Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

‘สมศักดิ์’ สั่งการ ‘ผู้ตรวจ-สสจ.’ เขต1 ปูพรมทุกด้านเร่งช่วยเหลือประชาชนชาวเชียงใหม่เต็มที่บรรเทาวิดกฤตน้ำท่วม เผยคุณยายวัย 85 ป่วยโรคหัวใจรอดชีวิตได้รับการส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลได้ทัน

เมื่อวันที่ (6 ต.ค. 67) นางสาวตรีชฎา ศรีธาดา โฆษกกกระทรวงสาธารณสุข ฝ่ายการเมือง กล่าวว่าหลังจากนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้รับทราบการสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมเชียงใหม่ ช่วยเหลือประชาชนและสัตว์เลี้ยงให้บรรเทาความเดือดร้อนนั้น นายสมศักดิ์ ได้สั่งการให้นพ. สราวุฒิ บุญสุข ผู้ตรวจราชการ กระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 รับนโยบายไปดำเนินการในทันที

นางสาวตรีชฎากล่าวว่า ขณะนี้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ผ่อนคลายลงบ้างแล้ว อันเนื่องมาจากผู้ตรวจรชการเขตสุขภาพที่ 1 ได้สั่งการและติดตามงานอย่างใกล้ชิดในทุกด้าน ได้แก่ 1.ทำ area mapping 7 โซน ใน เชียงใหม่ อิงของ ปภ เป็นหลัก ตั้งหน่วยแพทย์ให้บริการในทุกพื้นที่ ให้เป็น 1 stop service 2.จัดหน่วยบริการฉุกเฉินเคลื่อนที่ ของเขตสุขภาพ (จากทุกจังหวัดในเขต) พร้อมสำรองลงปฏิบัติการในพื้นที่  3.ทบทวนวางแผน และกำหนดจุดลงปฏิบัติ ของหน่วยปฏิบัติการการแพทย์ ลงพื้นที่เสี่ยงแบบเชิงรุก และที่ศูนย์พักพิงในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ 4. ประชาสัมพันธ์ แจ้งเตือนระวังภัยจากไฟดูด วิธีปฏิบัติและป้องกันตัว ในพื้นที่เสี่ยงทุกแห่ง  5. เฝ้าระวังโรคที่มากับน้ำ เช่น อาหารเป็นพิษ โรคฉี่หนู ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ ในกลุ่มเสีย่ง และ อาสาสมัคร
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเสียชีวิตเพิ่ม 1 ราย ที่ อ. สันป่าตอง จากการจมน้ำ รวมเป็น 3 ราย สูญหาย 1 ราย บาดเจ็บเพิ่ม 10 ราย แบ่งเป็นเชียงใหม่ 1 ราย ลพบุรี 9 ราย รวมบาดเจ็บทั้งหมด 14 ราย เป็นบาดเจ็บเล็กน้อย สถานบริการ ที่ได้รับผลกระทบ 7 แห่ง2 สสอ.(ปิดบริการ) 8 ร.พ. สต.( ปิดบริการ6) ร.พ.4 แห่ง (ปิดบริการ3)ศูนย์พักพิง 42 แห่ง ที่ อ. เมือง และ แม่ริม หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ 16 ทีมปฏิบัติงานในพื้นที่ ที่จังหวัดเชียงใหม่

นางสาวตรีชฎากล่าวว่า จากรายงานพบว่า ปริมาณน้ำยังคงสูงอยู่ พื้นที่ได้รับผลกระทบมากที่ อ. เมือง สันป่าตอง หางดง สารภี มีการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยจาก ร.พ. เอกชน 7 ราย ย้ายกลุ่มเปราะบางออกพื้นที่ รวม 41 ราย  ล่าสุด ทีมปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉิน ร.พ.นครพิงค์ ร่วมกับ กู้ภัยรวมใจ และ กองทัพบก ได้นำเรือท้องแบนและรถยกสูง ออกรับตัวคุณยายวัย 85ผู้ป่วยโรคหัวใจ มีอาการหายใจเหนื่อย ติดอยู่ในบ้านย่านสวนสุขภาพบ้านเด่น ต.วัดเกตุ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ อาการป่วย ไม่ติดเตียง พอเดินได้ แต่ร่าง กายอ่อนแอ พักอาศัยอยู่ภายในบ้านคนเดียว น้ำท่วมสูง ญาติไม่สามารถเข้าไปรับตัวได้  นำคุณยายไปรักษาตัวที่ร.พ. ผู้ป่วย case evacuated จากโรงพยาบาลราชเวช drowning post arrest และ ผู้ป่วย Stroke fast track เคหะหนองหอยนำส่ง รักษาต่อที่ รพ.นครพิงค์

