Monday, 9 June 2025
NewsFeed

CATL ผนึกกำลังเครือ ปตท. เดินหน้าพัฒนาระบบนิเวศพลังงานไทย ชูเป้าหมายใหญ่ เปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิลไปสู่พลังงานสะอาด

เมื่อวานนี้ (28 ส.ค. 67) บริษัท เอ ซี เอนเนอร์ยี่ โซลูชั่น จำกัด A C Energy Solution (ACE) และ Contemporary Amperex Technology Co., Ltd. (CATL) จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อศึกษาและพัฒนาระบบนิเวศพลังงานไทย ณ สำนักงานใหญ่ CATL เมืองหนิงเต๋อ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมี ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) พร้อมด้วย Mr. LiBin Tan Chief Customer Officer & Co-President of the Market System CATL, นายเอกชัย ยิ้มสกุล กรรมการผู้จัดการ ACE และ Mr. See Tzu Cheng (ขวาล่าง) General Manager of APAC & Strategic Projects CATL ร่วมเป็นเกียรติในพิธี

🚗#กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) จากนโยบายการสนับสนุนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทำให้ปริมาณการใช้ EV มีการเติบโตอย่างเนื่อง โดยปัจจุบัน ACE และ CATL ได้มีความร่วมมือในการจัดตั้งโรงงานประกอบ EV battery pack โดยใช้เทคโนโลยีชั้นนำจาก CATL และ EV value chain จากกลุ่ม ปตท. โดยมุ่งเน้นการผลิต ประกอบ battery pack ที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ ความร่วมมือดังกล่าวยังมีแผนในการศึกษาการพัฒนา ระบบ green factory เพื่อรองรับ Net Zero ในอนาคต เพื่อลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้การพัฒนาระบบ Green factory โดยการนำ Renewable energy และ ระบบ battery มาประยุกต์ใช้ ยังสามารถต่อยอดธุรกิจไปได้หลากได้ด้าน ทั้ง PPA และ Private PPA ภายในประเทศในอนาคตอันใกล้

⚡#กลุ่มการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า (EV Charging) การเติบโตอย่างรวดเร็วของยานยนต์ไฟฟ้า จำเป็นต้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถชาร์จไฟได้สะดวกและรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามสถานีชาร์จปัจจุบัน ยังพึ่งพาระบบโดยทั้งหมดจากการไฟฟ้า ทำให้เกิดปัญหาในหลายมิติ อาทิเช่น Grid stability, Low priority power เป็นต้น โดยความร่วมมือดังกล่าวจะร่วมศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการพลังงานในสถานีชาร์จยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการติดตั้งระบบ BESS ร่วมกับ Solar system เพื่อลดภาระการใช้งานพลังงานจาก Grid เพิ่มความเสถียรของระบบไฟฟ้าในสถานีชาร์จ โดยการจัดการกับความผันผวนของการใช้พลังงานและลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนพลังงาน และรองรับการชาร์จเร็ว (Super-fast charging) ได้ถึง 4C - 6C เป็นต้น

🔋#กลุ่มระบบกักเก็บพลังงานและพลังงานหมุนเวียน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานของประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ความร่วมมือนี้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการเก็บและจัดการพลังงานจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม และนำมาใช้ในช่วงเวลาที่มีความต้องการสูง ระบบ ESS นี้จะช่วยลดการสูญเสียพลังงานและเพิ่มความเสถียรของระบบไฟฟ้า และลดค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานในช่วงเวลาที่มีค่าไฟฟ้าสูง (peak hours) โดยการใช้พลังงานที่เก็บไว้ในแบตเตอรี่แทน นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการพลังงานและลดภาระการใช้พลังงานจาก Grid นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในการศึกษาการสร้าง ESS production line และ Battery cell production line เพื่อรองรับการเติบโตและเป็นการสนับสนุนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย

🚉#กลุ่มระบบการขนส่ง การพัฒนายานยนต์ไฟฟ้า ไม่ใช่แค่รองรับรถยนต์ส่วนบุคคลเท่านั้น การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) มีความเกี่ยวข้องอย่างมากกับการขนส่งที่ยั่งยืน (Sustainable Transportation) เนื่องจากการขนส่งเป็นส่วนสำคัญของชีวิตประจำวันและมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือดังกล่าวได้ร่วมศึกษาพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน เทคโนโลยี การวางแผนเมืองโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้รองรับการขนส่ง อย่างมีประสิทธิภาพ อาทิเช่น ระบบบริหารจัดการพลังงาน ระบบการชาร์จ ระบบ renewable energy ที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น

ข้อเสนอแก้หนี้ครัวเรือน กับผลงานชิ้นโบแดงของแบงก์ชาติ

(1 ก.ย. 67) อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ

ในบรรดาหลายมาตรการที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เสนอในเวที Vision for Thailand เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม ที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าข้อเสนอปรับโครงสร้างหนี้ภาคประชาชน โดยแบ่งเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ครึ่งหนึ่ง (0.23% ของฐานเงินฝากของธนาคารพาณิชย์) มาสมทบกับเงินของสถาบันการเงินเอง เพื่อ Haircut หนี้ของลูกหนี้ที่มีปัญหา เป็นข้อเสนอที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษและมีความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติสูง

ข้อเสนอดังกล่าวเป็นการคิดนอกกรอบอีกครั้งหนึ่งของท่านนายกทักษิณ ซึ่งหากทำสำเร็จ ก็จะผ่อนคลายความเดือดร้อนของประชาชนที่ต้องแบกรับภาระหนี้ที่มีจำนวนสูงถึงกว่า 16 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 91% ของ GDP และเป็นตัวเหนี่ยวรั้งการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจไทยมายาวนาน

ทันทีที่ข้อเสนอถูกเผยออกมา ผู้บริหารแบงก์ชาติถึงกับเกิดอาการอึ้ง เมื่อถูกสื่อสอบถามความเห็น แต่ก็ได้ให้ลิ่วล้อออกมาส่งเสียงคัดค้านว่าจะเกิดผลเสียต่อการบริหารหนี้ FIDF (Financial Institutions Development Fund) ต่าง ๆ นานา ทั้ง ๆ ที่หนี้ FIDF ก้อนนี้ ซึ่งยังคงค้างอยู่ประมาณ 600,000 ล้านบาท เป็นหนี้สาธารณะที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงการคลัง ไม่ใช่หน้าที่ของ ธปท. แต่ ธปท. ในฐานะธนาคารกลางที่เป็นอิสระ เป็นผู้สร้างขึ้นมาจากน้ำมือของ ธปท. เองล้วน ๆ

ย้อนหลังไปเมื่อปี 2540 หลายท่านอาจจำไม่ได้แล้วว่า ประเทศไทยมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (Fixed Exchange Rate) ธปท. ในฐานะผู้รับผิดชอบนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน จึงออกไป Defend ค่าเงินบาท ปกป้องไปปกป้องมาจนผลาญเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเสียเกลี้ยง จึงต้องประกาศลอยตัวค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 พร้อม ๆ กับการเข้าโปรแกรม IMF การปิดสถาบันการเงิน และการให้รัฐบาลประกาศรับประกันเงินฝากของประชาชนที่สถาบันการเงิน จึงเป็นที่มาของหนี้จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งในที่สุด ธปท. ต้องร้องขอให้รัฐบาลแปลงจากหนี้ของกองทุน FIDF มาเป็นหนี้สาธารณะ (Fiscalization)

เนื่องจากหนี้ FIDF มีที่มาจากระบบสถาบันการเงิน จึงไม่เหมาะสมที่จะให้คนไทยผู้เสียภาษีทั้งประเทศรับภาระหนี้ก้อนนี้ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 1.4 ล้านล้านบาท จึงมีความตกลงกันให้ ธปท. รับผิดชอบชดใช้เงินต้น และกระทรวงการคลังรับภาระดอกเบี้ย แต่จนแล้วจนรอด ธปท. ก็ไม่ทำตามสัญญา โดยอ้างว่าไม่มีกำไร ในขณะที่ยังคงจ่ายโบนัสพนักงานอยู่เป็นปกติ 

เมื่อหนี้ไม่ลด การชำระดอกเบี้ย จึงไม่ลดไปด้วย โดยกระทรวงการคลังต้องขอตั้งงบประมาณชำระดอกเบี้ยเป็นจำนวนสูงถึงปีละกว่า 60,000 ล้านบาท

เมื่อ ธปท. ไม่ชำระหนี้เงินต้นตามที่ตกลงกันไว้ จึงเป็นที่มาของการออกกฎหมายกำหนดให้ธนาคารพาณิชย์นำส่งเงินเพื่อชำระหนี้ FIDF จำนวน 0.46% ของฐานเงินฝาก ในสมัยที่คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาหนี้ FIDF อย่างเบ็ดเสร็จและตรงจุด และผลจากการดำเนินการดังกล่าวได้ทำให้รัฐบาลสามารถลดภาระงบประมาณได้อย่างมากและลดยอดหนี้ FIDF คงค้างเหลือไม่ถึง 600,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

ดังนั้นข้อเสนอของอดีตนายกทักษิณ แม้จะทำให้การชำระหนี้ FIDF ล่าช้าไปบ้าง แต่ก็เป็นทางออกที่เหมาะสมในการบรรเทาปัญหาหนี้ภาคประชาชน ซึ่งเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รุมเร้าสังคมไทยอยู่ทุกวันนี้ ส่วนคนที่ควรรักษามารยาท ก็น่าจะเป็น ธปท. เพราะเป็นผู้สร้างปัญหามาแต่ต้น และก็ไม่สามารถแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นได้

'เพื่อไทย' ชี้!! แนวคิดซื้อสัมปทานรถไฟฟ้าคืนรัฐ ยังอยู่ระหว่างการศึกษา วอน!! ไม่อยากให้มุ่งค้านทุกเรื่องที่รัฐบาลเสนอโดยไม่สนใจการศึกษาใดๆ

