Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง 'ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์' ดำรงตำแหน่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ราชกิจจานุเบกษา (5 ต.ค.67) เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเรื่อง แต่งตั้งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นางเกศินี วิฑูรชาติ ให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต่อไปอีกวาระหนึ่ง ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ซึ่งครบวาระการดำรงตำแหน่งในวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗ นั้น

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๖ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ลับ) ครั้งที่ ๔/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๗ ได้มีมติเห็นชอบให้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ ดำรงตำแหน่ง อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้นำความกราบบังคมทูลพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งแล้ว

บัดนี้ ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๗

ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.ส่วนหน้า)

เมื่อวานนี้ (4 ต.ค.67) เวลา 12.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินโคลนถล่ม (ศปช.) ได้สั่งการให้ นางสาว ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ผอ. ศปช.(ส่วนหน้า) และพลเอกณัฐพล 

นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ปรึกษา ศปช. (ส่วนหน้า) เร่งเดินทางไปยังพื้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อบัญชาการเหตุการณ์สถานการณ์อุทกภัยในหมู่บ้านปางช้างแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์อยู่ในภาวะวิฤต โดย ผอ. ศปช.(ส่วนหน้า) และที่ปรึกษา ศปช. (ส่วนหน้า) ได้สั่งการให้หน่วยทหาร ตำรวจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งระดมกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมเครื่องจักรกลสาธารณภัย เข้าเผชิญเหตุทันที 

เพื่อช่วยเหลือประชาชน นักท่องเที่ยว และช้าง ที่ประสบภัยภายในมูลนิธิช้างและสิ่งแวดล้อมแม่แตง โดยได้เคลื่อนย้ายช้างขึ้นที่สูงแล้ว เหลือเพียงบ้างส่วนที่ยังเคลื่อนย้ายออกมาไม่ได้ เนื่องจากเป็นช้างที่มีความดุ ซึ่งได้ประสานผู้เชียวชาญด้านช้างเข้าให้การช่วยเหลือ พร้อมทั้งสั่งการให้ ปภ. จัดศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ เพื่ออำนวยการ สั่งการ และประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัย รวมถึงให้จัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยอำเภอแม่แตง จำนวน 2 จุด ได้ แก่ บริเวณวัดแม่ตะมาน และวัดเมืองกื้ด  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามพยากรณ์

สำหรับแนวโน้มสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ คาดการณ์ว่าคืนนี้เวลาประมาณ 01.00-02.00 น. ระดับน้ำ ณ สะพานนวรัฐ (P1) จะสูงขึ้นอยู่ที่ระดับประมาณ 5.20 เมตร (ซึ่งระบบป้องกันน้ำท่วมสามารถป้องกันได้อยู่ที่ 4.20 ม. เกิน 1 เมตร) โดยได้ประสานการปฏิบัติร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ยกระดับการเผชิญเหตุ ขั้นสูงสุดของจังหวัดตามแผนเผชิญเหตุอุทกภัย และให้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเตียง ประชาชนกลุ่มเปราะบาง ไปยังศูนย์พักพิงชั่วคราว ที่ได้จัดเตรียมไว้ และให้ประชาชนเคลื่อนย้ายรถยนต์ จักรยายนต์ ไปจอดในที่ปลอดภัย และให้ยกของขึ้นสู่ที่สูง

พิธี รับ - ส่งหน้าที่ ผบ.สอ.รฝ. อย่างสมเกียรติและสง่างาม

ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี มีพระบรมราชราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ โดยให้ พลเรือตรี ศุภสิทธิ์ บูรณะโอสถ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ผบ.สอ.รฝ.) เป็นเจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ และพลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ ประจำผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 

พลเรือตรี ศุภสิทธิ์ บูรณะโอสถ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และพลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ท่านใหม่) ร่วมกระทำพิธีรับ - ส่งหน้าที่ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อย่างสมเกียรติ โดยมีพิธีลงนามเอกสารรับ - ส่งหน้าที่ ณ ห้องรามาธิบดินทร์ กองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และพิธีมอบการบังคับบัญชา ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ณ บริเวณหน้ากองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี  โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรง และกำลังพลหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ร่วมในพิธี 