‘อนุทิน’ เปิดมหกรรมการประกวดอนุรักษ์พระบูชา-พระเครื่อง สถาบันพระปกเกล้า ชื่นชมกิจกรรมช่วยส่งเสริมภาคพลเมืองร่วมอนุรักษ์พุทธศิลป์ไทย

เมื่อวันที่ (6 ต.ค. 67) ที่อาคารรัฐประศาสนภักดี (อาคาร B) ถนนแจ้งวัฒนะ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา ถนนแจ้งวัฒนะ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิด “มหกรรมการประกวดการอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง และเหรียญพระคณาจารย์ทั่วประเทศ” จัดโดยสถาบันพระปกเกล้า 

โดยมี นายวิทวัส ชัยภาคภูมิ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า ดร.ถวิลวดี บุรีกุล รองเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า นายณัฐพงศ์ รอดมี ผู้ช่วยเลขาธิการ สถาบันพระปกเกล้า นายศุภณัฐ เพิ่มพูนวิวัฒน์ ผอ.สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า พลเอก นักรบ บุญบัวทอง ประธานดำเนินงาน นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน พระปลัดสุรเชษฐ์ สุรเชฏฺโฐ เจ้าอาวาสวัดโตนด นายพิศาล เตชะวิภาค (ต้อย เมืองนนท์)อุปนายกสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารสมาคมพระเครื่อง พระบูชาไทย คณะนักศึกษา หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข (สสสส.) รุ่น 1-14 สถาบันพระปกเกล้า ตลอดจน แขกผู้มีเกียรติร่วมในงานอย่างคับคั่ง

นายอนุทิน กล่าวว่า สถาบันพระปกเกล้า ถือเป็นเสาหลักของภูมิปัญญาทางการเมืองของประเทศไทย เป็นเรื่องน่าชื่นชม ที่ทางสถาบันฯ ได้จัดกิจกรรม "มหกรรมการประกวดการอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่อง" ขึ้น เพื่อหารายได้สนับสนุนโครงการส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง ในฐานะที่ตนเป็นนักการเมือง ทำงานการเมืองมาเกินครึ่งของชีวิตการทำงานแล้ว ก็ดีใจที่การเมืองภาคพลเมืองจะได้รับการสนับสนุน เพราะนั่นหมายถึง การมีส่วนร่วมที่มีคุณภาพของประชาชนต่อไป อันจะนำมาซึ่งการพัฒนาทางการเมืองและการบริหารประเทศอย่างยั่งยืน

"การที่ทุกท่านมาร่วมงานมหกรรมประกวดพระเครื่องฯครั้งนี้ ขอยืนยันว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เพราะไม่มีพระเครื่ององค์ใดที่เป็นแชมป์ตลอดไป แต่อยู่ที่ใจของเรา หากเราคิดว่าพระองค์ใด ถูกใจ หรือถูกโฉลกกับเรา พระองค์นั้นคือองค์ที่สวยที่สุด มีมูลค่ามากที่สุด หรืออาจจะประเมินค่าไม่ได้" รมว.มหาดไทย กล่าว

นายอนุทิน กล่าวเพิ่มว่า ขอให้ทุกคนใช้โอกาสนี้ในการชื่นชมพุทธศิลป์ ศิลปะของไทย ที่ล้วนแล้วแต่มีคุณค่า มีความเป็นสิริมงคล และได้ร่วมกันถ่ายทอดมรดกวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา อันเป็นที่พึ่งทางใจ 
การมีพระเครื่องอยู่ที่คอ อย่างน้อยจะทำให้เรายับยั้ง และมีจิตสำนึกที่ดี ในการจะทำสิ่งที่สุ่มเสี่ยง หรือปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดี 

ด้าน พลเอกนักรบ บุญบัวทอง ประธานคณะกรรมการจัดงาน กล่าวว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งนี้ เพื่อนำรายได้สนับสนุน โครงการส่งเสริมการเมืองภาคพลเมือง ของสถาบันพระปกเกล้า เพื่อเป็นการสนับสนุนการอบรมให้ความรู้ประชาธิปไตย แก่ภาคพลเมืองเยาวชนทั่วประเทศ

สำหรับกิจกรรมประกวดอนุรักษ์พระบูชา พระเครื่องฯ ดำเนินการขึ้นระหว่าง วันที่ 5-6 ตุลาคม โดยมีรางวัลประเภทโต๊ะต่างๆ 78 รางวัล และมี รางวัลชนะเลิศ 3 รางวัล ได้แก่รางวัลชนะเลิศคะแนนรวมสูงสุด รางวัลชนะเลิศคะแนนรวมพระยอดนิยม และรางวัลชนะเลิศคะแนนรวมพระทั่วไป

