Monday, 9 June 2025
NewsFeed

‘จอมพล ป.’ เขียน ส.ค.ส. “Please อโหสิกรรม” ถึง ‘ปรีดี’

มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้าง #ร่างที่เป็น

2475: การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และการให้อภัย

“Please อโหสิกรรม”

จอมพล แปลก พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีไทย เขียน ส.ค.ส. ถึง ปรีดี พนมยงค์ ก่อนตนถึงแก่อสัญกรรม ในปี พ.ศ. 2507

เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

‘คณะราษฎร’ ขอพระราชทานอภัยโทษจากในหลวง รัชกาลที่ 7

มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้าง #ร่างที่เป็น

2475: การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และการให้อภัย

“ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม…

“การที่พวกข้าพระพุทธเจ้าได้ประกาศกล่าวข้อความ ในวันเปลี่ยนแปลงด้วยถ้อยความรุนแรง กระทบกระเทือน ถึงใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท และพระบรมวงศานุวงศ์ ก็ด้วยมุ่งถึงผลสำเร็จทันทีทันใดเป็นใหญ่…

“สมเด็จพระมหากษัตริย์ตราธิราชในพระราชวงศ์จักรี ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ได้ทรงมีส่วนนำความเจริญมาสู่ประเทศสยามตามกาลสมัย บัดนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พวกข้าพระพุทธเจ้า มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท…

ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงขอพระราชทาน พระบรมราชวโรกาสนี้ กราบบังคมทูล ขอพระราชทานอภัยโทษอีกครั้งหนึ่ง เป็นคำรบสองในถ้อยที่ได้ประกาศไป”

คณะราษฎร กราบบังคมทูลขอพระราชทานอภัยโทษ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2475

เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

‘ในหลวงรัชกาลที่ 7’ ไม่ยินยอมให้ผู้ใด หรือคณะใดใช้อำนาจของพระองค์ โดยปราศจากการฟังเสียงของประชาชน

มายาธิปไตย 2475 #เทสที่สร้าง #ร่างที่เป็น

2475: การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ และการให้อภัย

“ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้อง ตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจ และยึดถือของข้าพเจ้า…

“ข้าพเจ้าไม่สามารถยินยอมให้ผู้ใด คณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้น ในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิม ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป

“แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยเด็ดขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

พระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477

เรียบเรียงโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เพิ่มศักดิ์ จะเรียมพันธ์ กลุ่มวิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

'ราชตฤณมัยฯ' แจงปมโครงการ Entertainment Complex อยู่ระหว่างหาสถานที่ก่อสร้าง ไม่ใช่พื้นที่ 'สนามม้านางเลิ้ง' เดิม

(28 ส.ค. 67) คมชัดลึก ออนไลน์ เผยบทสัมภาษณ์ชี้แจงจากผู้บริหาร 'ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์' ภายหลังมีกระแสดรามาเปิดตัวโครงการ Entertainment Complex มูลค่าการลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อสร้างสถานที่สันทนาการแบบครบวงจร World Class ระดับเอเชีย ภายใต้ชื่อ 'The Royal Siam Haven' คาดพร้อมเปิดให้บริการ ปี 2575 ด้วยแนวคิดทันสมัยเข้ากับธุรกิจบันเทิงและการท่องเที่ยวเพื่อเชิญชวนให้ชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวเสริมสร้างเศรษฐกิจและเม็ดเงินหมุนเวียน โดยมีแนวคิดที่สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบัน

แต่หลังจากประกาศเปิดตัวโครงการไปนั้น มีประชาชนบางส่วนอาจจะยังเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องสถานที่ก่อสร้างโครงการ Entertainment Complex 'The Royal Siam Haven' โดย ดร.อริย์ธัช รัตนศุทธพบูลย์ รองประธานกรรมการอำนวยการและนายกสนามราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และประธานโครงการดังกล่าว ได้ออกมาเปิดเผยว่า...

"ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยจะไปสร้าง Entertainment Complex ในพื้นที่ของสนามม้านางเลิ้งนั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน เราจะไปสร้างในพื้นที่อื่น เนื่องจากว่าพื้นที่สนามม้านางเลิ้ง ปรับโฉมเป็นสวนสาธารณะแห่งใหม่ของคนกรุงเทพมหานครในนาม อุทยานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร"

