษณ์ Bokeh ที่สวยงาม

สำหรับผู้ที่สนใจ LEICA Q3 43 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ BIG Camera Leica Authorized Dealer ร้าน Exclusif by BIG Camera ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์, สยามพารากอน, ดิ เอ็มควอเทียร์, เซ็นทรัลลาดพร้าว, ไอคอนสยาม, แฟชั่น ไอซ์แลนด์ และ เซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ หรือติดตามความเคลื่อนไหวอื่นๆ ได้ที่ https://www.bigcamera.co.th

‘ธนกร’ อัดเต็มแรงใส่ ‘ธนาธร’ ละเมิดกฎหมายไม่ใช่ความเสมอภาค ย้ำชัด ๆ สถาบันฯ อยู่เหนือการเมือง หยุดหนุนหลังคนออกมาก้าวล่วง

(7 ต.ค. 67) นายธนกร วังบุญคงชนะ  อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ สส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า พูดบนเวทีงานรำลึกครบรอบ 48 ปี 6 ตุลาฯ 2519 ที่พูดถึงความเสมอภาคในสังคมไทย ว่า 

การพูดถึงเรื่องคดีความต่าง ๆ ที่บุคคลกระทำความผิด ก็สมควรที่จะเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่คดีที่พรรคการเมืองถูกตัดสินยุบพรรคและบุคคลที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น 

ตนมองว่าไม่ใช่เรื่องการสร้างประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยให้มีสิทธิ เสรีภาพ มีความเจริญก้าวหน้ามีความเสมอภาคเท่าเทียม อย่างที่นายธนาธรกล่าวอ้าง  แต่เป็นการทำผิดละเมิดกฎหมายหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรง เพราะไม่ใช่กับบุคคลธรรมดาแต่เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ องค์ประมุขของรัฐ ถือเป็นความมั่นคงของประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์รวมใจคนไทยทั้งชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง 

เมื่อถามว่าเหตุใดนายธนาธรถึงกล้าพูดชัดว่า ปี 2563-2564 รวมถึงการหาเสียงเรื่องการแก้ ม.112 ในปี 2566 มีการพูดเรื่องนี้อย่างกว้างขวางในสังคม ถือเป็นความก้าวหน้าของประเทศไทย และรู้สึกตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น 

นายธนกร กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าการพูดของนายธนาธรครั้งนี้ เป็นการเปิดเผยเจตนาเบื้องลึกเบื้องหลัง หรือ ธาตุแท้อย่างชัดเจน เพราะพูดด้วยความภาคภูมิใจ เสมือนหนึ่งว่าได้ร่วมสร้าง ประวัติศาสตร์นี้ขึ้นมา เพื่อให้สังคม กล้าพูด กล้าวิพากษ์วิจารณ์เบื้องสูงได้อย่างหน้าตาเฉย ซึ่งตน ก็สงสัยและตั้งคำถามเหมือนกันว่าเป็นความก้าวหน้าของประเทศตรงไหน 

พร้อมขอตั้งข้อสังเกตและวิเคราะห์จากคำพูดนายธนาธร มองว่าความคิดในลักษณะนี้เป็นความไม่ปลอดภัยของชาติบ้านเมือง เพราะไม่มีคนไทยที่รักประเทศชาติ รักสถาบันฯ คนไหนเขาคิดกันแบบนี้  และตนไม่เห็นผู้นำพรรคการเมือง หรือองค์กร หน่วยงานใด สนับสนุนให้คนจาบจ้วงก้าวล่วงสถาบัน ซึ่งเป็นการทำลายชาติแบบนี้

“ขอย้ำว่าสถาบันฯอยู่เหนือการเมือง และอย่านำเรื่องนี้ มาเกี่ยวโยงอ้างประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพของประชาชน เพราะเป็นคนละเรื่องกัน พี่น้องประชาชนชาวไทย ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้ เพราะทุกวิกฤตตั้งแต่ ภัยธรรมชาติ ภัยโรคระบาด ไปจนถึงวิกฤตเศรษฐกิจ สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงไม่เคยทิ้งคนไทยเลย  จึงขอให้นายธนาธรและพวกทบทวนแนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองเสียใหม่ อย่าเป็นพวกจาบจ้วง เซาะกร่อนบ่อนทำลายชาติ เห็นผิดเป็นชอบ หยุดพยายามโน้มน้าวให้คนไทยเห็นดำเป็นขาวแบบนี้เลย ถ้านายธนาธรบอกว่า อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยไปในทางที่ดีจริงๆ หยุดเถอะครับ หันไปทุ่มสรรพกำลัง นำกำลังคน สิ่งของไปช่วยพี่น้องที่ประสบอุทกภัยน้ำท่วมในภาคเหนือจะดีกว่า“ นายธนกร ระบุ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top