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากพิธีเปิดงาน รมว.มหาดไทย นำคณะผู้จัดงาน เดินเยี่ยมชมบูธการจัดแสดงพระเครื่องพระบูชาที่มาจากทั่วประเทศ พร้อมเดินทักทายพ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดพระอีกด้วย

‘อลงกรณ์’ - เอฟเคไอไอ “ผนึก3ภาคีเอ็มโอยู.ส่งเสริมเศรษฐกิจไทยจับคู่ธุรกิจระลอกแรก28บริษัทจีนฉลองสัมพันธ์50ปีไทย-จีน

(7 ต.ค. 67) นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ (FKII Thailand)  รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ปชป.และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานเปิดงานสัมมนา”บริบทใหม่หุ้นส่วน ไทย-จีน: โอกาสใหม่ของธุรกิจและการลงทุน”(FKII Global Business Forum “New Paradigm of Thailand - China Partnership: Next Business & Investment Opportunity”)ณ สวนเสียงไผ่ สถาบันทิวา ทาวน์อินทาวน์ กรุงเทพมหานคร

นายอลงกรณ์กล่าวว่าเนื่องในโอกาสที่ไทยและจีนจะครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ในปี พ.ศ.2568 จึงเป็นโอกาสอันดีในการขยายธุรกิจการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศมากยิ่งขึ้น วันนี้มีบริษัทชั้นนำของจีนชุดแรกจากเซิ่นเจิ้น กว่างโจวและจูไห่28 บริษัทในสาขาต่างๆเช่น กลุ่มพัฒน อสังหาริมทรัพย์ กลุ่มผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอัจฉริยะและนวัตกรรมไฮเทค กลุ่มอุตสาหกรรมแอลอีดี. กลุ่มบ้าน-อาคาร-เมืองอัจฉริยะกลุ่มอุตสาหกรรมหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเกษตรอะกรีเทค กลุ่มธุรกิจแพลตฟอร์มการเงินและพลังงาน กลุ่มไซเบอร์ซีเคียวริตี้และอื่นๆที่สนใจมาร่วมค้าร่วมธุรกิจร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยซึ่งเป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจในวิกฤตต่างๆที่ประเทศไทยเผชิญ จีนเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของไทยและมีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องจึงเป็นฐานความมั่นคงหนึ่งที่สำคัญของไทยในการก้าวเดินไปข้างหน้าฝ่าปัญหาและอุปสรรคทั้งปัจจุบันและอนาคตไปด้วยกัน ทั้งนี้จะมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์ สถาบันทิวาและบริษัทไวส์ยูของจีนเพื่อสร้างสะพานเชื่อมโยงโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีนอย่างต่อเนื่องต่อไป โดยในช่วงสัมมนา ได้รับเกียรติจากนายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวา ในการกล่าวต้อนรับและบรรยายพิเศษหัวข้อ “บริบทใหม่ธุรกิจและการลงทุนของไทยกับบทบาทของ FKII Thailand และสถาบันทิวา” การบรรยายหัวข้อ “หุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-จีน: ปัจจุบันและอนาคต (Thailand - China Economic Partnership: Present and Future) โดย ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน และการบรรยายหัวข้อ “โอกาสและศักยภาพการลงทุนในประเทศไทย” (Opportunities and Potential of Investment in Thailand) โดย นางสาวธนิตา ศิริทรัพย์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ทั้งนี้ได้มีการแนะนำคณะผู้ประกอบการจีนจำนวน 28 ราย ที่มาร่วมกิจกรรมครั้งนี้ โดย Mr. Phillip Lin CEO of WISEYOU จากนั้นมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างเอฟเคไอไอ. ไทยแลนด์( FKII Thailand )โดย นายอลงกรณ์ พลบุตรกับสถาบันทิวา (TVA) โดย คุณชยดิฐ หุตานุวัชร์ ประธานสถาบันทิวาและ WISE YOU CULTURAL MEDIA, Co., Ltd.จากประเทศจีน โดย Mr. Phillip Lin CEO of WISEYOU) และกล่าวปิดงาน” โดย ศาสตราจารย์ ดร.ฐาปนา บุญหล้า ที่ปรึกษา FKII Thailand จากนั้นมีกิจกรรมเชื่อมโยงธุรกิจ(Namecard Exchange)ตามความสนใจของผู้เข้าร่วมงาน ที่สนใจเชื่อมโยงธุรกิจกับผู้ประกอบการจีนชั้นแนวหน้าของจีนในกลุ่ม อุตสาหกรรมซอฟแวร์และแฟลตฟอร์ม อุตสาหกรรมไฟส่องสว่าง  การทดสอบและรับรอง เทคโนโลยี่สมาร์ทซิตี้ ระบบอีคอมเมิร์ซอัจฉริยะ  ตลอดจนสินค้านวัตกรรมต่างๆ ติดตาม FKII Thailand https://shorturl.at/zZPtt https://lin.ee/BgPCPvd

