Thursday, 22 May 2025
NewsFeed

‘โจ ไบเดน’ อาจหนุนอิสราเอล ถล่มคลังน้ำมันอิหร่าน ชี้!! หากเกิดขึ้นจริง ส่อเกิดวิกฤตพลังงานรอบใหม่

(4 ต.ค.67) ตลาดน้ำมันต้องสะเทือน เมื่อประธานาธิบดีโจ ไบเดน แสดงความเห็นเรื่อง อิสราเอลกับอิหร่าน ที่ทั้งสองฝ่ายยืนยันพร้อมเล่นงานกันทุกขณะ

สหรัฐหารือความเป็นไปได้อิสราเอลโจมตีคลังน้ำมันอิหร่าน

เว็บไซต์ซีเอ็นบีซีรายงาน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาในประเด็นที่ว่า สหรัฐจะสนับสนุนอิสราเอลโจมตีคลังน้ำมันอิหร่านหรือไม่ โดยไบเดนตอบว่า กำลังหารือกันอยู่  

ความเห็นของไบเดนส่งผลให้ราคาน้ำมัน และความตึงเครียดในตะวันออกกลางพุ่งขึ้น ผู้ค้ากังวลเรื่องอุปทานปั่นป่วน แต่ไบเดน กล่าวว่า “วันนี้ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น”  

อิสราเอลโวมีหลายออปชันเล่นงานอิหร่าน
ก่อนหน้านั้นในวันพุธ (2 ต.ค.67) ประธานาธิบดีไบเดน กล่าวว่า เขาจะไม่สนับสนุนอิสราเอลโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน ล่าสุดนายแดนนี ดานอน เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ กล่าวในวันพฤหัสบดี ว่า อิสราเอล “มีทางเลือกมากมาย” ในการเอาคืน และจะแสดงความแข็งแกร่งให้รัฐบาลเตหะรานเห็น “เร็ว ๆ นี้” 

ขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐรายหนึ่งเผย รัฐบาลวอชิงตันไม่เชื่อว่า อิสราเอลตัดสินใจแล้วว่าจะตอบโต้อิหร่านอย่างไร

อิหร่านลั่นพร้อมรับมือทุกรูปแบบ ในวันเดียวกันนั้นประธานาธิบดีมาซุด เปเซชคิยัน ของอิหร่าน กล่าวในกรุงโดฮาของกาตาร์ว่า รัฐบาลเตหะรานพร้อมรับมือ 

“การโจมตีทางทหาร, การก่อการร้าย หรืออะไรก็ตามที่ข้ามเส้นตายของเราจะเจอการตอบโต้อย่างสาสมจากกองกำลังติดอาวุธของเรา”

'สรรพามิต' โชว์ปราบสินค้าผิดกฎหมาย 33,359 ดคี พุ่งขึ้น 28% กว่า 2,400 ล้าน

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพสามิตเผยผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศผ่านช่องทางต่าง ๆ ปีงบ 2567 พบการกระทำผิด จำนวน 33,359 คดี สูงขึ้นกว่าปีก่อน 28.03% คิดเป็นเงินค่าปรับ 690.75 ล้านบาท และประมาณการค่าปรับ 2,465.86 ล้านบาท โดยจำแนกเป็น 

1. สุรา 15,974 คดี ค่าปรับ 150.69 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 48.59 ล้านบาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นสุราในประเทศ 117,361.70 ลิตร และสุราต่างประเทศ 30,340.54 ลิตร
2. ยาสูบ 13,170 คดี ค่าปรับ 361.73 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 2,334.40 ล้านบาท จำนวนของกลาง แบ่งเป็นยาสูบในประเทศ 301,961 ซอง และยาสูบต่างประเทศ 2,579,434 ซอง 
3. น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน 1,465 คดี ค่าปรับ 76.86 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 11.41 ล้านบาท จำนวนของกลาง 2.56 ล้านลิตร

4. รถจักรยานยนต์ 1,109 คดี ค่าปรับ 29.75 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ
6.34 ล้านบาท จำนวนของกลาง 1,493 คัน 
5. ไพ่ 575 คดี ค่าปรับ 7.07 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 10.14 ล้านบาท จำนวน ของกลาง 79,561 สำรับ 
6. รถยนต์ 268 คดี ค่าปรับ 27.89 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 34.16 ล้านบาท จำนวนของกลาง 269 คัน 