พลเรือตรี ศุภสิทธิ์ บูรณะโอสถ กล่าวว่า เป็นอีกวาระหนึ่งที่ผมได้กลับมายืน ณ ที่นี้ ซึ่งเป็นวันที่ผมจะต้องพ้นวาระหน้าที่ไปตามวาระ ตลอดระยะเวลาที่ผมดำรงตำแหน่ง ผบ.สอ.รฝ. ได้รับความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจจากท่านทั้งหลายร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ในทุกด้านอย่างเต็มกำลังความสามารถ ในการช่วยกันดูแล สอ.รฝ. เป็นอย่างดี สำหรับท่าน ผบ.สอ.รฝ. ท่านใหม่ ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถเพรียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม และดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ของกองทัพเรือ มาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ผบ.รล.จักรีนฤเบศร์ เป็นต้น 

มั่นใจว่าท่านจะเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าที่ ผบ.สอ.รฝ. ซึ่งเป็นหน้าที่ที่สำคัญของกองทัพเรือ สืบต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างแน่นอน พร้อมทั้งอวยพรให้คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย 

รวมทั้งพระบารมีสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช พระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชีนี ได้โปรดดลบันดาลพระราชทานพรให้ท่านทั้งหลายและครอบครัว ประสบแต่ความสุขความเจริญและสมหวังในสิ่งอันพึงปราถนาทุกประการ จากนั้นได้ลงมาทักทายกับกำลังพลเกือบทุกนาย ขอให้ทุกคนรักสามัคคีกันและร่วมกันสรรสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ สอ.รฝ. อย่างต่อเนื่อง ก่อนเดินทางไปรับตำแหน่ง เจ้ากรมการขนส่งทหารเรือ ต่อไป

'ประเสริฐ' เผย 2 เดือน 'ดีอี' ปิดแพลตฟอร์ม 'ปลอมโครงการเติมเงิน 10,000 บาท' ได้แล้วถึง 312 บัญชี เร่งกวาดล้าง 'โจรออนไลน์' สร้างข้อมูลเท็จ หลอกลวงประชาชน  

เมื่อวานนี้ (4 ต.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti Fake New Center หรือ AFNC) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินสถานการณ์การกระทำที่เข้าข่ายการก่ออาชญากรรมออนไลน์ พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม - 30 กันยายน 2567 ได้ดำเนินการประสานปิดกั้นแพลตฟอร์ม 'ทางรัฐ' และ 'โครงการเติมเงิน 10,000 บาท' ปลอม แล้ว 312 บัญชี  โดยแบ่งเป็น บัญชี Facebook จำนวน 297 บัญชี และบัญชี Tiktok จำนวน 15 บัญชี  พร้อมเฝ้าระวังการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง 

ขณะเดียวกันยังพบว่า มิจฉาชีพใช้วิธีการหลอกลวงประชาชน ส่งข่าวปลอม และข้อมูลอันเป็นเท็จ และบิดเบือน โดยแอบอ้างโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ของรัฐบาล ซึ่งเกี่ยวข้องกับการดำเนินงานเติมเงินให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบางที่มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และบัตรประจำตัวผู้พิการ อยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดพบกรณีข่าวปลอม ที่ได้รับความสนใจ และมีการส่งต่อข้อมูลเป็นจำนวนมาก อาทิ “ผู้พิการที่ทำบัตรผู้พิการหลัง 31 สิงหาคม 2567 จะไม่ได้รับสิทธิ์เงินดิจิทัล 10,000 บาท” และ “รัฐบาลเปิดให้ลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ตใหม่ สำหรับคนที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสามารถลงทะเบียนได้ที่ ธ.ออมสิน ธกส. และกรุงไทย” เป็นต้น

สำหรับข่าวปลอมดังกล่าวข้างต้น ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมฯ ได้ดำเนินการตรวจสอบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่าทั้งหมดเป็น “ข้อมูลเท็จ” โดยประเด็นเรื่องของสิทธิ์ผู้พิการในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้ขยายเวลาลงทะเบียนให้กับคนพิการทุกคนทั่วประเทศ จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม 2567 โดยเพื่อที่จะให้ผู้พิการทุกคนได้รับสิทธิ์ในการรับเงิน 10,000 บาท 

ในส่วนการเปิดให้ประชาชนทั่วไปลงทะเบียนใหม่ในโครงการลงทะเบียนเงินดิจิทัลวอลเล็ต ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้มีการเปิดให้ลงทะเบียนเพิ่มเติมผ่านธนาคารของรัฐแต่อย่างใด