#FKIIThailand #FKII #FKIIGlobalBusinessForum #China #Thailand #MOU #TVA #WISEYOU #สวนเสียงไผ่

‘พิชัย’ ต่อยอดการลงทุน Google เร่งเจรจาดันไทยเป็นศูนย์กลาง Data Center ของภูมิภาคอาเซียน

(7 ต.ค. 67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมงาน Business Forum ของการประชุม ACD Summit ครั้งที่ 3 (3rd Asia Cooperation Dialogue Summit) ณ กรุงโดฮา รัฐกาตาร์ ระหว่างวันที่ 1-3 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ว่า ตามที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปดำเนินการเรื่องความมั่นคงทางอาหารให้กับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางแล้ว นายกฯ ยังได้มอบหมายให้ตนดำเนินการเรื่องความปลอดภัยในข้อมูลด้วย โดยจะเสนอให้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งของ Data Center ให้กับประเทศต่างๆ โดยใช้จุดเด่นที่ประเทศไทยเป็นมิตรกับทุกประเทศ ทำให้ข้อมูลที่จัดเก็บใน Data Center ในประเทศไทยจึงจะมีความปลอดภัย และยังสามารถพัฒนาเรื่อง AI ต่อเนื่องได้ด้วย ดังนี้ตนจึงได้ใช้โอกาสดังกล่าวพูดคุยหารือกับรัฐมนตรีและผู้แทนของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ทราบถึงศักยภาพด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและเทคโนโลยี AI ของไทย ที่บริษัทชั้นนำจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อาทิ Amazon, Microsoft และล่าสุด Google ได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนสร้างที่เก็บข้อมูลในไทย เนื่องจากจุดแข็งของไทย อาทิ ที่ตั้งยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค มีความมั่นคงปลอดภัย ความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติต่ำ โครงสร้างพื้นฐานมีคุณภาพสูง ประชาชนจำนวนมากเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและมีความเข้าใจในเทคโนโลยี และกฎระเบียบที่รองรับเศรษฐกิจดิจิทัล จึงเป็นโอกาสดีในการพัฒนาศักยภาพและขยายการเจริญเติบโตของ ธุรกิจดิจิทัลและ AI ของไทย

นอกจากนี้ ตนได้ใช้โอกาสดังกล่าวเชิญชวนประเทศที่ตนได้ไปพบ เช่น โอมาน และ UAE เข้ามาสร้างที่เก็บข้อมูลกับ Data Center ในไทย โดยไทยมีข้อได้เปรียบด้านความมั่นคงปลอดภัย และกฎระเบียบที่นำหน้าในมาตรฐานสากล ตามรายงานล่าสุดของ สมาคมจีเอสเอ็ม (GSMA) อีกทั้งประเทศไทยยังมีจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งในด้านความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อน Data Center และด้านโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่ไทยมีกฎหมายมาตรฐานสูงอย่างกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) และกฎหมายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Act) 

โดยตนสังเกตเห็นว่า ประเทศสมาชิก ACD ที่ตนได้หารือก็แสดงท่าทีในเชิงบวก พร้อมทั้งชื่นชมไทยที่มีพัฒนาการด้านเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ตนจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์ข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน และจะผลักดันประเด็นดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในการประชุม ASEAN Summit ซึ่งจะจัดขึ้นที่กรุงเวียงจันทน์ในสัปดาห์หน้า

ข้อมูลจาก บีโอไอ (BOI) ระบุว่า ปัจจุบันมีโครงการ Data Center และ Cloud Service ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอในไทย รวมกว่า 46 โครงการ มีมูลค่าเงินลงทุนสูงถึง 167,989 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี และระยอง จะเป็นการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศต่อไป

สทนช. ออกประกาศเตือนคน 3 ลุ่มน้ำ เจ้าพระยา-ท่าจีน-แม่กลอง เฝ้าระวังน้ำท่วมจากน้ำทะเลหนุน-น้ำเหนือไหลบ่า พื้นที่เสี่ยง 7 จังหวัด