สำหรับจุดเริ่มต้นของโครงการ 'Entertainment Complex' เนื่องมาจากในปัจจุบันการเลี้ยงม้าในไทยซบเซามาก ขณะนี้ไม่มีการขยายสายพันธุ์ม้าเพิ่ม ไม่มีกิจกรรมเกี่ยวกับม้าเหมือนเมื่อก่อน ประกอบกับราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ หรือ ที่นิยมเรียกกันว่า 'สนามม้านางเลิ้ง' ปิดตัวลง จึงทำให้คนที่ประกอบอาชีพเลี้ยงม้าอยู่ยาก ทางสมาคมเองเล็งเห็นว่าควรที่จะสืบสานเรื่องของม้าแข่ง เลยเริ่มหาที่จะสร้างสถานที่แข่งขันม้า เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ ร.6 ด้วย

ที่สำคัญ โครงการ 'The Royal Siam Haven' ในขณะนี้ยังหาพื้นที่เหมาะสมกับการจัดสร้างโครงการเนื่องจากอยู่ในขั้นตอนประสานงาน คาดว่าจะใช้พื้นที่มากกว่า 1,000 ไร่ หากตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ก็จะเป็นปอดของกรุงเทพฯ ด้วย เพราะโครงการจะใช้พลังงานสะอาด ไม่สร้างมลพิษ ที่สำคัญจะมีแท่งฟอกอากาศที่สามารถฟอกอากาศ เป็นแหล่งพื้นที่สีเขียวอีกที่หนึ่งในประเทศที่น่าไปใช้บริการ 

โดยทาง คุณปฐวี สุรินทร์ กรรมการบริหารสมาคม ราชตฤณมัยฯ ได้เผยเพิ่มเติมว่า มูลค่าการลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท จะมีชื่อ บริษัท Royal Sport Complex จำกัด 'RSC' เข้ามาเป็นพันธมิตรร่วมกับราชตฤณมัยสมาคมฯ นอกจากนี้ยังมีพันธมิตรที่เข้าร่วม 3-4 ราย รวมถึงทางเกาหลีใต้ซึ่งได้มีการเซ็นสัญญา MOU เป็นที่เรียบร้อยในวันแถลงข่าว 24 สิงหาคม 2567 ที่ผ่านมา และจะมีการแถลงข่าวเพิ่มเติมในอีก 90 วันข้างหน้า 

ส่วนระยเวลาดำเนินการก่อสร้างทั้งหมดของโครงการ จะมี 2 เฟส ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 7 ปี โดยตั้งใจไว้ว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ ช่วงปลายปี 2568 เพราะในขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนกระบวนการการขอใบอนุญาตต่างๆ พร้อมพัฒนาเป็นเวิลด์คลาสครบวงจร

อย่างเฟสแรกมีทั้งสนามม้าแห่งใหม่รองรับการแข่งขันระดับสากล และโรงพยาบาลม้า คาดว่าจะเสร็จ ประมาณปี 2570-2571 ส่วนเฟสสอง โรงแรมระดับ 6 ดาว, สนามกอล์ฟ, ยอร์ชคลับ, ภัตตาคารหรู, โรงละคร, โรงพยาบาล, การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ, ศูนย์การเรียนรู้, กิจกรรมกีฬาและบันเทิงต่าง ๆ 

ส่วนเรื่องของกาสิโน นั้นทาง คุณปฐวี เผยว่า "ในขณะนี้ทางเรามีใบอนุญาตเต็มรูปแบบในการทำสนามม้า, แข่งขันม้า, พัฒนาม้าแข่งในระดับสากล โดยประจุดประสงค์เพื่อสร้างเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ แต่หากว่าในภายภาคหน้ามี พ.ร.บ.ใบอนุญาตชัดเจน ทางเราก็เข้าร่วม"

ปัจจุบัน ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยังคงสภาพบอร์ด และความเป็นองค์กรไว้ แม้จะไม่มีสถานที่ตั้งดำเนินงานก็ตาม โดยขอบเขตของราชตฤณามัยสมาคม ดำเนินการเฉพาะเรื่องการจัดการแข่งขันม้า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับด้านอื่น ๆ ซึ่งคาดว่า อยู่ในช่วงการเคลื่อนไหวระดมทุนจากกลุ่มนักธุรกิจใหญ่ในไทยที่สนใจกิจการเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ หาก ร่าง พ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร ผ่านกระบวนการเห็นชอบ ซึ่งจะต้องมีการขอใบอนุญาตในส่วนอื่น ๆ ต่อไป

'ชัยวุฒิ' ลั่น!! พปชร.พร้อมไปต่อ เมิน!! ระบบดูดคน ทำทะเลาะกัน แง้ม!! เตรียมคุยกับพรรคปชช. แต่ไม่เอี่ยวทุกเรื่อง โดยเฉพาะ 112

(28 ส.ค.67) นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์กรณีที่กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีมติไม่ร่วมรัฐบาลกับ พรรค พปชร.ว่า...