7. เครื่องหอมและเครื่องสำอาง 226 คดี ค่าปรับ 13.40 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 20.32 ล้านบาท จำนวนของกลาง 244,723 ขวด 
8. เครื่องดื่ม 216 คดี ค่าปรับ 5.84 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 3.84 แสนบาท จำนวนของกลาง 108,259.31 ลิตร
9. แบตเตอรี่ 210 คดี ค่าปรับ 13.78  ล้านบาท จำนวนของกลาง 89,059 ก้อน 
10. สินค้าอื่น ๆ 146 คดี ค่าปรับ 3.69 ล้านบาท ประมาณการค่าปรับ 83,240 บาท

กรมสรรพสามิตได้ยกระดับการทำงานเชิงรุกในด้านการปราบปรามและสืบค้นในทุกช่องทาง อีกทั้งยังมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อสืบค้นการกระทำผิดในช่องทางออนไลน์ ผ่านศูนย์ปราบปรามสินค้าออนไลน์ ของกรมสรรพสามิต ร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก ได้แก่ กรมการปกครอง กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กรมการขนส่งทางบก กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ไปรษณีย์ไทย เป็นต้น ทำให้สามารถจับกุมผู้กระทำผิดพร้อมของกลางได้เป็นจำนวนมากมาอย่างต่อเนื่อง กรมสรรพสามิตให้ความสำคัญกับการปราบปรามและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดที่ขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่มิได้ เสียภาษี ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อพี่น้องประชาชนในการบริโภคสินค้าที่ได้มาตรฐาน และยังเป็นการสร้างความชอบธรรมต่อผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต

สามารถแจ้งเบาะแสที่กรมสรรพสามิตหรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือสายด่วน 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรืออีเมลล์ [email protected] โดยกรมสรรพสามิตจะไม่เปิดเผยข้อมูลผู้แจ้งเบาะแส

‘บอล ธนวัฒน์’ ฟาดเดือดชาวเน็ต ด่ารัฐบาลได้ทุกเรื่อง ไม่เว้นกระทั่งซื้อพิซซ่าให้เด็กกินหลังเหตุไฟไหม้รถบัส

‘บอล ธนวัฒน์’ ซัด ‘ชาวเน็ต’ เอาการเมืองมาโจมตีทุกอย่าง แม้แต่เรื่องซื้อพิซซ่าให้เด็กกิน หลังเหตุไฟไหม้รถบัสนักเรียนทัศนศึกษา

เมื่อวันที่ (3 ต.ค. 67) นายธนวัฒน์ วงค์ไชย นักเคลื่อนทางการเมือง ทวีตข้อความผ่านแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ระบุว่า

ด่ารัฐบาลทุกอย่าง แม้แต่เรื่องซื้อพิซซ่าไปให้เด็กที่ประสบเหตุ #ไฟไหม้รถบัส กิน เอาการเมืองมาโจมตีทุกอย่าง แม้แต่เรื่องที่เด็กๆ ได้กินพิซซ่า ไม่อยากถามหาความเป็นคน เพราะคงไม่มี

ซึ่งเป็นการตอบกลับผู้ใช้บัญชี X รายหนึ่งที่ได้ทวิตข้อความ ระบุว่า แล้วพิซซ่าอะ ถ้าปกติเด็กจะได้กินตอนฉลองวันเกิดหรือวันดีๆ สอบได้คะแนนสูง คนในครอบครัวถูกหวย หรืออะไรงี้ แต่วันที่เจออุบัติเหตุดันได้พิซซ่า ต้องรู้สึกไงอะ

ปลัดกระทรวงพลังงาน เผย การประหยัดไฟคือภูมิคุ้มกันจากราคาพลังงานผันผวน กฟผ. เตรียมติดฉลากเบอร์ 5 เพิ่ม 3 ผลิตภัณฑ์ 'ตู้อบผ้า-ตู้แช่แข็ง-โคมไฟโซลาร์เซลล์'