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้ประกาศให้เฝ้าระวังน้ำทะเลหนุนสูง ช่วงวันที่ 13 – 24 ตุลาคม 2567

เนื่องจากอิทธิพลของน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับมวลน้ำหลากจากตอนบนของลุ่มน้ำไหลลงมาสมทบส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้น 

มีความเสี่ยงที่จะเกิดน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน และแม่น้ำแม่กลอง ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำและแนวเขื่อนชั่วคราวบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) 

จึงขอให้เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงจังหวัดสมุทรปราการ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร นครปฐม และสมุทรสงคราม

‘รัฐมนตรี’ เฉลิมชัยลุยแก้โลกเดือด ชูแนวทาง “เร่งเปลี่ยนผ่าน สานพลังภาคี สู่สังคมที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ” ยืนยันไทยพร้อมรายงานไทยแลนด์ไครเมท

(7 ต.ค. 67) ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกล่าววันนี้ ว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แสดงความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี ค.ศ. 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี ค.ศ. 2065 พร้อมการบรรลุเป้าหมายถึงการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด ให้ได้ร้อยละ 40 จากกรณีปกติ ภายในปี ค.ศ. 2030 จึงต้องอาศัยทั้งกลไกการดำเนินงานภายในประเทศ เทคโนโลยี การเงิน ตลอดจนกลไกสนับสนุนการดำเนินงานอย่างเป็นระบบและบูรณาการ โดยเฉพาะความร่วมมือระหว่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้วางแนวทางการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ และบูรณาการแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติเข้าสู่ระดับพื้นที่ อีกทั้งได้ริเริ่มให้จังหวัดจัดทำบัญชีการปล่อยและการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกของจังหวัด ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่ และจัดตั้งศูนย์ประสานงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพระดับจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อเป็นแกนกลางในการสื่อสาร สร้างความเข้าใจและความตระหนักให้กับทุกภาคส่วน

ดร.เฉลิมชัยกล่าวต่อไปว่า “ในการประชุม TCAC 2024 ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงทิศทางและเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกที่มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการเตรียมการตั้งรับ ปรับตัว การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตั้งแต่ระดับนโยบาย สู่การปฏิบัติในระดับพื้นที่ การยกระดับการเตือนภัยพิบัติในพื้นที่เสี่ยง รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ อีกทั้งยังเป็นเวทีสะท้อนให้กับเครือข่ายประชาสังคม และเยาวชน รวมถึงมีการแสดงนิทรรศการให้ความรู้ ทั้งการดำเนินนโยบายของรัฐ เทคโนโลยี และงานวิจัย เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกการเงิน โครงการความร่วมมือทวิภาคีและพหุภาคี และที่สำคัญนิทรรศการโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา

ซึ่งหลังจากการประชุม ประเทศไทยจะนำผลลัพธ์ของการประชุม TCAC 2024 ไปประกาศในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 หรือ COP 29 ในเดือนพฤศจิกายนนี้ “เรามุ่งมั่นที่จะรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส หากสถานการณ์ที่อุณหภูมิโลกยังสูงขึ้นต่อเนื่อง จะก่อให้เกิดภัยธรรมชาติที่รุนแรงและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมโลก รวมถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำ ซึ่งการเปลี่ยนผ่าน หรือ Transition จำเป็นต้องคำนึงถึงบริบทที่แตกต่างกันออกไป และมีการบูรณาการดำเนินงานในหลากหลายมิติ เช่น การศึกษาพัฒนาเทคโนโลยี การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน การเสริมสร้างองค์ความรู้และศักยภาพของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้มีความพร้อม รวมไปถึงภาคการเงิน การลงทุนที่นำไปสู่กิจกรรมเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่มีความยั่งยืน การประชุม TCAC 2024 นี้ จะเป็นการจุดประกาย และส่งต่อเจตนารมณ์ให้กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ให้ตระหนักถึงความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน ล้วนเป็นกุญแจสำคัญที่จะผลักดันประเทศไทยไปสู่เป้าหมาย และรักษาโลกใบนี้ไว้ให้กับอนุชนรุ่นต่อไป“

ทั้งนี้ดร.เฉลิมชัยกล่าวถ้อยแถลงข้างต้นในระหว่างเป็นประธานเปิดการประชุมภาคีการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของไทย ครั้งที่ 3 หรือ Thailand Climate Action Conference : TCAC 2024 ภายใต้แนวคิด “เร่งเปลี่ยนผ่าน สานพลังภาคี สู่สังคมที่เป็นมิตรต่อภูมิอากาศ Accelerating the Climate Transition” โดยมีคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เอกอัครราชทูต องค์กรระหว่างประเทศ ผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมการประชุม ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ภายในงาน Sustainability Expo (SX)