"ที่จริงพอจะทราบแนวทางมาว่า เขาไม่เห็นด้วยและไม่ยอมรับรายชื่อรัฐมนตรีที่เราเสนอ โดยสร้างเงื่อนไขบางอย่างขึ้นมา เมื่อมีมติออกมาแบบนี้ก็ชัดเจน เราทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนที่อ้างเหตุผลว่าพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพปชร.ไม่ให้ความร่วมมือ ไม่ลงมติโหวต น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกฯ เราชี้แจงไปแล้วว่าหัวหน้าพรรคติดภารกิจ ไม่สามารถไปโหวตได้ แต่สส. 39 เสียงไปโหวตให้หมด จึงไม่น่าใช่สาระสำคัญที่ไม่นำพปชร.ไปร่วมรัฐบาล สำหรับสส.พปชร.ฝั่ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค ยังไม่มีการดำเนินการอะไร เพราะพล.อ.ประวิตร ถือว่าทุกคนเป็นสมาชิกพรรค อย่าทะเลาะกัน"

เมื่อถามว่ามองทิศทางการเมืองจากนี้อย่างไร? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "การที่เขาทำการเมืองแบบนี้ การเมืองแบบดูด สส.ไม่มีระบบการเมืองที่ชัดเจน ทำตามข้อตกลงหรือผลประโยชน์ที่ตกลงกัน เชื่อว่า สุดท้ายจะมีการขัดกันหรือไม่เป็นไปตามข้อตกลง จะมีการเรียกร้องอะไรบางอย่างที่ทำไม่ได้ จะมีปัญหาในอนาคต เพราะการเมืองไม่ได้เป็นระบบพรรค ไม่เข้มแข็ง ไม่อยู่ในกรอบกติกา สุดท้ายเชื่อว่า จะเกิดการทะเลาะกันเพราะผลประโยชน์ไม่ลงตัว การเมืองจะไม่นิ่ง ทำงานยาก และไม่ราบรื่น" 

ผู้สื่อข่าวถามว่า หาก สส.ฝั่ง ร.อ.ธรรมนัส โหวตไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับพรรคจะทำอย่างไร? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "เป็นแนวคิดของเขา ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาจึงตอบไม่ได้ว่าจะดำเนินการอย่างไร ให้ไปถึงจุดนั้นก่อน ขณะนี้พรรคพปชร.จะอยู่อย่างนี้ไปสักระยะ ยังไม่ขยับอะไร"

เมื่อถามว่าจะประชุมพรรค เพื่อหารือในเรื่องนี้หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "มีการประชุมพรรคเป็นประจำ และคุยกันตลอด วันนี้เราทำหน้าที่ฝ่ายค้าน พร้อมทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล และนำเสนออะไรที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน"

เมื่อถามว่า จะทำงานร่วมกับพรรคประชาชน ที่มีแนวคิดทางการเมืองต่างกันได้หรือไม่? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "ต้องพูดคุยกัน เราไม่ได้เป็นพรรครัฐบาล มีหน้าที่ในการอภิปราย เรื่องการลงมติ การแบ่งเวลาอภิปราย ต้องคุยกันว่าจะไปในทิศทางใด และเชื่อว่าคงคุยกันได้"

เมื่อถามย้ำว่า เรื่องแก้ไขมาตรา 112 ทั้งสองพรรคเดินเหมือนเส้นขนาน? นายชัยวุฒิ กล่าวว่า "คงไม่ถึงขนาดไปในทางเดียวกันทุกเรื่อง พรรคร่วมฝ่ายค้านในอดีตก็ไม่ได้ไปในทางเดียวกันทุกเรื่อง และเรื่องมาตรา 112 มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอยู่ว่าไม่สามารถแก้ไขได้"

'ออสเตรเลีย' สั่งลดจำนวนนักศึกษาต่างชาติเข้าประเทศปีหน้า 'แก้ปัญหาคนล้นเมือง-ราคาที่อยู่อาศัยพุ่ง' ฟากมหาวิทยาลัยไม่ปลื้ม

(28 ส.ค.67) บลูมเบิร์กรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 ส.ค.67 ออสเตรเลีย ได้กลายเป็นประเทศล่าสุดที่เตรียมกวาดล้างปัญหานักศึกษาต่างชาติล้นเมือง ซึ่งเป็นข้อวิตกที่สืบเนื่องกับปัญหาประชากรล้นเข้าเมืองออสเตรเลียจำนวนมากในช่วงระยะหลัง ตามหลังแคนาดา, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ ที่ล้วนใช้มาตรการจำกัดนี้ไปแล้ว

ทั้งนี้จากรายงานโดยอ้างอิงจากรอยเตอร์ส ระบุว่า รัฐบาลพรรคแรงงานของนายกรัฐมนตรี แอนโทนี อัลบานิส ได้ประกาศเมื่อวันอังคาร (27) ว่า ในปี 2025 จำนวนเพดานนักศึกษาต่างชาติจะเหลือแค่ 270,000 คนเท่านั้น