(4 ต.ค. 67) ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน พร้อมด้วยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) นายภูธร จันทะหงษ์ ปุณยจรัสธำรง ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาพื้นฐาน และหน่วยงานพันธมิตร ร่วมลงนามความร่วมมือโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 พร้อมอบโล่โครงการที่ปรึกษาพลังงาน และโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ณ สำนักงานใหญ่ กฟผ. จ.นนทบุรี เพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เพิ่มประสิทธิภาพด้านการใช้พลังงานและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มุ่งสู่พลังงานสะอาดและความเป็นกลางทางคาร์บอน ตามเป้าหมายของประเทศ

ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า โครงการฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เป็นโครงการที่ทั้งกระทรวงพลังงาน และ กฟผ. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมา 29 ปีแล้ว เป็นหนึ่งในโครงการที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะด้านการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนและสังคม  และมีชื่อเสียงในระดับโลก 

ท่ามกลางสถานการณ์ Geopolitic ที่ผันผวน ซึ่งทำให้ราคาพลังงานไม่ว่าจะเป็นก๊าซและน้ำมันทั้งระดับโลกและประเทศไทยมีความผันผวน สิ่งที่เป็นภูมิคุ้มกันในการลดผลกระทบจากความผันผวนดังกล่าวได้ดีที่สุด คือการประหยัดพลังงาน 

ซึ่งมีมาตรฐานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 จะสามารถสร้างหรือเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรมไทยได้ในอนาคต 

ด้านนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) กล่าวว่า กฟผ. ได้ดำเนินงานจัดการด้านการใช้ไฟฟ้า หรือ DSM ผ่านกลยุทธ์ 3 อ. เพื่อให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ โดยกลยุทธ์ 3 อ. ได้แก่ 

อ. ที่ 1 อุปกรณ์ประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ซึ่งปัจจุบันมีอุปกรณ์ที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 แล้ว ทั้งหมด 26 ผลิตภัณฑ์ รวมมากกว่า 502 ฉลาก

อ. ที่ 2 อาคารและอุตสาหกรรมประสิทธิภาพพลังงานสูง

อ. ที่ 3 อุปนิสัยการใช้พลังงานคุ้มค่าและปลอดภัย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทั่วประเทศ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรม ภาคการศึกษา และภาคที่อยู่อาศัย ใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยมาตรการที่เหมาะสมและคุ้มค่า 

จากกลยุทธ์ในการดำเนินการดังกล่าวของ กฟผ. ส่งผลให้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าได้กว่า 38,000 ล้านหน่วย คิดเป็นการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้กว่า 21 ล้านตัน

นอกจากนี้ยังมีการลงนามความร่วมมือ 2 โครงการ คือ 

โครงการที่ 1 คือ โครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ปี 2567 ระหว่าง กฟผ. กับผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาและยกระดับอุปกรณ์สู่มาตรฐานประสิทธิภาพสูง ช่วยลดค่าไฟฟ้า และตอบสนองนโยบายด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมของประเทศ โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ทดสอบผลิตภัณฑ์เพื่อติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 รวม 40 ราย 3 ผลิตภัณฑ์ คือ 

เครื่องอบผ้า สำหรับอบเพื่อให้เสื้อผ้าแห้งสนิทด้วยความร้อน 

ตู้แช่แข็งฝาทึบ ตู้ที่ทำความเย็นทำให้วัตถุที่แช่แข็งมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง โดยทั่วไปจะทำอุณหภูมิได้ตั้งแต่ -15 องศาเซลเซียสหรือต่ำกว่า สำหรับเก็บรักษาอาหารที่ต้องการเก็บเป็นระยะเวลานาน เช่นไอศกรีม เนื้อสัตว์ หรืออาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง เป็นต้น 

และโคมไฟถนนแอลอีดีเซลล์แสงอาทิตย์ อุปกรณ์ส่องสว่างประสิทธิภาพสูงที่ใช้แหล่งพลังงานจากแสงอาทิตย์สะสมพลังงานด้วยแบตเตอรี่ สำหรับส่องสว่างถนนหรือสถานที่ต่าง ๆ ในช่วงกลางคืน