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ แนะ ผู้ขับขี่รถใช้ก๊าซ ต้องเช็กสถาพถังและระบบก๊าซอยู่เสมอ เพื่อความปลอดภัย

(7 ต.ค. 67) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากกรณีเกิดอุบัติเหตุอันเนื่องมาจากรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง เกิดอุบัติเหตุก๊าซรั่ว นำมาซึ่งความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการติดตั้งถังก๊าซไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และการไม่ดูแลบำรุงรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนกรณีดังกล่าว จึงได้มีการบูรณาการระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ป้องกันแก้ไขปัญหาในทุกมิติ 

ในส่วนของผู้ใช้รถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแนะนำให้ตรวจสอบสภาพถังและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตามวงรอบอยู่เสมอ ได้แก่

1. ตรวจสอบสภาพถังก๊าซ - โดยจะต้องไม่มีรอยขีดข่วนลึก หรือเป็นสนิม, ถังก๊าซต้องติดแน่นกับตัวรถขยับไม่ได้ และยางรองต่าง ๆ ต้องไม่เสื่อมสภาพ เพราะอาจทำให้เกิดการฉีกขาดของท่อก๊าซได้
2. ตรวจสอบอุปกรณ์ระบบก๊าซ - ได้แก่ หม้อต้มก๊าซ หัวฉีด จะต้องไม่รั่ว หรือชำรุด โดยตรวจสอบด้วยสายตา ไล่ไปตามท่อก๊าซ เริ่มจากถังก๊าซไปหม้อลดแรงดันก๊าซ ต่อไปยังกรองแห้งก๊าซ หัวฉีดก๊าซ ท่อยางหัวฉีดก๊าซ จนไปถึงท่อไอดี 
3. ตรวจสอบท่อก๊าซ - หากเป็นท่อยางต้องไม่มีรอยแตก ร้าว แข็ง กรอบ โดยท่อยางปกติจะนิ่ม สามารถจับกดบีบได้ หากท่อยางแข็งตัวแสดงว่าท่อยางดังกล่าวหมดสภาพ หากเป็นท่อโลหะ จะต้องไม่มีรอยแตกร้าว หรือเป็นสนิม, ไม่มีรอยบุบหรือบิดเบี้ยว

ทั้งนี้ การตรวจสอบก๊าซรั่วสามารถใช้น้ำสบู่หยอดตามจุดเชื่อมต่อท่อในแต่ละอุปกรณ์เพื่อดูการรั่วซึมของก๊าซได้ ถ้าก๊าซรั่วซึมจะมีฟองออกมาให้เห็น ถึงแม้รั่วเพียงเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นได้ และถ้าไม่มั่นใจเกี่ยวกับการรั่วของก๊าซ ผู้ขับขี่ควรนำรถไปให้ช่างผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบโดยเร็วเพื่อความปลอดภัย และผู้ขับขี่ควรดูแลบำรุงรักษาตามระยะสม่ำเสมอ

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการแจ้งเบาะแส หรือความช่วยเหลือ สามารถโทรศัพท์ไปได้ที่ สายด่วน 191, สายด่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 1559 , สายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 และสายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

เจ้าของเพจ SME ชื่อดัง ยกรถนักเรียนไทยของ ‘บัณฑูร ล่ำซำ’ เป็นโมเดล ชี้การรับส่งนักเรียนมีต้นทุนแฝงในวิถีชีวิตคนไทยสูง

(7 ต.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวีระ เจียรนัยพานิชย์ เจ้าของเพจ SME Networking Thailand ได้โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัว ว่า

เวลาได้ยินข่าวเกี่ยวกับรถนักเรียนผมนึกถึง #โครงการรถนักเรียนไทย ของ คุณปั้น-บัณฑูร ล่ำซำ เสมอ

เมื่อก่อนทำงานที่ราษฎบูรณะ จะเห็นรถรับส่งนักเรียนสีเหลือง รูปทรงเท่ห์มากคล้ายกันกับรถนักเรียนในสหรัฐอเมริกา เวลาผมนั่งรถเมล์ไปทำงาน หรือวันไหนที่ไปใส่บาตร จะเห็นรถคันนี้ประจำ วิ่งรับส่งนักเรียนแถววัดสน กับ เส้นราษฎบูรณะ ส่งเสร็จแล้วก็จะมาจอดที่ ธนาคารกสิกรไทยสำนักงานใหญ่ จอดหลังตึก 