"ภายใต้นโยบายนี้ รัฐบาลแคนเบอร์ราจะจำกัดจำนวนนักศึกษาต่างชาติใหม่ที่ 145,000 คนสำหรับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และอีก 95,000 คนสำหรับคอร์สฝึกฝีมือแรงงาน" รัฐมนตรีการศึกษาออสเตรเลีย เจสัน แคลร์ (Jason Clare) แถลงข่าว (27)

สำหรับออสเตรเลีย มีนักศึกษาต่างชาติเกือบ 600,000 คนที่ได้รับวีซ่านักศึกษาเดินทางเข้าประเทศในปี 2023 ซึ่งถือเป็นตัวเลขสูงเป็นประวัติศาสตร์เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

รอยเตอร์ส รายงานว่า ในงานแถลงข่าววันอังคาร (27) แคลร์ ได้กล่าวด้วยว่า “มีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 10% อยู่ตามมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ของเรา โดยในปัจจุบันมีจำนวนสูงกว่าช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 และอีกกว่า 50% อยู่ในสถาบันเอกชนฝึกอบรมคอร์สอาชีพ”

ด้านรัฐมนตรีการศึกษาออสเตรเลีย แถลงว่า "รัฐบาลพรรคแรงงานออสเตรเลียจะแจ้งไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ สำหรับการลดเพดานจำนวนการรับนักศึกษาเหล่านั้นต่อไป"

ฟาก สมาคมการศึกษาอุดมศึกษาเอกชนออสเตรเลีย (The Independent Tertiary Education Council Australia) ได้ออกแถลงการณ์ว่า "มหาวิทยาลัยต้องการข้อมูลเพิ่มในการเปลี่ยนแปลงนี้" โดยชี้ว่า "การประกาศของรัฐบาลทำให้เกิดคำถามมากกว่าคำตอบ"

รอยเตอร์ส รายงานต่อว่า ทางมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ก็ได้มีกล่าวผ่านแถลงการณ์ว่า ทางมหาวิทยาลัยได้รับแจ้งการจำกัดเพดาน แต่ยังไม่เปิดเผยเพิ่มเติม นอกจากระบุว่า กำลังอยู่ระหว่างการประเมินทางด้านการเงินและปัจจัยแทรกซ้อนอื่น ๆ

"การจำกัดเพดานนักศึกษาต่างชาติ จะส่งผลร้ายต่อมหาวิทยาลัยของพวกเรา, ภาคส่วนการศึกษาระดับสูงโดยรวม และต่อประเทศเป็นเวลาอีกหลายปีหลังจากนี้' รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ศาสตราจารย์ ดันแคน มาสเคลล์ (Prof. Duncan Maskell) แถลง

ขณะที่ เดวิด ลอยด์ (David Lloyd) ประธานกรรมการสมาคมมหาวิทยาลัยออสเตรเลีย (Universities Australia) ชี้ว่า "การตั้งเพดานรับนักศึกษาเหมือนเป็นการติดเบรกให้กับภาคอุตสาหกรรมการศึกษาระดับอุดมศึกษาออสเตรเลียที่มีชื่อเสียง"

ด้าน บลูมเบิร์ก รายงานว่า การสนับสนุนเข้าเมืองในออสเตรเลียตกลงในจุดต่ำสุดของรอบ 5 ปี อ้างอิงจากโพลสำรวจของ Essential ที่ได้เผยแพร่วันอังคาร (27) โดย 42% ของผู้ตอบแบบสอบถามต่างกล่าวว่า ส่งผลกระทบทางลบต่อออสเตรเลีย

ทั้งนี้ นักศึกษาต่างชาติสร้างรายได้ราว 32,500 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (22 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้แก่ระบบเศรษฐกิจแดนจิงโจ้ในปี 2023 และทำให้ภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาออสเตรเลียกลายเป็นภาคบริการส่งออกสูงสุดของประเทศ

เชียงใหม่-ม.แม่โจ้ MOU ร่วมกับบริษัท ไฮไลฟ์ ไอบีซี จำกัดพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน

(28 ส.ค.67) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยวิทยาลัยพลังงานทดแทน จัดพิธีบันทึกความร่วมมือทางวิชาการ กับ บริษัท ไฮไลฟ์ ไอบีซี จำกัด เพื่อร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทนสำหรับสถาบันอุดมศึกษา โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์พาวิน มะโนชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ นางวัชราภรณ์ ลิน กรรมการผู้มีอำนาจลงนามบริษัท ไฮไลฟ์ ไอบีซี จำกัด  เป็นผู้แทนลงนามทั้งสองฝ่าย ร่วมด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นิกราน หอมดวง คณบดีวิทยาลัยพลังงนทดแทน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ ดร.บัณฑิต จำรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไฮไลฟ์ ไอบีซี จำกัด ลงนามร่วมเป็นพยาน ทั้งนี้ มีคณะผู้บริหารของทั้งสองหน่วยงานร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยาน ณ ห้องประชุมรวงผึ้ง อาคารสำนักงานมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พาวิน มะโนชัย รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า บันทึกความเข้าใจความร่วมมือทางวิชาการ การพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมด้านการอนุรักษ์พลังงานและพลังงานทดแทน สำหรับสถาบันอุดมศึกษา ระหว่างมหาวิทยาลัยแม่โจ้ โดยวิทยาลัยพลังงานทดแทน ร่วมกับ บริษัท ไฮไลฟ์ ไอบีซี จำกัด มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมมือในการเสริมสร้างความรู้ด้านพลังงานอย่างบูรณาการ สร้างความตระหนักของการใช้พลังงานและพลังงานทดแทนอย่างมีคุณค่าและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนความร่วมมือทางวิชาการและวิจัยที่สนับสนุนความก้าวหน้าของทั้งสองหน่วยงาน

นางวัชราภรณ์ ลิน กรรมการบริหารกลุ่มบริษัท ไฮไลฟ์/ ผู้บริหาร เจ้าหน้าที่ บริษัท ไฮไลฟ์ ไอบีซี จำกัด กล่าวถึงความร่วมมือทางวิชาการ ระหว่าง กลุ่มบริษัทไฮไลฟ์และวิทยาลัยพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กลุ่มบริษัทไฮไลฟ์ ซึ่งดําเนินธุรกิจหลากหลายที่มีบทบาทสําคัญในจังหวัดเชียงใหม่ ประกอบด้วยธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ การบริหารจัดการสินทรัพย์ และอุตสาหกรรมการผลิต เรามองเห็นถึงความสําคัญของการใช้ พลังงานทดแทนในการสร้างความยั่งยืนให้กับธุรกิจและสังคมในอนาคต

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บริษัท ไฮไลฟ์ โกลบอล ฟู้ดส์ จํากัด ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจอุตสาหกรรมการผลิตของกลุ่มบริษัทฯ ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานผลิตผักและผลไม้ทั้งตัดแต่งสดและแปรรูป ภายใต้แบรนด์ ฟินโก้และฟันโก้ เพื่อการส่งออกทั้งในประเทศและต่างประเทศ โรงงานนี้ตั้งอยู่ที่อําเภอดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ บนพื้นที่ทั้งหมด กว่า 35 ไร่ ซึ่งได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากทาง BOI มูลค่ารวมกว่า 422 ล้านบาท โรงงานดังกล่าวมี เป้าหมายเป็นต้นแบบของ smart factory ที่ใช้พลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต เราได้ทําบันทึกข้อตกลงร่วมกับบริษัท ซิโน พาวเวอร์ จํากัด ในการติดตั้งหลังคาโซลาร์เซลล์ให้กับโรงงาน โดยใน ความร่วมมือนี้ได้เชิญคณาจารย์จากวิทยาลัยพลังงานทดแทนมาให้บริการทางวิชาการในเรื่องพลังงานทดแทน ซึ่ง ได้จัดให้มีการบรรยายในหัวข้อ "การใช้พลังงานทดแทนเพื่อพัฒนาความยั่งยืนในอุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร และผลผลิตเกษตร" ให้แก่พาร์ทเนอร์ของกลุ่มบริษัท สื่อมวลชน และนักศึกษา เพื่อเป็นการต่อยอดความรู้และ ความเข้าใจให้เกิดประโยชน์ในอนาคต

และหากการก่อสร้างโรงงานเสร็จสิ้นตามแผนในปลายปีนี้ เราจะจัดให้มีการเยี่ยมชมโรงงานเพื่อเป็นต้นแบบให้กับ นักศึกษาและผู้ที่สนใจในเรื่องการจัดการ smart factory ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในอนาคตในฐานะผู้นําภาคเอกชนของจังหวัดเชียงใหม่ มีความภูมิใจที่กลุ่มบริษัทไฮไลฟ์จะเป็นตัวแทนโรงงานชั้นนํา
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.นิกราน หอมดวง คณบดีวิทยาลัยพลังงานทดแทน มหาวิทยาลัยแม่โจ้ กล่าวว่า สำหรับการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของพลังงานตลอดจนทรัพยากรพลังงาน ซึ่งเป็น ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชน เพื่อเสริมสร้างความรู้ด้านพลังงานอย่างบูรณาการ การสร้างความตระหนักของการใช้พลังงานและพลังงานทดแทน อย่างมีคุณค่าและมีประสิทธิภาพ