และโครงการที่ 2 คือ โครงการความร่วมมือด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อมในสถานศึกษา (โครงการห้องเรียนสีเขียว) ระหว่าง กฟผ. กับ สพฐ. เพื่อขยายเครือข่ายความร่วมมือในการส่งต่อองค์ความรู้ ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์พลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ แก่นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาของโรงเรียน มุ่งสู่สังคมแห่งการเรียนรู้สีเขียว (Green Learning Society) ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนในโครงการกว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ 

ภายในงาน กฟผ. ได้มอบโล่แสดงความขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่ร่วมโครงการกับ กฟผ.ในปี 2566 ที่ผ่านมา อาทิ องค์กรที่เข้าร่วมโครงการที่ปรึกษาพลังงาน ผู้เข้าร่วมโครงการบ้านและอาคารเบอร์ 5 ผู้เข้าร่วมโครงการโรงเรียนเบอร์ 5 และผู้ประกอบการที่ติดฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ใน 5 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย แผงเซลล์แสงอาทิตย์ โคมไฟถนน อินเวอร์เตอร์ที่ใช้กับระบบเซลล์แสงอาทิตย์ที่เชื่อมต่อระบบโครงข่ายไฟฟ้า และเครื่องปรับอากาศแบบหลายชุด แฟนคอยล์ (VRF)

‘Nieves Fernandez’ ผู้นำกองโจรต้านทัพญี่ปุ่น ผู้สังหารทหารญี่ปุ่นกว่า 200 นาย ในสงครามโลกครั้งที่ 2

รู้จักคุณครู Nieves Fernandez วีรสตรีแห่งฟิลิปปินส์ ผู้นำกองกำลังต่อต้านกองทัพญี่ปุ่นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ผู้สังหารทหารญี่ปุ่นมากกว่า 200 นาย

ในช่วงทศวรรษที่ 1930 จักรวรรดิญี่ปุ่น ได้เริ่มบุกรุกขยายดินแดนในทวีปเอเชียเพื่อเพิ่มพลังอำนาจทางทหารและเศรษฐกิจ จนทำให้เกิดความขัดแย้งกับประเทศตะวันตกและเอเชียหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกาซึ่งมีดินแดนอาณานิคมขนาดใหญ่ในทวีปนี้ ต่อมาเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นเหตุให้มีเริ่มสงครามระหว่างสหรัฐฯกับญี่ปุ่น เมื่อกองทัพญี่ปุ่นเปิดฉากโจมตีที่ตั้งของกองบัญชาการกองทัพสหรัฐฯในภูมิภาคแปซิฟิกที่อ่าวเพิร์ลในปี 1941 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามแปซิฟิกซึ่งเป็นพื้นที่ของความขัดแย้งที่ใหญ่กว่าและรู้จักกันในชื่อสงครามโลกครั้งที่สอง

ในช่วงเวลานั้น ฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้การปกครองของสหรัฐอเมริกา และรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์ (ภายใต้สหรัฐฯ) พึ่งจัดตั้งขึ้น แต่เนื่องจากการที่ยุทธศาสตร์ทางการทหารของสหรัฐฯเน้นไปที่พื้นที่สงครามในยุโรปมากกว่า ทำให้กำลังทางทหารของสหรัฐฯและรัฐบาลเครือจักรภพแห่งฟิลิปปินส์จึงที่ด้อยกว่ากองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่น จึงทำให้กองทัพญี่ปุ่นสามารถเข้าควบคุมพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศฟิลิปปินส์ได้อย่างรวดเร็ว แม้จะมีการต่อต้านอย่างหนักจากกองกำลังของสหรัฐฯ และฟิลิปปินส์แล้วก็ตาม

คุณครู Nieves Fernandez น่าจะแต่งงานแล้วเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่คาดว่าเป็นของเธอ

พื้นที่แห่งหนึ่งที่ถูกกองทัพญี่ปุ่นยึดครองก็คือเมือง Tacloban ที่ซึ่งคุณครู Nieves Fernandez อาศัยอยู่ ก่อนสงคราม เธอทำงานเป็นคุณครูของโรงเรียนในพื้นที่ มีข้อมูลน้อยมากเกี่ยวกับชีวิตในวัยเด็กของเธอ นอกเหนือไปจากการเกิดในราวปี 1906 ซึ่งอาจเป็นเชื้อสาย Waray (ชนพื้นเมืองชาติพันธุ์หนึ่งในฟิลิปปินส์) และน่าจะแต่งงานแล้วเมื่อพิจารณาจากภาพถ่ายที่คาดว่าเป็นของเธอ ‘Nieves’ ชื่อของเธอเป็นภาษาสเปนแปลว่า ‘หิมะ’ และเธอเป็นที่รู้จักในฐานะ “ผู้หญิงผิวขาวกว่าผู้หญิงพื้นเมืองส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้” นักเรียนของเธอมักเรียกเธอว่า ‘Miss Fernandez’ ซึ่งเป็นชื่อที่เธอใช้ต่อไปหลังสงครามสิ้นสุดลง