"กระทรวงดีอีได้ดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ดำเนินคดีร้องทุกข์กล่าวโทษกับผู้ที่นำข้อมูลเท็จ ข้อมูลบดเบือน ไม่เป็นความจริง เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ จำนวน 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ข่าวปลอมเรื่อง 'ประกาศยกเลิกการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท แล้ว' โดยดำเนินการประสานข้อมูลร่วมกับกระทรวงการคลัง และสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.)  , 2.ข่าวปลอมเรื่อง 'การโหลดแอปพลิเคชันยืนยันตัวตนรับเงินดิจิทัลวอลเล็ต ทำให้ถูกดูดเงินหมดบัญชี และเรื่องมีการติดต่อจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก หลังจากที่ลงทะเบียนแอปพลิเคชันทางรัฐ' โดยดำเนินการประสานข้อมูลร่วมกับ สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) หรือ DGA  , 3.ข่าวปลอมเรื่อง 'มีการติดต่อจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก หลังจากที่ลงทะเบียนแอปพลิเคชันทางรัฐ' ซึ่งได้มีการพิจารณาดำเนินคดี โดยร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เพื่อดำเนินการต่อไป" นายประเสริฐ กล่าว

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอีห่วงใยพี่น้องประชาชนต่ออันตราย และความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโจรออนไลน์ ซึ่งได้อาศัยการเผยแพร่ข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวข้องกับ 'โครงการเติมเงิน 10,000 บาท' และการใช้งานแอปพลิเคชัน 'ทางรัฐ' ซึ่งขณะนี้กระทรวงฯ ได้ทำการปิดกั้นแพลตฟอร์มปลอม พร้อมกับการตรวจสอบข่าวปลอม และข้อมูลบิดเบือนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับดำเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด โดยถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรง เนื่องจากส่งผลกระทบต่อ ประชาชนในสังคมเป็นวงกว้าง และขอให้ประชาชน ยึด 'หลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน' พร้อมกับไม่แชร์ข้อมูลที่บิดเบือนในทุกช่องทางสังคมออนไลน์

เลขาฯ ปชน. ประกาศกวาด 300 สส. ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แย้ม!! ส่งบัญชีนายกฯ มากกว่า 1 ชื่อ กันประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

‘เลขาธิการพรรคประชาชน’ ลั่นเลือกตั้งรอบหน้า มีโอกาสกวาด สส. 270 – 300 ที่นั่ง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียว โวขั้นต่ำเกินกึ่งหนึ่งแน่ แย้มชงบัญชีนายกฯ มากกว่า 1 ชื่อ

พรรคประชาชน ที่มีณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เป็นหัวหน้าพรรค เตรียมรณรงค์แคมเปญ 'เท้ง ทั่วไทย' โดยนายณัฐพงษ์ หลังจากนี้จะมีการเดินสายไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้ครบทุกจังหวัด ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีการ Kick off ไปแล้วแถวย่านเพชรเกษม ฝั่งธนบุรี พื้นที่เลือกตั้งเดิม ของนายณัฐพงษ์ สมัยเป็นสส.เขต กทม.

นายศรายุทธิ์ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวถึงทิศทางการเมืองของพรรค หลังถูกถามว่า สมัยเป็นพรรคอนาคตใหม่ได้มา 81 เสียง มาพรรคก้าวไกลได้ 151 เสียง แล้วมายุบพรรคก้าวไกล เลือกตั้งรอบหน้า จะได้เกิน 200 หรืออาจ 250 ที่นั่งได้หรือไม่ โดยกล่าวว่า ส่วนใหญ่ตอนนี้เราคิดว่าเราจะพัฒนาตัวเองอย่างไร การพัฒนาตัวเอง ความหมายก็คือ เราต้องชนะตัวเองในอดีต เมื่อวานเราได้แค่ไหน วันพรุ่งนี้เราต้องดีกว่าในความหมายแบบนี้

“หากมีการเลือกตั้งปี 2570 อย่างที่มีการประเมินกัน เรายังมีเวลาอีกพอสมควร อย่างน้อยสองปีกว่าถึงสามปี การที่เราดีขึ้นทุกวัน-ทุกวัน อย่างที่เราประเมิน มันก็ไปได้ไกลมาก อาจไปได้ไกลถึง 270 หรือ 300 เสียง ก็เป็นไปได้ ถ้าเราดีขึ้นทุกวันอย่างที่บอก เราเปรียบเทียบกับตัวเองเมื่อวาน ดังนั้น เวลาผมพูดก็จะซีเรียสว่าต้องได้เท่านั้นเท่านี้ แต่ตอนนี้พอเห็นทิศทาง มันเป็นไปได้ตั้งแต่มากกว่าเดิม ผมมั่นใจว่าเราได้มากกว่าเดิมแน่ แต่จะมากไปถึงไหน ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำวันนี้และวันพรุ่งนี้เรื่อย ๆ ไป ส่วนตัวเลขจะได้ 200 เสียงหรือไม่ ในความเห็นส่วนตัวผม ผมมั่นใจว่าเราน่าจะไปได้ไกลกว่านั้น ความเห็นส่วนตัวผม” เลขาธิการพรรคประชาชน ระบุ