ตลอดจนความร่วมมือทางวิชาการและวิจัยที่สนับสนุนความก้าวหน้าของทั้งสองหน่วยงาน และสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน ส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานทดแทนของประเทศให้เป็นไปอย่างยั่งยืน

'ศาลฯ' สั่งห้ามผู้ปกครองนำ 'น้องไนซ์' ออกสอนเชื่อมจิตทุกช่องทาง พร้อมให้นำตัวไปพบแพทย์สุขภาพเด็กและวัยรุ่น ภายใน 15 วัน

(28 ส.ค. 67) ที่ศาลเยาวชนและครอบครัว จ.สุราษฎร์ธานี คณะผู้พิพากษา ออกบัลลังก์ อ่านคำสั่งในคดี คส.2/2567 คดีที่ พมจ.สุราษฎร์ธานี เป็นผู้ร้องให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ น้องไนซ์ ห้ามไม่ให้ น.ส.นัฐพร (ขอสงวนนามสกุล) แม่น้องไนซ์ กับพวกรวม 2 คน โดยขอให้ศาลมีคำสั่ง 

1.ห้ามนำกิจกรรมไลฟ์สดอันเกี่ยวกับการเชื่อมจิต

2.ห้ามเผยแพร่คำสอนทางพุทธศาสนาอันเป็นการบิดเบือน หรือผิดเพี้ยนจากหลักทางพระพุทธศาสนา และไม่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก

3.ห้ามใช้สื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในการดำเนินกิจกรรม (เชื่อมจิต) ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย รวมถึงภาพเคลื่อนไหว หรือสื่ออื่น ที่เป็นการยืนยันถึงตัวเด็ก 

4.ห้ามจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมจิต 

5.ออกคำสั่งกำหนดมาตรการ หรือวิธีการเพื่อเป็นการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามที่ศาลเห็นสมควร

ซึ่งศาลได้มีคำสั่งตามคำร้องของ พม. ให้นำเด็กไปตรวจสุขภาพที่สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น ภาคใต้ ภายใน 15 วันหลังจากคำสั่งศาลและให้ตรวจ 2 ครั้งภายใน 6 เดือนและให้แพทย์รายงานต่อศาลทราบด้วย 

ห้ามนำเด็กทำกิจกรรมไลฟ์สดเกี่ยวกับการเชื่อมจิต เผยแพร่คำสอนทางพุทธศาสนาอันเป็นการบิดเบือนหรือผิดเพี้ยนจากหลักทางพระพุทธศาสนาและไม่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก,

ห้ามใช้สื่อต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเด็กในการดำเนินกิจกรรมเชื่อมจิตไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายรวมถึงภาพเคลื่อนไหวหรือสื่ออื่นที่เป็นการยืนยันถึงตัวเด็ก และ ออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อเป็นการคุ้มครองกับ พม.

เนื่องจากพนักงานเจ้าหน้าที่อำนาจอยู่แล้วเนื่องจากได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีโดยไม่ต้องรอให้ศาลสั่งในการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก หากไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษจำคุก

ด้าน น.ส.ชลลดา ชนะศรีรัตนกุล พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า ในรายละเอียดคำสั่งศาล เราไม่สามารถเปิดเผยได้ เนื่องจากต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก

น.ส.ชลลดา กล่าวต่อว่า ซึ่งหลังจากนี้ พมจ.จะได้ร่วมกับผู้ปกครองในการปฏิบัติตามคำสั่งศาล โดยเฉพาะการวางแผนการเลี้ยงดูในทุก ๆ ด้าน ทั้งด้านสังคม การศึกษา และการนำเด็กไปทำกิจกรรม ซึ่งศาลได้กำชับผู้ปกครองให้ดำเนินการตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หากไม่ปฏิบัติตามก็จะมีความผิดตามกฎหมาย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเส้นทางโครงการ ททท.ทัวร์อารยสถาปัตย์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล กรุงเทพฯ - พัทยา ที่ 'สวนนงนุชพัทยา'

ที่ห้องประชุมเฟื่องฟ้า สวนนงนุชพัทยา จ.ชลบุรี นาย เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเส้นทางโครงการ “ททท.ทัวร์อารยสถาปัตย์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล กรุงเทพฯ - พัทยา” พร้อมด้วย แขกผู้มีเกรียติ อาทิ นาย อำนาจ เจริญศรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี, ,นาย  สมชาย ชมภูน้อย ผู้อำนวยการภูมิภาคภาคตะวันออก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.),นาย ปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา นายกฤษนะ ละไล ประธานมูลนิธิฯ และเครือข่ายมนุษย์ล้อทูตอารยสถาปัตย์ เข้าร่วมประชุม โดยมี นายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา  ให้การต้อนรับ