ปืน 'Paltik'

ในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครอง ชาวฟิลิปปินส์จำนวนมากที่อาศัยอยู่ในพื้นที่และเขตเมืองโดยรอบของเกาะ Leyte ได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้ายจากทหารญี่ปุ่น รวมถึงการกดขี่ ขูดรีด ปล้น ฆ่า และข่มขืน คุณครู Fernandez กล่าวด้วยคำพูดของเธอเองว่า “ไม่มีใครสามารถเก็บอะไรไว้ได้ พวกเขาเอาทุกอย่างที่พวกเขาต้องการไป” คุณครู Fernandez เป็นหนึ่งในอีกหลาย ๆ คนที่ต่อสู้กับการยึดครองของญี่ปุ่นในฟิลิปปินส์ เธอเดินเท้าเปล่าและสวมชุดคลุม เธอเริ่มคัดเลือกชาวพื้นเมืองที่มีจำนวน 110 คน ในตอนแรกกลุ่มของเธอมีปืนเล็กยาวอเมริกันเพียงสามกระบอก โดยส่วนใหญ่ใช้ ปืน 'Paltik' (ปืนลูกซองทำเองจากแป๊บน้ำ) ระเบิดแสวงเครื่อง (จากปลอกกระสุนที่บรรจุตะปูเก่า ๆ ) และมีด Bolo ต่อมาพวกเขาได้หาซื้ออาวุธปืนของญี่ปุ่นและอเมริกันเพิ่มเติม แล้วทางใต้ของเมือง Tacloban ก็กลายเป็นสมรภูมิของคุณครู Fernandez และกองโจรของเธอกับกองทัพญี่ปุ่น

มีด Bolo

เธอได้รับฉายาว่า 'ผู้กอง Fernandez' และ 'ฆาตกรเงียบ (Silent killer)' ด้วยผลงานของเธอ โดยเธอได้ทำการฝึกฝนลูกน้องของเธออย่างแข็งขันทั้งในการผลิต-ดัดแปลงอาวุธ และการซุ่มโจมตี ตัวเธอเองมีความรู้ในการใช้มีด Bolo ระหว่างการซ่อนเร้นทั้งยังได้สาธิตให้ทหารอเมริกันที่พบเธอดูด้วย ปฏิบัติการของเธอทำให้กองทัพญี่ปุ่นต้องสูญเสียทหารไปกว่า 200 นาย และบังคับให้กองทัพญี่ปุ่นตั้งค่าหัวของเธอเป็นเงิน 10,000 เปโซ เธอได้รับบาดเจ็บสามครั้ง และได้ทิ้งรอยแผลเป็นบนหน้าผากอีกด้วย

ภาพประวัติศาสตร์ คุณครู Fernandez สาธิตการใช้มีด Bolo สังหารทหารญี่ปุ่น
ให้พลทหาร Andrew Lupiba ดู

อย่างไรก็ตาม ในที่สุดฟิลิปปินส์ก็ได้รับการปลดปล่อยจากการยึดครองของญี่ปุ่นในปี 1945 แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณครู Fernandez ในช่วงหลายปีหลังจากนั้น แม้ว่าจะมีข่าวว่า เธออาศัยอยู่ที่เมือง Tacloban จนอายุ 90 ปีกับลูกชายและหลาน ๆ ของเธอ 