(29 ส.ค. 67) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.บัญชีรายชื่อ และรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีการแสดงความเห็นคัดค้านแนวคิดการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้าว่า รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเดินหน้านโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายมาอย่างต่อเนื่อง โดยนำร่องด้วยวิธีชดเชยค่าโดยสารในสายสีม่วงและสายสีแดง ผลลัพธ์ออกมาทางบวกทั้ง 2 ส่วน สามารถแบ่งเบาภาระค่าเดินทางประชาชน และส่งเสริมให้รถไฟฟ้าเป็นขนส่งสาธารณะ เป็นบริการสาธารณะที่สร้างความเท่าเทียมในการเดินทางให้กับพี่น้องประชาชน

ส่วนแนวคิดการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้ากลับคืนมาที่รัฐ เพื่อให้รัฐสามารถควบคุมราคาได้เองอย่างยั่งยืน ไม่ต้องแบกรับภาระการชดเชยไปตลอด เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่อยู่ระหว่างการศึกษา  จึงต้องรอผลการศึกษาที่ชัดเจน มีข้อมูลครบถ้วนก่อนจะออกมาวิจารณ์คงจะเหมาะสมกว่า มิใช่มุ่งจะค้านทุกเรื่องที่รัฐบาลเสนอโดยไม่สนใจการศึกษาใด ๆ

นายชนินทร์ กล่าวว่า ส่วนที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความตั้งใจในการกระจายอำนาจเรื่องการขนส่งสาธารณะไปยังท้องถิ่นต่างๆ ภายหลังการโหวตไม่รับหลักการร่างพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก ของอดีตพรรคก้าวไกลนั้น ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการให้อำนาจท้องถิ่นในเรื่องนี้เพิ่มเติมแล้วในหลายลักษณะ เช่น มีการออกกฎกระทรวง (ฉบับที่ 64 พ.ศ. 2567) ให้อำนาจกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถเข้ามามีส่วนร่วมเป็นผู้ดำเนินการให้บริการระบบการขนส่งด้วยรถโดยสารสาธารณะเองได้แล้ว และปัจจุบันคณะกรรมกลางฯตามพระราชบัญญัติฉบับนี้เอง ก็ได้มีการผ่องถ่ายอำนาจการกำหนดราคาค่าโดยสาร และการออกใบอนุญาตประกอบการ ให้คณะกรรมการในระดับจังหวัดเป็นผู้ดำเนินการแทนแล้ว และยังมีแนวคิดที่จะทยอยเพิ่มอำนาจการกำกับดูแลอื่นๆให้คณะกรรมการในระดับจังหวัดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผ่านกลไกของฝ่ายบริหาร 

นอกจากนี้ในงบประมาณฯปี 2568 ที่กำลังพิจารณาในสภาอยู่ กรมขนส่งทางบกเอง ก็ยังมีการตั้งโครงการเพื่อศึกษารูปแบบการอุดหนุนของรัฐที่ยั่งยืนในระบบโดยสารสาธารณะไว้ด้วย เพื่อออกแบบโมเดลการสนับสนุนของภาครัฐในการส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีศักยภาพในการมีระบบขนส่งสาธารณะของตัวเองให้ได้อย่างยั่งยืน เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าผลการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์กับท้องถิ่นต่างๆทั่วประเทศอย่างแน่นอน ทุกอย่างมีการดำเนินการอยู่ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย  และคงไม่ช้าเกินไปหากในเวลานั้นเราจะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพิจารณากันอีกครั้ง ในแง่มุมที่ครบถ้วนรอบด้านมากขึ้น

“พรรคเพื่อไทยยืนยันเดินหน้านโยบาย 20 บาทตลอดสายให้สำเร็จตามแผนงานที่เคยประกาศไว้อย่างชัดเจน ทั้งที่โดนปรามาสมาตลอดว่า ทำไม่ได้จริง หรือ ไม่ควรทำ เพราะเรามั่นใจว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน พร้อมกับอีกหลายนโยบายในการยกระดับขนส่งสาธารณะอื่นๆทั้งรถเมล์ และรถไฟทางไกล เพื่อให้ขนส่งสาธารณะเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการบริการพี่น้องในแต่ละพื้นที่อย่างยั่งยืนต่อไป“ นายชนินทร์ กล่าว

เปิดฉาก ‘พาราลิมปิกเกมส์ 2024’ ณ กรุงปารีส สุดอลังการ ‘แวว สายสุนีย์-ฟิว อธิวัฒน์’ นำทัพนักกีฬาไทยร่วมขบวนพาเหรด

(29 ส.ค. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแข่งขันกีฬาพาราลิมปิกเกมครั้งที่ 17 ที่กรุงปารีสเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส ได้ฤกษ์เปิดฉากเมื่อวันพุธที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมาอย่างเป็นทางการ ในครั้งนี้มีทั้งหมด 169 ทีมเข้าแข่งขัน ประกอบด้วย 167 ประเทศภาคีสมาชิก, ทีมเรฟูจี หรือทีมผู้ลี้ภัย และ NPA ทีม จากรัสเซีย กับเบลารุส เข้าร่วมการแข่งขันมีทั้งหมด 22 ชนิดกีฬาชิงชัยทั้งสิ้น 549 เหรียญทอง 