ส่วนที่ยังมีเสียงปรามาสว่า หลังเลือกตั้งรอบหน้า พรรคประชาชนจะกลายเป็นพรรคฝ่ายค้านอีก นายศรายุทธิ์กล่าวว่า คิดว่าอาจจะเป็นอีกหนึ่งปี สองปี หรือสามปี ซึ่งเราไม่รู้อนาคต แต่เราต้องแข่งกับตัวเอง ณ เวลานั้น เราอาจเข้มแข็งมาก จนทะลุทะลวงได้ สส. เกิน 250 ที่นั่ง ก็เป็นไปได้

เมื่อถามว่า ความมุ่งมั่นที่จะเป็นรัฐบาลพรรคเดียวกับรัฐบาลผสม มุ่งไปทางไหน เลขาธิการพรรคประชาชน กล่าวตอบว่า การทำงานของเรา ด้วยความคาดหวังที่อยากเห็นประเทศมีอนาคต ทุกคนที่มาทำงานที่พรรค ต่างมีความคาดหวังแบบนั้น ดังนั้น ทุกคนมุ่งมั่นทำเต็มที่ ที่จะทำอย่างไรให้สามารถเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่สังคมที่มีอนาคตได้เร็ว เราก็ทำเต็มที่อยู่แล้ว ดังนั้นเราพยายามให้เป็นอย่างนั้น (รัฐบาลพรรคเดียว) ก็เป็นไปได้ ถ้าทำสำเร็จ ก็ควรเป็นอย่างนั้น ผมเชื่อว่า สิ่งที่เรานำเสนอ มีความปรารถนาดีต่อประเทศจริงๆ อยากให้ประเทศเราเจริญก้าวหน้า ประชาชนอยู่ดีกินดี นี้คือความปรารถนาของเรา

ถามย้ำว่า โอกาสที่หากพรรคประชาชนเลือกตั้งรอบหน้า สมมุติว่าได้มา 200 เสียง โดยถ้ารวมกับพรรคเพื่อไทยแล้วเสียงในสภาฯ ท่วมท้น โอกาสจับมือกันตั้งรัฐบาลเป็นไปได้หรือไม่ นายศรายุทธิ์ กล่าวว่า ถ้าถาม ณ วันนี้ หนึ่งปีที่ผ่านมา ผมคิดว่ายาก โดยส่วนตัวผม ประเมินว่าไม่ง่าย อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมบอก มันก็จะมีเวลาอีกหลายปีกว่าจะถึงวันนั้น การทำงานร่วมกันในสภา ไม่ว่าพรรคการเมืองไหน ไม่ใช่ว่าแค่พรรคเพื่อไทยรวมถึงพรรคอื่นๆ เราก็ต้องดูว่าเราผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงแก้ไขประเทศได้แค่ไหน ถ้ามันมีบางเรื่องที่เราทำงานร่วมกันได้ ผลักดันบางอย่างให้เกิดขึ้นได้ ผมคิดว่าสถานการณ์ ก็อาจเปลี่ยนไปในอนาคต ก็เป็นไปได้ หากเราจะต้องจับมือกับใคร ก็เป็นไปได้ ณ เวลานั้น

เมื่อถามว่า ฟังตอนนี้ ดูเหมือนจะจับมือกันยากกับเพื่อไทย เลขาธิการพรรคประชาชน ยอมรับว่า บรรยากาศโดยภาพรวมมันทำให้มองอย่างนั้น แม้แต่ตนเองก็รู้สึกแบบนั้น คือด้วยความที่เรามีคนจำนวนมากในพรรค เราก็ต้องฟังเสียงของทุกคน

ส่วนกรณีเสียงวิจารณ์ว่า ที่ผ่านมาในการเป็นฝ่ายค้าน ไม่ค่อยแตะเพื่อไทย ไม่แตะทักษิณ ชินวัตร แตะก็แตะแบบลูบเบาๆ นายศรายุทธิ์ ยืนยันว่า ไม่จริง เราก็ทำตลอด อย่างที่มีการพูดกันว่า เราไม่ตรวจสอบชั้น 14 ก็ไม่จริง ก็มีการอภิปรายในสภาฯ แต่ประเด็นที่เราจะตรวจสอบ และวิธีการที่เราจะตรวจสอบ เราไม่เลือกใช้ช่องทางที่เรามองว่ามีปัญหา อย่างเช่น ผ่านองค์กรอิสระต่างๆ เราไม่อยากจะใช้แบบนั้น เราไม่อยากให้เป็นนิติสงครามเหมือนที่เราโดน เราจะใช้เวทีปกติในระบบประชาธิปไตย อย่างเช่นการอภิปราย ก็อยากให้ดูว่าเราทำได้ดีแค่ไหนตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจ เราก็จัดเต็ม ทำเต็มที่แน่นอน ถ้าอะไรที่เป็นกลไกปกติ พรรคเราทำเต็มที่แน่นอน