ประวัติการต่อสู้ของคุณครู Fernandez ได้รับการบันทึกไว้เป็นครั้งแรกในหนังสือพิมพ์ The Lewiston Daily Sun และ Associated Press ในปี 1944 เมื่อทหารอเมริกันมาเยี่ยมเธอหลังสงคราม Stanley Troutman หนึ่งในนั้น ได้ถ่ายรูปเธอขณะสอนพลทหารอเมริกัน Andrew Lupiba ฆ่าคนด้วยมีด Bolo ปัจจุบันภาพถ่ายประวัติศาสตร์นี้ถูกจัดเก็บโดยองค์กร Rare Historical Photos และ Dustin Koski จาก Top Tenz จัดให้คุณครู Fernandez อยู่ในอันดับที่ 8 ในรายชื่อ '10 สตรีที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์'

'นายกฯ แพทองธาร' ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ย้ำ!! ทุกหน่วยงานดูแลประชาชน พร้อมแจ้งเตือนสถานการณ์ให้ทันท่วงที

(4 ต.ค.67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และ เจ้าหน้าที่จากกรมชลประทาน ร่วมลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา ในโอกาสนี้ นายสุริยพล นุชอนงค์ รองอธิบดีรักษาราชการแทนอธิบดีกรมชลประทาน ได้บรรยายสรุปสถานการณ์ และแนวทางการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา ณ วันที่ 2 ต.ค.67 สถานการณ์น้ำจากพื้นที่ตอนบนในลุ่มน้ำปิง วัง ยม  และน่าน ยังคงมีปริมาณฝนตกอยู่ในบางพื้นที่ ส่งผลให้มีปริมาณจากทางตอนบนทยอยไหลลงสู่ลุ่มเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง 

ทำให้ปัจจุบันที่สถานี C.2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 2,128 ลบ.ม./วินาที แนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อเนื่องให้ระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยายกตัวสูงขึ้นตามลำดับ กรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำเข้าระบบชลประทานทั้ง 2 ฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ตามศักยภาพของคลอง และสอดคล้องกับปริมาณฝนที่ตกในพื้นที่ พร้อมควบคุมปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ให้อยู่ในอัตรา 1,899 ลบ.ม./วินาที เพื่อลดผลกระทบพื้นที่ด้านท้ายเขื่อนให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ในส่วนของพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้เฝ้าระวังปริมาณน้ำไหลผ่านสถานีวัดระดับน้ำ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่ให้เกิน 3,000 ลบ.ม./วินาที และยังได้เตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง บริเวณกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ด้วยการพร่องน้ำในคลองสาขาต่างๆ พร้อมเร่งสูบระบายน้ำส่วนเกินออกทางฝั่งตะวันออก ฝั่งตะวันตก และคลองชายทะเล ก่อนระบายลงสู่อ่าวไทย ซึ่งมีศักยภาพการสูบระบายน้ำรวมกันได้ประมาณวันละ 164 ล้าน ลบ.ม. 

ตลอดจนบูรณาการร่วมกับกรุงเทพมหานคร ในการบริหารจัดการน้ำในจุดที่เชื่อมต่อกัน ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ฝนและปริมาณน้ำในพื้นที่ เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนและพื้นที่เศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด ตามข้อสั่งการของ นางสาวแพรทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี และ ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์     

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ว่า ในช่วงวันที่ 1 – 3 ต.ค. 67 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นกำลังปานกลางจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และทะเลจีนใต้ ประกอบกับร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออก ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังอ่อนพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีลักษณะอากาศแปรปรวน 

โดยจะมีฝนฟ้าคะนองกับมีลมกระโชกแรงและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากบางพื้นที่ในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และภาคตะวันออก ประกอบกับกรมอุทกศาสตร์ทหารเรือได้คาดการณ์ว่า ในช่วงวันที่ 28 กันยายน – 2 ตุลาคม 2567 จะเกิดสถานการณ์น้ำทะเลหนุนอีกครั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้พื้นที่เสี่ยงบริเวณพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำแม่กลอง และแม่น้ำท่าจีน ชุมชนนอกแนวคันกั้นน้ำ แนวเขื่อนชั่วคราว และบริเวณที่ไม่มีแนวป้องกันน้ำถาวร (แนวฟันหลอ) ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม, สมุทรสาคร, นครปฐม, นนทบุรี, กรุงเทพมหานคร และสมุทรปราการ มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น  จึงยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ในระยะนี้อย่างใกล้ชิดต่อไป