เริ่มต้นด้วย ‘ขบวนพาเหรด’ จากประตูชัยนโปเลียน หรือ อาร์กเดอทรียงฟ์เดอเลตวล ไปบนถนน ฌ็อง-เซลิเซ่ ซึ่งจะมีคณะผู้แทนจากทั่วโลกเข้าร่วมกับนักกีฬาและเจ้าหน้าที่กว่า 6,000 คน พร้อมการแสดงแสงสีเสียง ผ่านธีมที่ใช้ครั้งนี้เป็นการนำเสนอเกี่ยวกับร่างกายมนุษย์และ ‘ประวัติศาสตร์และความขัดแย้ง’ โดยมี โธมัส จอลลี่ เป็นผู้กำกับ ซึ่งเป็นคนเดียวกับที่กำกับ-ออกแบบพิธีเปิดโอลิมปิกเกมส์ 2024 และการออกแบบท่าเต้นโดย อเล็กซานเดอร์ เอ๊คมัน ก่อนจะสิ้นสุดที่ พลาส เดอ ลา คองคอร์ด เออร์บัน สปอร์ตส์ พาร์ค

โดยทีมชาติไทย ‘แวว สายสุนีย์ จ๊ะนะ’ และ ‘ฟิว อธิวัฒน์ แพงเหนือ’ นำทัพนักกีฬาพาราลิมปิกทีมชาติไทย เดินเข้าสู่พิธีเปิด พร้อมกับเจ้าภาพแสดงชุดแรก เวลคัมทูปารีส

สำหรับการแข่งขันจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม - 8 กันยายน 2567

'สื่ออาวุโส' สแกนทิศทางการเมืองไทยจากนี้ ใต้ 17 ความเป็นไปได้จากแรงกระแสธารข่าว

(29 ส.ค. 67) เถกิง สมทรัพย์ สื่อมวลชนอาวุโส โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เขียนตามที่เห็นข่าว...ผมไม่มีข้อมูลอินไซด์อะไรเลยนะครับ…ไม่ต้องอ่านก็ได้

1. ใครบางคน น่าจะกำลังทำให้พรรคเพื่อไทยรวบรวมเสียงจากพรรคอื่น ๆ มาให้มากที่สุดเพื่อเป็นพรรคใหญ่ที่สุดในรัฐสภา

2. พรรคพลังประชารัฐแม้จะออกไปทั้งพรรค แต่สส.ร่วม ๆ 30 คนน่าจะรอเวลา U-TURN มาร่วมมือกับเพื่อไทย...ถึงขั้นมาร่วมพรรคกันในอนาคต

3. พรรครวมไทยสร้างชาติผนึกกับเพื่อไทยแน่น

4. พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา และพรรคขนาดเล็กอื่น ๆ น่าจะร่วมเดินทางไปด้วยกันกับเพื่อไทยอีกนาน

5. พรรคประชาชน…น่าจะอยู่ในสภาพอัมพฤกษ์ไปจนกว่าจะชัดเจนเรื่อง 44 สส. (และข่าวเรื่องมีการติดต่อขอตัวย้ายพรรคนั้นยังเชื่อว่าจะจริง ดังนั้นนี่จะเป็นอีกหนึ่งกำลังของรัฐบาลเพื่อไทย)

6. รัฐบาลเพื่อไทยน่าจะจัดหาจำนวน สส. มาไว้ข้างตัวเองเกือบ ๆ 400 เสียงเพื่อความมั่นคงในช่วงนี้ และเพื่อลงสนามเลือกตั้งคราวหน้า

7. พรรคเพื่อไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบัน ต้องสร้างผลงานให้ดีเป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชน และทำงานการเมืองเพื่อเป็นพรรคเสียงข้างมากอีกสมัย  ด้วยการเอาชนะพรรคประชาชนให้ได้อย่างเด็ดขาด…มันเป็นไฟท์บังคับที่ต้องทำเพราะกติกาการเมืองไทยเป็นแบบนี้

8. พรรคประชาชน จะผ่านการเมืองช่วงนี้ไปถึงไหน…ต้องรอชมบทบาทในสภาฯ ในฐานะฝ่ายค้าน และในฐานะพรรคที่มาแรงที่สุดในปัจจุบัน

9. พลเอกประวิตร ยังสู้ไม่ถอย ยังเคลื่อนไหวต่อสู้ทางการเมืองกับเพื่อไทย โดยที่การเป็นคนมีอำนาจมาก จึงทำให้เพื่อไทยไม่วางใจ เพราะโดนสอยมาหลายครั้งแล้ว

10. คุณชวน หลีกภัย น่าจะอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป…เพราะกลุ่มนำของพรรคในปัจจุบันคงจะหาทาง 'ขับ' ท่านออกจากพรรคยาก เพราะคุณชวนไม่ได้ทำอะไร 'ผิดข้อบังคับพรรค' และถ้าจะขับท่านออก ก็ต้องใช้มติของกรรมการบริหารกับสส.ในสภา ที่จะต้องใช้เสียงถึง 3 ใน 4 ซึ่งยากมาก