เคยแอบไปมองดูข้างในรถ มีจอทีวี มีที่นั่งไม่เยอะมาก ตกแต่งข้างในกระตุ้นการเรียนรู้ของเด็กดี 

เคยถามประวัติรถคันนี้ เค้าบอกเป็นแนวคิดของคุณปั้น เห็นนักเรียนแถวนี้ต้องตากแดดตากฝนขึ้นรถเมล์ ค่าครองชีพก็สูงขึ้น เลยทำเป็นรถคันนี้ขึ้นมา มีสองสาย จำได้ว่า วัดสน อีกสายหนึ่งจำไม่ได้ บริหารโครงการนี้โดยมูลนิธิ ไม่ใช่ธนาคารทำเองโดยตรง ให้บริการแบบไม่คิดค่าใช้จ่าย 

จะหาข่าวหรือหาข้อมูลโครงการนี้ก็มีไม่เยอะมาก ทั้งๆที่โครงการนี้ทำมานาน ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่ทำมานานมากๆทำต่อเนื่องน่าจะใช้งบประมาณไม่น้อย แต่บนตัวรถเองก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นโครงการของธนาคารกสิกรไทย เป็นโครงการทำตั้งใจทำจริงๆไม่ได้ทำเอาหน้าเอาตา ก็น่าจะพูดอย่างนี้ได้ เป็นหนึ่งในการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมจริงๆ 

เคยอ่านข่าวเรื่องธุรกิจรถบัสในประเทศไทยเป็นธุรกิจใหญ่โตมาก แต่ธุรกิจรถรับส่งนักเรียนในไทยมีแค่เจ้าเดียวที่นึกออก คือ Montri เป็นบริษัททำรถนักเรียนในกรุงเทพ ทำมานานมาก ด้วยความที่ทำรถให้มีมาตรฐานดีมากเลยได้รับเลือกเป็นรถรับส่งนักเรียน รถทัศนศึกษาของโรงเรียนเอกชน โรงเรียนนานาชาติ แต่ทำมานานขนาดนี้ มูลค่าธุรกิจที่ขายไปให้บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เพียงแค่ 300 ล้านเอง ( เนชั่นNBC เป็นคนซื้อ)

เรื่องรับส่งนักเรียนนี่เป็นหนึ่งในต้นทุนแฝงในประเทศไทยมายาวนานมากๆ แต่แทบไม่มีการแก้ไข เพราะมูลค่าทางธุรกิจไม่มาก หากจะทำให้มีคุณภาพราคาก็สูง สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือกให้พ่อแม่ผู้ปกครองเลือกกลายเป็นการต้องไปรับส่งเอง เป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจมหาศาล พ่อแม่ทุกคนรู้ดี

ผมเชื่อว่าคุณปั้นตอนตั้งโครงการนี้ก็คิดแบบเดียวกัน ช่วยประหยัดต้นทุนให้คนในชุมชน สังคมชุมชนรอบสำนักงานใหญ่ก็จะดี เมืองไทยจะน่าอยู่มากขึ้นถ้าทุกคนคิดแบบนี้ 

‘มาดามแป้ง’ ลั่นใส่เต็มร้อยเดินหน้าคว้าแชมป์ ‘คิงส์คัพ’ มั่นใจภาคใต้ใจรักฟุตบอล แห่เข้าชมล้นสนาม

(7 ต.ค. 67) ฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดใหญ่เดินทางมารายงานตัว ณ ท่าอากาศยานดอนเมือง เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 เพื่อเตรียมพร้อมก่อนออกเดินทางไป จังหวัด สงขลา เพื่อทำการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ครั้งที่ 50 ระหว่างวันที่ 11-14 ตุลาคม 2567 

การรายงานตัวครั้งนี้นำโดย "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซำ นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วย มาซาทาดะ อิชิอิ หัวหน้าผู้ฝึกสอน ทีมชาติไทย และนักเตะทั้ง 23 คนที่เดินทางมารายงานตัวโดยพร้อมเพรียง นำโดย ชนาธิป สรงกระสินธ์ กัปตันทีม