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมบูรณาการในการแจ้งเตือนประชาชนถึงสถานการณ์น้ำให้ทันท่วงที รวมทั้งจัดเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือให้พร้อมเข้าช่วยเหลือประชาชนได้โดยเร็วที่สุด

ผอ.ศรชล.ภาค 1 มอบนโยบายการปฏิบัติงาน แก่ 'กำลังพล' 

(4 ต.ค.67) พลเรือโท อาภา ชพานนท์ ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 1 (ผอ.ศรชล.ภาค 1) ได้ประชุมมอบนโยบายให้กับ รอง.ผอ.ศรชล.จว. และ หน.ศคท.จว. ในพื้นที่ ศรชล.ภาค 1 ทั้ง 12 จังหวัด พร้อมฝ่ายอำนวยการ และกำลังพลของ ศรชล.ภาค 1 เนื่องในโอกาส มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 และดำรงตำแหน่งเป็น ผอ.ศรชล.ภาค 1 ซึ่งเป็นไปตาม พรบ.ศรชล. พ.ศ.2562 มาตรา 25

เพื่อให้แนวทางการปฏิบัติงาน การเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในทะเล พร้อมให้การช่วยเหลือประชาชน ผู้ประสบภัย และรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล อย่างเต็มขีดความสามารถ 

มีเหตุด่วน เหตุร้าย หรือภัยทางทะเล ต้องการความช่วยเหลือ โทร.1465 แจ้ง ศรชล.ภาค 1 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

โฆษกพิเศษ ศรชล. ยินดี 'เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ' รับตำแหน่งใหม่

(4 ต.ค.67) พลเรือโท ประทีป ตังติสานนท์ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้การต้อนรับ 'พลเรือเอก เชษฐา ใจเปี่ยม' โฆษกพิเศษศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) และอดีตโฆษก กองทัพเรือ ที่เข้าเยี่ยมคำนับแสดงความยินดีเนื่องในโอกาสที่เข้ารับตำแหน่งใหม่ ณ ห้องรับรอง กรมแพทย์ทหารเรือ 

พร้อมรับคำแนะนำ และหารือแนวทางการประชาสัมพันธ์ภารกิจต่างๆ ของกรมแพทย์ทหารเรือ เพื่อสนับสนุนนโยบายของกองทัพเรือ ในการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาลกำลังพลและประชาชน

'มูลนิธิราชประชานุเคราะห์' จับมือ GTO และเมืองโบราณ อบรมนักเรียน

'พลเรือเอกพงษ์เทพ หนูเทพ' ประธาน 'มูลนิธิราชประชานุเคราะห์' ร่วมทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สถาบันศาสตร์แห่งความสุขและความสำเร็จ (GTO academy) และเมืองโบราณสมุทรปราการ 

เพื่ออบรมนักเรียนในสังกัดมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ให้เข้าถึงคุณค่าในตนเอง มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ณ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร

'สอ.รฝ.' ส่ง 'กำลังพล' เสริมเข้าช่วยประชาชน ผู้ประสบภัยน้ำท่วมพื้นที่ 'จังหวัดเชียงราย'

(4 ต.ค.67) ที่หน้ากองบัญชาการหน่วยบัญชาการต่ออากาศยานและรักษาฝั่ง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร  ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง มอบหมายให้ 'นาวาเอก วิรัตน์ ก้อนทอง' เสนาธิการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง มาเป็นประธานในพิธีส่งกำลังพล ชุดเสริม ในภารกิจ ฟื้นฟูช่วยเหลือ ประชาชนผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วม ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย โดยมี คณะผู้บังคับบัญชา นายทหาร ร่วมส่งกำลังพล

โดย นาวาเอก วิรัตน์ ก้อนทอง กล่าวให้โอวาทกำลังพล ชุดเสริมภารกิจ ทั้ง 75 นาย เน้นย้ำ ให้กำลังพลทุกนาย เข้าช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วม อย่างเต็มกำลังความสามารถ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อประชาชน และระมัดระวังเรื่องความปลอดภัย ตนเองด้วย ขอกำลังให้กำลังพลทุกนายที่ปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้ เดินทางถึงพื่นที่ จังหวัดเชียงราย อย่างปลอดภัย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top