11. แต่คุณชวน หลีกภัย ไม่เหมือนพลเอกประวิตร...ถึงแม้คุณชวนจะไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาล แต่คุณชวนไม่เคลื่อนไหวล้มรัฐบาลเพื่อไทยหรือไม่สร้างปัญหาให้กับเสถียรภาพของรัฐบาล…คุณชวนมุ่งที่จะสร้างเครดิตให้กับพรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น

12.ในข้อบังคับพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ถ้าจะมีการควบรวมพรรคกับใคร ต้องใช้ชื่อ 'พรรคประชาธิปัตย์' เท่านั้น...อันนี้น่าคิดว่า ถ้ากลุ่มผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบันวางมือจากพรรคในคราวหน้า ไม่เอาพรรคไปรวมกับใครหรือรวมแล้วยังใช้ชื่อ ประชาธิปัตย์ เหมือนเดิม...โอกาสที่สมาชิกพรรคที่มีแนวคิดเหมือนเดิมก็จะมีโอกาสมาฟื้นฟูพรรคตามแนวทางเดิม

13. และคงจะไม่มีใครบริหารพรรคประชาธิปัตย์ให้ถูกยื่นยุบพรรคอีก หรือถ้าใครจะไปทำ ก็เห็นได้ชัดว่าคุณชวนก็พูด ๆ เหมือนจะวางแนวทางอะไรบางอย่างไว้แล้วว่าถ้ามีวิกฤตินี้มาจะทำยังไง

14. คุณชวน น่าจะยังอยู่กับประชาธิปัตย์ต่อไป และทำงานในฐานะสมาชิกสภาฯ ต่อไป...แต่น่าจะมีบทบาทให้ข้อคิดกับสังคมมากขึ้น สร้างความหวังให้กับคนที่เคยสนับสนุนประชาธิปัตย์ให้มาร่วมกับกอบกู้พรรค  

15. แม้จะมีคนห่วงท่านว่าท่านอายุมากแล้ว แต่คำพูดของคนอายุจะใกล้ 90 สามารถปลุกพลังผู้คนได้มากกว่าคนอายุน้อย ๆ ที่ไม่คิดจะสู้

16. กำลังกายอ่อนลง กำลังทางการเมืองอ่อนลง แต่คำพูดที่ยึดมั่นในหลักการกลับทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ

17. คุณชวน ต้องอยู่ในสภาฯ เพื่อมีพื้นที่ทำงานทางความคิดต่อไป

แม่นบ่

‘เมียนมา’ แปรรูป ‘กล้วยเหลือทิ้ง’ สู่สินค้ามูลค่าเพิ่ม เนรมิตเป็น ‘รองเท้าแตะ-เสื่อ-ผ้าเช็ดตัว-กระเป๋า’

(29 ส.ค. 67) สำนักข่าวซินหัว รายงานว่า เมียนมากำลังดำเนินงานแปรรูปกล้วยเหลือทิ้งภายในประเทศให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้แก่เกษตรกรท้องถิ่นและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ โดยส่วนใหญ่ใช้วัตถุดิบกล้วยเหลือทิ้งจากภูมิภาคอิรวดี, มัณฑะเลย์ และพะโค ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกกล้วยสำคัญ

รายงานระบุว่า หลายภูมิภาคและรัฐของเมียนมา เช่น พะโค, อิรวดี, ฉาน ,มัณฑะเลย์ และย่างกุ้ง ได้เปิดสอนการแปรรูปกล้วยเหลือทิ้งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม โดยผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากกล้วยเหลือทิ้ง ได้แก่ รองเท้าแตะ เสื่อ ผ้าเช็ดตัว และกระเป๋า

อู มยิน เตง ผู้ก่อตั้งกรีน บานานา เมียนมา (Green Banana Myanmar) กล่าวว่า การใช้ผลิตภัณฑ์จากกล้วยเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนผลิตภัณฑ์พลาสติก

ขณะเดียวกันเมียนมาดำเนินโครงการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของการเพาะปลูกกล้วย รวมถึงโอกาสจำหน่ายลำต้นกล้วยเป็นรายได้เสริม

อนึ่ง กรีน บานานา เมียนมา กำลังทำงานร่วมกับสำนักการพัฒนาชนบท เพื่อจัดการฝึกอบรม และกำลังเปิดหลักสูตรตามโรงเรียนวัดด้วย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติไทยและกัมพูชา เริ่มแล้ว!!! ปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา และคนไทยขายชาติ

เมื่อวันที่ (28 ส.ค. 67) เวลา 09.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร.) มอบหมายให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศปอส.ตร. และคณะฯ เดินทางไปประชุมปฏิบัติการร่วมกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ภายใต้ “ยุทธการระเบิดสะพานโจร” ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา โดยมี พล.ต.ท.แสง เธียริธ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกัมพูชา และคณะผู้บริหาร เข้าร่วมการประชุม

การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่มีการรวบรวมพยานหลักฐานและวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มมิจฉาชีพ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) พบว่ามีการตั้งฐานปฏิบัติการจำนวนมากอยู่ในกัมพูชา เพื่อหลบหนีการดำเนินคดีของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายไทย โดยแก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้จะมีคนจีนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังร่วมกับคนไทย มาหลอกลวงประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้สูญเสียทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก ทั้งสองประเทศจึงได้มีการประชุมร่วมมือกันเพื่อดำเนินการกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บงการและตัวการสำคัญในกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ส่วนคนไทยที่มาร่วมมือกับคนต่างชาติมาหลอกลวงเอาทรัพย์สินของคนไทยไปให้คนต่างชาติ จะมีการกวาดล้างส่งตัวกลับไทย ดำเนินคดี ทั้งการทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาตและการหลบหนีเข้าเมือง ในกรณีที่ยังไม่มีหมายจับจากไทย

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างไทยและกัมพูชาในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ และดำเนินการอย่างเด็ดขาดกับคนไทยที่ขายชาติ ไปทำงานให้กับคนต่างชาติมาปล้นทรัพย์สินคนไทยไปให้คนต่างชาติ ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมีมาตรการทางด้านตรวจคนเข้าเมือง ในการติดตามกลุ่มคนไทยขายชาติเหล่านี้ที่ออกไปทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์

'กองทัพเรือ' จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ยิ่งใหญ่ สมพระเกียรติ อีกทั้งมอบเกียรติประวัติแด่ทุกผู้เกี่ยวข้องในพระราชพิธีสำคัญนี้

สืบเนื่องจาก 'กองทัพเรือ' ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล ให้จัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 การพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งได้มีการเตรียมการด้านการฝึกซ้อมกำลังพลฝีพาย และการซ่อมบำรุงเรือ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในส่วนอื่น ๆ เพื่อให้การจัดงานในครั้งนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สง่างาม และสมพระเกียรติ 

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 31 ส.ค.67 ได้ถือโอกาสพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้องในพระราชพิธีสำคัญดังกล่าว โดยเริ่มที่ นาวาโทจิระพงศ์ กลมดวง นายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ ถึงเส้นทางการรับราชการจนเป็นนายเรือ ดังนี้...

นาวาโทจิระพงศ์ เล่าว่า เมื่อปี พ.ศ. 2536 ได้เริ่มต้นรับราชการอยู่กองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ โดยมีหน้าที่รับเชือกอำนวยความสะดวกให้เรือพระราชพิธีเข้าออกจากหลักจอด และได้ย้ายมาอยู่ที่แผนกเรือพระราชพิธี เมื่อปี พ.ศ. 2546 และได้เริ่มเป็นนายท้ายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เมื่อปี พ.ศ. 2549 ซึ่งหน้าที่ของนายท้ายเรือนั้น ก็เหมือนคนขับรถที่ต้องถือพวงมาลัย คอยที่จะเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาให้กับเรือ 

จากนั้น เมื่อปี พ.ศ. 2562 ได้รับโอกาสเป็นนายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ โดยมีหน้าที่รับผิดชอบทั้งหมด เช่น ต้องควบคุมเรือให้อยู่ในตำแหน่งที่กำหนดในริ้วขบวนและควบคุมความเร็วของเรือ ซึ่งการพายเรือพระที่นั่งต้องพายท่านกบินตลอดเส้นทาง 

นอกจากนี้ยังได้เป็นครูฝึกฝีพาย แก่คนที่พายเรือไม่เป็นเลย ให้ต้องมาเรียนรู้บนบกก่อน เรียกว่าการฝึกบนเขียงฝึก โดยกองทัพเรือมีเขียงฝึกอยู่ทั้งหมด 12 แห่งทั่วประเทศ 

เมื่อถามถึงความรู้สึกของฝีพายเรือพระที่นั่ง? นาวาโทจิระพงศ์ เผยว่า "ทุกคนอยากจะพายเรือเพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ส่วนตัวผมเอง มีความภาคภูมิใจมากที่ได้เป็นนายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ และอยากทำงานนี้ไปเรื่อย ๆ ซึ่งพร้อมถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ไปยังรุ่นน้อง ๆ ต่อไป"

สำหรับกาพย์เห่เรือเฉลิมพระเกียรติในครั้งนี้ นาวาโทจิระพงศ์ เล่าอีกว่า มีลักษณะเป็นการบรรยายเล่าถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประพันธ์โดย พลเรือตรีทองย้อย แสงสินชัย มีทั้งหมด 4 บท ได้แก่ สรรเสริญพระบารมี, ชมเรือกระบวน, บุญกฐิน และชมเมือง ซึ่งทางกองทัพเรือได้เตรียมกำลังพลเห่เรือไว้ 3 ท่าน ได้แก่...