เมื่อถามถึงเสียงวิจารณ์เรื่องดีลลับระหว่างธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กับนายทักษิณ ชินวัตรนั้น เลขาธิการพรรคประชาชน ยืนยันว่า ไม่มี โดยตัวของธนาธร ไม่สามารถดีลลับได้อยู่แล้ว ต้องบอกว่าระบบพรรคเรา คือเวลาคนอื่นมอง เขามองโดยใช้แว่นตาแบบเดิม เช่นคนนั้นเป็นเจ้าของพรรค ต้องให้คนนั้นไปดีล คือเขาไปเอามุมมองแบบนั้น มามองพรรคเรา ทำให้คิดอย่างนั้น ซึ่งในความเป็นจริง พรรคเรามีความเป็นสถาบันมากกว่านั้น ธนาธร ไม่ได้มีบทบาทที่จะตัดสินใจชี้่ถูกชี้ผิดอะไรในพรรค แน่นอนว่าอาจจะมีคนในพรรคจำนวนหนึ่ง อาจมีความชื่นชอบนิยม แล้วให้การยกย่องอันนี้มีจริง แต่เขาไม่ได้เข้ามาล้วงลูก มาทำอะไรในพรรค

ส่วนการเสนอแคนดิเดตนายกฯ พรรคคงไม่เสนอคนเดียวแล้ว หลังมีบทเรียนจากเคสนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์นั้น นายศรายุทธิ์ กล่าวว่า ตอบไม่ได้ว่าใช่หรือไม่ แต่ยอมรับว่ามีการคุยจริง และหลายคนที่เป็นแกนนำพรรค ก็มองไปในทิศทางแบบนั้น แต่จะบอกตอนนี้เลยคงไม่ได้ เพราะคงต้องไปพูดกันตอนใกล้ๆ เลือกตั้ง ทั้งนี้ยอมรับว่าการเสนอชื่อ นายณัฐพงษ์ กับ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคเป็นแคนดิเดตนายกฯ ก็เป็นไปได้สูง ซึ่งหากถามความเห็นส่วนตัว เห็นว่าควรเสนอไปเลยสามชื่อ และหากฟังคนในพรรค อย่างไรก็เสนอมากกว่าหนึ่งชื่อแน่นอน แต่จะเป็นอย่างไร ก็คงไปว่ากันตอนช่วงใกล้เลือกตั้ง

‘ดิ เอราวัณ กรุ๊ป’ ดึง Lapis Hospitality ร่วมทุน ‘ฮ็อป อินน์’ เตรียม Spin-off ธุรกิจ พร้อมลุยขยายโรงแรมเพิ่ม 3 ประเทศ

(5 ต.ค.67) ฮ็อป อินน์ ผู้นำโรงแรมระดับบัดเจ็ทที่ดำเนินงานอยู่ทั่วประเทศไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น พร้อมปรับกลยุทธ์เจาะตลาดใหม่ขยายฐานสร้างแบรนด์ระดับสากล ตอกย้ำมาตรฐานเดียวกันทุกที่ทุกประเทศ 'Consistency is Yours' เจาะตลาดนักเดินทางที่มองหาความคุ้มค่าทุกประเภททั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

เครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทสัญชาติไทยที่มีสาขามากกว่า 70 โรงแรม จำนวนห้องพักรวมมากกว่า 7,000 ห้อง ครอบคลุม 3 ประเทศ ภายใต้การพัฒนาและบริหารของบริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด ในเครือ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ให้ตอบโจทย์นักเดินทางทุกประเภท ตั้งเป้าขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อย 3 ประเทศใหม่ ในเอเชียแปซิฟิก และเดินหน้าเป็นผู้นำเครือข่ายโรงแรมที่ครอบคลุมมากสุดในไทยมากกว่า 40 จังหวัด พร้อมแผนขยายสาขาในประเทศไทย ฟิลิปปินส์และญี่ปุ่น เพื่อครองใจและเพิ่มฐานลูกค้า ตั้งเป้ารายได้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี(CAGR) มากกว่า 15% ปักธงในปี 2030 ขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก

นางสาวพิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กล่าวว่า "ปีนี้เป็นปีที่ 10 ของโรงแรมฮ็อป อินน์ ตลอด 10 ปี เราสามารถทำได้ตามแผนทั้งการขยายและการรักษาคุณภาพการบริการ เราตั้งเป้าที่ใหญ่และสำคัญในปี 2030 จะขึ้นเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ทที่ดีที่สุดในเอเชียแปซิฟิก เมื่อต้นปีที่ผ่านมาโรงแรมฮ็อป อินน์ ญี่ปุ่น เปิดให้บริการครบ 4 สาขา ในโตเกียวและเกียวโต โดยได้รับเสียงตอบรับที่ดีและเป็นการสร้างฐานลูกค้าที่ใหญ่ขึ้น จากหลายประเทศหลากหลายทวีป จึงทำให้เรามั่นใจว่าจะขยายเครือข่ายโรงแรมเพิ่มอย่างน้อยในอีก 3 ประเทศ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก”

"เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ฮ็อป อินน์ มีความพร้อมด้านการลงทุนตามแผนขยายระยะยาว แผนการ Spin-off ได้รับการอนุมัติโดยคณะกรรมการ บมจ. ดิ เอราวัณ กรุ๊ป  (ERW) มีการแยกส่วนบริหารงานและตั้งเป้าหมายแผนการทำงานของแต่ละปีอย่างชัดเจน ตอนนี้เราได้ Strategic partner คือ Lapis Hospitality Pte. Ltd. ซึ่งเป็นบริษัทที่บริหารจัดการโดยกองทุน Lombard Asia V, L.P.

เข้าร่วมลงทุน 16.09% ที่ ฮ็อป อินน์ มูลค่า 700 ล้านบาท ซึ่งเป็น Partner ที่มีความสามารถประสบการณ์ด้านการลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิก เป็นการเสริมความพร้อมในการยกระดับโรงแรมฮ็อป อินน์ เพื่อก้าวสู่อันดับหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก คาดการณ์ว่าจะยื่นเสนอบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในปี 2027 เพื่อให้สามารถนำหุ้นออกเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไป (IPO) เพื่อสนับสนุนแผนขยายงานระยะยาว ” คุณพิชานันท์ กล่าวเพิ่มเติม

ด้านนางสาวนลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารธุรกิจ กล่าวว่า “ฮ็อป อินน์ อยากทำให้ทุกการเดินทางของทุกคนง่ายขึ้น เราตั้งใจทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายทุกขั้นตอน หาง่าย จองง่าย พักสบาย ราคาเข้าถึงได้ เราให้ความสำคัญสูงสุดเรื่องความสม่ำเสมอในทุกมิติ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีทั้งก่อนและหลังเข้าพักให้กับลูกค้า เรามีนโยบายที่เป็นเจ้าของและบริหารโรงแรมทั้งหมดเอง เพื่อรักษาคุณภาพให้ได้ 100% ของทั้งเครือ โดย 95% เป็นโรงแรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ทุกโรงแรมมีความสม่ำเสมอ ทั้งด้านการออกแบบรูปลักษณ์ และมาตรฐานการบริการ ที่ไม่ว่าไปพักที่ประเทศใด สาขาไหน ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิด หรือเปิดบริการมา 10 ปี จะได้รับประสบการณ์เดียวกันทุกที่ ที่กล่าวมาข้างต้นมาจากความตั้งใจของทีมงานทุกคน ซึ่งสะท้อนคำมั่นสัญญาตลอด 10 ปี ที่มอบให้กับลูกค้า 'Consistency is Yours' หรือ 'ความสม่ำเสมอเป็นของคุณเสมอ' เราให้บริการลูกค้ามากกว่า 2.5 ล้านคนต่อปี ทีมงานทุกคนขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านที่มาเข้าพักกับเรา ฮ็อป อินน์ มีความพร้อมที่จะมอบการบริการที่ดีมีคุณภาพในทุกประเทศที่เราไปขยายและมั่นใจว่าแบรนด์จะเป็นที่ยอมรับในระดับสากล” กล่าวทิ้งท้าย

‘อัครเดช’ ชี้!! แก้ปัญหาน้ำท่วมสำคัญกว่าแก้รัฐธรรมนูญ พร้อมขอบคุณ รบ.โอนเงินหมื่นเข้าบัตรคนจน ตาม รทสช.เสนอ

'อัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์' ย้ำแก้รัฐธรรมนูญมีขั้นตอน ไม่จำเป็นต้องไปเร่ง ชี้ปัญหาของความเดือดร้อนของประชาชนสำคัญกว่า โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม ขอบคุณรัฐบาลใช้ฐานข้อมูลบัตรคนจน โอนเงินหมื่นเข้าระบบช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ตามข้อเสนอพรรครวมไทยสร้างชาติ

(5 ต.ค.67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า จากที่มีการรายงานข่าวถึงความเห็นของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยว่า เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นสามารถรอได้ ตนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับความคิดเห็นดังกล่าว เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ ทุกภาคส่วนควรเร่งใช้สรรพกำลังในการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม รวมถึงเตรียมแนวทางการแก้ไขปัญหาหากเกิดเหตุซ้ำ 

“ขอเน้นย้ำว่าปัญหาทางการเมืองเป็นเรื่องที่สามารถรอได้ แต่ปัญหาของพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากภัยพิบัติเป็นสิ่งที่รอไม่ได้ นอกจากนี้แล้วยังมีปัญหาถึงภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่วนเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ หรือเรื่องการเมืองนั้นมีระยะเวลากระบวนการทำงานของการแก้รัฐธรรมนูญอยู่ ไม่จำเป็นต้องไปเร่งรัดแต่อย่างใด สิ่งที่รัฐบาลต้องแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนคือปัญหาของประชาชน โดยเฉพาะพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วม”

พร้อมกันนี้ นายอัครเดช ยังเห็นด้วยกับรัฐบาลที่ได้ดำเนินการจ่ายเงินสด 10,000 บาทต่อหัว ไปยังผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยเสนอไปในสภาผู้แทนราษฎรว่า ควรใช้ฐานข้อมูลของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในการจ่ายเงินไปยังกลุ่มเปราะบางโดยเฉพาะ และเมื่อจ่ายเป็นเงินสดแล้วยังทำให้กลุ่มเปราะบางที่ได้รับเงินดังกล่าวสามารถนำไปใช้จ่ายได้คล่องตัว 

รรท.ผบ.ตร.กำชับตำรวจภูธรภาค 5 ดูแลช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างเต็มที่ พร้อมเพิ่มความเข้มงวดดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

(5 ต.ค.67) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.)เปิดเผยว่า จากการประชุมติดตามสถานการณ์อุทกภัย เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ที่ผ่านมา ได้สั่งการให้ทุกพื้นที่เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน อำนวยความสะดวกการจราจรในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย รวมทั้งประสานบูรณาการกับหน่วยงานที่มีความรับผิดชอบโดยตรง ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และฟื้นฟูหลังน้ำลด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในทุกมิติ รวมทั้งดูแลข้าราชการตำรวจที่ได้รับความเดือดร้อนจากความเสียหาย โดยจะมีแนวทางให้ความช่วยเหลือข้าราชการตำรวจและครอบครัวต่อไป

ล่าสุดยังมีสถานการณ์อุทกภัยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 ซึ่งได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 (ผบช.ภ.5) ว่า ยังมีพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนในหลายจุด ซึ่งได้กำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลัง 

วันนี้ ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ นำกำลังข้าราชการตำรวจเร่งดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในหมู่บ้านสัมมากร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ และร่วมวางแผนการฟื้นฟูในโอกาสที่น้ำลดลงต่อไป ซึ่งในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ มีหลายพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากมวลน้ำที่เข้าท่วมบ้านเรือน และพื้นที่ต่างๆ ตำรวจทุกพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือในทุกมิติ เช่น พื้นที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ พ.ต.อ.ปรัชญา ทิศลา ผกก.สภ.เมืองเชียงใหม่ นำกำลังสายตรวจออกไปช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ติดค้างอยู่ในพื้นที่อุทกภัย , พื้นที่ อ.จอมทอง พ.ต.อ.สิโณทัย ลิลิตธรรม ผกก.สภ.จอมทอง พร้อมกับชุดปฏิบัติการจิตอาสา ชุดชุมชนสัมพันธ์ และสายตรวจจราจร ออกช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมพื้นที่หมู่บ้านแม่กลางบ้านลุ่ม หมู่ 4 ต.บ้านหลวง , อ.แม่ปิง สภ.แม่ปิง ร่วมกับ ตชด. ช่วยเหลือประชาชนและนักท่องเที่ยว ถ.ทุ่งโฮเต็ล ในการเดินทาง และแจกอาหารพร้อมน้ำดื่ม , ที่ อ.แม่ริม สภ.แม่ริม ร่วมกับ กก.ตชด.33 และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัย และได้เข้าช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมที่บ้านดวงดี บ้านต้นแก้ว บ้านท้องฝาย พร้อมทั้งจัดตั้งโรงครัวประกอบอาหาร และนำส่งอาหารพร้อมน้ำดื่มให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบ , ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ ต.กื๊ดช้าง อ.แม่แตง เป็นเหตุให้น้ำท่วมในพื้นที่ศูนย์บริบาลช้างนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และจิตอาสา ช่วยเหลือประชาชน นักท่องเที่ยว และช้างจำนวน 126 เชือก และสัตว์ต่าง ๆ โดยช่วยเคลื่อนย้ายไปสู่พื้นที่ปลอดภัย