สำหรับโครงการ “ททท.ทัวร์อารยสถาปัตย์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล กรุงเทพฯ - พัทยา" ที่ทางมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และเครือข่ายมนุษย์ล้อทูตอารยสถาปัตย์ กำหนดจัดขึ้น ณ เมืองพัทยา และสวนนงนุชพัทยา ระหว่างวันที่ 27-28 สิงหาคมนี้ เพื่อต่อยอด ขยายผล และกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลอย่างต่อเนื่อง ทั่วถึง เท่าเทียมและยั่งยืน พร้อมพิธีประกาศปฏิญญา Pattaya for all 

จากนั้นรัฐมนตรีท่องที่ยวและกีฬาและคณะ ได้เยี่ยมชมความพร้อมของสวนนงนุชพัทยาในเรื่องอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล ซึ่งประกอบไปด้วยห้องน้ำ,ทางลาด,ลิฟต์,สระวายน้ำ,ป้ายบอกทาง,รถชมวิวรวมถึงที่พักสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ ต่อจากนั้นได้ชมสวนสวยมากกว่า 60 สวนและศูนย์เรียนรู้ของทางสวนนงนุชพัทยา และอีกสิ่งหนึ่งที่สวนนงนุชพัทยาได้ทำมาอย่างต่อเนื่องคือมอบโอกาสให้ผู้สูงอายุ (อายุตั้งแต่60ปีขึ้นไป) เข้าฟรีทุกวันศุกร์ ผู้พิการและผู้ติดตามเข้าฟรีทุกวัน

40 ปีบางจากโรงกลั่น-น้ำมันแลกข้าว สู่ธุรกิจนวัตกรรมพลังงาน ตั้งเป้าปี 2023 โต 10 เท่าตัว

เป็นเรื่องที่น้อยคนนักจะทราบว่า ‘บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)’ จะมีจุดเริ่มต้นจาก ‘พลเอกเปรม ติณสูลานนท์’ 

เมื่อ พ.ศ. 2527 รัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้มีมติอนุมัติให้จัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาบริหารงานโรงกลั่นที่มีอยู่แล้ว  

จึงได้จัดตั้ง บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (ชื่อในขณะนั้น) ตามข้อเสนอของคณะกรรมการนโยบายปิโตรเลียมแห่งชาติ โดยได้มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2527 โดยมี ‘เกษม จาติกวณิช’ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ และโสภณ สุภาพงษ์ เป็นผู้จัดการใหญ่ 

ก่อนต่อมาในปี พ.ศ. 2533 บางจากได้ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรศรีประจันต์ จำกัด จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งสถานีบริการน้ำมันหรือปั๊มน้ำมันชุมชนแห่งแรก และมีโครงการที่โดดเด่นอย่างน้ำมันแลกข้าว ถัดจากนั้นอีก 1 ปี ‘บางจาก’ ได้เป็นรายแรกของไทยที่ผลิตและจำหน่ายน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่วและบางจากดีเซล 357 กำมะถันต่ำ

พ.ศ. 2558 บางจากได้พลิกโฉมผ่านการลงทุน ในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และเหมืองแร่ลิเทียม ก่อนได้มีการขายเหมืองแร่ลิเทียมในเวลาต่อมาโดยมีกำไรมากกว่า 4,000 ล้านบาท

พ.ศ. 2560 ‘บางจาก’ ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท บางจาก คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) 

และใน พ.ศ. 2566 ‘บางจาก’ ประกาศดีลใหญ่ด้วยการซื้อกิจการของเอสโซ่ประเทศไทย ทำให้บางจากมีโรงกลั่นน้ำมันระดับโลก 2 แห่ง สถานีบริการน้ำมันรวมมากกว่า 2,200 แห่งขึ้นเป็นแท่นจำนวนสถานีบริการน้ำมันเป็นเบอร์ 2 ของประเทศ

เจาะกลุ่มธุรกิจในมือ ‘บางจาก’

จากรายงานประจำปีและ Opportunity Day ในไตรมาสที่ 1 พบว่า บางจากมีการดำเนินกิจการใน 6 กลุ่ม ได้แก่ 

1. ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและการค้าน้ำมันดิบ ปัจจุบันมี 2 แห่ง ได้แก่โรงกลั่นน้ำมันบางจาก พระโขนง และโรงกลั่นน้ำมันบางจาก ศรีราชาหรือโรงกลั่นน้ำมันของเอสโซ่เดิม มีกำลังการผลิตรวม 294,000 บาร์เรลต่อวันเป็นกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 