- ท่านที่ 1 เรือโทสุราษฎร์ ฉิมนอก หัวหน้าหมวดเรือลำเลียงที่ 1 ซึ่งมีประสบการณ์เป็นพนักงานเห่เรือสำรอง เมื่อปี พ.ศ. 2562 

- ท่านที่ 2 พ.จ.อ.พูลศักดิ์ กลิ่นบัว ช่วยปฏิบัติราชการกองเรือเล็ก เดิมเคยเป็นฝีพายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และเป็นครูฝึกพายเรือพระราชพิธี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการเป็นพนักงานเห่เรือ 

- ส่วนท่านที่ 3 จ.อ.เสฐียร ขาวขำ ช่วยปฏิบัติราชการกองเรือเล็ก เคยเป็นฝีพายเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์และเป็นครูฝึกพายเรือพระราชพิธี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของการเป็นพนักงานเห่เรือเช่นกัน 

เมื่อถามถึงความรู้สึกของพนักงานเห่เรือที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีสำคัญครั้งนี้? ด้านเรือโทสุราษฎร์ กล่าวว่า "มีความรู้สึกปลาบปลื้มใจและเป็นเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูลจะตั้งใจทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดตามที่ได้รับมอบหมาย"

ส่วน พ.จ.อ.พูลศักดิ์ กล่าวว่า 'มีความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาเป็น 1 ใน 3 ของพนักงานเห่เรือและเป็นเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูล" และ จ.อ.เสฐียร กล่าวว่า "รู้สึกภาคภูมิใจและเป็นเกียรติสูงสุดในการทำหน้าที่นี้ ซึ่งต้องขอขอบคุณผู้บังคับบัญชาที่ให้โอกาส ส่วนการสืบทอดการเห่เรือให้คงอยู่ต่อไป"

เรือโทสุราษฎร์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า "ปัจจุบันทางกองทัพเรือได้ให้โอกาสบุคคลที่มีความรู้ความสามารถได้แสดงศักยภาพของตัวเองเพื่อสร้างสมประสบการณ์มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันท่านผู้บัญชาการทหารเรือได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ จึงได้เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ของกองทัพเรือ ได้เป็นพนักงานเห่เรือในครั้งนี้ด้วย"

ผบ.ตร.ตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 กำชับการผลิตตำรวจรุ่นใหม่ต้องปลอดภัย มีมาตรฐาน และพร้อมรับมืออาชญากรรมในอนาคต

เมื่อวานนนี้ (28 ส.ค. 67) เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ , พล.ต.ต.พิทักษ์ อุทัยธรรม รอง ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. และคณะ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 (ศฝร.ภ.3) ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยมี พล.ต.ท.ฐากูร นัทธีศรี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 (ผบช.ภ.3), พล.ต.ต.วิวัฒน์ สีลาเขตต์ รอง ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.ณรงค์ฤทธิ์ ด่านสุวรรณ์ ผบก.ภ.จว.นคราชสีมา และ พล.ต.ต.สถาพร เอมโอษฐ์ ผบก.ศฝร.ภ.3 พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจ ศฝร.ภ.3 และนักเรียนนายสิบตำรวจ ให้การต้อนรับ

ผบ.ตร.ได้ตรวจเยี่ยมการฝึกอบรมยิงปืนพกของนักเรียนนายสิบตำรวจ รุ่นที่ 14 และการฝึกอบรมภาควิชาการของนักเรียนนายสิบตำรวจ รุ่นที่ 15 จากนั้น ผบ.ตร. และคณะ ได้เดินทางไปยังห้องประชุมศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 เพื่อรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการฝึกอบรมหลักสูตรนักเรียนนายสิบตำรวจในปัจจุบัน ซึ่ง ผบก.ศฝร.ภ.3 ได้บรรยายปัญหาข้อขัดข้อง เช่น สภาพของอาคารที่พักและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก โดย ผบ.ตร.ได้รับทราบและได้สั่งการให้สำนักงานงบประมาณและการเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยแก้ปัญหาเป็นการเร่งด่วน

ทั้งนี้ ผบ.ตร. ได้กำชับแนวทางการปฏิบัติของศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 ในการฝึกอบรมข้าราชการตำรวจ ดังนี้

1. ให้ความสำคัญกับการผลิตข้าราชการตำรวจให้เกิดแนวคิดที่ว่า ทักษะ ความรู้ ความเชี่ยวชาญ สามารถพัฒนาได้อยู่เสมอ ผ่านการลงมือปฏิบัติจริง (Learning By Doing) และการเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เพื่อให้ข้าราชการตำรวจเมื่อจบการฝึกอบรมแล้ว จะแสวงหาการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพตำรวจ ด้วยตนเองอยู่เสมอ
2. เน้นย้ำให้การจัดฝึกอบรมทุกครั้งจะต้องเป็นไปตามมาตรฐานการศึกษา ทั้งในเรื่องวิชาการ การฝึกทักษะทางยุทธวิธีตำรวจ การฝึกตามแบบฝึกตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฝึกอบรมกลางแจ้งในช่วงที่อุณหภูมิสูง จะต้องมีการควบคุมการปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬาอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดต่อสุขภาพของผู้เข้ารับการฝึกอบรม
3. ผู้บังคับบัญชาต้องดูแลเอาใจใส่เรื่องสวัสดิการ ขวัญกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจริงจังในทุกระดับ เพราะขวัญ คือ อำนาจรบที่ไม่มีตัวตน