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ ได้ส่งความห่วงใยถึงพี่น้องประชาชนและข้าราชการตำรวจในพื้นที่ โดยมอบหมายให้ ผบช.ภ.5 ดูแลในเรื่องการให้ความช่วยเหลือ การอำนวยความสะดวกการจราจร และการจัดกำลังสายตรวจต่างๆ ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนอย่างเต็มกำลัง และให้รายงานมายัง ศปก.ตร. ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการติดตามสถานการณ์อุทกภัย เพื่อผู้บังคับบัญชาจะได้สั่งการช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

ผบ.สอ.รฝ.ท่านใหม่ มอบ 3 นโยบายหลักกำลังพล ต้องมีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ มีระเบียบวินัยและมีความสามัคคี

ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี มีพระบรมราชราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้นายทหารรับราชการสนองพระเดชพระคุณ ให้ พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการ ประจำผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง (ผบ.สอ.รฝ.) ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2567 

หลังจากได้กระทำพิธีรับ - ส่งหน้าที่และพิธีมอบการบังคับบัญชา ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อย่างเป็นทางการ ณ บริเวณหน้ากองบัญชาการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี แล้ว ได้ให้คณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรง เข้ารายงานตน 

โดย พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้กล่าวต่อหน้ากำลังพล มีใจความว่า ด้วยพระมหากรุณาธิคุณในครั้งนี้ ผมได้ตั้งปณิธานว่า จะปฏิบัติหน้าที่ราชการสนองพระเดชพระคุณอย่างเต็มกำลังความสามารถ พร้อมทั้งได้มอบนโยบาย 3 ประการที่สำคัญ ได้แก่ 

ประการที่ 1 ต้องมีความจงรักภักดี ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  ประการที่ 2 กำลังพลทุกนาย ต้องมีระเบียบวินัย และประการที่ 3 ด้านความสามัคคี มุ่งหวังให้ทุกคนมีความรัก สามัคคีในหมู่คณะ มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เสมือนร่วมอยู่ในเรือลำเดียวกัน พร้อมที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุข ดังที่ได้ยึดถือสืบต่อกันมา

'มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง' เดินสายซับน้ำตา มอบเงินเยียวยา ครอบครัวผู้สูญเสีย และผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟไหม้รถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี

(5 ต.ค.67) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง นำโดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการมูลนิธิ พร้อมด้วย นายนิพนธ์ โชคภิรมย์วงศา กรรมการปฏิคม นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ และ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำทีมแผนกสาธารณภัย ลงพื้นที่ให้กำลังใจพร้อมมอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์รถบัสทัศนศึกษาของโรงเรียนวัดเขาพระยาสังฆาราม จ.อุทัยธานี ประสบอุบัติเหตุและไฟไหม้ รายละ 20,000 บาท รวม 23 ราย โดยมี นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุทัยธานี ร่วมในพิธี ณ โรงเรียนเขาพระยาสังฆาราม หมู่ 5 ต.ลานสัก อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี 

พร้อมกันนี้ นายไปรเทพ ซอโสตถิกุล ผู้ช่วยกรรมการ และนายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ นำทีมแผนกสาธารณภัย ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ เดินทางไปยังสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) กรุงเทพฯ และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ จังหวัดปทุมธานี เข้าเยี่ยมนักเรียนที่บาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ให้กำลังใจผู้ปกครอง พร้อมมอบกระเช้าและมอบเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาท รวม 3 ราย 

รวมงบประมาณการช่วยเหลือทั้งครอบครัวผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนี้ทั้งสิ้น 475,000 บาท (สี่แสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน)

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ขอแสดงความเสียใจและอาลัยอย่างสุดซึ้ง และขอส่งกำลังใจไปยังครอบครัวผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวทุกท่านมา ณ ที่นี้

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ http://www.facebook.com/pohtecktungofficial


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top