2. กลุ่มธุรกิจการตลาด มีสถานีบริการน้ำมันรวมมากกว่า 2,219 แห่ง มีส่วนแบ่งการตลาด 29 เปอร์เซ็นต์ ถ้านับเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ‘บางจาก’ จะมีปั๊มน้ำมันรวมอันดับ 1 นอกจากนี้ในกลุ่มธุรกิจนี้ยังมีร้านกาแฟอินทนิล ที่มีสาขาจำนวนมากถึง 1,020 สาขา 

3. กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด มีการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาดใน 7 ประเทศรวม มีกำลังการผลิตรวมมากกว่า 1,200 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการพัฒนาอีก 780 เมกะวัตต์

4. กลุ่มธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ มีการผลิตธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพเอทานอล มีกำลังการผลิต 80 ตันต่อวัน 

5. กลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติ บริษัทได้มีการถือสิทธิ์โดยอ้อมในแหล่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติและถือสิทธิ์การสำรวจปิโตรเลียมหลายแปลงผ่านสัมปทานทรัพยากรธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ 

6. ธุรกิจแห่งอนาคต กลุ่มนี้บางจากมี 2 ธุรกิจหลัก คือ  

ธุรกิจน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน หรือ SAF ธุรกิจส่วนนี้ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการก่อสร้างโรงงานภายใต้งบประมาณ 8.5 พันล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 หากเปิดให้บริการแล้วคาดว่าจะมีกำลังการผลิตถึง 1 ล้านลิตรต่อวัน 

โดยจะมีการใช้วัตถุดิบจำพวกไขมัน จากน้ำมันเหลือใช้ น้ำมันจากสัตว์ และอื่น ๆ เพื่อผลิต HEFA เพื่อผสมกับน้ำมันเจ็ท ซึ่ง ICAO ได้รับรองให้ HEFA นำมาผสมถึง 50%

ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (CDMO) โดย BBGI ร่วมทุนกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Fermbox Bio บริษัทผู้นำด้านการวิจัยและผลิตผลิตภัณฑ์ชีววิทยาสังเคราะห์ด้วยกระบวนการหมักแม่นยำขั้นสูง และก่อตั้งบริษัทร่วมทุน BBFB (BBGI Fermbox Bio) ซึ่งเป็นโรงงานเทคโนโลยีชีวภาพขั้นสูง (Precision Fermentation) เชิงพาณิชย์แห่งแรกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และประเทศไทย โดยระยะแรกจะผลิตเอนไซม์ และขยายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ด้านชีววิทยาสังเคราะห์ (Synbio) ที่ล้ำสมัยอื่น ๆ ต่อไป

ในเฟสแรกโรงงานมีกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ 2,000 ตันต่อปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดแล้วเสร็จปลายปีนี้ และเริ่มผลิตช่วงต้นปี 2568 พร้อมขยายเป็นเฟสต่อเนื่องด้วยจุดแข็งคือ การมีพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่ง จะทำให้เราเติบโตในธุรกิจนี้ได้ และมีตลาดรองรับ พร้อมส่งออกไปจำหน่ายภายในภูมิภาค

เจาะลึกเป้าหมาย ธุรกิจในมือ ‘บางจาก’ ก่อนประกาศกลยุทธ์ 1 ก.ย. นี้ 

เป้าหมาย 10X New Growth Chapter 2023 คือมี EBITDA (กำไรก่อนภาษี ต้นทุนทางการเงิน ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์) ที่ 100,000 ล้านบาท จาก EBITDA เฉลี่ยในปี 2015-2021 คือช่วงปี 2558-2564 อยู่ที่ 12,000 ล้านบาท หรือโตขึ้น 10 เท่าตัว 

จากงบการเงินปี 2566 ทางบางจากมี EBITDA รวม 41,680 ล้านบาท มีที่มาของแหล่งกำไรตามกลุ่มธุรกิจ ดังนี้ 

45% Refinery and Oil Trading Business ที่ประกอบด้วยโรงกลั่น และธุรกิจการตลาดในเครือของบางจาก
43% Natural Resources จากกลุ่มธุรกิจทรัพยากรธรรมชาติที่มีแหล่งรายได้จาก OKEA ถือสัมปทานแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในนอร์เวย์หลายแห่ง

10% Clean Power Business
2% Bio-Base Products Business

นอกจากการตั้งเป้าหมายให้ EBITDA เติบโต 10 เท่าตัวแล้ว เป้าหมายนี้ของบางจากยังจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของ EBITDA เป็น 

49% Natural Resources สัดส่วนเพิ่มขึ้น 6%
36% Refinery and Oil Trading Business ลดสัดส่วนลง 9%
8% Clean Power Business ลดสัดส่วนลง 2%
4% Bio-Base Products Business เพิ่มสัดส่วนขึ้น 2%
4% New Business กลุ่มนี้จะมีอัตรา EBITDA ถึง 4%


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top