ผบ.ตร.ได้กล่าวชมเชย และขอบคุณข้าราชการดำรวจในสังกัดศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 ทุกนาย ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจในปฏิบัติหน้าที่อันมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ คือการผลิตข้าราชการตำรวจที่จะต้องออกไปปฏิบัติหน้าที่ดูแลพี่น้องประชาชน ให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน และยังมีภารกิจดำเนินการฝึกอบรมตามหลักสูตรพัฒนาประสิทธิภาพกำลังพลอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายให้ตำรวจไทยมีทักษะทางวิชาชีพ และพัฒนาศักยภาพให้พร้อมเผชิญกับทุกสถานการณ์ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ในส่วนของสมาคมแม่บ้านตำรวจ คุณนิภาพรรณ สุขวิมล นายกสมาคมแม่บ้านตำรวจ พร้อมด้วยคุณฐาณิญา ผิวพรรณ , คุณชนาพร ไกรทอง กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านตำรวจ ร่วมเปิดโครงการฝึกอบรมการเอาตัวรอดจากคนร้ายมีอาวุธในที่สาธารณะ (Active Shooter) ให้กับชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 3 โดยมีคุณนัทษมน นัทธีศรี ประธานชมรมแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 3  คณะแม่บ้านตำรวจภูธรภาค 3 และข้าราชการตำรวจภูธรภาค 3  ร่วมการอบรม ณ ห้องประชุมศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3 อบรมโดยวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจากกองบังคับการปฏิบัติการพิเศษ เพื่อให้สมาชิกแม่บ้านตำรวจ และข้าราชการตำรวจ มีความรู้ในหลักการปฏิบัติตนเมื่ออยู่ในสถานการณ์ความรุนแรงชั้นวิกฤต  สถานการณ์เหตุกราดยิง ซึ่งเป็นภัยที่อาจเกิดขึ้นได้แบบไม่คาดคิดดังนั้น จึงต้องมีการฝึกฝนเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วยลดความสูญเสียให้ได้มากที่สุด 

วันคล้ายวันสถาปนา รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ครบรอบ 27 ปี

เมื่อวานนี้ (28 ส.ค. 67) ณ หอประชุม รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ คณะผู้บังคับบัญชา คณะผู้แทนจากหน่วยงานกองทัพเรือ ผู้มีอุปการะคุณ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สถานศึกษา ร่วมแสดงความยินดีและร่วมพิธี เนื่องในวันคล้ายวันสถาปนาโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ครบรอบ 27 ปี โดยมี พลเรือตรี ดนัย ปานแดง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ให้การต้อนรับในการนี้ พลเรือตรี ดนัย ปานแดง พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา ข้าราชการ รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พร. ได้ร่วมประกอบพิธีทางศาสนา เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับและเพื่อความเป็นสิริมงคล ในวาระครบรอบ 27 ปี วันสถาปนา รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ

นอกจากนี้ พลเรือตรี ดนัย ปานแดง ผอ.รพ.ฯ ประธานจัดงานวันสถาปนา รพ.ฯ พร้อมคณะผู้บังคับบัญชา และแขกผู้มีเกียรติ ได้ร่วมพิธีมอบรางวัลบุคลากรดีเด่น 16 รางวัล และหน่วยงานดีเด่น 6 หน่วยงาน ตามค่านิยม SRK-TOP โรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ประจำปี 2567  พร้อมทั้งกล่าวแสดงความชื่นชมและยินดีกับผู้ได้รับรางวัลบุคลากรดีเด่น ตลอดจนบุคลากรที่ได้รับการเสนอชื่อเข้ารับการศัดเลือกทั้งหมด ซึ่งนับเป็นบุคลากรดีเด่น ในระดับหน่วยงาน และเป็นบุคคลที่เป็นแบบอย่างที่ดีแก่บุคลากรอื่นๆ ของโรงพยาบาล ขอให้ทุกท่านคงไว้ ซึ่งพฤติกรรม และการปฏิบัติที่ดีนี้ตลอดไปและในตอนท้าย พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ได้เป็นประธานในพิธี มอบทุนการศึกษาแก่บุตรกำลังพลของ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 625,000 บาท

โดยจัดสรรเป็นทุนการศึกษา จำนวน 120 ทุน ทุนละ 5,000 บาท ประกอบด้วยทุนการศึกษา ระดับประถมศึกษา 36 ทุน ระดับมัธยมศึกษา 46 ทุน ระดับอุดมศึกษา 21 ทุน ทุนสำหรับเด็กพิเศษ 2 ทุน ทุนโรงเรียนในพื้นที่ใกล้เคียง 10 ทุน ทุนโรงเรียนเด็กพิเศษ ทุนละ 10,000 บาท 1 ทุน ทุนนักเรียนพยาบาลทหารเรือ ทุนละ 10,000 บาท 2 ทุน
และทุนนักเรียนจ่าทหารเรือ เหล่าทหารแพทย์ ทุนละ 10,000 บาท จำนวน 2 ทุน

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top