ก่อนการเดินทาง "มาดามแป้ง" นวลพรรณ ล่ำซํา นายกสมาคม กล่าวว่า "คิงส์ คัพ เมื่อสองครั้งที่ผ่านมาที่แป้งเป็นผู้จัดการทีม เราไปเล่นที่เชียงใหม่ เราพลาดแชมป์มา และเมื่อวันศุกร์ที่แป้งไลฟ์มีคำถามถามว่าเป็นอาถรรพ์หรือเปล่าเพราะคิงส์คัพไปเล่นต่างจังหวัดจะไม่ได้แชมป์ แต่ครั้งนี้แป้งคิดว่าภายใต้การนำทัพของมาซาทาดะ อิชิอิ และ ชนาธิป(สรงกระสินธ์) กัปตันทีม คงจะให้ความมั่นใจได้ว่าเราต้องการเป็นแชมป์ รวมถึงได้ไปเล่นที่ภาคใต้ซึ่งมีสถิติแฟนบอลเยอะด้วยก็คิดว่าจะเข้ามากันเต็มสนาม และปีนี้เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ทรงมีพระชนมายุ 72 พรรษา ทำให้คิงส์คัพปีนี้มีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม"

"กระแสแฟนบอลที่สงขลาถือว่าเยอะขึ้น มีแฟนบอลรอซื้อบัตรที่มีการเอาออกมาจำหน่ายตามสถานที่ต่างๆ วันที่ 14 เหลือบัตรอีกประมาณ 3,000 ใบ คาดว่าเมื่อนักเตะเดินทางไปถึงสงขลาและการเปิดให้แฟนบอลเข้าชมการฝึกซ้อมในวันที่ 7 และ วันที่ 8 ตุลาคม จะทำให้กระแสยิ่งเพิ่มมากขึ้นจนมีแฟนบอลเข้ามาเต็มสนาม" 

สมุทรปราการ-แถลงข่าวงานประเพณีรับบัว “นมัสการองค์หลวงพ่อโต” หนึ่งเดียวในประเทศไทยของอำเภอบางพลี

เมื่อวานนี้ (7 ต.ค. 67) นายสุพจน์ ภูติเกียรติขจร รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประธาน การแถลงข่าวการจัดงานประเพณีรับบัว ประจำปี 2567 พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ แก้วเสนา ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ นายขจิตเวช แก้วน้อย นายอำเภอบางพลี นางสาวชูศรี สัตยานนท์ ประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอบางพลี นายจิรศักดิ์ อ่วมอุไร ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท.สำนักงานฉะเชิงเทรา นายรัชชานนท์ ทองอร่าม รองนายก อบจ.สมุทรปราการ คณะสมาชิกสภา อบจ.สมุทรปราการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าวการจัดงานประเพณีรับบัว ประจำปี 2567 ณ บริเวณศูนย์การค้ามาร์เก็ควิลเลจ สุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ

โดยในปีนี้กำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 16 ตุลาคม 2567 ตรงบริเวณที่ว่าการอำเภอบางพลี วัดบางพลีใหญ่ใน พระอารามหลวง และบริเวณคลองสำโรง เพื่อเป็นการสืบสานประเพณีโบราณของอำเภอบางพลีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานให้คงอยู่ ตลอดจนเพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรปราการ ภายในงานมีกิจกรรมมากมาย ทั้งการแสดงวิถีชีวิตชาวบางพลีในอดีต การละเล่นพื้นบ้าน การประกวดขบวนแห่เรือองค์หลวงพ่อโตทางน้ำ การแข่งขันเรือมาด การประกวดหนุ่มสาวรับบัว รวมถึงการจำหน่ายสินค้า หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ของดีของอำเภอบางพลี

ประเพณีรับบัว เป็นประเพณีเก่าแก่ที่สืบทอดมาแต่โบราณของชาวอำเภอบางพลี ที่แสดงถึงความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อต่อคนต่างถิ่นที่อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในอำเภอบางพลี และแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความผูกพันกับสายน้ำของพี่น้องชาวอำเภอบางพลี ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปี ในวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 16 ตุลาคม 2567 โดยจะมีการอัญเชิญหลวงพ่อโตองค์จำลองลงเรือแห่ไปตามลำคลองสำโรง เพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณสองฝั่งคลอง รวมถึงประชาชนโดยทั่วไปได้ร่วมพิธีสักการะองค์หลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์

โดยความเชื่อที่ว่าหากโยนดอกบัวลงไปในเรือที่องค์หลวงพ่อโตประดิษฐานอยู่ แล้วตั้งจิตอธิษฐานสิ่งใดไว้ก็จะประสบความสำเร็จดังหวังทุกอย่าง อย่างไรก็ตาม ทางอำเภอบางพลีมุ่งหวังให้ประเพณีรับบัวซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ดีงามของชาวอำเภอบางพลีไม่เลือนหายไป อำเภอบางพลีจึงได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนร่วมอนุรักษ์ประเพณีนี้สือต่อไป อีกทั้งประเพณีรับบัวของอำเภอบางพลี ได้รับการประกาศเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ ประจำปี 2555 โดยกระทรวงวัฒนธรรม

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top